พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
อย่าหงุดหงิดกับความเลวของบุคคลอื่น
ให้เห็นเป็นปกติธรรมให้มาก ปล่อยวาง
อย่าให้มีความเกาะติดความชั่วของบุคคลอื่น
เรื่องรับรู้อย่างไรก็ต้องรับรู้ เพราะยังมี
อายตนะคืออายตนะไม่เสีย เพียงแต่ว่ารับรู้แล้ว
ให้พิจารณาลงตัวธรรมดา จึงจัก***ปล่อยวาง***ได้
อย่าไปมีหุ้นกับความเลวของบุคคลอื่น
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
จิตพิจารณาจิต จิตอบรมจิต รู้ธรรมภายในจิต รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง ไม่ยึดมั่น... จิตวาง ทิ้งหมด รู้หมด...ทิ้งหมด ได้หมด...ไม่ทิ้งไม่ได้ ผู้คิดไม่รู้ ผู้รู้ไม่คิด...
หลวงปู่ดูลย์
การปฏิบัติคือการฝืนใจตนเอง
การตามใจตนเอง ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า
ถ้าปฏิบัติตามความคิดเห็นของเราเอง
เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่า อันใดผิด อันใดถูก
ไม่มีวันรู้ใจตัวเอง และไม่มีวันรู้จักตนเอง
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
"ตลกร้าย"
" .. พระขี้บ่นรูปหนึ่ง "ชอบติเตียนเพื่อนสหธรรมิก ครูบาอาจารย์ สถานที่ว่าไม่สัปปายะ" ไม่เอื้อเฟื่อต่อการฏิบัติ "จิตใจหมกหมุ่นแต่เรื่องอกุศลมูลจนกลิ่นตลบ" เลยโดนหลวงพ่อกระทุ้งเอาอย่างแรง
แต่เป็นเชิงตลกว่า "คุณนี่แปลก ชอบเอาขี้พกใส่ย่าม" แล้วพกติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย "แล้วมาบ่นว่าเหม็นขี้" ที่โน่นเหม็นขี้ ที่นี่เหม็นขี้ ที่ไหนๆ ก็เหม็นแต่ขี้ ดีแต่บ่น "ทำไมไม่ลองสำรวจย่ามของตัวเองดูบ้าง" .. "
"อุปลมณี"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ท่านพ่อลี สอนว่า .....
"ขณะที่เรานั่งสมาธิอยู่นี้ ก็เท่ากับเรากำลังขับเครื่องบินอยู่ ถ้าสติของเราไม่ดี ใจวอกแวกมีอาการเผลอตัวไปแล้ว เครื่องบินของเราก็อาจไปสู่อันตรายได้
เพราะฉะนั้น จึงต้องให้คอยสังเกตกายของเราดูว่า เวลานี้มันเป็นทุกข์เป็นโทษที่ตรงไหนบ้าง และใจของเรานั้นอยู่กับตัวของเราหรือไม่อยู่ ถ้าใจไม่อยู่กับตัวก็เท่ากับคนขับนั้นไม่อยู่กับเครื่อง
เมื่อดวงจิตของเราไม่อยู่กับตัวเช่นนี้ ก็ย่อมจะกิดโทษคือ นิวรณ์ เรียกว่า เครื่องกังวลใจ นี่ก็เป็นโทษอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายความสงบ
เพราะฉะนั้น เวลานั่งสมาธิต้องคอยอย่าให้เผลอตัว ต้องให้มีสติรู้ตัวไว้เสมอ อย่าให้ใจวอกแวกไปอื่นได้ แล้วเราจึงจะได้รับความสบาย ต่อไปเราก็จะแลเห็นคุณประโยชน์เกิดขึ้นจากความสงบ นี้เรียกว่า ปัญญา"
" ก่อนที่ผมจะปฏิบัตินี้...คิดว่า...
ศาสนาตั้งอยู่ในโลก ทำไม ? บางคนทำ บางคนไม่ทำ ?
ทำแบบนิด ๆ หน่อย ๆแล้วเลิก มันอะไรอย่างนี้
หรือผู้ไม่เลิก ก็ไม่ประพฤติปฏิบัติเต็มที่
นี่มัน ! เป็นเพราะอะไร ก็ไม่รู้นั้นเองละ
ผมจึงต้องตั้งอธิษฐานในใจว่าเอาละ ! ชาตินี้...
เราจะมอบกายอันนี้ ใจอันนี้ ให้มันตายไป ชาติหนึ่ง
จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกประการเลย จะทำให้มันรู้จักในชาตินี้...ถ้าไม่รู้จัก มันก็ลำบากอีก
จะปล่อยวาง มันเสียทุกอย่าง จะพยายามทำ ถึงแม้ว่า...
มันจะทุกข์ มันจะลำบากขนาดไหน ก็จะทำ
ไม่เช่นนั้น ก็จะสงสัยเรื่อยไป คิดอย่างนี้ เลยตั้งใจทำ
ถึงแม้มันจะสุข มันจะทุกข์ จะลำบากขนาดไหน ก็ต้องทำ
ชีวิต...ในชาตินี้ ให้เหมือนวันหนึ่ง กับคืนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งมัน...
จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะตามธรรมะ ให้มันรู้
ทำไม ? มันยุ่ง มันยากนัก วัฏสงสารนี้
อยากรู้ อยากจะเป็นอย่างนั้น คิดปฏิบัติ
ในโลกนี้...นักบวช ทิ้งอะไรไหม ? ถ้าเป็นนักบวชไม่สึกแล้ว
ก็เป็นอันว่า...ทิ้งหมดทุกอย่างเลย ไม่มี อะไรจะไม่ทิ้ง
ที่โลกเขาต้องการ ก็ทิ้งหมดทั้งนั้นแหละ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทิ้งหมด
แต่...ก็กระทบทั้งหมด เช่นกัน
ฉะนั้น...เราเป็นผู้ปฏิบัติ จะเป็นผู้มักน้อย สันโดษ
ถึงการพูดการจา การขบการฉัน
การอะไร จะต้องเป็นคนที่ง่ายที่สุด กินง่าย
นอนง่าย อะไร ๆ ก็ง่าย แบบที่เรียกว่า...
เป็นตาสี ตาสา ธรรมดาแบบง่าย ๆ อย่างนี้
ทำไป...ยิ่งทำ มันก็ยิ่งภูมิใจ มันจะเห็น ใน...จิต
ใน...ใจของเรา
ฉะนั้น...
ธรรมะนี้ จึงเป็นปัจจัตตัง รู้...เฉพาะตัวเรา
ถ้ารู้เฉพาะตัวเราแล้ว ก็ต้อง...ปฏิบัติเอาเอง."
____________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ไม่ต้องหาเหตุ มาปลอบจิต
*** ไม่เออออ ไม่คล้อยตาม ไม่ผลักไส ***
แม้กระทั่ง ไม่คิด ไปยึด ว่าถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว บุญหรือบาป
เพราะล้วนแล้วแต่เป็น คิดนึก ปรุงแต่ง ทั้งสิ้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (ไม่ ๆๆๆๆๆ)
..สิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย..
ไม่มีอะไร..ไม่เป็นอะไร..
ไม่มีความหมายใด..
ไม่มีธรรม..ไม่มีคำสอน..
ไม่มีพระไตรปิฎก..ไม่มีบัญญัติ
ไร้คำพูด..ไร้ความนึก ความคิด..
..เมื่อเธอยังเป็นนั่น เป็นนี่..
ยังต้องมีสิ่งนั้น สิ่งนี้ เพื่อให้เป็นอะไรๆ
..นั่นหลงสร้างตัวตนเข้าไปมี
เข้าไปยึดในมายาที่ตนสร้าง
เรียบร้อยแล้ว..
..ที่มี ที่เป็น ที่รู้มาเรียนมา จำมา
ที่หวนคิดแล้วเชื่อเอา ถือเอา..
"ปล่อยทิ้งไปทั้งหมด"
นั่นหล่ะจะพ้นเกิดพ้นตาย..
"ถึงสิ่งที่มีเหมือนไม่มี"
..เจริญธรรม..
#ขันธ์๕เป็นภาระหนักเน้อ ..
ขันธ์ ๕ ก็รวม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ใครถือไปเป็นทุกข์
ผู้วางภาระ คือ วาง ไม่ยึดถือ ว่าขันธ์ ๕ อันนี้ เป็นตัวเป็นตนแล้ว
ไม่ยึด ไม่ถือ แล้ว ต้องมีความสุข จะนั่ง ยืน เดิน ก็มีความสุข
เมื่อไม่ยึดถือเอาขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระแล้ว
เพราะรู้เท่าตามความจริงของมันแล้ว ไม่ยึดถือเอา
คือ ได้ชื่อว่า ผู้ตัดตัณหาขึ้นได้ทั้งราก เป็นผู้เที่ยงแล้ว
เที่ยงว่าจะได้เข้าสู่ความสุข ตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เที่ยงแล้ว
เมื่อจิตมันรวมแล้ว มันจะรู้ตามความเป็นจริง มันจะว่าง วางนั่นแหละ พอจิตรวมแล้วมันจะว่างค้นหาตัวไม่มี
พอสงบแล้ว ปัญญามันเกิดขึ้นของมันเอง
ครั้นมันสงบลงถึงฐาน ถึงที่มัน ถึงอัปปนาแล้ว มันเกิดขึ้นเองน่ะ
พอนึกเท่านั้น มันปรุงฟุ้งขึ้น .. มันปรุงแล้ว มันไม่ไปยึดแสงสว่าง [ อาการของจิต ]
สว่างหมดทั้งโลกนี้ก็ตาม มันไม่ไปยึด
มันสาวหาคน ใหนคนอยู่ใหน ? มันมาอวดว่าตนว่าตัว .. ไล่เข้าไป
ถ้ามันรวมลงอย่างนั้น ก็อาศัยสติคุมให้มันอยู่ อย่าให้มันไป
จิตรวมลงอย่างนี้แจ่มใสทีเดียว
ไม่ใช่มันง่วงนอน นั่นไม่ใช่นิสัยของสมาธิ
อันนั้นหล่ะมัน มันแจ่มใสอย่างนั้น เรียกว่า สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิอันถูกต้อง
แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ
แม่นจิตนั่นหล่ะเป็นตัวศีลละ จิตนั่นแหละเป็นตัวสมาธิ จิตนั่นแหละเป็นตัวปัญญา อันเดียวนั่นแหละ
มันก็ถึง อธิจิต อธิศีล อธิปัญญาได้ ก็อาศัยสติคุม
พวกศรัทธา ได้ยินได้ฟังแล้วให้พากันตั้งใจทำ มันไม่อยู่ที่อื่นหนา ไม่ได้ไปหาที่อื่นหนา อยู่จำเพาะใครจำเพาะเรานี่หนา ไม่ได้ไปคว้าเอาที่ใหนดอกธรรมน่ะ
ยกขึ้น ก็ปะไปโลด เห็นไปโลด นึกขึ้นก็เห็นไปโลด แล้วคุมสติเอา มันรู้เอง เป็นปัตจัตตัง น่ะ ..
สันทิฐิโก จะเห็นเอง นั่น / อกาลิโก ไม่อ้างกาล อ้างเวลา
จิตเราหายจากราคะแล้ว ก็รู้เฉพาะตน
จิตยังมีราคะก็รู้ มีโทสะก็รู้ หายจากโทสะก็รู้ จิตหดหู่ก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้
รู้แล้ว ก็ได้จัดการแก้ไข รู้ก็ดี จะได้เพิ่มศรัทธา รีบเร่งความเพียรเข้าอีก
เอาหล่ะพากันทำเอา ไม่อ้างฐานอ้างที่ดอก อยู่ใหนก็ได้
เวลาสงบ มันก็มีอยู่นั่นแหละ..
หลวงปู่ขาว อนาลโย
คำถาม : การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้น ทำอย่างไรครับ?
หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ
คำถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับมัน?
หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียว มันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้น หาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็น แล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส
คำถาม : เมื่อถึงโลกุตตระแล้ว มีเมตตา กรุณา อะไรไหมครับ?
หลวงปู่ : ไม่มีหรอกความเมตตากรุณา จิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด
คำถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ?
หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูด เลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว เป็นแต่เพียงคำพูด
"สลัดทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้ และเข้าใจอันนี้แหละคือตัวพุทธะ"
หมดภารกิจ หมดทุกอย่าง ที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีก ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ ไม่มีหญิง ไม่มีชาย ไม่มีคำพูด มีแต่ความว่างเปล่า ว่างเปล่า... และบริสุทธิ์
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
#ทำใจเหมือนเรือให้อยู่เหนือน้ำ
"การบำเพ็ญจิตตภาวนาอย่ามุ่งแต่ให้ใจสงบ อย่าไปพอใจให้ใจสงบอย่างเดียว ถ้าหากว่าพอใจก็ให้พอใจในการกระทำให้มาก กระทำให้มากเท่าไรยิ่งอันนั้นคือความถูกต้อง ถ้าหากว่าไปพอใจแต่ความสงบอย่างเดียว พอใจแต่ความสงบอย่างเดียว เราได้สิ่งที่ไม่ชอบใจเพราะใจของเรานี่จะสงบตลอด ตลอดกาลไปไม่มี
มันเหมือนกับการเดินทางอย่างนี้ จะเดินทางไปไม่ให้มีแดด เดินไปไม่ให้มีฝน นี่เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเจอแดดมั่ง เจอฝนมั่ง เหมือนกับการลงเรือไปในลำน้ำอย่างนี้ จะให้ทะเลมันเรียบอย่างที่เราต้องการ เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมีคลื่นมีลม มีคลื่นมีลมของเขาอย่างนั้น บางทีคลื่นลมก็มาก สูงใหญ่มากๆ บางทีคลื่นลมก็น้อย บางทีทะเลก็เรียบ
นี่ใจของเราทำเหมือนเรือ คลื่นจะเรียบเราก็อยู่เหนือน้ำ คลื่นจะน้อยคลื่นจะใหญ่ เราก็อยู่เหนือคลื่นเหนือน้ำนั้น อย่าหยุดพอใจแต่ความสงบน้ำนิ่ง เวลาน้ำไม่นิ่งนั่นล่ะเราจะโดนคลื่น เราจะต้องโดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงพอใจในการอยู่เหนือน้ำอยู่เสมอ เหนือความสงบ แล้วความไม่สงบมาเราก็อยู่เหนือ ความไม่สงบเกิดขึ้น เราอย่าไปติด เมื่อเราไม่ติดแล้วเราจะไปเดือดร้อนไปเป็นทุกข์เพราะความไม่สงบของใจได้ยังไง
คำว่า สังขารต้องเป็นสังขาร พระพุทธเจ้าท่านไม่กำหนดแต่งสังขาร ไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้รู้สังขาร คำว่าแต่งสังขารก็หมายความว่า ทะเลไม่มีคลื่น.เป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สามารถไปแต่งทะเลให้เรียบได้
เพียงแต่ให้รู้ทะเล ให้รู้สังขารเท่านั้น พอใจในความสงบก็จะเจอในสิ่งที่ไม่พอใจ สงบไม่สงบไม่สน..ทำให้ยิ่งอยู่เสมอ
แล้วไมได้ทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อละทำเพื่อปล่อยวาง ทำเพื่อสลัดทิ้ง ดีก็ไม่เอา จะเอาทำไม เอาแล้วหนักทั้งนั้นเป็นภาระทั้งนั้น.. "
#หลวงปู่แบน_ธนากโร_วัดดอยธรรมเจดีย์
อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร
#ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
[ วิธีฝึกจิตให้มีกำลัง ๒๑ กย. ๔๒ ]
********************************
รักเป็น คือ ไม่ทุกข์เพราะรัก ไม่เบียดเบียนเพราะรัก
รักเป็น เพราะรักตัวเองได้
รักตัวเองได้ เพราะเพียรละสิ่งทั้งหลายในจิตใจที่ไม่น่ารัก (คือ บาปทั้งปวง)
ทำสิ่งที่น่ารักทั้งหลายในตัวเอง (คือ กุศลธรรม) ให้ถึงพร้อม
และค่อยชำระจิตให้ขาวสะอาด
และรักตัวเองได้ เพราะยอมรับว่าความเป็นอิสระจากกิเลส
เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้
เห็นความสำคัญยิ่งของการฝึกความอดทน
ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย บริหารกายวาจาภายในกรอบของศีลธรรมได้
รู้จักพอดีในการบริโภค
เวลาอยู่คนเดียวอยู่ได้ ไม่เหงา มีความสุขได้
ไม่ประมาทในการฝึกหัดจิตใจให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
รักตัวเองได้แล้วก็จะระวังและมีปัญญาในการคบคน
เพราะรักแท้ต้องรักษ์
พระอาจารย์ชยสาโร
" ฉะนั้น การปฏิบัติของท่านทั้งหลายนี้
อย่าเพิ่งถือว่า...
การนั่งหลับตาอย่างเดียว เป็นการปฏิบัติ
เมื่อออกจาก...
นั่ง(สมาธิ)แล้ว ก็ออกจากการปฏิบัติ
อย่า เข้าใจอย่างนั้น
ถ้าเข้าใจอย่างนั้น ก็รีบกลับมาเสีย
ที่เรียกว่า...
การปฏิบัติสม่ำเสมอ คือ เราจะยืน จะเดิน จะนั่ง
จะนอน ให้มีความรู้สึก อยู่...อย่างนั้น
เมื่อเราจะออกจากสมาธิ
ก็อย่าเข้าใจว่า...ออกจากสมาธิ
เพียงแต่...
เปลี่ยนอิริยาบถ(การปฏิบัติ)เท่านั้น."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
สิ่งสำคัญที่สุด ที่มนุษย์จะต้องรู้จัก คือ..
เหนือกว่า บุญ - บาป เหนือกว่า สุข - ทุกข์
“การควบคุมความคิด..ไม่ให้เกิด“ตัวกู ของกู”
แต่เกิด“สติ ปัญญา”แทนขึ้นมา ทุกครั้ง
เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียงฯ...ก็ตาม
มันทำให้เกิดความฉลาด
รู้ว่า..อันนี้ ไปหลงมันไม่ได้..
เมื่อไม่เกิด“ตัวกู ของกู” ไม่หลงมันแล้ว การปฏิบัติหรือ
การกระทำก็กระทำไปในทางที่ไม่หลง ไม่เป็นทาสของกิเลส
การปฏิบัติอย่างนี้ เขาเรียกว่า“อริยมรรค” มันยิ่งไปกว่า บุญ และ บาป คือ เหนือกว่า บุญ หรือ บาป
ฉะนั้น ผลของมันจึงเป็น“นิพพาน”
เป็นไปในทางนิพพานที่ถูกต้อง
คือ เหนือสุข - เหนือทุกข์;
ความสงบที่แท้จริง
ต้องอยู่เหนือสุข - เหนือทุกข์
การที่ต้องเสวยสุขอยู่เสมอ
หรือ การที่ต้องเสวยทุกข์
ก็ลองคิดดูเถอะ
มันไม่ไหวทั้งนั้น ...
มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยล้วนเป็นภาระทั้งนั้น
ไม่ใช่ความพักผ่อน ...
นี้เป็นสำคัญที่สุด ที่มนุษย์จะต้องรู้จัก”และเรียนรู้
"รู้" จริง... คือ รู้แจ้ง
โยม : อยากนิพพานเลยไม่นิพพาน
นิพพานที่ใจเจ้าค่ะ... หนูจำได้เจ้าค่ะ หลวงตาสอนว่า "สังขาร" ก็เป็นสังขารไป ทุกอย่างเหมือนเดิมพ้นทุกข์ที่ใจเจ้าค่ะ
หลวงตาเจ้าคะ "จิต" ไม่ยอมปล่อยวางจิต เพราะว่ามันมีตัวเรา... ยังยึดตัวเราอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ
แค่รู้เท่าทันใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา :
"อาการยึด"... ในปัจจุบันขณะ
"ความรู้สึกเป็นเรา ตัวเรา ของเรา"... ในปัจจุบันขณะ
"ความพยายามปล่อยวาง"... ในปัจจุบันขณะ
"ความพยายามกระทำอะไรเพื่อให้ได้ ให้เป็นอะไร"... ในปัจจุบันขณะ
"ความพยายามที่จะไม่ทำอะไร"... ในปัจจุบันขณะ
ทั้งหมดนี้ ล้วนยึดจิต หรือ ยึดขันธ์ห้าเป็นตัวเรา ของเรา
♡ต้องรู้เห็นด้วยใจในปัจจุบันขณะว่า มีแต่สังขารเกิดเอง ดับเอง โดยไม่มีเรา หรือ ตัวเราไปมองดู หรือ ไปพยายามทำอะไร หรือ พยายามไม่ทำอะไรกับสังขารในปัจจุบันขณะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โยม : กราบขอโอกาสนมัสการองค์หลวงตาครับผม
"ผู้รู้ตัวจริง" กับ "ผู้รู้ตัวปลอม" ที่หลวงตาพูดบ่อย ๆ ผู้รู้ตัวปลอม คือรู้ติดไปกับสังขาร หรือ อารมณ์ปรุงแต่งของจิตแต่ว่าไม่ดับทุกข์ เกิดก็รู้... แต่ไม่ดับ
ถึงไม่ดับ... ผู้รู้ก็รู้ติดกับทุกข์ ในที่สุดทุกข์หายไปเองหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ อันนี้เรียกว่าผู้รู้ตัวปลอมใช่ไหมครับผม
ส่วนผู้รู้ตัวจริง คือเวลาสภาวะต่าง ๆ เกิดขึ้นสติระลึกได้เอง สภาวะนั้นดับไป มีจิตผู้รู้... ผู้ตื่น... เกิดขึ้น
"ผู้รู้ตัวจริง" คืออันนี้ใช่ไหมครับองค์หลวงตา กราบขอโอกาสองค์หลวงตาสั่งสอนกระผมด้วยครับผม
หลวงตา : ผู้รู้ตัวปลอม คือ "วิญญาณขันธ์" ที่ทำหน้าที่ร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา... สัญญา... สังขาร... ทุกขณะจิตปัจจุบัน
ได้ชื่อว่าเป็น "ผู้รู้ตัวปลอม" เพราะเป็นสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) เกิดดับ เป็นอนิจจัง... ทุกขัง... อนัตตา
สังขารทุกปัจจุบันขณะ ย่อมเกิดดับในธรรมชาติไม่เกิดดับ (วิสังขาร)
ส่วน "รู้" จริง คือ ความรู้แจ้งถึงใจในธรรมชาติของสังขาร และวิสังขารทุกปัจจุบันขณะ โดยไม่มีผู้หลงยึดมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย