พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 10 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 227 **รู้ในตัวตน**
+ +
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอมาเฝ้าฟังธรรม เรื่องของปัญญา ตอนที่ 2* หน่ะเจ้าค่ะ
บุคคลผู้มีปัญญาทางธรรม จะต้องมีลักษณะแบบไหน มีปัญญายังไงล่ะเจ้าคะ ? จึงจะเรียกว่า เป็นผู้มีปัญญาธรรม หน่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย..
บุคคลผู้ประพฤติ ปฏิบัติ รักษาศีล ทำสมาธิ
บุคคลผู้ฝึกฝนตน จนดีแล้ว..
.. ย่อมมีปัญญาก่อเกิดขึ้น รู้แจ้งในบุคคลผู้นั้น
ในดวงจิตดวงนั้น ย่อมมีแสงสว่างในตัวของตน ส่องให้ตนนั้นรู้แจ้ง เข้าใจ ตามความเป็นจริงของชีวิต
และชีวิตนั้น ก็หมายถึง ตัวของเรานั่นแหละ - จะเป็นที่ตั้งแห่งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก
เมื่อเราเข้าใจตนเอง.. เราก็จะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว เขาก็จะแตกฉาน..
รู้จักตัวตนของตน
รู้ว่าตนเกิดเพราะอะไร ทำไมต้องเกิด
- เมื่อรู้การเกิดของตนแล้ว.. ก็จะเข้าใจคำว่าชีวิตของตน -
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมระลึกได้เช่นนี้ว่า
องค์พระพุทธเจ้า ได้สอนไว้ว่า..
*การเกิดนั้นเป็นเหตุของทุกข์ และกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรา*
*การเกิดทุกคราว เป็นทุกข์ร่ำไป*
องค์พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่า ให้เราค้นหาการมา การมีของตัวเราเอง ว่า..
แท้ที่จริงนั้น เราเป็นใคร ?
กายไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกต่างๆทั้งหลาย ทั้งสุขและทุกข์ อยากได้ อยากมี อยากเป็น
จิตที่ปรุงแต่งต่างๆทั้งหลาย.. ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี.. ก็ไม่ใช่ตัว ใช่ตน
แล้วเรานั้น.. เป็นใครกันเล่า ?
-- ย่อมต้องมีปัญญารู้ตามว่า.. องค์พระพุทธเจ้าสอนอะไร ?
เมื่อรู้ตามแล้ว.. กลับมาทบทวนดู ที่กายของเรานี้
- กายนี้ เกิดขึ้นมาจากไหนหนอ ?
- เหตุใด จึงเกิดหนอ ?
- เพราะอะไรเล่า จึงมีการเกิดอยู่ร่ำไป ?
ร่างกายนี้ ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
มันเจริญเติบโต และเป็นไปตามธรรมชาติของคำว่า “มนุษย์”
แล้วเหตุใดมนุษย์เหมือนกัน แต่จึง..
มีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกัน
เกิดในที่ๆแตกต่างกัน
มีฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
เหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนั้น ?
กายของเรานี้ มีเทวดาสร้างมา สวรรค์ให้มา..
แล้วทำไมถึงไม่เหมือนกัน
ทำไมถึงมีความแตกต่างกัน !
ถ้าอย่างนั้น เทวดา หรือสวรรค์ ก็คงไม่ยุติธรรมสินะ
ไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่าจะใช่อย่างนั้น
เพราะจะเอาอะไร มาเป็นตัววัดเล่า !
และองค์พระพุทธเจ้าก็ได้สอนเอาไว้ ถึงเรื่องของ * กฎแห่งกรรม * ด้วย
พระองค์ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า
* ทุกคน เป็นไปตามกรรมของตน *
ฉะนั้น..กายนี้ ตัวของเรานี้ น่าจะเป็นไปตามกรรมแห่งตนสินะ
* เราทำกรรมรูปแบบไหนเอาไว้ เราก็มาเกิด ตามรูปแบบของกรรมที่เราทำนั้น *
ดวงจิตที่รักษาความเป็นมนุษย์ เป็นคนดีอยู่ในกรอบ มีความเป็นคนอยู่ในใจ
รู้จักทำความดีไว้ ถึงเวลา ก็ได้กลับมาเป็นคน
ถ้าใครที่ไม่รักษาความเป็นคน
เป็นคน แต่ชอบประพฤติในสิ่งที่ไม่ใช่คนเขาทำกัน
ก็คงต้องเกิดไปเป็น เปรต เป็นสัตว์นรก อสุรกาย
หรือว่า คงต้องเกิดไปอยู่ในกายของสัตว์เดรัจฉานสินะ
ก็เราทุกคน ทำกรรมมาแตกต่างกัน เราก็เลยเกิดตามกรรมแห่งตน
และยังมีกรรมอยู่ กรรมก็เลยส่งผลให้เราเกิดอยู่ร่ำไป
นี่น่าจะเป็นเหตุผล เหตุผลที่แท้จริง ตามองค์พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้
ก็ในเมื่อทุกคน เป็นไปตามกรรมของตน
กายนี้ที่ก่อเกิดขึ้นมา..ก็คงเป็นผลของกรรม
กรรมที่เราเคยทำเอาไว้ ทั้งดี และไม่ดี
…ก็เลยมีทั้งเรื่องที่ดี / เรื่องที่ไม่ดี เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับกายนี้..
กายนี้ เป็นผลของกรรม
กรรม เป็นเหตุที่ทำให้เกิดกายนี้
รู้แล้วสินะคราวนี้ ว่า..
ทำไมกาย จึงไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
แท้ที่จริง.. เขาก็เติบโต จนงอกงาม
เป็นไปตามผลของกรรม หรือการกระทำของเรานั่นเอง !
เข้าใจคำว่า “กาย” เราแล้ว รู้จักเราแล้ว
ทีนี้ ก็ไปแสวงหาดูอีกว่า..
แล้วใครหนอ ใครกันเล่า ทำให้มันมีกรรมขึ้นมา
เมื่อมีกรรม เลยมีเรา
แล้วใครล่ะ ทำให้มีกรรม ?
ทีนี้ ก็ไปดู มองให้ลึก ลึกเข้าไปสู่ข้างในจิตใจของเรา
ใครหนอ..สั่งให้เราทำดี-ทำชั่ว คิดดี-คิดชั่ว ใครหนอ..อยู่ในนี้
เจาะลึกเข้าไป ผู้มีปัญญา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า
ความหลงหนอ หลงในตัวในตนของตน จึงหลงในสิ่งของต่างๆทั้งหลาย บุคคลทั้งหลาย ว่า..เป็นของตน
เมื่อมีความหลงในตัวของเรา เราก็สร้างกรรม แบบความลุ่มหลง ก็
หลงยึด หลงว่า มีคนนั้น คนนี้ เป็นของเรา
หลงว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องเป็นของเรา
หลงแล้ว ก็ดิ้นรนขวนขวายให้ได้มา
จึงหน้ามืดตามัว สร้างกรรมตามความหลงนั้น
กรรมแห่งความหลง จึงส่งผลให้ก่อเกิด“ตัวของเรา” ขึ้นมา
แท้ที่จริงแล้ว เมื่อมีความหลงแล้ว ก็มีความรัก รักอยากได้ อยากครอบครอง
แล้วก็มีความโลภ โลภในสิ่งของข้าวของ
มีความโกรธ เมื่อไม่ได้มาตามที่คิดไว้ เมื่อไม่ถูกใจตน ที่ยึดว่าเป็นตน
โกรธเมื่อเรานั้น ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา
แท้ที่จริง เชื้อ 4 ตัวนี้เอง ที่สั่งให้เราทำกรรม
หลง ก็ทำกรรมแบบ หลง
รัก ก็ทำกรรมแบบ รัก
โลภ ก็สร้างกรรมแบบ โลภ
โกรธ ก็สร้างกรรมแบบ ความโกรธ
*ความ รัก โลภ โกรธ หลง* เหล่านี้.. ก็เลยทำให้เราทำกรรม
กรรมก็เลยมาเป็นของเรา
ฉะนั้น..
ความอยาก ก็ไม่ใช่ของเรา ความไม่อยาก ก็ไม่ใช่ของเรา
ตัวตนนี้ - ก็ไม่ใช่ของเรา
ตัวของบุคคลผู้อื่น - ก็ไม่ใช่ของเรา
สิ่งของข้าวของทั้งหลายทั้งหมด - ก็ไม่ใช่ของเรา
ความโลภ ความโกรธ - ก็ไม่ใช่ของเรา
มันล้วนแล้วแต่เป็นของมีคู่อยู่กับโลกสมมุตินี้
ล้วนแล้วแต่เป็นของกิเลสตัณหา - เป็นเชื้อของมันที่มีอยู่คู่กับโลก
ไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆด้วยสินะ !
เพราะหลง รัก โลภ โกรธ ไม่ใช่ตัว ใช่ตนของเรา
* แต่ว่ามันเป็นเชื้อ ที่ถ้าเราติดมันเมื่อไร เราก็จะถูกมันสั่งให้สร้างกรรม *
เมื่อเราสร้างกรรมแบบไหน เราก็จะต้องเป็นไปตามกรรมของตน
เข้าใจแล้ว ที่องค์พระพุทธเจ้าบอก
* ความสุข ความทุกข์ไม่ใช่ตัวใช่ตน
* กรรมดี หรือกรรมชั่ว ก็ไม่ใช่ของตน ไม่ใช่ตัว ใช่ตน
แท้ที่จริง ก็เป็นของกิเลส ของตัณหาทั้งนั้นเลย
เอาละ เข้าใจละ รู้จักตัวเรา รู้จักเหตุที่ก่อเกิดตัวเรา
เอ.. แล้วทีนี้ ใครหนอที่เป็นเหตุของการ ไปโดนกิเลสของตัณหาครอบงำ
นั่นก็คงจะเป็น จิตของเราสินะ !
องค์พระพุทธเจ้าบอกว่า.. จิตเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่โดนกิเลสตัณหาครอบงำ
ก็เลยเป็นไปตามกรรมที่กิเลสตัณหา สั่งให้ทำ
ต้องตกเป็นทาสของเขา เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ
ถ้าอย่างนั้น.. ตัวเรา - เราก็คงเป็นดวงจิตสินะ
เจาะลึกเข้าไปให้เห็นตัวจริงของเรา
จริงด้วยสินะ จิตของเรา มันเปรียบเหมือนเมล็ดพืช
กิเลสและตัณหา เปรียบเหมือนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์
เมื่อเราโยนเมล็ดพืชลงไปบนพื้นแห่งกิเลสตัณหาเมื่อไหร่
ก็ย่อมก่อเกิดเป็นผลของกรรม ที่ส่งผลให้เป็นเรานี่ แน่นอนเลย
และกรรมเกิด ก็จะมีอยู่ร่ำไป ตราบใดที่เราเอาจิตมาคลุก มาหว่านอยู่กับพื้นของกิเลสตัณหา
การเกิดทุกคราว ย่อมมีอยู่ร่ำไป
เพราะสิ่งนี้สินะ เราจึงต้องเกิดแล้ว เกิดเล่า เกิดแล้วเกิดอีก
และการเกิดทุกคราวนั้น ก็จะต้องเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะต้องดิ้นรนขวนขวาย
ต้องกิน ต้องมี ต้องใช้
ยึดตัวยึดตน ดิ้นรนกันไป
เป็นอยู่อย่างนี้
*การเกิด - ย่อมมีการแก่ การเจ็บ และการตาย การพลัดพรากจาก ก็ย่อมต้องมี ..ไม่มีใครหนีพ้นได้*
องค์พระพุทธเจ้าสอนไว้เช่นนี้ รู้แล้วซินะ เพราะเหตุนี้นี่เอง..
*เราจึงต้องเกิด - เกิดแล้วก็ต้องทุกข์ *
ทีนี้เราจะทำยังไงน้า.. ให้จิตของเรา ไม่ต้องมาคลุกอยู่กับกิเลสตัณหา
ทีนี้เราก็ฝึก ฝึกการสลายความเป็นจิต ด้วยการดับอัตตาตัวตน
ถ้ายังมีอยู่ เราก็ยังมีที่ตั้งแห่งจิตอยู่
ย่อมแน่นอนละว่า การมีอยู่นั้น จะดึงความหลงในตัวในตนเข้ามาแน่นอน
- ถ้าหลง ก็รัก
- ถ้ารัก ก็โลภ
- ถ้าโลภ ก็คงต้องโกรธ
ฉะนั้น.. เราจะไม่ยึดตัวยึดตน
จิตของเรา มีก็เหมือนไม่มี /ไม่มี ก็ทำเหมือนสมมุติมีเฉยๆ
* มีกับไม่มี.. ก็มีค่าเสมอเหมือนกัน *
ไม่ยึด และก็ไม่คิดว่ามันต้องไม่มี หรือต้องมี
ไม่ยึดในตัวในตน
ปล่อยให้มันว่างไปเลย..
มีก็ได้ ไม่มีก็ได้
ไม่มีความยึด ในจิตนี้
ทีนี้ เราก็ดับตัวตนของเรา ได้แล้วสินะ
ก็เมื่อจิตไม่มี ตัวตนไม่มี ความหลงก็ไม่มี ความโลภก็ไม่มี ความโกรธ ความรักก็ไม่มี
กรรมก็ไม่มี กรรมก็ไม่มี
แล้วเหตุเกิด ก็ต้องดับได้.. เพราะว่าเราสลายทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
แท้ที่จริง ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง.. ที่ทำให้เราต้องเกิดทุกคราว เกิดอยู่ร่ำไป
เข้าใจแล้ว รู้จักตัวของเราแล้ว และก็รู้จักตัวของบุคคลผู้อื่นแล้วด้วย
ความหลงไม่มี ความรัก ความโลภ ความโกรธ ก็ไม่มี
ความอยาก/ ความไม่อยาก ความยึดติด การเบียดเบียน ก็ย่อมไม่มี
การเกิดไม่มีอีกต่อไปแล้ว ในตัวของเรา
เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมย่อมแสวงหาทางเจอ เจอว่า
- เรานั้นเป็นใคร / ใครนั้นเป็นเรา
- เพราะอะไรเราจึงต้องเกิด
เมื่อรู้เหตุเกิด.. ก็ย่อมถอดถอนความเป็นตัวตนได้ เพราะเราเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว
ดวงจิตดวงนั้นย่อมรู้แจ้งสว่างไสว และไม่กลับมาเกิดอีก
อย่างนี้หละ พระยาธรรม.. เป็นแบบอย่างที่ผู้มีปัญญาธรรม เขาจะรู้และเข้าใจตาม
การออกบวช ถ้าบวชแล้วมีปัญญา รู้แจ้งเช่นนี้.. ย่อมพ้นทุกข์ลูก
และถ้าบวชแล้ว - บวชอย่างจริงจัง รักษาศีลตามที่ตนสมาทาน ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา
.. ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
.. ย่อมเข้าถึงความพ้นทุกข์
อย่างนี้หละ เรียกว่า *ปัญญาธรรม*
*ปัญญาธรรม* เกิดขึ้นในบุคคลผู้ใดแล้ว
ย่อมสว่างไสวทำให้รู้แจ้ง เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม เรื่องปัญญา ตอนที่ 2 ให้ฟัง
ให้ได้เข้าใจว่า
เกิดเพราะอะไร ทำไมต้องเกิด
เข้าใจตัว เข้าใจตน
เข้าใจทุกอย่างแล้ว เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า เจ้าค่ะ
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 12 มีนาคม 2561
ตอนที่ 296 **ชนะกิเลสมาร**
+ +
ในเช้าของวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงบุคคลผู้มีปัญญาธรรม ที่เขานั้นสามารถเอาชนะกิเลสมาร
“มารความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ “
จะเอาชนะแบบไหน ยังไงน่ะเจ้าค่ะ ?
เพราะว่า มารตัวนี้ คือ มารที่กีดขวางไม่ให้ผู้คนเข้าถึงการบรรลุธรรม หรือบรรลุผลที่ดีงาม..
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. เขามีวิธีอะไรที่เอาชนะกิเลสมารตัวนี้ ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละพระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี
เพราะมารตัวนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้จิตทั้งหลาย.. ถูกครอบงำ
- เป็นมาร ตัวที่คุมให้จิตทั้งหลาย เวียนว่าย เวียนวน
- เป็นมาร ที่สั่งให้จิตทั้งหลาย สร้างกรรม
พระยาธรรมเอ๋ย.. *กิเลสมาร* คือ “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ” นั้น
เป็นพญามาร ผู้ที่มีอำนาจต่อดวงจิตทั้งหลาย.. เพราะว่า คุมจิตทั้งหลาย
/ ให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง
/ ให้หลงยึด หลงนึกว่าตัวว่าตน ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตน
-- ก็เลยมีเหตุให้สร้างกรรมอื่นๆ ทำสิ่งอื่นๆ ที่มันเป็นผลของกรรมไม่ดี
ที่ทำไปแล้ว.. จะส่งผลให้ผู้ที่ทำนั้น ต้องตามชดใช้ในภายหลัง ++
มารตัวนี้ คือ มารที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง
ทำให้บุคคลผู้ที่ทำความดี ลุ่มหลงในสิ่งที่ทำ
ทำให้จิตทั้งหลาย.. หลงวนอยู่ในวัฏสงสารนี้
... แล้วยึดเอาสิ่งสมมุติในโลกนี้ - เป็นตน เป็นของของตน..
พระยาธรรมเอ๋ย.. พญามารตัวนี้ ที่ครอบงำจิตทั้งหลายได้อยู่..
เหตุก็เพราะว่า.. จิตทั้งหลายนั้น ไม่รู้ตามความเป็นจริง **
เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง.. ก็เลยถูกมันหลอกเอา ใช้ให้เป็นทาสของมัน.. วนอยู่ในนี้
และมีจิตมากมายเลยทีเดียว พระยาธรรม.. ที่ถูกมารตัวนี้ครอบงำ !
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น เขารู้ความจริงข้อนี้
รู้ว่า การที่จิตของเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่..
-- นั่นแสดงถึงการที่เรา ยังตกเป็นทาสของความไม่รู้ตามความเป็นจริง --
เมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริงของคำว่าเรา - ย่อมต้องเกิดความหลง ++
- เมื่อมีความหลงแล้ว.. ความรัก ความโลภ หรือความโกรธ ก็ย่อมต้องมี -
เพราะเชื้อเหล่านี้.. มันส่งผลให้ก่อให้เกิด
.. ตัวหนึ่ง ส่งผลให้เกิดอีกตัวหนึ่ง..
แล้วเชื้อ 4 ตัวนี้.. ก็ส่งผลให้ความชั่วต่างๆมากมายเกิดขึ้น
ส่งผลความทุกข์ในเรื่องราวมากมาย - เกิดขึ้นกับจิตทั้งหลาย..
เมื่อเขารู้เช่นนี้.. เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจ แสวงหาหนทางที่จะเอาชนะพญามารตัวนี้ให้ได้
โดยการฝึกฝน อบรมจิตแห่งตน - ตามรอยขององค์พระพุทธเจ้า ที่ได้สอน ที่ได้บอกทางเอาไว้
เขาจึงเริ่มต้น โดยการ *รักษาศีล*
เพราะศีล จะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกัน
/ ไม่ให้กิเลสตัณหาเข้ามาทำให้จิตของเราเศร้าหมอง
/ ไม่ให้มารแห่งกิเลสนั้น เข้ามาคุกคามดวงจิตของเราได้
.. เขาจึงตั้งมั่นอยู่ในการรักษาศีล - ตามที่เขานั้นได้สมาทานเอาไว้แล้ว ในแต่ละระดับ
ศีลทุกข้อ.. ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น คือ เกราะป้องกันกิเลสตัณหา แต่ละทิศทาง ที่มันจะเข้ามาทำให้เรานั้นต้องไปปนเปื้อน ทำกรรมเพิ่ม -
กิเลสตัณหา มันก็จะเบาบางลงจากเรา เพราะว่าเราไม่เพิ่ม !
มีเกราะป้องกัน คือ *ศีล*
แล้วก็ค่อยๆ *ใช้ธรรม ใช้สมาธิ* ในการขัดเกลากิเลสตัณหา
ใช้ *ปัญญา*ในการดับกิเลสตัณหาที่อยู่ในตัวของตน ให้มันหมดจากจิตของตน
มีศีล - เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้กิเลสตัณหา..ไหลเข้ามาเพิ่ม
มีธรรม มีสมาธิ และปัญญา - คอยถอดถอนกิเลสในตนออก
และคอยเป็นสิ่งที่ป้องกัน รู้เท่าทันเชื้อแห่งกิเลสตัณหา ที่จะเข้ามาทำให้จิตของตนเศร้าหมอง สร้างกรรม และเวียนว่ายตามกรรม
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น เขาก็ทำกันเช่นนี้ละลูก
คือ..
รู้ให้ทันเสียก่อน ว่ากิเลสมารนั้น มันคืออะไร
รู้ให้ทันเสียก่อน ว่ามันควบคุม ครอบงำจิตใจของเรามาแล้วตั้งนาน.. หลายแสนภพชาติ
.. แล้วก็หาหนทาง โดยการเดินตามรอยขององค์พระพุทธเจ้า**
มีศีล* เป็นเกราะป้องกัน
มีธรรม* เป็นหนทาง ที่จะเดินออกจากกิเลสตัณหา
มีสมาธิตั้งมั่น* เป็นกำลังที่แน่วแน่ ที่จะต้านต่อกิเลสตัณหา -ไม่ให้มันเข้ามา และขจัดมันออกไปเสีย
มีปัญญา* ที่รู้แจ้ง รู้เท่าทันเหตุที่เกิด- เหตุที่ดับ รู้ทันสรรพสิ่งทั้งหลาย ..
และเขาก็เกาะ 4 ย่างก้าว นี้เอาไว้ให้แน่น - ไม่ปล่อยให้มันมีรูรั่ว !
ประพฤติ ปฏิบัติ อยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ.. จนดวงจิตดวงนั้น- มีพลังแห่งธรรม / พลังแห่งความรู้แจ้งก่อเกิดขึ้น...
- เพราะว่ากิเลสและตัณหา.. ไม่ทับถมเข้าไปอีก +
- เพราะว่ากิเลสและตัณหา.. ถูกชำระล้างออก +
มันเป็นธรรมชาติของจิต.. ลูกเอ๋ย
ถ้ากิเลสนั้น บดบังจิตอยู่.. ก็จะทำให้เศร้าหมอง เป็นทุกข์
ทำให้ลุ่มหลงและจมอยู่ - ย่อมตกเป็นทาสของกิเลสมาร
แต่ถ้าเกิดว่าลูกนั้น.. ขจัดปัดเป่า ไม่ให้กิเลสตัณหามาเพิ่ม และก็ชำระสิ่งที่มันมีอยู่ ออกเสียให้ได้แล้ว..
ลูกนั้น..
ย่อมมีดวงจิตที่สว่างไสว
ย่อมมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ได้อย่างชัดเจน
เห็นทุกอย่างเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป ตามความจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย..
เมื่อรู้ เมื่อเห็นเช่นนี้.. ความลุ่มหลง ความไม่รู้ตามความเป็นจริงในตัวของลูก - ย่อมไม่มี !
ก็ดวงจิตผู้รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ และเติมปัญญา
สามารถที่เอาจิตของตน ออกจากความไม่รู้ตามความเป็นจริง คือ กิเลสมาร
สามารถที่จะรู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายแล้ว..
-- การโดนหลอกให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง - ย่อมไม่มีเกิดขึ้น ในดวงจิตดวงนั้น !
การที่จิตดวงนั้น จะถูกหลอกด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง.. ย่อมไม่มี !
เพราะว่าจิตดวงนั้น.. ทรงพลังธรรมอันสว่างไสว
รู้เหตุของทุกสิ่งทุกอย่าง ตามความเป็นจริงแล้ว..
-- กิเลสมาร จึงไม่สามารถที่จะทำอะไรเขาได้อีกเลย ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม เขานั้นฝึกฝนตน จาก*ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
และเอา 4 อย่างนี้ มาเอาชนะกิเลสมาร คือ “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
ซึ่งเป็นสิ่งที่จิตทั้งหลาย ..ไม่รู้ตามความเป็นจริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. กิเลสมารนั้น คือ มารตัวที่มีอำนาจครอบงำจิตทั้งหลาย
ทำให้ทุกอย่างมันเกิดตามกิเลสตัณหานั้น
- จึงไม่ควรยอมแพ้ ต่อมารตัวนี้เลยลูก !
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. จงฝึกฝนตน ให้อยู่ในกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
แล้วจงพิจารณาทุกอย่าง ให้เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
- เพื่อที่จะถอดถอน “ความหลง”
ลูกทั้งหลาย.. จะได้ไม่ต้องถูกใครหลอก ครอบงำ ให้เป็นทาสของมันอีกต่อไป..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่จะกล่าว จะบอก จะชี้ทาง
คือ หนทางแห่งผู้มีปัญญาเขาทำกัน.. จึงสามารถเอาชนะกิเลสมาร ได้ลูก
“กิเลสมาร” เอาชนะได้ด้วย *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
จงทำอย่างจริงจัง ทำอย่างมีเกราะป้องกันจิตแห่งตน อย่างแท้จริง - ไม่ให้มีรูรั่ว
แล้วลูกจะมองเห็นทุกอย่าง ตามความเป็นจริง..
-- ลูกก็จะชนะกิเลสมารได้.. ในที่สุด --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
นำไปพิจารณาธรรมนี้ และประพฤติ ปฏิบัติตาม
ลูกจะน้อมตั้งจิตตั้งใจพิจารณาให้เข้าถึงธรรม และประพฤติ ปฏิบัติตาม
รวมถึงเผยแผ่ธรรมนี้ ให้กับญาติธรรมทั้งหลายได้ฟัง ทำความเข้าใจ
... เพื่อที่จะได้เอาชนะกิเลสมาร ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตามรอยพระผู้มีปัญญาธรรม
ลูกทั้งหลาย.. จะได้ไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาอีกต่อไป เจ้าค่ะ
ชัยชนะ คือ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* ที่หนักแน่น
-- ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้อย่างหนักแน่น - เราก็ชนะกิเลสมารได้ในสักวัน..
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง.. นะเจ้าคะ
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 6 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 333 **ดวงจิตพระอรหันต์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้น้อมพลังพุทธบารมีจนเต็มในศูนย์กลางกาย จึงได้โยกจิตออกจากกาย ไปสู่ที่ที่ไม่มีโลก ที่ที่ไม่มีวัฏสงสาร เพื่อเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านนอกวัฏสงสาร
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้โยกจิตไปถึงที่แห่งนั้น เป็นแต่เพียงความว่างเปล่า โล่งโปร่ง ไม่มีอะไรสักสิ่งสักอย่าง
กายที่ไป.. ก็เป็นกายโล่งๆ เหลือเพียงแค่ความรู้สึกเงาลางๆ คล้ายกันกับว่า ให้เรารู้ว่านั่นคือ รูปลักษณ์ของจิตดวงหนึ่งเท่านั้น
เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ก็เห็นมีบันไดปรากฏขึ้นมา ณ ตอนนั้นเอง บันไดนั้น เป็นสีขาว สว่าง เป็นขั้นๆขึ้นไป ราวๆประมาณ 17 ขั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็พุ่งจิตลอยขึ้นไปที่ที่สูงสุดของบันไดนั้น ก็มีประตูขาวๆคล้ายกับประตูกระจกกลมๆ ข้าพระพุทธเจ้า เลยเดินเข้าไปในนั้น..
เมื่อเดินเข้าไปในนั้นแล้ว พบกับพื้นที่เป็นพื้นกระจกใส.. ที่นั่นมีกลิ่นไอหอม ที่นั่นมีความสงบสุขยิ่งนัก
หันไปทางด้านซ้ายมือ ก็เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงประทับอยู่ ทางด้านบนบัลลังก์ สูงเหนือศีรษะขึ้นไปสัก 6 เมตร
หันไปทางด้านขวา ก็เห็นองค์พระอรหันต์ท่านนั่งเต็มไปหมด สว่าง เป็นกายแก้วสว่างไสว
ข้าพระพุทธเจ้า จึงเดินด้วยความสงบเรียบร้อย นั่งลงอยู่ท่ามกลางระหว่างองค์พระพุทธเจ้า กับองค์พระอรหันต์ ด้วยความนอบน้อมเคารพบูชา ด้วยจิต กาย และใจ
เมื่อได้กราบพระพุทธเจ้า และองค์พระอรหันต์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่าน ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ เพราะว่าที่ลูกได้ฟังสังโยชน์ 10 ประการมา
ก็ทำให้ลูกเข้าใจ ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ว่าเป็นแบบไหน
แต่ว่าลูกยังไม่ทราบว่า การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น เราจะได้รับอานิสงส์เช่นไรบ้างล่ะเจ้าค่ะ ?
ลูกจึงจะขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ทำจิตใจของลูกนั้นให้มันสงบ น้อมพลังพุทธบารมี เข้าไปเติมในดวงจิตของลูกอีกทีหนึ่ง
อย่าเชื่อมต่อกระแสความวุ่นวายจากกายหยาบ หรือโลกมนุษย์เลย
ปล่อยใจให้ว่าง ทำจิตให้สว่าง จะได้ทำความเข้าใจในธรรมที่จะได้ยินได้ฟัง
รวมถึงทุกคน ที่ถ้าได้มีโอกาสได้ฟังธรรมนี้.. ก็เช่นเดียวกัน
เพราะการที่เราจะฟังธรรมรู้เรื่อง เข้าใจ.. เราต้องฟังด้วยจิตใจที่ตั้งมั่น และมีพลังของฌานสมาธิ ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง.. พระยาธรรม
องค์พระอรหันต์.. ท่านจะได้รับอานิสงส์ คือ
/ การไม่ทุกข์อีกต่อไป ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
/ จิตนั้นอยู่เหนือกิเลส และตัณหาแล้ว อย่างแท้จริง
/ ไม่มีทางที่จะวนกลับไป ตกเป็นทาสแห่งกิเลส และตัณหาได้อีก..
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่เกิดขึ้น ยังเป็นจิตที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อกิเลสตัณหา เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าหากว่า มีกิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำ หรือต้องอยู่ในที่ที่เจอกับกิเลสตัณหา
จิตดวงนั้น.. ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย
จิตดวงนั้น.. ย่อมตกเป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา อย่างนับภพนับชาติไม่ถ้วน ในการเวียนว่ายตายเกิด
แต่จิตที่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนตนนั้นเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์แล้ว..
จิตเหล่านั้น.. จะมีภูมิคุ้มกัน
จะมีสิ่งที่เป็นสิ่งที่ช่วยปิดกั้น ไม่ให้กิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำตนต่อไปได้อีก
คือ ดวงปัญญา อันรู้แจ้ง รู้ทะลุแจ่มแจ้งในวัฏสงสาร ++
บุคคลผู้ยังไม่เข้าโรงเรียน.. ยังไงก็จะอ่านหนังสือไม่ออก
ยังไง.. ก็ต้องเริ่มตั้งแต่อนุบาล ระดับการศึกษาตั้งแต่เริ่ม จนจบปริญญาเอก
ส่วนบุคคลผู้ที่เรียนจบแล้ว ยังไงก็คือผู้ที่เรียนจบแล้ว
ถ้าเกิดจะเทียบ หรือสมมุติกับทางโลก.. ก็สมมุติได้เช่นนี้
จิตที่เกิดมา เมื่อเจอกับกิเลสตัณหา.. ก็จะต้องหลงวนไปก่อน
เพื่อเรียนรู้ ฝึกฝน ดิ้นรนไป ทุกข์ไป.. เวียนวนไปตามกรรมของตน
ส่วนจิตผู้ที่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนตนเป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
เพราะถือว่า.. เป็นผู้ที่เรียนจบโลก จบจักรวาล จบวัฏสงสารแล้ว
- ไม่กลับไปปนเปื้อนอีก -
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ ความแตกต่างระหว่าง การเป็นองค์พระอรหันต์ กับการเป็นจิตที่เกิดใหม่ หรือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
จึงแสดงให้เห็นถึงว่า การที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. จะไม่กลับไปเป็นทุกข์อีก เกิดอีก หรือว่าปนเปื้อนกับกิเลสตัณหา ตกเป็นทาสของมันอีกต่อไป..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. เป็นอานิสงส์แห่งองค์พระอรหันต์ ที่ได้รับ คือ
/ ไม่ทุกข์
/ ไม่เวียนตายเวียนเกิด
/ ไม่เป็นทาสของใคร
จิตเป็นอิสระ.. อยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล วัฏสงสาร
จะท่องไปในแห่งหนใด ของโลกใด ของภูมิใด ของที่ใด.. ก็สามารถไปได้
โดยไม่มีขอบเขตในการจำกัดว่า.. ได้แค่ไหน ยังไง
- ไม่มีอะไรควบคุม บังคับองค์พระอรหันต์ อีกต่อไป..
และองค์พระอรหันต์ ก็คือ ผู้ที่มีจิตที่บริสุทธิ์
บริสุทธิ์ เพราะว่า.. อยู่เหนือคำว่า มี -
มี กับไม่มี ก็เลยเสมอเหมือนกัน...
จะเรียกว่า “มี” ก็ไม่ถูก
จะเรียกว่า “ไม่มี” นั้น ก็ไม่ถูก
เป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนตน อยู่เหนือความมีได้แล้ว อย่างแท้จริง
จึงไม่ต้องถูกอำนาจของอะไรควบคุม
จิตจึงเป็นอิสระ - ไปได้ในทุกที่ ทุกแห่งหน อย่างไม่สุข ไม่ทุกข์
ไป กับไม่ไป - มีค่าเสมอเหมือนกัน
-- จิตดวงนั้นจะสว่างไสว.. ไม่ทุกข์อีกต่อไป ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ จึงเป็นผู้เป็นอิสระ
.. ไม่เป็นทาสของใครอีกต่อไป..
เช่นนี้ละลูก.. การที่เราประพฤติปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ได้แล้ว..
อานิสงส์ที่เราได้รับ
.. ย่อมเป็นของแท้แน่นอน
.. ย่อมเป็นของจริง ไม่มีดับ กลับคืนสู่ของปลอมอีกต่อไป
การที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. ไม่ใช่เพียงแค่การได้รับรางวัลบางอย่าง หรืออานิสงส์อะไรบางอย่าง เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
-- แต่เป็นการดับทุกข์ออกจากตนได้แล้ว อย่างแท้จริง ++
ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป...
เพราะความทุกข์ของคนเรา หรือดวงจิตทั้งหลาย ก็คือ..
ทุกข์ เพราะถูกกิเลสตัณหา ครอบงำ
ทุกข์ เพราะกรรมวิบากที่ก่อที่ทำ
ทุกข์ เพราะต้องเป็นไปตามกรรม
ทุกข์ เพราะถูกอำนาจแห่งความไม่เที่ยงแท้ - ครอบงำ ควบคุม
ทุกข์ทั้งหลาย.. เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลผู้ที่มีกิเลสตัณหาอยู่ เท่านั้น !
ฉะนั้น.. ดวงจิตที่สามารถปฏิบัติจนตนนั้น เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์.. จึงไม่มีทุกข์อีกต่อไป
เพราะกิเลสตัณหาจะไม่เกิดในองค์พระอรหันต์อีก เป็นแน่แท้ !
และเป็นของจริง ที่อยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล วัฏสงสาร
เป็นของที่ไม่เสื่อม ไม่ดับ ไม่กลับ อีกต่อไปแล้ว..
- จึงไม่มีทุกข์อะไร อีกต่อไป…
องค์พระอรหันต์ พ้นทุกข์เช่นนี้ละลูก..
เพราะเป็นผู้รักษาตน.. จนหายจากโลกแห่งกิเลสตัณหา กรรมวิบาก โลกแห่งความทุกข์
ที่จะต้องอยู่ในกฎกติกา ต่างๆ
จิตนั้นถอดถอนกิเลสตัณหาจนหมด หลุดจาก..
- การเล่นเกมชีวิต
- การที่จะต้องดิ้นรนขวนขวาย ฟันฝ่า
- การที่จะต้องเวียนวนแล้ว
จิตนั้น.. จึงอยู่นอกโลก นอกจักรวาล นอกวัฏสงสาร นอกกฎ นอกกติกา
อยู่ในที่ที่อยู่เหนือ ความมี และความไม่มี
-- จึงเป็นผู้ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง.. ไม่มีสิ่งใดทำให้ปนเปื้อนได้อีกต่อไป ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจธรรมที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น บ้างหรือเปล่า ?
เพราะในช่วงที่ผ่านมาของการแสดงธรรม ก็ได้เคยแสดงธรรมเรื่องของสภาวธรรม ขององค์พระอรหันต์ไว้แล้ว ในบางคลิป บางตอน
วันนี้จึงต้องหยิบยกเรื่องของการเป็น องค์พระอรหันต์ หรือความสุข อานิสงส์ ที่ได้รับจากการเป็นองค์พระอรหันต์ ที่แตกต่างไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ให้เห็นชัดเจนได้ว่า..
*องค์พระอรหันต์* คือ จิตผู้มีภูมิต้านทานต่อกิเลสตัณหา
ต่างจากจิตที่เกิดใหม่ หรือจิตของปุถุชนผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ คือ ไม่มีภูมิต้านต่อกิเลสตัณหา
จึงไม่ต้องทุกข์อีก / ไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดอีก..
ถือเป็นผู้จบเกม จบโลก จบจักรวาล จบวัฏสงสาร
เป็นผู้มีอิสระ เพราะไม่มีอำนาจใดควบคุมอีก
เป็นผู้ที่อยู่เหนือ ความมี และความไม่มี
จึงเรียกว่า เป็นผู้ที่เป็นองค์พระอรหันต์ได้
จะเรียกว่า..
มี ก็ไม่ใช่
ไม่มี ก็ไม่ใช่
จิตเป็นสุข อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจธรรมนี้แล้วหรือยัง ลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจอยู่บ้างเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แต่ช่วง 2 วันนี้ ลูกเห็นแต่พญามาร
พญามารมันจะปลอมตัว เป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์ ปลอมตัวอยู่บ่อยๆเลย..
แล้วพอมันปลอมตัวขึ้นมา ลูกก็จะเห็นแวบๆว่า.. นั่นอาจจะเป็นมารแฝงเข้ามา ปลอมตัวเข้ามาหลอกลูก ว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า
และลูกก็จะเห็นอีก เห็นองค์พระพุทธเจ้า อยู่ในความไม่มี น่ะเจ้าค่ะ
- นั่นมันแสดงถึงอะไรหรือเจ้าคะ ?
- - -
พระพุทธองค์ :: แล้วลูกคิดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น มันเกิดมาจากเหตุอะไรเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกคิดว่า มันเกิดขึ้น เพื่อทดสอบลูก ว่าลูกจะคิดว่า..
องค์พระพุทธเจ้า จริง /ไม่จริง - ด้วยความคิดของลูกเอง หรือลูกจะตรึกตรองด้วยตัวปัญญา
ลูกคิดว่า มันเกิดขึ้น เพื่อสอบสภาวธรรมของลูกว่า ให้ลูกเจอกับองค์พระพุทธเจ้าองค์จริง
ให้ลูกรู้ว่า.. องค์พระพุทธเจ้าองค์จริง มีตัวตน หรือไม่มี - ก็ไม่สำคัญ !
สำคัญ คือ การปราศจากตัวตน และดับกิเลสตัณหาทั้งปวงได้แล้ว
จะมีตั้งอยู่ตรงหน้า / หรือไม่มีตั้งอยู่ตรงหน้า
หากสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ หรือทำอยู่ เป็นสิ่งที่ปราศจากกิเลสตัณหา.. ย่อมถึงพระพุทธองค์
ถึงแม้จะมีพระพุทธองค์อยู่ตรงหน้า - นั่นอาจเป็นการหลงในการมีของพระพุทธองค์ ก็ได้ อย่างนั้น พระพุทธเจ้าค่ะ
ลูกจึงสลายความมี..
ต่อให้จะเห็นองค์พระพุทธเจ้า ก็จะเฉยๆ เหมือนไม่เห็น
ต่อให้ไม่เห็น.. ลูกก็มั่นใจว่า..ลูกถึงพระองค์ โดยที่มี หรือไม่มีรูปก็ได้ *
ฉะนั้น.. พญามาร มันจะหลอกลูกให้ไปติดในตัวตน ที่มันมีอยู่ สมมุติขึ้นมาเป็นรูปของพระพุทธองค์ น่ะเจ้าค่ะ
.. ลูกคิดว่าอย่างนี้ เจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม ถือว่าจิตนั้นกรอบการเข้าถึง การเป็นองค์พระอรหันต์ องค์พระพุทธเจ้า ผู้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาได้ อย่างถูกต้อง
พญามารทั้งหลาย.. จะแฝงอยู่ในการมีตัวตนนั้น เป็นสิ่งที่ยึดเอา ถือเอา
แม้แต่ยึดองค์พระพุทธเจ้า ว่าเป็นกายอย่างนั้น เป็นรูปแบบนี้
องค์พระอรหันต์ ว่าเป็นแบบนี้ แบบนั้น
.. ก็ยังจะต้องโดนพญามารนั้น หลอกให้หลงยึด ในตัวของการเป็นตัวเป็นตน ที่สมมุติขึ้นมาเหล่านั้น ลูก
ฉะนั้น.. สิ่งที่สำคัญ ก็คือ.. เรา
เข้าถึงความเป็นกายแก้ว ที่ใสสะอาด บริสุทธิ์
เข้าถึงการมองเห็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นแก้วสว่างไสว
เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
เราก็ยังต้องข้ามตัวนั้น ให้ได้ด้วยนะลูก !
ให้เหลือเพียงแค่ ความถูกต้อง
ความถูกต้อง คือ การไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีกิเลสตัณหา
.. ไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น..
และถ้าไปยึดว่าไม่มีนั้น.. มันก็ไม่ใช่อีก
ต้องอยู่ท่ามกลาง ระหว่าง มีกับไม่มี
ต้องอยู่อย่างนั้น ลูก
และอยู่แบบไหน ?
อยู่บนความถูกต้องไงลูก
ถูกต้องคือ อะไร ?
คือ ปราศจากความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
... อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
- แล้วมันก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนยิ่งนัก -
จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติกันเถิดลูก
ให้เข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์เมื่อไร.. ลูกจะเข้าใจคำพูดนี้
พระยาธรรมเอ๋ย.. *นิพพาน* นั้น เป็นเรื่องที่ ถ้าแค่อธิบายและเข้าใจตามนั้น - มันเป็นเรื่องยาก
แต่ก็สามารถเข้าใจอยู่บ้างเป็นแนวทางเล็กน้อย.. แต่ก็เข้าใจไม่หมดอยู่ดี !
- หรืออาจเป็นเรื่องที่เข้าใจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง.. หากจิตไม่เข้าถึง ++
ฉะนั้น.. จงทำจิตของตนให้เข้าถึง และจะเข้าใจว่า..
อยู่เหนือความมี กับไม่มี - มันเป็นยังไง
มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ - มันเป็นยังไง
- จะเข้าใจสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้..
พระอรหันต์ ได้รับอานิสงส์ความสุข เช่นดังที่กล่าวมานั้น..
ซึ่งเป็นความสุข ที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน - ไม่มีวันดับ วันกลับมาอีก !
องค์พระอรหันต์..
* เป็นจิตที่ มีภูมิคุ้มกันต่อกิเลสตัณหา
* เป็นผู้ที่ เป็นอิสระ
* เป็นผู้ที่ อยู่เหนือความมี และความไม่มี
* เป็นผู้ที่ หลุดจากทุกข์ทั้งปวง
เพราะว่าจิตเหล่านั้น อยู่เหนือความมี และไม่มีได้
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่พญามารพยายามทดสอบลูก มาหลายวันนี้
ดีแล้วละ ที่พอจะเข้าใจสภาวธรรมต่างๆ
ดีแล้วละ ที่เข้าถึงความเป็นพุทธะ อย่างแท้จริง
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ถูกต้องแท้จริง
ขอให้ลูกนั้น จงเดินทางสร้างบารมี โดยตลอด ปลอดภัยจากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง
ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ลูกได้สร้างได้ทำ จงช่วยให้ลูกนั้นปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง
และสำเร็จในการประกาศธรรม ตามบารมีที่ลูกได้สร้างได้ทำเอาไว้
ด้วยอำนาจแห่งอธิษฐานบารมีนี้ จงสำเร็จในสิ่งที่ดีเถิด.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม.. สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าค่ะ..
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรม..
แล้วลูกนั้น จะได้ทำในสิ่งที่ดี และเกิดประโยชน์แก่ตัวของลูก และผู้อื่นมาก
หากลูกสามารถเข้มแข็ง และกระทำหน้าที่แห่งตนให้ดี ให้สมบูรณ์ต่อไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น.. จงตั้งใจ
ทำตามที่ลูกนั้นรู้
ชำระกิเลสตัณหา ตามที่ลูกเข้าใจ
ฝึกฝนเรียนรู้ เรื่องของโลก / เรื่องของวัฏสงสาร / เรื่องของตน
เรื่องของตน ก็คือ เรื่องของวัฏสงสาร
เรื่องของวัฏสงสาร ก็คือ เรื่องของตน
เพราะลูกนั้น คือ ผู้ที่จะมาไขกุญแจ แห่งวัฏสงสารนี้
เพราะลูกนั้น คือ *พระยาธรรมิกราช* ผู้ที่จะมาเปิดโลก เปิดจักรวาล
ฉะนั้น.. สภาวธรรมของทุกอย่างในจักรวาลนี้.. อยู่ในตัวของลูก
และตัวของลูก ต้องเข้าใจ..
- ทุกอย่างของวัฏสงสาร
- การเวียนว่ายเวียนวน และดวงจิตทั้งหลาย
.. จึงถือว่า สำเร็จ ++
ฉะนั้น..
จงเข้มแข็ง ในสิ่งที่ทำ
จงมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยความเพียร ความอดทน ด้วยสติ ด้วยปัญญา
เรียนรู้ไปเถิด พระยาธรรม..
-- ลูกจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ ในที่สุด --
+ +
พระยาธรรม.. สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูกเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: เอาละนะ พระยาธรรม.. วันนี้ ก็มานานแล้วพอสมควร ถ้าเป็นโลกที่เธออยู่
ถ้าอย่างนั้น จงกลับไปเถิด..
ไปทำหน้าที่แห่งตน ทำตามเหตุที่ควรจะทำ
เรียนรู้ทุกสิ่ง ที่ควรจะเรียนรู้
ฝึกปัญญา ในทุกสิ่งที่ควรจะฝึก.. ให้รู้แจ้งโลก
-- ลูกนั้นจะได้กลับมาที่นี่ เป็นแน่แท้ --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ