พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 284 **บ่วงของความทุกข์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม เรื่องของบุคคลผู้มีปัญญาธรรม ..ที่เขานั้นรู้แจ้ง
มองเห็นเชือกที่ร้อยรัดจิตทั้งหลาย ให้จมอยู่ในวัฏสงสารนี้ ให้เป็นทุกข์อยู่
ว่า.. มันมีเชือกอะไรบ้างน่ะเจ้าค่ะ ?
ลูกทั้งหลาย.. จะได้นำไปประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกฝน อบรมจิตแห่งตนให้รู้ตาม เพื่อพ้นทุกข์บ้าง..
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาลูกทั้งหลาย..ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจะประพฤติ ปฏิบัติตน เช่นนี้..
ปฏิบัติให้เข้าใจ เข้าถึง พระธรรมคำสอนสั่ง เป็นลำดับๆไป
และเขา ก็จะเห็นตามความเป็นจริง ตามลำดับๆไป
ว่า.. ทุกข์ทั้งหลาย
/ เกิดขึ้นแล้ว ในตัวของเขา
/ มีอยู่ ในตัวของเขา
เขาจะค่อยๆมองเห็นความทุกข์ ที่อยู่ในตัวของเขา / ในชีวิตของเขา
.. แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าหากว่าลูกนั้น จะพิจารณาให้รู้ ให้เห็นตาม..
ลูกจึงควรประพฤติ ปฏิบัติ ที่ตัวของลูก ให้เห็นเหตุของทุกข์เสียก่อน **
ลูกเอ๋ย.. แล้วลูกนั้น ได้เห็นทุกข์อะไรแล้วบ้างเล่า.. ในการอยู่ในโลกนั้น ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา ให้โอกาสลูกได้แสดงในสิ่งที่ลูกนั้น
พอจะเข้าใจในบ่วงแห่งความทุกข์ เชือกที่ร้อยรัดจิตทั้งหลาย -ให้จมอยู่ในทุกข์
ตามความคิด หรือว่าความรู้ของลูกนั้น
ตั้งแต่ที่ลูกเกิดมาอยู่บนโลกมนุษย์นี้ กับมนุษย์ทั้งหลาย
มาคลุกคลีอยู่กับเขานั้น.. ลูกมีความรู้สึกว่า.. เชือกที่จะทำให้คนเรานั้น ถูกร้อยรัด ดึงเอาไว้ในวัฏสงสารนี้ มันมี..
เชือกแห่ง *ความลุ่มหลง*
- หลงในตน
- หลงในผู้อื่น
- หลงในสิ่งของ ข้าวของ
.. แล้วก็ยึดมั่น ถือมั่นว่า.. “เป็นของตน”
เชือกแห่ง *ความรัก*
- รักในตน
- รักในผู้อื่น
- รักในบุคคล และสัตว์ทั้งหลาย
- รักสิ่งนั้นสิ่งนี้.. รักไปหมด น่ะเจ้าค่ะ
.. เป็นความรักที่รักแบบเมตตา รักแบบสงสาร
.. หรือว่ารัก แบบรักใคร่ / ปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง
-- หากเรามีความรักเหล่านี้ โดยไม่มีอุเบกขา.. เราก็ยังทุกข์อยู่ดี น่ะเจ้าค่ะ ++
และต่อไป..ก็เห็นได้อีกว่า.. เชือกที่ทำให้ร้อยรัดเราเอาไว้ ก็คือ *ความโลภ*
- โลภ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้
- อยากให้คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
ในความนึกคิดของเรา มันโลภไปในความรู้สึกที่ดีบ้าง..
ต่างๆเหล่านี้ น่ะเจ้าค่ะ..
- มันเป็น ความทุกข์
- มันเป็นเชือก ที่ผูกมัดเราเอาไว้
*ความโลภ* จะสั่งให้เราสร้างกรรมที่ไม่ดี ที่ผิดพลาดไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ++
*ความโกรธ* ก็เช่นเดียวกันเจ้าค่ะ
.. ความโกรธ ก็จะเป็นเชือกอีกเส้นหนึ่ง ที่ร้อยรัดเรา และก็ร้อยคนอื่นเอาไว้ให้อยู่ในบ่วงกรรม
ที่ทำด้วยความโกรธ
... มันก็เลยเป็นเชือก ที่ผูกมัดเราทั้งหลายเอาไว้ ..
รวมถึง ยังมีเชือกที่มันเป็น *กรรม* ของตน ที่ตนได้ก่อได้เกิดมา
เพราะเหตุของกรรมนั้น ส่งผลมา..
-- ทุกคน..ยังมีกรรมเป็นของของตน ที่จะต้องชดใช้อีกเจ้าค่ะ ++
รวมถึงกรรมที่ก่อมาเป็นเรานั้น.. มันก็มีตัวตนของเราขึ้นมา
.. แล้วก็มีภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเราขึ้นมา.. เยอะแยะมากมาย
- ไม่ว่า จะเป็นบุคคล ที่เกี่ยวข้องด้วยกับเรา
- ไม่ว่า จะเป็นหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับเรา
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันผูกมันรัดเราเอาไว้ ให้เป็นทุกข์ ให้จมอยู่ ให้ลุ่มหลงอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เป็นเชือกที่ร้อยรัดจิตทั้งหลาย.. ให้ตกอยู่ในทะเลทุกข์ ให้จมอยู่ในนี้
ยังมีเชือก ที่มัดให้เราจมอยู่ในนี้อีก ก็คือ การเจ็บ การป่วย การแก่ และการตายไป..
การพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้.. ก็ยังเป็นเชือกแห่งความทุกข์ที่ผูกมัด
ทำให้เรานั้น - ต้องเป็นทุกข์ !
และก็แบกรับอะไรเอาไว้มากมายเลยละเจ้าค่ะ
... ลูกพอจะพิจารณาได้ เช่นนี้เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม
อย่างน้อยก็เห็นทุกข์บ้างในการปฏิบัติ บำเพ็ญ
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม รู้แจ้งดีแล้วนั้น.. ก็เพราะอย่างนี้ละลูก
เขาประพฤติ ปฏิบัติ.. จนเห็นความไม่ดี
เห็นเหตุของทุกข์ ที่มันผูก มันรัดตนเอาไว้ในวัฏสงสารนี้
เห็นตามลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน - ในการประพฤติ ปฏิบัติธรรม
ฉะนั้น.. ถ้าหากว่าลูกทั้งหลาย.. ปรารถนาที่จะ รู้ทุกข์
ลูกนั้น.. ก็ต้องเริ่มที่จะหันมาพิจารณา ดูตามความเป็นจริง
ความจริงแล้ว.. ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ มันไม่มีอยู่จริง !
ไม่ว่าจะเป็น..
ตัวเรา / ตัวเขา
สิ่งของ ข้าวของ
ชื่อเสียง ลาภ ยศ ต่างๆ
...ล้วนแล้วแต่เป็นของ ไม่มีอยู่จริง !
-- ทุกสิ่งทุกอย่าง.. เกิดขึ้นตามเหตุ - ดับไปตามเหตุ ++
*ความไม่เที่ยงแท้* - มันมีซ่อนมีซ้อนอยู่ ในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
รวมถึงตัวของพวกลูกๆทั้งหลายเอง.. ก็ด้วย
จงพิจารณาให้เห็นสิ่งเหล่านี้เถิด ว่า..
การเกิด และการดับ - เป็นของคู่กัน
เมื่อเกิดแล้ว.. เดี๋ยวก็ดับ
.. สิ่งใดเล่า มันจะมีอยู่จริง !
ลูกเอ๋ย.. ฉะนั้น ความลุ่มหลงเท่านั้น.. ที่ทำให้เราหลงไป เพลิดเพลินไป
คิดไป..ว่ามันมีอยู่จริง
... เลยทำให้เรา เป็นทุกข์ **
ความลุ่มหลงเท่านั้น.. ที่พาให้เราหลงไป..
- ในสิ่งของ ข้าวของต่างๆ
- ในตัวของบุคคลต่างๆ
หลงยึดในสิ่งสมมุติทั้งหลาย.. แล้วก็เลยรักสิ่งนั้นสิ่งนี้ ..
ไปรักในสิ่งที่มัน ไม่มีอยู่จริง !
* ทุกสิ่งทุกอย่าง - มันไม่มี *
มันแค่ “สมมุติมี” ขึ้นมาเท่านั้น !
*ความรัก* นำพาให้ลูกนั้น หลงลึกเข้าไปอีก
หลงในสิ่งของข้าวของ
หลงในลาภยศ ชื่อเสียงต่างๆ
.. ก็เลยก่อเกิดความหลงโลภ
.. ก็เลยมีโลภ ก่อเกิดขึ้นมาอีก
*ความโลภ* - นำพาให้ก่อเกิด *ความโกรธ*
ทีนี้ ก็มีหลงโกรธขึ้นมาอีก..
แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. มันก็ไม่มีอยู่จริง ++
มันก็เป็นเพียงความลุ่มหลง หลงไปกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ ++
ไม่มีเพราะว่า อะไร ?
... เพราะว่า เขาสมมุติมีขึ้นมาเฉยๆ
เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และก็จะดับไป ในทุกสิ่งบนโลกสมมุตินี้ ++
ไม่ว่าจะสมมุติขึ้นมา ดีเลิศเลอเพียงใด...
ท้ายที่สุด.. สมมุติก็ดับไป !
ไม่ว่าจะสมมุติขึ้นมา.. ทุกข์ยากลำบากเพียงใด
ท้ายที่สุด.. ทุกอย่างก็ดับไป !
จงมองให้เห็นความเป็นจริง ของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้..
แล้วถอดถอนความหลงออกเสีย ++
เมื่อถอดถอนความหลงออกได้แล้ว.. ลูกทั้งหลาย ก็จะอยู่อย่างผู้มีสติ มีปัญญา
รู้เท่าทัน สิ่งที่มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป.. เหล่านั้น
เมื่อรู้เท่าทัน.. ก็จะอยู่อย่างผู้ไม่หลง
เมื่อไม่หลง.. ก็ไม่รัก ไม่โลภ และไม่โกรธ
เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้.. ลูกก็จะสักแต่ว่าดำรงชีวิตไป - อย่างไม่ทุกข์ ++
ไม่ทุกข์.. เพราะไม่หลงในกายแห่งตน
กายมันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ก็ไม่สนใจ..
ไม่ทุกข์กับมัน
เมื่อแม้แต่กายแห่งตน ก็ยังเห็นว่าเป็นธรรมดา เช่นนั้น
** กายของบุคคลผู้อื่น.. เราก็จะเห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้น เหมือนกัน ++
เราก็จะเห็นเพียงแค่ว่า.. ทุกคน เกิดขึ้น- ตั้งอยู่- ดับไป
กายทั้งหลาย เกิดขึ้นจากกรรมวิบาก และเป็นไปตามกรรมวิบากแต่ละคน
เมื่อถึงเวลา ทุกอย่าง..ก็ต้องสลายไป
**ไม่มีใคร ที่จะไปหยุดยั้งอะไรไม่ให้มันดับไปได้เลย…แม้แต่ตัวของเราเอง **
ความลุ่มหลงในบุคคลผู้อื่น - ก็ไม่มี
เมื่อเราไม่มี.. เขาไม่มี
-- ความรักใคร่ ความยึดมั่นถือมั่น ว่าเขาเป็นคนนั้น คนนี้ คนโน้น
.. ที่ใกล้ชิด ผูกพันกับเรา.. ก็จะไม่มี ++
ความยึดมั่นถือมั่นต่างๆทั้งหลาย.. ก็จางหายไป
ความทุกข์นั้น.. ก็ไม่มี
มันก็จะสักแต่ว่าอยู่ด้วยกัน อย่างมีสติ มีปัญญา
แค่ระลึกรู้ว่า ควรจะประพฤติตนเช่นไร ทำเช่นไร ?
เพื่อไม่ให้ตนนั้น.. ติดหนี้กรรมอีก
/ ตนก็จะสร้างแต่ความดี
/ ตนก็จะทำแต่สิ่งที่ พอจะมาตอบแทนพระคุณ -ของผู้มีคุณ
/ ตนก็จะทำหน้าที่แห่งตน ให้ครบความดีทั้งหมด ..โดยไม่ขาดตกบกพร่อง
... เพราะไม่มีความลุ่มหลง ความโลภ ความโกรธ ไปเจือปนกับมัน..
ตนก็จะสามารถดำรงชีวิตนั้น.. อย่างรู้ตื่น
ตนจะสามารถเป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้ง
มองเห็นเชือกที่มัดรัดตนเอาไว้.. ให้ทุกข์ ให้เร่าร้อน ให้ทรมาน ขนาดนี้..
คือ..
เชือกแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
เชือกแห่งความอยาก และความไม่อยาก
เชือกแห่งกายนี้.. ที่เกิด แก่ เจ็บ และตาย
เชือกแห่งหน้าที่ ของกายทั้งหลาย.. ที่จะต้องเป็น ต้องทำ
เชือกที่รัดตนเอาไว้ ให้มีความเกี่ยวพันกับ ผู้คนมากมาย
เชือกอันเป็นบุพกรรมของตน ที่ต้องดิ้นรนตามกรรมนั้น..
จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ -โดยชัดเจน
และรู้ว่า มันคือ “เหตุของทุกข์”
แล้วก็สามารถ “ถอดถอนตน” ด้วยเหตุเหล่านี้ จนได้ ด้วยความมีสติ มีปัญญา
รู้แค่ว่า.. สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้
เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป
สิ่งที่มันเกิด ก็สมมุติเกิด - และก็จะดับไป
เห็นแต่ความว่างเปล่า.. อยู่ในสิ่งทั้งหลาย
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาก็จะพิจารณาในตัวในตนของเขา
จนรู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริง เช่นนี้ละลูก
ว่า..ทุกอย่างว่างเปล่า ทุกอย่างไม่มีอยู่จริง ++
เมื่อเขาพิจารณาเช่นนี้.. เขาจึงจะเจอกับเชือก ที่มัดรัดเขาเอาไว้ในวัฏสงสารนี้ อีกหลายเส้น
และเขาก็จะแกะเชือกเหล่านั้น ออกจากตัวของเขา
เขาจะดำรงชีวิตไปอย่าง มีสติ มีปัญญา / อย่างผู้รู้แจ้ง รู้ตื่น
เขาจะแก้เชือกทุกเส้นที่ผูกกับเขา อย่างมีสติ มีปัญญา
โดยไม่ให้มัน กลับมารัดเขาได้อีก !
-- เขาจึงเป็นผู้ที่มีปัญญาธรรม และพ้นจากความทุกข์กันได้ --
ลูกเอ๋ย.. ก็ลองพิจารณาเช่นนี้ดู ก็แล้วกัน
ลูกทั้งหลาย.. ก็จะเป็นผู้มีปัญญาธรรมได้ ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงให้ลูก ได้รู้ว่า
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมนั้น.. เขามองเห็น รู้แจ้ง เชือกที่ร้อยรัดจิตทั้งหลาย
ว่ามันเป็นแบบไหน ยังไง มันทุกข์ยังไง ?
และเขาพิจารณายังไง ? เขาถึงมองเห็นสิ่งเหล่านี้
... ลูกพอจะเข้าใจแล้วละเจ้าค่ะ..
บุคคลที่เริ่มปฏิบัติ เริ่มฝึกฝนพิจารณาหาเหตุแห่งทุกข์ - ในการมีเรา
.. ก็จะสามารถหาเจอเหตุของทุกข์ต่างๆทั้งหลาย ..
เมื่อเจอเหตุทั้งหลาย และรู้เหตุทั้งหลายแล้ว.. ก็จะสามารถแกะเชือกที่ร้อยรัดตนเอาไว้
ให้หลุดออกจากวัฏสงสารนี้ อย่างมีสติ มีปัญญา
แล้วตนก็จะไม่ผูกเชือกนั้นอีก ..
-- ก็จะสามารถไปสู่ *พระนิพพาน*ได้ ++
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม ให้ลูกได้ฟังในวันนี้.. เจ้าค่ะ
สาธุ