อยู่เหนือโลก โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“ภูมิปัญญาของชาวพุทธ
คือ ภูมิปัญญาที่ช่วยให้“อยู่เหนือโลก”
แต่..คนโง่ไม่ชอบหรอก
อยู่เหนือโลกคิดว่าคงไม่สนุก
สู้มีอะไรกันขลุกขลักอยู่ในโลกนี้ไม่ได้
แต่ทางธรรมะ...
ต้องการจะ “อยู่เหนือโลก”
อยู่เหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง”
พุทธทาสภิกขุ
-------------------------
สัตว์ คือ ผู้ที่ข้องติดอยู่ในโลก
คำว่า “สัตว์” สัด-ตะ หรือ สัด-ตะ-วะ ก็ตาม ในภาษาบาลีออกมาเป็นภาษาไทยรูปสันสกฤต ก็เขียนเป็น สัด-ตะ-วะ คำว่า สัด-ตะ คำคำนี้ รากศัพท์ของมันแปลว่า ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องติด คำว่าสัตว์ก็คือ ผู้ที่ข้องติดอยู่ในโลก ข้องติดอยู่ในโลก ด้วยเครื่องเกี่ยวข้องนานาประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันก็คือสติปัญญามันไม่พอ มันไม่ได้อบรมสติปัญญา ถึงขนาดที่เรียกว่าเพียงพอ มันจึงไม่เห็นการข้อง การติด การทนทรมานอยู่ในโลกนี้ มันก็พอใจที่จะติดข้องอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าในโลกนี้มันมีอารมณ์เป็นที่รักเป็นที่พอใจ
ตั้งแต่เด็กๆ ไปมาพอเกิดมามันก็ไม่ต้องรู้เรื่องอื่นน่ะ มันรู้แต่สิ่งที่เป็นที่น่ารักน่าพอใจ ไอ้ที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจมันก็ไม่สนใจ แต่ชนิดไหนเป็นที่น่ารักน่าพอใจมันก็สนใจมากขึ้นมากขึ้น จนจิตใจมันข้องติดอยู่แต่ในสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่าเขามีพื้นเพแห่งจิตใจ สำหรับจะข้องติดอยู่ในโลกนั้น เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังเป็นอย่างนั้น บางทีกระทั่งเป็นคนแก่คนเฒ่าก็ยังเป็นอย่างนั้นนะ ไม่รู้เรื่องออกไปจากโลก นี่เป็นสัตว์สมบูรณ์
ทีนี้ แต่อีกพวกหนึ่งมันด้วยเหตุอะไรก็ตาม ด้วยการเจริญแห่งสติปัญญา หรืออะไรก็ตามนะ มันต้องการจะออกไปจากการข้อง จากสิ่งข้อง ออกไปเป็นอิสระ นี่มันก็เกิดขึ้นมาพวกหนึ่ง คือพวกที่จะอยู่เหนือโลก
ทีนี้เราก็ต้องเห็นใจ พวกที่มันยังออกไปไม่ได้ มันก็ต้องมีระบบประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ได้รับความสุขความสะดวก ความสบายตามสมควร ของสัตว์ที่ยังข้องติดอยู่ มันเปรียบเหมือนกับว่า สัตว์ชนิดที่มันถูกขังกรงโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ แล้วมันก็พอใจอยู่ในกรง ยิ่งเมื่อมีการเลี้ยงดูดี สัตว์เหล่านี้ก็ไม่อยากจะออกไปจากคอกหรือจากกรง มันก็เป็นระดับมาตรฐานอันหนึ่งของจิตใจคือว่าพอใจ
ทีนี้กรงที่จะขังจิตนั่นน่ะ มันก็คืออารมณ์นั่นเอง อารมณ์ แปลว่า เครื่องยึดหน่วงแห่งจิต ที่เป็นที่ยึดหน่วงแห่งจิต เขาก็เรียกว่าอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ๖ ประการนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่ง ความพอใจนั้นน่ะมันเป็นกรง ทีนี้เขาก็จะต้องทำชนิดที่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ในโลกนี้ มันก็เป็นที่พอใจ แม้จะต้องมีความทุกข์ลำบากบ้างก็ไม่เห็นเป็นส่วนสำคัญ เอาแต่ให้ได้ส่วนที่พอใจตามความต้องการของความรู้สึกที่เรียกว่า “ความสุข”
พุทธทาสภิกขุ
อบรมพระนวกะในพรรษา ๒๕๒๗
------------------------------
โลกิยธรรม กับ โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“(คนทั่วไป)มักจะถือกันเป็นหลักตายตัวว่า โลกิยะ-อยู่ในโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก ส่วนโลกุตตระ-อยู่นอกโลก เหนือโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก อย่างนี้ไม่ถูก
โลกิยะ มันเป็นชั้นต้น เป็นของมีอยู่แล้วของบุคคลที่ยังไม่รู้อะไร อยู่ในวิสัยโลกอยู่แล้ว มีแต่จะเลื่อนไปหาโลกุตตระ ไม่ใช่หันหลังให้กันแล้วเดินไปคนละทิศคนละทาง
โลกิยะ ก็แปลว่ามันยังทำอะไรมากไม่ได้ ยังมีความรู้ต่ำ ยังมีตัวตน ยังมีของตน แต่แล้วมันก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆไปในทางของโลกุตตระ เพื่อไม่ให้มีตัวตน เพื่อจะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง คือ เหนือโลก...
โลกิยธรรม มันตั้งต้นด้วยความมีตัวตน มีดี มีชั่ว มีบุญ มีบาป มีตัวมีตนที่จะทำบุญทำบาป เสวยสุข เสวยทุกข์ มันตั้งต้นด้วยตัวตนอย่างนี้ ก็เป็นโลกิยธรรม เอาข้างดีไว้
แต่พอเห็นว่า ชั่วก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว อยากจะพ้นชั่วพ้นดีเสียที ก็เดินต่อไป จะไปเป็น “โลกุตตรธรรม...
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติโลกุตตรธรรมสำหรับทุกคน
ก่อนนี้เขาเชื่อกันว่า..ป่วยการ เราปุถุชนคนธรรมดา อย่าไปสนใจเรื่องโลกุตตรธรรม มรรค ผล นิพพานเลย ไม่อยู่ในวิสัย แล้วก็สอนกันอย่างนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนกันเสียอย่างนั้น แล้วก็ห้ามเด็กๆไม่ให้สนใจเรื่องโลกุตตรธรรม ว่ามันไม่จำเป็นบ้าง ว่ามันเกินไปแล้วบ้าง ไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่เรามอบให้สำหรับทุกคน เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำหรับทุกคนที่มีความทุกข์ ใครมีความทุกข์ก็ต้องมีโลกุตตรธรรม เพราะว่าสิ่งอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้น ถ้าใครมีความทุกข์ คนนั้นต้องใช้โลกุตตรธรรม ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ โลกุตตรธรรม ให้เป็นสมบัติสำหรับทุกคน...”
พุทธทาสภิกขุ
-----------------------
โลกุตตรภูมิ
"สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" เป็นสิ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่า หาได้ในโลก หรือมีอยู่ในโลก ทั้งที่เป็นเรื่องเหนือโลก นอกโลก พ้นโลก โดยประการทั้งปวง เพราะว่า ข้อนี้หมายถึงภูมิแห่งจิตใจ หรือสภาวะแห่งจิตใจของบุคคลที่มีความรู้สึกอยู่เหนือความครอบงำของโลก คือเหนืออิทธิพลของสิ่งที่มีอยู่ในโลกโดยประการทั้งปวง
จะจำแนกเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ตาม(มักจะเรียกกันว่า กามคุณ ๕) จะจำแนกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ ก็ตาม หรือ จะจำแนกเป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่รวมเรียกว่า "โลก" หรือสิ่งที่มีอยู่ในโลก
สิ่งเหล่านั้น จะไม่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป จะไม่มีอะไรมาล่อให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จิตใจจึงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่า..โลกไม่อาจจะครอบงำบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" ในอันดับแรกเป็นพระโสดาบัน แล้วเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ขึ้นไปตามลำดับ ชื่อเหล่านั้นไม่สำคัญ เราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านไม่สนใจ และท่านไม่เคยสนใจเลยว่า ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง เป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่สนใจจะทราบ และไม่อยากจะทราบ ไม่จำเป็นจะต้องทราบ
แต่สิ่งที่ท่านทราบแน่ๆทราบอย่างยิ่งนั้นก็คือ ภาวะแห่งจิตใจของท่านหรือความรู้สึกในจิตใจของท่าน ซึ่งท่านรู้ด้วยตนเองว่ามันเป็นอย่างไร คือเดี๋ยวนี้หลุดออกมาจากอำนาจของโลกแล้วหรือยัง หรือว่าหลุดมาแล้วเพียงเท่าไร ความร้อนหายไปอย่างไร ความเย็นเข้ามาแทนเท่าไร หรือว่าความทุกข์สิ้นไปเท่าไร ท่านรู้ดียิ่งกว่ารู้ นี่คือรู้ตัวธรรม หรือรู้ตัวโลกุตตรธรรมที่แท้จริงในใจของท่าน โดยไม่ต้องรู้ว่าธรรมนั้นเรียกชื่อเป็นบาลีว่าอะไร หรือท่านกำลังตั้งอยู่ในภูมิไหน ชั้นไหน เรียกชื่อว่าอย่างไร
ไม่เหมือนกับนักวิปัสสนาสมัยนี้ ที่ต้องให้เขาตั้งให้ว่าเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง เป็นพระสกิทาคามีแล้วหรือยัง สิ่งที่ได้บรรลุ เป็นดวง เป็นแสง เรียกชื่อว่าอะไรเป็นภาษาบาลี"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา เรื่อง "ความเป็นเจ้าโลก"
---------------------------------
“โลกุตตระ” กับ “สุญญตา”
“โลกุตฺตรา”เป็นเรื่องเหนือโลก คือ เป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์อยู่เหนือการครอบงำย่ำยีของโลก ถ้าถูกโลกครอบงำย่ำยี ก็หมายความว่า มีความทุกข์ ฉะนั้น เราจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก
เมื่อใดอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก เมื่อนั้น เรียกว่าอยู่เหนือโลก หรือ “โลกุตตระ”แล้วเรื่องนี้ต้องเป็น “สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา” คือ เนื่องเฉพาะด้วยเรื่อง “สุญญตา” ต้องเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สุญญตา”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย “สุญญตาหัวใจของพุทธศาสนา” เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๐๙
--------------------------
อธิบาย ความหมายของคำว่า "สุญญตา" "โลกว่าง" "จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ"ของเรา"...
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตนนี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน "โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
ฝาก
“สัจธรรม”✨
“... ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเกิดจากธาตุต่าง ๆ มาผสมปรุงแต่งขึ้นมา จึงไม่ได้เป็น “อวิชชา” และ “นิพพาน”
ส่วนที่เป็น “อวิชชา” คือ ความไม่รู้ หลงยึดจิตเป็นตัวเรา เป็นของเรา มีมาตั้งแต่กำเนิดจิตขึ้นมาในธรรมชาติ
แต่แม้จะยังหลงยึดจิตดั้งเดิมเป็นตัวเรา เป็นของเรา ซึ่งยังเป็นอวิชชาอยู่ก็ตาม แต่ธรรมชาติของ “จิตดั้งเดิม” ก็คงเป็นธรรมชาติที่เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ สุญญตาธาตุ... ซึ่งเป็นธรรม หรือ ธรรมชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล
เป็นความว่าง... ไม่มีตัว ไม่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นหญิง เป็นชาย เป็นนั่น เป็นนี่
ความไม่รู้ (อวิชชา) ใน “สัจธรรม” ความจริงดังกล่าว จึงไม่เห็นว่าความเป็นสัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา หญิง ชาย เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นเพียงสมมติ เป็นสังขารปรุงแต่ง มีอยู่ เป็นอยู่ชั่วคราว เกิดขึ้นแล้ว มีความไม่เที่ยง มีความเสื่อม มีความดับไปเป็นธรรมดา และ สังขารทั้งหมด ไม่มีอยู่ในจิตดั้งเดิม ซึ่งเป็นวิสังขาร เป็นสุญญตา
เมื่อมี “อวิชชา” คือ ความไม่รู้สัจธรรมมีอยู่ในจิต ก็ต้องเอาธรรมมาอบรมจิต ให้เกิด “วิชชา” เป็นความรู้แจ้งขึ้นมา
💡ธรรมที่นำมาอบรมจิต เพื่อให้จิตได้รู้ความจริง ได้แก่
🔅“การสัมพันธ์กันระหว่างธาตุ ขันธ์ห้า อายตนะ”
🔅“ปฏิจจสมุปบาท, อริยสัจ ๔”
🔅“สติปัฏฐาน ๔” คือ มีสติ ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นสัจธรรม ความจริงของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เพื่อให้รู้เห็นสัจธรรมความจริงด้วยใจว่า ทั้งหมดนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีสาระแก่นสารเป็นตัวเป็นตนให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ซึ่งตัวเราก็ไม่มี จิต หรือใจดั้งเดิมแท้ก็ไม่มีตัว เป็นความว่าง (ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หญิง ชาย ความเป็นนั่น ความเป็นนี่)
🔅“โพชฌงค์ ๗” ซึ่งเป็นเครื่องส่งเสริมสนับสนุนให้ตรัสรู้ตาม ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ (ธรรมะวิจัย), วิริยสัมโพชฌงค์ (ความเพียร), ปีติสัมโพชฌงค์, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์, สมาธิสัมโพชฌงค์, อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
🔅“พละ ๕ อินทรีย์ ๕” ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นกำลัง
🔅”อิทธิบาท ๔” ได้แก่ ฉันทะ (ความสนใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ (เอาใจใส่) วิมังสา (วิเคราะห์เหตุผล รู้เหตุแห่งความเสื่อม คือ ขาดสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร รู้เหตุแห่งความเจริญ รู้สัจธรรม รู้อริยสัจ หรือ ปฏิจจสมุปบาท) อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
🔅“มรรค ๘” ได้แก่
🔸สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง) หมายถึง ความรู้ในอริยสัจ ๔
🔸สัมมาสังกัปปะ (ความคิดที่ถูกต้อง) หมายถึง ความคิดในการออกจากกาม ความไม่พยาบาท และการไม่เบียดเบียน
🔸สัมมาวาจา (วาจาที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ
🔸สัมมากัมมันตะ (การปฏิบัติที่ถูกต้อง) หมายถึง เจตนาละเว้นจากการฆ่า โจรกรรม และการประพฤติผิดในกาม
🔸สัมมาอาชีวะ (การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากมิจฉาชีพ การละเว้นจากอาชีพฆ่าสัตว์ อาชีพที่เบียดเบียนผู้อื่น
🔸สัมมาวายามะ (ความเพียรที่ถูกต้อง) หมายถึง สัมมัปปธาน ๔
🔸สัมมาสติ (การมีสติที่ถูกต้อง) หมายถึง สติปัฏฐาน ๔
🔸สัมมาสมาธิ (การมีสมาธิที่ถูกต้อง)
🔅มี “ขันติ” (ความอดทน อดกลั้น) ได้แก่ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ไม่คลุกคลีหมู่คณะ สำรวมอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ไม่เอาเรื่องโลก ๆ มาสู่ใจ ทำความเพียรให้มาก ให้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
🔅“สัมมัปปธาน” คือ ความเพียรชอบ ๔ ประการ ได้แก่
๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปอกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น มิให้เกิดขึ้น
๒. ปหานปธาน เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว มิให้เกิดขึ้นอีกต่อไป
๓. ภาวนาปธาน เพียรอบรมเจริญกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดมีขึ้น
๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่นเจริญงอกงามไพบูลย์
ธรรมที่กล่าวมาทั้งหมดจะเป็นสิ่งช่วยให้รู้แจ้งจากใจในสัจธรรม จาก “อวิชชา” เป็นความไม่รู้ กลายเป็น “วิชชา” ความรู้แจ้งจากใจขึ้นมาว่า ทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรที่มีตัวตน เป็นแก่นสารสาระให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ไม่ควรหลงยึดมั่นถือมั่น (สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ)
ความรู้สึกว่า “จิตมีตัว หรือ มีตัวจิต” จะเปรียบเหมือนกับเวลากลางวันเดินไปที่ตรงนั้นได้ แต่พอเวลากลางคืนไม่กล้าเดินไปที่ตรงนั้น เพราะรู้สึกว่ามีตัวผี แต่ความจริงตรงบริเวณนั้นไม่มีตัวผีอยู่เลย แต่หลงคิดปรุงแต่งว่ามีตัวผีจึงเกิดความกลัว เป็นทุกข์
ทำนองเดียวกัน จิต หรือ ใจ หรือ “ธาตุรู้เดิมแท้” ไม่มีตัว “ผู้ยึดจิต” ก็ไม่มีตัว “ความรู้” ก็ไม่มีตัวและรู้ออกมาจากใจที่เป็นความว่าง ไม่มีตัว
แต่เมื่อมี “อวิชชา” คือ ความไม่รู้ หรือ ความโง่เขลา ก็จะหลงยึดจิตว่าเป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา
“จิต” เป็นความไม่มีอะไรให้ยึดถือได้ ผู้ยึดก็ไม่มีตัว แต่หลงปรุงแต่งเป็นตัวเรา เป็นของเรา เหมือนกับบริเวณนั้นไม่มีอะไร (ไม่มีผี) แต่เพราะความไม่รู้ หรือ ความเขลา ก็หลงปรุงแต่งผีเป็นตัวตนขึ้นมา ในท่ามกลางความไม่มีอะไร หรือ ในท่ามกลางความว่าง จึงหลงมีตัวเรากลัวผี เป็นความทุกข์
ถ้าไม่หลงปรุงแต่งมีตัวเรา ก็จะไม่มีตัวเรากลัวผี ซึ่งเป็นความทุกข์ เช่นเดียวกัน จิตดั้งเดิม... “ไม่มีตัว” เป็นความว่าง แต่หลงปรุงแต่งมี "ตัวจิต" ขึ้นมาให้ยึดถือได้ จึงหลงยึดถือจิตเป็นตัวเรา เป็นของเรา
ความปรุงแต่งยึดถือจิตดั้งเดิมแท้ เป็นตัวเรา เป็นของเรา ซึ่งเป็น “อวิชชา” เป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง เกิดดับอยู่ในจิตดั้งเดิมแท้ ซึ่งเป็น “วิสังขาร” เป็นธรรมชาติว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้ารวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะแยก “อวิชชา” ออกจากจิตเดิมแท้ไม่ได้
ดังนั้น “อวิชชา” จึงดับไปได้ โดยจะเหลือแต่จิตเดิมแท้บริสุทธิ์ (นิพพาน) ไม่เกิดดับ ว่างเปล่าจากตัวจิต ว่างเปล่าจากสังขารที่ยึดถือเป็นตัวเรา เป็นของเรา
ดังนั้น ขณะจิตใดเกิดปัญญาวิมุตติสว่างขึ้นที่ใจแล้ว ความหลง ความเขลา ความมืดบอด ความไม่รู้ ความโง่ ซึ่งเป็น “อวิชชา” ก็จะดับไป
เปรียบเหมือนความสว่างเกิดขึ้นที่ใจเพียงขณะจิตเดียว ความมืดบอดก็หายไป ฉะนั้น
ความจริงตัวตนของเราก็ไม่มีมาแต่แรกแล้ว ส่วนจิตเดิมแท้ก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือได้
แต่เพราะความไม่รู้ หรือ ความโง่ จึงหลงยึดถือจิตดั้งเดิมแท้ที่ไม่มีอะไร เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงหลงมีตัวเรา มาตั้งแต่ชาติแรก
เมื่อหายโง่ (อวิชชาดับ) เพราะรู้แจ้งขึ้นที่ใจว่า มีเพียงจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ที่ว่างเปล่าจากสังขาร ไม่มีตัวจิต และ ไม่มีตัวเรา ไม่มีสิ่งที่จะให้ยึดมั่นถือมั่นได้ ทั้งตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่นก็ไม่มี จึงไม่มีผู้มีกิเลสและผู้ทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
🎯ดังนั้น ... ถ้ามีจิต (มีสิ่งที่ยึดถือได้) ก็มีอวิชชา
ไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา
กล่าวได้ว่า “นิพพาน” เพราะหายโง่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะรู้แจ้งว่า แท้จริงไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา
ดังนั้น จึงไม่ได้มีตัวเราไปถึง ไปได้นิพพานมาเป็นของเราแต่อย่างใด
☝️มีเพียงจิตหนึ่ง (เอโกธัมโม) เรียกว่า “พุทธะ”
ไม่ได้หมายถึงรูปกายของพระพุทธเจ้า แต่หมายถึง
เป็น “ผู้รู้” - รู้แจ้ง รู้สิ้นยึด รู้สิ้นหลง เพราะรู้สัจธรรม รู้อริยสัจ
“ผู้ตื่น” - ตื่นจากความหลับใหล หมายถึงอวิชชา ซึ่งเป็นความหลงมายาวนานตั้งแต่ชาติแรก
“ผู้เบิกบาน” - เพราะสิ้นยึด จึงสิ้นกิเลส สิ้นความเศร้าหมอง พ้นทุกข์ นิพพาน
เป็นธรรมธาตุ เป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ เป็นอมตธาตุ อมตธรรม ไม่เกิดดับตลอดกาล
✨“สัจธรรม” ความจริง คือ ไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัวเรา✨
สังโยชน์ทั้งสิบตัว จนถึงตัวที่ ๘, ๙, ๑๐ คือมานะ ฟุ้งซ่าน อวิชชา ล้วนเกิดจาก “อวิชชา” ความโง่เขลา ไม่รู้สัจธรรมเป็นเหตุ
ต่อเมื่อรู้แจ้งสัจธรรม (วิชชา) ว่า “ความจริงไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัวเรามาตั้งแต่แรก” จึงหายโง่ (อวิชชาดับ)
💠“อวิชชา” ดับไปเพราะหายโง่
💠หายโง่ก็เพราะรู้แจ้ง “สัจธรรม”
จึงต้องใช้ “ธรรม” อบรมจิตให้รู้แจ้งสัจธรรม “อวิชชา” จึงจะดับ
ความจริงของสัจธรรม “จิต” นั้นเองเขาเป็นธรรมอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นอสังขตธรรม สุญญตาธรรมมาตั้งแต่แรก
ซึ่งไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวเรา ไม่มีอวิชชา ไม่มีวิชชา ไม่มีผู้โง่ ไม่มีผู้ฉลาด ไม่มีผู้ยึด ไม่มีผู้ปล่อยวาง ไม่มีผู้สุข ไม่มีผู้ทุกข์ ไม่มีผู้นิพพาน
แต่เพราะความไม่รู้ ความเขลา ความโง่ ความมืดบอด... ซึ่งภาษาสมมติเรียกว่า “อวิชชา” จึงมีความเห็นผิด หลงผิดไปจากสัจธรรมความจริง จึงต้องเอาธรรมมาอบรมจิตให้หายโง่
❎ดังนั้น การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่การพยายามเอาตัวเรา ไปดับความเป็นตัวเรา เพื่อให้สิ้นความเป็นตัวเรา หรือ พยายามเอาตัวเราไปดับอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน
เพราะอยากได้ อยากถึง อยากเป็น อยากบรรลุนิพพาน แล้วตัวเราจะบรรลุนิพพาน อย่างนี้ก็จะยิ่งเป็น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และความทุกข์มากยิ่งขึ้น
“อวิชชาดับ ก็สิ้นยึด ...
สิ้นยึด ก็สิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ใจ”
✔️“สัจธรรม” ความจริงทุกสรรพสิ่งไม่อาจยึดถือได้จริง
เพราะทุกสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกสรรพสิ่งรวมทั้งสังขาร และ วิสังขาร
แต่ “สังขาร” เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ส่วน “วิสังขาร” เป็น อนัตตา หรือ สุญญตา
สิ่งที่ถูกยึดถือก็ไม่ใช่ของจริง ผู้ยึดถือก็ไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสมมติ
☑️“สิ้นยึด ก็สิ้นทุกข์ใจ (นิพพาน)”
☑️กล่าวได้ว่า “นิพพาน เพราะหายโง่”
เนื่องจากรู้แจ้งในความจริงแห่ง “สัจธรรม” ว่า...
ไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัวเรา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
💙บทสรุปจากใจ💙
“ธรรมแท้”
ไม่มีผู้ปฏิบัติธรรม
ไม่มีวิธีปฏิบัติธรรม
ไม่มีธรรมให้ปฏิบัติ
ไม่มีธรรมให้ถึง
ไม่มีผู้ถึงธรรม
ที่เรียกว่า “ธรรม”
ความจริงแท้ไม่มีธรรม
ความไม่มีธรรมนั่นแหละ เป็น “ธรรมแท้”
“ใจ” เป็นธรรมแท้แต่เดิมแล้ว
แต่พยายามดิ้นรนค้นหา อยากได้ อยากถึง อยากเป็น
อยากบรรลุเท่าไหร่ ไม่พบธรรม
หยุดดิ้นรนค้นหา หยุดอยาก ใจจึงเป็นธรรม
แต่อยากหยุด ไม่เป็นธรรม
พบธรรม แต่ยึดไม่ได้
ที่ยึดได้ ปรุงแต่งให้เป็นได้ ไม่ใช่ธรรม
“ธรรมแท้” เหมือนอยู่ใต้ตาจึงมองหาไม่เห็น
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรม (บางส่วน) จากหนังสือ “สัจธรรม”
💠หมายเหตุ : อ่านโอวาทธรรมฉบับเต็มได้จากหนังสือสัจธรรม หน้า ๔ - ๙ และบทส่งสรุปจากใจ หน้า ๕๗
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
📀 อ่านและดาวน์โหลดหนังสือ “สัจธรรม” ที่เว็บไซต์ทางการ
http://www.luangtanarongsak.org/…/…/5390-2020-05-21-14-42-14
📗อ่านหนังสือ “สัจธรรม” ในรูปแบบ e-book
https://anyflip.com/wwhjd/dvtj/
ที่มา : Benya timeline
https://timeline.line.me/…/_dQtVIqhL22C…/1159008471009055874
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
🔔ติดตามธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ในปัจจุบันได้ทาง...
ข่าวสารสื่อธรรมและโอวาทธรรม (สำหรับศิษย์ที่อยู่ประเทศไทย) :
ไลน์โอเพนแชท (Line OpenChat) : ธรรมจากหลวงตาณรงค์ศักดิ์
ข่าวสารสื่อธรรมและโอวาทธรรม (สำหรับศิษย์ที่อยู่ต่างประเทศ) :
WhatsApp Group Chat : ธรรมจากหลวงตาณรงค์ศักดิ์
สอบถามธรรมะและขอรับสื่อธรรม :
Official Line ID : @dhammaluangta
FB : เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
YouTube : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
YouTube (English) : Luangta Narongsak Kheenalayo
Instagram : @luangta.narongsak
Podcast / Antenna : หลวงตาณรงค์ศักดิ์
Podbean : Luangta Narongsak
Soundcloud : เสียงธรรมะ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย