การเกิด การตาย ในแต่ละชาติ
มันเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้กรรม
เกิดแค่อนิจจัง ตายแค่อนิจจัง มีค่าเท่ากัน
เพราะ โดยปรมัตสัจธรรมแล้ว
มันไม่มีใครเกิด ตาย หรือดำรงอยู่
เมื่อวิญญาณธาตุ ไม่ปฏิสนธิกับสรรพสิ่ง
ทั้งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความรู้สึกทางใจ
เมื่อนั้นจึงนอกเหนือ สิ่งเกิดสิ่งดับ อันเป็นมายาโลก
ยุติการเสวยอารมณ์ พอใจ ไม่พอใจ
สอดคล้องกับ นิโรธ ดับความหลง ดับอัตตา
วิญญาณัง อนิจจัง วิญญาณัง อนัตตา
สาธุ อนันตพุทธะ ..........
ยากนะ ที่จะใช้สื่อบัญญัติภาษา
เพื่อให้แจ้งในสิ่งที่ไร้ความหมาย
ใช้สมมุติให้แจ้งต่อวิมุตติ
หากคิดว่า ทุกสรรพสิ่งคืออนัตตา ยึดเอาไม่ได้
หากเป็นแค่ความคิด ความเข้าใจ
ก็เป็นแค่ทิฏฐิความเห็น
ไม่อาจจะทะลุทะลวง แจ้งต่อความเป็นจริงนั้น
แต่หากยุติตัวเราซ้อนในความคิดนั้น
ก็จะสอดคล้องกันกับอนัตตา จริงๆ
และมันจะไม่ยึดไปเอง......
ยุติตัวเราซ้อนในขันธ์ คือการสลายอัตตา....
เมื่อความจริงปรากฏ
สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า
ไม่เหลือใครเป็นอะไร
พพานไม่ใช่หนึ่ง(เอกสภาวะ) ไม่ใช่สอง(ทวิภาวะ)
ไม่มีความแตกต่าง ไม่แยกออกจากสรรพสิ่ง
เพียงแต่นิพพานไม่เกี่ยวกับความมีและความไม่มี
เปรียบเหมือนคลื่นไม่สามารถแยกออกจากน้ำ
เป็นไปไม่ได้เมื่อตักคลื่นแล้วจะไม่ติดน้ำมาด้วย
สังสารวัฏเทียบกับคลื่น
นิพพานเทียบกับน้ำ
เพราะในมลทินมีความบริสุทธิ์หมดจดเสมอ
พุทธภาวะคือ ว่าง ไร้ขอบเขต ไร้ตัวตน ไร้ความมีความเป็น คือคุณสมบัติในหมู่มวลสรรพสัตว์ตลอดกาล
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์โพธิจิต พระมหาโพธิสัตว์
จึงนิพพานท่ามกลางสังสารวัฏ
นิพพานโปรดหมู่สรรพสัตว์ทุกชั้นภูมิ
ไม่แยกสังสารวัฏออกจากนิพพาน
พระองค์แบ่งภาคส่วนหลายแสนหลายล้านหลายโกฐิ
เพื่อนำพาสรรพสัตว์ เลิกหลง พ้นออกจากทุกข์ตาม
ว่างด้วยกัน จบด้วยกัน นิพพานด้วยกัน
หมดจดด้วยกัน........
ข้าพเจ้าน้อบน้อมคารวะในพระมหากรุณาอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณแห่งองค์คุณมหาคุรุทั้งหลาย
ในการโปรดสรรพสัตว์ทุกยุคทุกสมัย
ทุกพุทธันดร ทุกพุทธเกษตร .......
ชีวิตคือ การผ่านร้อนผ่านหนาว
ผ่านสุขผ่านทุกข์ ผ่านความผิดหวัง สมหวัง
ผ่านได้ผ่านเสีย ผ่านตลอดไม่ข้องไม่คาในตัวมันเอง
ผ่านไปผ่านไป ในที่สุดไม่เหลืออะไร
แค่ความว่างเปล่า จะยึดทำไม?.....
โปรดอย่าใช้ความพยายามที่จะปลงวาง
และอย่าหิวกระหาย การบรรลุธรรม
เพราะตัณหา และ ความพยายาม
กลายเป็นอุปสรรคต่อ โลกุตตระธรรม
แค่ไม่ยึดติดด้วย ไม่มีเราเกี่ยวข้องด้วย
ไม่อัตตาด้วย ในทุกสภาวะ จึงจะตรงต่อนิพพานจริงๆ
ล้างให้เกลี้ยง ทิ้งให้หมด
สละอย่าให้เหลือ
ส่งคืนสลัดคืน
อย่างถอนรากถอนโคน
เมื่อใด ไม่ยินดีกับการได้ลาภ ยศ ชื่อเสียง อำนาจ
และไม่ยินร้าย กับการเสื่อมไป สูญเสียไป
เมื่อนั้น ย่อมเหนือโลกธรรม เรียกว่า
โลกุตตระ แปลว่า เหนือโลก
รวมถึงการไม่ยินดียินร้ายต่อรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส
จึงไม่หลงโลก ไม่หลงอารมณ์ ไม่หลงสภาวะ
ไม่หลงสุขหลงทุกข์ ไม่หลงในชีวิตว่าเป็นเรา
ดั้งนั้น แม้การเกิด จึงไม่ใช่การได้ชีวิต
การตายจึงไม่ใช่การสูญเสีย
มันเป็นเพียงปรากฎการณ์แห่งไตรลักษณ์
นิพพานจึงไม่ใช่การเกิดการดับ ...
เป็นสิ่งที่ว่างไร้ขอบเขต ไร้ความหมาย.....
มิอาจแจ้งแทงทะลุ ด้วยการตีความให้ความหมาย..
โลกุตรปัญญา ไม่ใช่การท่องจำ ไม่ใช่จากประสบการณ์ ไม่ใช่แค่ความเข้าใจ
แต่ คือการคลายออกจากการยึดติด เพราะการยึดติดเป็นเหตุของทุกข์ เหตุแห่งสังสารวัฏ
เราไม่พอใจเมื่อคนมาด่าหรือทำร้ายเรา เพราะมีความรู้สึกว่าเราถูกกระทำจึงเกิดทุกข์ ส่วนอริยชนปราศจากความรู้สึกเช่นนั้น จึงไม่มีความโกรธ
หากจะมีความคิดขึ้นมา ก็เป็นเรื่องเหตุแห่งกรรมแต่อดีต เท่านั้น เรียกว่า โลกุตรปัญญา
ไม่ใช่การแสดงธรรมได้ดี สำนวนคมคายดี
แล้วด่วนสรุปว่าเป็นมีปัญญามากเป็นพระอริยะแล้วอย่างที่เข้าใจ ไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด
แต่แสดงธรรมเมื่อใด คำพูดสามารถพาคนออกจากความหลง และคลายจากการยึดติด อันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เพราะคำพูดเกิดจากการคลายออก
จากอุปทาน จึงเป็นโลกุตรปัญญา และ
เป็นไปตามพระพุทธประสงค์......