จึงเป็นอารมณ์ที่สบาย เหนือคำบรรยายทั้งปวง
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า
ท่านจึงทรงเป็นดวงจิตที่ทรงสภาวธรรมละเอียด ประณีต มากเกินคำบรรยายใด ๆ
เราจึงควรฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อพันทุกข์เป็นอิสระ
เช่นเดียวกันกับพระองค์ท่าน ทุกพระองค์
จิตที่ทรงอารมณ์พระนิพพาน เป็นจิตที่มีอิสระ อยู่เหนือกฏเกณฑ์ทุกอย่าง
ไม่มีสิ่งใดทำให้ทุกข์ หรือเศร้าหมองได้อีก ดวงจิตสว่างไสว อยู่อย่าง "ผู้รู้ตื่น" ..."รู้แจ้งโลก"
ได้ในทุกที่ทุกแห่งหน และ"อยู่ก็สักแต่ว่าอยู่"... "ความอยู่กับความไม่อยู่"..เสมอเหมือนกัน
โดยปราศจาก"ความรู้สึกสุขทุกข์"... หรือ"การปรุงแต่ง"ในสิ่งนั้น
และเป็นจิตที่สามารถอยู่ได้ทุกที่ ทั้งในว้ฏสงสารและนอกวัฏสงสาร
โดยที่"ไม่มีอะไรแตกต่างเลย" จะเห็นแต่"ความว่างเปล่า"
ไม่ว่าจะ"เห็น"สิ่งใดเคลื่อนไหวภายนอก " ก็จะ"สักแต่ว่าเห็น"... "ไม่น้อมเข้ามาสู่ตน"
"เห็น"สิ่งใดผ่านเข้ามา ที่ควรช่วยจัดสรร ให้เป็นไปในรูปแบบใด ก็จัดสรรไปตามเหตุ
ในความนิ่งเฉยนั้น ก็มีความว่างซ้อนอยู่ในความนิ่งเฉยด้วย
ผู้ที่ทรงสภาวธรรม ของอารมณ์พระนิพพาน
จะเป็นผู้ที่"มีความสงบ"ในจิตใจของตน จนเกิด"ความนิ่งเฉย"
อารมณ์พระนิพพาน
พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือ ความรู้อันสว่างไสว เบิกบานอย่างนี้ เมื่อพบเช่นนี้เราก็มีอันเดียวเท่านั้น
ให้มารวมที่นี้ ฉะนั้นให้วาง วางทั้งหมด
เหลือแต่ "ความรู้"อันเดียว แต่อย่าไปหลงนะ อย่าให้ลืม
ถ้าเกิดนิมิต เป็นรูป เป็นเสียง อะไรมา ก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องเอาอะไร เอาแต่ "ความรู้สึก" อันเดียวเท่านั้นแหละ
" เรื่องปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้
มีอารมณ์ฟุ้งซ่านจะไปพระนิพพานได้ไหม? "
" วันนี้..วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๕
จะขอย้อนไปถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนัก มีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่ง ไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ กราบทูลถามท่านว่า
“ ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้ ไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม ”
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรัสว่า...
“ ภิกขุ ดูกรภิกษุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน ”
หลังจากนั้นก็นมัสการทูลถามองค์สมเด็จพระชินวรตามสมควร เรื่องเล็กๆน้อยๆเรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า...
“ เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตาม ให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ ถึงแม้ว่าอาการป่วย จิตจะมัวไปบ้าง จิตไม่เกาะพระนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตสามารถจะไปนิพพานได้ทันที ในเมื่อออกจากร่าง ”
จาก...หนังสือกฎของกรรม เล่ม ๓ หน้า ๗๗
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง อุทัยธานี
เมื่อจิตใจรวมลงได้ละเอียดเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาอยู่บ้างก็ตาม ให้เรากำหนดนิ่งเฉย คำว่า “นิ่งเฉย” เปรียบเหมือนกับนายพรานดักเนื้อ เขาจะนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว แต่ตาของเขาจะมองดูสัตว์ต่างๆ ที่จะดักฉันใด "การตั้งสติกำหนดจิต" ก็ฉันนั้น
หลวงปู่คำดี ปภาโส
ใบไม้
ขณะนี้เรานั่งอยู่ในป่าที่สงบ ที่นี่ไม่มีลม ใบไม้จึงนิ่ง
เมื่อใดที่มีลมพัด ใบไม้จึงไหวปลิว
จิตก็ทำนองเดียวกับใบไม้ เมื่อสัมผัสกับอารมณ์
มันก็สะเทือนไปตามธรรมชาติของจิต เรายิ่งรู้ธรรมะน้อยเพียงไร ใจก็จะรับความสะเทือนได้มากเพียงนั้น
รู้สึกเป็นสุข ก็ตายด้วยความสุข รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ตายด้วยความทุกข์อีก มันจะไหลไปเรื่อย ๆ
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ไม่ห่วงข้างหน้า ไม่ห่วงข้างหลัง หยุดอยู่กับที่ จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่ ถอยกลับก็ไม่ใช่ หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่ยึดไม่มีที่หมาย เพราะอะไรเพราะว่าไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเราและไม่มีของของเรา…หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนให้เราหมดอย่างนี้ ไม่ให้เราคว้าเอาอะไรไป ให้เรารู้อย่างนี้ รู้แล้วก็ปล่อย ก็วาง
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ที่มาส่วนหนึ่งจาก รู้จักปล่อยแล้วก็วาง
ปฏิบัติอย่างไรเป็นการเดินทางลัด สั้น เร็วที่สุด ?
#ทางลัดนั้น ...
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า
เมื่อ..ไม่ยึดอายตนะทั้งหก
และ..สิ่งที่เนื่องกับอายตนะทั้งหก
โดย ค ว า ม เ ป็ น ตั ว ต น อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
เมื่อนั้น..อริยมรรคมีองค์ ๘
ก็จะพร้อมขึ้นมาทันทีทันควันทั้ง ๘
อย่างเอง
นี้เป็นหลักธรรมะพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
#พระพุทธภาษิต
สฬายตน วิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย
เล่ม ๑๔ หน้า ๕๒๓
แสดงทางลัดเร็วที่สุดไว้อย่างนี้ ก็คือ
เรื่อง ว่ า ง ..ไ ม่ ยึ ด ถื อ ว่ า ตั ว ต น
ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
จะทำให้อริยมรรคมีองค์ ๘
สมบูรณ์และทันควัน ทันท่วงที
ถ้าเราไม่สมัครเดินทางลัดแล้ว
เราเดินทางตามธรรมดา ศึกษาเรื่อง
มรรคมีองค์ ๘ นั่นเป็นศีล
นั่นเป็นสมาธิ นั่นเป็นปัญญา
ปฏิบัติตั้งแต่ต้นไปตามลำดับกินเวลานาน
นี่..เรียกว่าในพระพุทธศาสนามี
ทางลัด และ มีทางธรรมดาอย่างนี้.!!
- พุทธทาสภิกขุ -
ตอน "พระพุทธเจ้าสอนอะไร"
“จิต” นั่นเอง ! ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้มอยู่
จงพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ...ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี “ตัวเรา” คือ นึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี “ตัวเรา” สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า “ตัวตน” เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่ “จิต” นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป.
ไม่ต้องมี “ตัวเรา” อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์....การทำอย่างนี้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็ว อาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้....
ความมุ่งหมายของพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้น "เหนือโลก" หรือ หลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอื่น อันมีความสูงเพียงขั้นศีลธรรม
ฉะนั้น ความปรารถนาในการ "พรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง" จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา....
การตัดลัดเพ่งตรงไปยังภาวะที่ "ปราศจากความยึดถือของจิต" เช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โต ตั้งต้นไล่กันไปตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด....
...พุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆในโลก
ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่า ทำอย่างไรความยึดถือว่า"ตัวตน"(ตัวกู-ของกู)จะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือ...วิธีลัดสั้นที่สุด"
พุทธทาสภิกขุ
จิต ก็คือ ความรู้สึกที่มันอยู่ลึก ๆ ในหัวใจ
เป็นคนที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน
จิตนั้น แท้ที่จริงนั้นคือ...ผู้รู้ เท่านั้น
แต่ที่ทุกข์ ที่สุข ที่เคลิ้มตาม สิ่งภายนอกนั้น
เพราะว่า...จิตถูกกิเลส ตัณหา...กรรม วิบาก ควบคุมเอาไว้
ก็เลยรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ตาม
แต่จริง ๆ จิตของเราคือ...ผู้รู้ ผู้รู้อยู่ ดูอยู่ และเห็นอยู่
แต่ถ้าหากว่าเรานี้เข้มแข็งไม่พอ
เราก็จะเป็น "ผู้รู้" แบบทุกข์ แบบสุข แบบเคลิ้ม ตามสิ่ง
ภายนอก
ฉะนั้น พยายามมองให้เห็นสิ่งภายนอกทั้งหลายเหล่านั้น
ว่าเขาไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ใช่เรา ใช่ของ-ของเราเลย
เราคือ...ผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็น และจะพยายามเห็นแจ้ง
ตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้้งหลาย
โดยที่จะพยายามฝึกจิตของตน ให้อยู่เหนือสิ่งทั้งหลาย
ที่มี ที่เป็นอยู่ ให้ได้ และนำพาจิตของตน ให้เป็นคนละคน
กับกาย กับความรู้สึกสุข ทุกข์ต่าง ๆ ภายนอก
กับสิ่งทั้งหลายที่มันมีอยู่ แยกจิตออกให้รู้ว่า
สิ่งเหล่านั้น...ไม่ใช่ตัว ใช่ตน ใช่เรา ใช่ของ-ของเรา
"จริงๆแล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปสงบความคิดเขาหรอก ความคิดเขาจะมีหรือไม่มี ใจของเราก็สงบเหมือนเดิม
ของภายนอกมันมีทั้งหมด เป็นความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น
แต่ว่าข้างใน (ตัวจิต)มันสงบอยู่
อันนี้ถึงเป็น"ความว่างที่แท้จริง"
จึงเห็นได้ชัดเจนว่า ความสงบ ของจิต กับสิ่งภายนอกเหล่านั้นเป็นคนละสิ่งกัน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเลย ถึงจะอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เกี่ยวข้องกัน เหมือน"น้ำกลิ้งบนใบบัว"
ซึ่งไม่ติดกัน ไม่เกี่ยวเนื่องกัน "มันเป็นความว่างที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์"
ข้างนอกเข้าก็เป็นไตรลักษณ์ของเขา คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราจะไปห้ามเสียงนี้ไม่ให้เกิด...ห้ามไม่ได้ จะไปห้ามอารมณ์ต่างๆ นั้น ไม่ให้มี...ไม่ได้ เพราะสิ่งนี้เป็นธรรมอันหนึ่ง "
คุณลุงหวีด บัวเผื่อน
พระพุทธเจ้าท่านว่า
เบื้องต้น #ให้กำหนดให้รู้ตามจริง ด้วยปัญญาแล้ว
ญาณ คือ ความรู้ ก็ให้ #สักแต่ว่ารู้
สติ ความอาศัยระลึกรู้ ก็ #สักแต่ว่าอาศัยระลึกรู้
เมื่อเธอกำหนดรู้ เห็นด้วยปัญญาตามเป็นจริงแล้ว
#เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วยย่อมไม่ยึดถืออะไรๆ
แม้แต่ นิดหนึ่ง น้อยหนึ่ง มิได้มีอยู่ในโลก ดังนี้
คำว่า "ไม่ติดไปด้วย" คือ ความรู้ ก็ไม่ติด
คำว่า "ไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก"
ความรู้นี้ รู้ตามจริง รู้โลกนั่นเอง คือ โลกวิทู รู้แจ้งโลก
#เมื่อรู้แจ้งโลกก็ละวางสลัดกันเท่านั้น
หลวงปูจวน กุลเชฏโฐ
" ผู้ที่เข้าใจธรรมะ ก็เข้าใจตัวเอง
ใครเข้าใจตัวเอง ก็เข้าใจธรรมะ
ทุกวันนี้ ก็เหลือแต่เปลือกของธรรมะ เท่านั้น
ความเป็นจริงแล้ว ธรรมะมีอยู่ทุกหน ทุกแห่ง
ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีไปไหน
ถ้าจะหนี ก็ให้หนีด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา
หนีด้วยความชำนิชำนาญ อย่าหนีด้วยความโง่
ถ้าเรา...
ต้องการความสงบ ก็ให้สงบด้วยความฉลาด
ด้วยปัญญา เท่านั้นก็พอ
เมื่อใด ที่เราเห็นธรรมะ
นั่นก็เป็น สัมมาปฏิปทาแล้ว
กิเลส ก็สักแต่ว่า กิเลส
ใจ ก็สักแต่ว่า ใจ
เมื่อใด...ที่เราทิ้งได้
ปล่อยวาง ได้
แยก ได้ เมื่อนั้น มันก็เป็นเพียงสิ่ง สักว่า...
เป็นเพียงอย่างนี้ อย่างนั้น
สำหรับเรา เท่านั้นเอง
เมื่อเรา...
เห็นถูกต้องแล้ว ก็จะมีแต่ความปลอดโปร่ง
ความเป็นอิสระตลอดเวลา
พระพุทธองค์ตรัสว่า...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านอย่ายึดมั่นในธรรม
ธรรมะ คืออะไร ?
คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ ธรรมะ
ความรัก ความเกลียด ก็เป็น ธรรมะ
ความสุข ความทุกข์ ก็เป็น ธรรมะ
ความชอบ ความไม่ชอบ ก็เป็น ธรรมะ
ไม่ว่า จะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน
ก็เป็น...ธรรมะ."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เรื่องภาวนาเป็นสิ่งที่ควรทำ และเป็นการจำเป็นที่สุดที่เราจะต้องฝึกฝนอบรม
พูดกันง่ายๆ ว่าเราเกิดมาอาศัยจิต แต่ว่าเรายังไม่เคยเห็นตัวจิต ถ้าจิตไม่มีคนเราก็ตาย
ในทางวิทยาศาสตร์เขาจะว่าเซลล์หรือประสาทอะไรก็ตาม แต่เราพูดในทางธรรมะเรียกว่าจิต
จิต อันนี้แหละมีอยู่ ใช้อยู่ แต่เราไม่รู้จักตัว ถ้าหากเราไม่ฝึกฝนอบรมอย่างที่พูดมานี้ ก็จะไม่เห็นมันเด็ดขาด
และเมื่อไม่เห็นมันแล้วจะรักษามันได้อย่างไร ?
เมื่อรักษามันอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ของเรา
เมื่อไม่ใช่ของเรา มันก็กวัดแกว่งทำให้เราเดือดร้อน
พูดกันอีกทีหนึ่งว่า ” มันใช้เราได้ เราใช้มันไม่ได้ ”
มันใช้เราทุกอย่าง ใช้ให้ทำโน่นทำนี่
ใช้ให้เกลียดให้โกรธ ใช้ให้รักให้ชัง
ใช้ให้ร้องไห้ ใช้ให้หัวเราะจนน้ำตาร่วงก็ได้
มันใช้ได้ทั้งนั้น เพราะไม่เห็นตัวมัน จึงรักษามันไม่อยู่
ถ้าเราเห็นตัวมันแล้วนั่น เมื่อมันจะโกรธ เราก็เห็นว่ามันจะโกรธ นี่มันจะโกรธ นี่มันโกรธแล้ว หรือมันกำลังยังโกรธอยู่ เรารู้เราเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่โกรธเสีย
มันเกลียด มันรัก มันชอบอกชอบใจ อะไรก็ตามเถิด
หรือมันไปติดพันพัวพันอะไรนี่นะก็ชั่งมัน
ถ้าเราไปตามเห็นตามรู้ตัวมันแล้ว เราก็ห้ามมันเสีย ดึงมันกลับมาเสีย ให้มันมาอยู่ที่เดิมของมัน อยู่ในที่สงบสุขของมัน มันก็หมดเรื่องกันไป ทุกข์อะไรมันก็ไม่มีเกิดขึ้นมา
เหตุนั้นจึงว่า เป็นการจำเป็นที่สุด
ผู้ต้องการที่จะพ้นทุกข์ คือไม่อยากให้มีทุกข์ในตัวของตน
จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนอบรมจิต ถ้าเราอบรมไม่ได้ ก็เรียกว่ามันยังใช้เราอยู่
ถ้าเราอบรมได้ มันนำคุณประโยชน์คือ สุขสันติมาให้แก่เราอย่างยิ่ง
และผลที่สุดจะไม่มีกิเลสเหลือหรอ
เพราะเหตุจับจิตได้ ชำระที่จิตจนจิตใจผ่องใสสะอาด
ท่านเรียกว่าถึงมรรค ผล นิพพาน คือ ใจสะอาดมาโดยลำดับ…”
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
การ "รู้"โดยไม่คิดเอง คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า...จิต คือตัวเรา เป็นของ ๆ เรา
ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น
ตราบนั้นตัณหา หรือ สมุทัยก็จะสร้างภพ
ของจิตว่างขึ้นมา ร่ำไป
ขอย้ำว่า ขั้นนี้
จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง...ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า...ไม่มีใครเลย ที่จงใจ
หรือ ตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่จิต เค้าปฏิบัติตนเอง ไปเท่านั้น
เมื่อ...จิตทรงตัว
รู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น
บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมา สู่ ภูมิรู้ของจิต
แต่จิต ไม่สำคัญมั่นหมายว่ามันคือ อะไร
เพียงแค่รู้ เฉย ๆ ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้
เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียด ที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น
" รู้ " มีตลอด แต่ ไม่คิด และ ไม่สำคัญมั่นหมาย
ในสังขารละเอียด ที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อ จิตถอยออกจากอริยะมรรค
และ อริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว
ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้
"สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป"
ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่
แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตน สักอณูเดียว
นี้...เป็นการรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน
คือ ไม่เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา
แต่ความยึดถือ ในความเป็นเรา ยังมีอยู่
เพราะ...ขั้นความเห็น กับ ความยึดนั้น
มันคนละขั้นกัน."
หลวงปูดุลย์ อตุโล
....................
จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป
เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อย ๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ ความนึกคิด ต่างๆ ได้แล้ว
จิตก็จะค่อย ๆ รู้เท่าทันการเกิด ของอารมณ์ต่างๆ
อารมณ์ ความนึกคิด ต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ
จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนา ของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง
การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ [จิตเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย ไม่ได้หมายถึงการแยกกาย ออกจากจิตโดยการกระทำหรือการปฏิบัติใดๆ โดยตรง แต่หมายความว่ากระทำหรือปฏิบัติจน จิตเป็นอิสระว่างจากอารมณ์ คือว่างจากสิ่งที่จิตไปยึดเหนี่ยว จึงย่อมยังผลให้ไม่เกิดการผัสสะต่างๆ เวทนาอันต้องอาศัยการผัสสะต่างๆย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ]
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
เมื่อเรา"ดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป" นั้น
สิ่งปรุงแต่ง..จะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง
แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง
มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่ คือ วิญญาณ
ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป
ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก
แล้ว"จิตจริงแท้หรือพุทธะ" จึงปรากฏออกมา
การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม ๘๔,๐๐๐
พระธรรมขันธ์ ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง"
.... หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"..เราเวียนว่ายตายเกิดกันไม่รู้กี่ภพชาติ
ถ้าเราเข้าใจว่า ความคิด สักแต่ว่าความคิด
อันนี้ก็เป็นก้าวแรก ในการก้าวออกจากวัฏสงสาร
ให้พากันฝึกใจให้*รู้จักพอ*...*รู้จักความพอดี*
เมื่อ*ใจมีความพอดี*... ใจดวงนั้นก็จักดีพอ
เมื่อใจเข้าถึงความดีพอ ก็จักเป็นคนที่ยอมรับ
ยอมเป็น ยอมได้ ยอมรับได้
เมื่อยอมรับได้ ก็จักไร้ความยึดถือในสภาวะใดๆ ที่เข้ามากระทบ
เมื่อจิตไม่หวั่นไหวต่อ*อารมณ์ที่เข้ามากระทบ* จิตใจก็ย่อม*ไร้การปรุงแต่ง*
เมื่อไร้การปรุงแต่งต่อเติม จิตก็รู้จักปล่อยวาง
เมื่อจิตเริ่มปล่อยวางได้ จิตใจก็ย่อมคุ้นเคยกับอารมณ์โปร่งเบาสบาย
เมื่อใดที่จิตได้รู้สึกถึงความโล่ง โปร่ง เบา สบ๊าย..สบาย จิตใจก็ย่อมสัมผัสกับความว่าง
เมื่ออารมณ์จิตเข้าถึงความความว่างได้บ่อยๆ
จิตดวงนี้ก็จักคุ้นเคย แลมีความเคยชินกับความว่างนั้น
ความว่างนี้ล่ะ ที่เรียกกันว่า...สภาวะแห่งสุญญตา
สุญญตา..นี้แล คือวิหารเครื่องดำรงอยู่ ในการรับรู้เสวยอารมณ์แห่งพระนิพพาน
แต่..หากลูกไม่รู้จักฝึกใจให้รู้จักความพอดีแต่ต้นแล้วไซร้
มรรค ผล พระนิพพาน ก็ไม่ต้องไขว่คว้าให้เหนื่อยเปล่าเลย
แล้ว..เมื่อใดล่ะลูก ที่จักพากันฝึกจิต ทำใจนี้ให้รู้จักความพอดี
#พ่อ #พระธัมมสรโณ
โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอาจารย์ฌอน ชยสาโร
บ้านบุญ บ้านไร่ทอสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ความคิด..สักแต่ว่าความคิด
อารมณ์..สักแต่ว่าอารมณ์
ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.."
❝ มีความทุกข์
ที่ไหนอย่างไร ดูให้ดีเถิด
ใต้ความทุกข์ นั่นแหละ !
จะมี “อัตตา” ซ่อนอยู่ ❞
พุทธทาสภิกขุ
ที่เราทุกข์ใจ วุ่นวายใจ
กลัวบ้าง โกรธบ้าง เร่าร้อน วิตกกังวล
เป็นเพราะสังขารปรุงแต่งจิต
จึงเกิดความหวั่นไหว
เกิดความกลัว เป็นทุกข์
ที่กลัวนี้ มันก็มาจากความปรุงแต่ง
คือ ความคิด ความนึก
ปรุงในทางให้กลัว ก็กลัว
ปรุงในทางให้เกิดความวิตกกังวล
ก็วิตกกังวล
.
ถ้าเรามีสติรู้เท่าทัน กำหนดรู้สังขาร
สิ่งที่มาปรุงแต่งในจิตใจให้ดี
รู้เท่ารู้ทันมันจะปรุงต่อไปไม่ได้
มันก็จะหมดเรื่องกันไป
ความกลัวก็จะหายไป
ความเร่าร้อนใจก็หายไป
ความทุกข์ก็จะดับไป
ถ้าเรามีสติคอยรู้เท่าทัน
แต่เมื่อเผลอมันก็ปรุงอีก
เราก็ตามรู้อีก....
.
เพราะฉะนั้นคอยดูจิตใจไว้
คอยพิจารณาเท่าทันจิต
จิตมันคอยจะคิดนึกนั่นนี่
ที่เราทุกข์ใจก็เพราะ
จิตคิด จิตนึก จิตปรุงแต่ง
ถ้ามีสติคอยดู คอยรู้เท่าทัน
ความปรุงแต่งก็จะดับ ระงับไป
เพราะหมดเหตุหมดปัจจัย
.
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"ทูรงฺคมํ เอกจิรํ อสรีรํ คูหาสยํ
เย จิตฺตํ สญญเมสฺสนติ
โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา
จิตนี้ไปไกล ไปดวงเดียว
ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำเป็นที่อยู่อาศัย
ชนเหล่าใดสำรวมระวังรักษาจิตได้
ชนเหล่านั้นจักพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร"
.
.......................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ #พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
“…การที่เราจะเห็นธรรม อุปมาได้หลายอย่าง
อย่างเช่น ลมพัดต้นไม้...ลมมันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก
แต่ใบไม้นั้น มันค่อยคล้อยปลิวตามลมไป
อันนี้ก็เหมือนกัน มันไม่ได้อยู่นานอะไร
มันเป็นเพียงวูบเดียวมาเท่านั้น
แต่แล้วเราก็เลยทำ-พูด-คิดไปตามนั้น ซึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายต่ำ
พระพุทธเจ้าท่านเลยมาบอกว่า ‘อันนั้นน่ะมันเป็นกิเลส’
คำว่า ‘กิเลส’ นั้น ‘มันเป็นทุกข์’
เราจึงต้องพยายามทำตัวของเราให้มีสติ-ให้มีปัญญา
มองเห็นจิต-เห็นใจของเรา
ให้รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้ รู้จักเอาชนะมันได้
เมื่อเราเห็นการคิดของเราอยู่อย่างนี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า
‘สิ่ง ๆ นี้ มันเป็นทุกข์’ ‘สิ่ง ๆ นี้ มันเป็นกิเลส’
เมื่อเห็นแล้ว ความคิด-สิ่งนั้นแหละมันก็เลยปรุงไปไม่ได้
อันนี้ความจริง พระพุทธเจ้าต้องรู้มาอย่างนี้
และความเข้าใจของผม ผมก็เข้าใจว่า‘ต้องเป็นอย่างนี้จริง ๆ’
การที่เราไม่เห็น เราก็เลยคล้อยทำไปตามกัน
แล้วคนเราก็เลยไม่ได้มาเอาใจใส่เรื่องนี้
ไม่ได้กลับมาดูตัวเอง แต่กลับไปดูคนอื่นทำ-พูด-คิด
หรือดูรถดูล้อดูเกวียน ดูไร่ดูนา ดูลูกดูหลาน
ดูไปโน้น ไม่ได้กลับมาดูตัวเองสักที
เมื่อไม่ได้กลับมาดูตัวเอง ก็เป็นคนลืมตัว
เป็นคนหลงตัว ไปคอยดูแต่คนอื่น
อันนี้พระพุทธเจ้าว่า ‘เป็นคนมีกิเลส หรือว่ามีอาสวะ’
ท่านว่าอย่างนั้น
คำว่า ‘อาสวะ’ นี้ ก็หมายถึง ‘กิเลส’ นั่นแหละ
มันเป็นความอันเดียวกัน...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น
"วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่นที่ง่ายที่สุด
คืออาศัยสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น
จิตที่หลงไปคิดเกิดบ่อยที่สุด
เป็นจิตที่ไม่ตั้งมั่น ที่เกิดบ่อย
รองลงจากจิตหลงไปคิด
คือจิตหลงไปดู
รองจากจิตหลงไปดู
คือจิตหลงไปฟัง
สามตัวนี้เกิดบ่อยที่สุด
หลงไปคิดเกิดบ่อยที่สุด
หลงไปดูรองลงมา"
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
" อารมณ์ ชนิดใดก็ตาม
เรา อย่าไปเอาชนะมัน
เรา อย่าไปยอมแพ้มัน
ให้เรา ตั้งอยู่ในความสงบ
เรียกว่า...น้ำไหลนิ่ง
ความสงบท่ามกลาง ความไม่สงบ
น้ำไหลนิ่ง หยุด นิ่ง รู้
น้ำไหลนิ่ง...
เป็นความสงบที่อยู่ท่ามกลาง ความไม่สงบ
เปรียบเหมือนน้ำไหลนิ่ง
อารมณ์ ที่มันเกิดขึ้นภายในจิตเรา
ความพอใจ ความไม่พอใจ
ความรัก ความชัง
ความดีใจ ความเสียใจ
ความโกรธ ความพยาบาท อะไรก็ตาม
มันจะเป็นอารมณ์ ชนิดใดก็ตาม...
เรา อย่าไปเอาชนะมัน
เรา อย่าไปยอมแพ้มัน ให้ตั้งอยู่ในความสงบ
ความสงบ ที่อยู่ท่ามกลางความไม่สงบ
เปรียบเสมือนน้ำไหลนิ่ง หยุด นิ่ง รู้
ดู...
ความเกิด - ดับของอารมณ์ ทั้งหลาย ทั้งปวง
ไม่ไปข้องเกี่ยว กับมัน
แม้ แต่ลม กับกาย ความสงบนั้นก็มิได้ไปยุ่ง
เกี่ยวอะไรด้วยเลย...
แล้วเราจะ...
พ้นจากบ่วง ของมาร."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
#สักแต่ว่าดูรู้เห็น
..
เราต้องพยายาม มี ธรรมะ กันให้ได้
ตรงที่ #เมื่อตาเห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้กลิ่น ฯลฯ นี้
โดยที่เรา ศึกษาอบรม อยู่เป็นประจำ ถึงหัวข้อที่ว่า " #สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น "
แปลว่า คนธรรมดา เขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้ว ก็เกิดเวทนา แล้วเกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
นี้ .. เป็นทางเดิน ที่เดินกันจนโล่งเตียนไปหมด เดินง่ายที่สุด .. แต่เราไม่เอาอย่างนั้น
พอมี #ผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับไปเดินในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง ตัวกู - ของกู
แม้ จิต เดินไปถึงเวทนาแล้วก็ตาม ยังยักกลับไปทางของสติปัญญา ก็ได้ไม่ลอยไปตามกระแสแห่ง ตัวกู - ของกู
อย่างนี้ ไม่มีทุกข์เลย , ทุกวันทุกคืนจะไม่ทุกข์เลย
ถ้าทำได้เก่ง คือ ทำไปตามวิธีที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ก็เป็น พระอรหันต์ ได้ในตัวเอง
ถ้าจะเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็มีหลักง่าย ๆ คือ หลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแก่พระสาวก ชื่อ พาหิยะ ว่า
#ดูกรพาหิยะ ..
#เมื่อใดเธอเห็นรูปสักว่าตาเห็น , #ได้ฟังเสียงสักว่าหูได้ยิน
#ได้ดมกลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น , #ได้ลิ้มรสก็สักว่าได้ชิม
#ได้สัมผัสผิวหนังก็สักว่าเป็นการกระทบทางผิวหนัง , #จะนึกคิดขึ้นมาในใจก็สักว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้น ตัวเธอจักไม่มี [ คือ ตัวกูไม่มี ]
เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้นหรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ใหนก็ตาม มันก็ไม่มี
นั่นแหละ คือ ที่สุดของความทุกข์ .. นั่นแหละ คือที่สุดของความทุกข์ , นั้นแหละ คือ นิพพาน
..
เมื่อใดเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อนั้นเป็นนิพพาน
ถ้าเป็นถาวร ก็เป็นนิพพานถาวร , ถ้าเป็นชั่วคราว ก็เป็นนิพพานชั่วคราว
นี่แปลว่า เป็นหลักเพียงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น
จะปฎิบัติวิธีใหน ก็ให้เป็นไป เพื่อ เฉยได้ หรือ หยุดได้ ต่ออารมณ์ที่มากระทบทั้งนั้น
จะทำ วิปัสสนา แบบใหนก็ตามเถอะ ถ้าถูกต้องหรือไม่หลอกลวงกันแล้ว ก็ต้องมาในรูปนี้รูปเดียว
คือ ในรูปที่อารมณ์ไม่ปรุงแต่ง ให้เกิดความรู้สึกว่า ตัวกู - ของกู ขึ้นมาได้
และอันนี้ มันไม่ยากที่จะทำลายกิเลส
เพราะเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ มันทำลายกิเลสของมันเอง มันฆ่ากิเลสอยู่ในตัวมันเอง
พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
Trader Hunter พบธรรม
จุดที่มันสัมผัสกัน ระหว่าง ตัวเรา กับ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นกายหรือว่าใจ " ตรงที่รู้สึก " นั้นหล่ะสําคัญที่สุด เฝ้ารู้เฝ้าดูตรงนี้บ่อยๆ ให้รู้สึกตัวนะ แต่อย่ารู้ตาม แค่รู้สึกตัวพอแล้ว เห็นกิริยาของใจเวลาใจขยับ แต่ไม่ต้องรู้ว่าขยับเรื่องอะไร จะชอบ ไม่ชอบ รัก โลภ โกร หลง ชั่งมัน ปัจจุบันธรรมนี้จะแจ้งแก่ใจตน
.........................
มีสติรู้อยู่กับกาย จะ ง่ายกว่าใจ
เพราะกายมีรูปนาม ทําให้จับความรู้สึกได้ง่าย
ส่วนใจเป็นจิต ดู..รู้..ยินดี..ยินร้าย ... อย่าอยาก
ทําบ่อยๆ ดูความจริงแท้ที่เป็นสัจธรรม .จนเข้าถึงอริยสัจ 4 ที่รู้ได้ด้วยใจตน(ไม่ใช่อ่านเอาจากตํารา) จิตจะมีอิสระ...
จะเป็นวิปัสสนาได้ ต้องเห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม
การเจริญปัญญานั้นต้องเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน
ทำไมเราต้องมาเห็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ก็เพื่อเราจะได้ถอดถอนความยึดถือในกายในใจ
เราเห็นว่าร่างกายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก วันหนึ่งมันก็ไม่ยึดถือร่างกาย
เห็นจิตใจไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ถึงวันหนึ่งมันก็ไม่ยึดถือจิตใจ
ไม่ยึดถือในรูปธรรม นามธรรม ทั้งหลาย
พอจิตไม่ยึดในรูปในนาม จิตก็หลุดพ้นจากรูปนาม
ก็บรรลุมรรคผลนิพพานไป
จะเห็นความจริงได้ ก็ต้องเห็นไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์ของรูปนาม ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์
จิตจะไม่ปล่อย
ที่ไม่ปล่อยก็เพราะไม่เบื่อ ถ้าเห็นความเป็นจริง
เห็นไตรลักษณ์
เพราะเห็นตามความเป็นจริง จึงเบื่อหน่าย
เพราะเบื่อหน่าย จึงคลายกำหนัด คลายความยึดถือ
เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น
เพราะหลุดพ้น จึงรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์คือการประพฤติปฎิบัติธรรมทำเสร็จแล้ว
กิจที่ต้องทำ ทำเสร็จแล้ว กิจใหม่(เพื่อความเป็นอย่างนี้-ผู้ถอด)ไม่ต้องทำ ไม่มีอะไรต้องทำอีก
เนี่ยจะไปสู่จุดนี้ได้ ก็ต้องเห็นตามความเป็นจริง เห็นไตรลักษณ์ของรูปของนาม
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
..
"เวทนา" ก็ให้ "รู้ตามสภาพเป็นจริงของมันในปัจจุบัน " นี่แหละ
"เราไม่ต้องไปข่ม ไม่ต้องไปฝืนอะไร" ก็ดูธรรมชาติ และ " ดูจิตเจ้าของ " มันไม่ไปปรุงแต่งอะไร
เจ็บ ก็ให้ รู้ ว่าเจ็บ .. " เจ็บ .. ธรรมดา "
" ใจ ไม่ไปคลุกกับสิ่งที่เกิด " .. มันรู้สึก " ว่าง .. เฉย ๆ .. ธรรมดา "
" เฉย ๆ มีอยู่ทุกคนอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่มี " .. ทุกคนมีเป็นปรกติ
เวลาใครถามเรา ก็ว่า รู้สึกเฉย ๆ .. เฉย ๆ มันมีอยู่แล้ว
นั่นคือ " อุเบกขา " ก็ว่าได้ .. "เฉย" ทุกคนมีอยู่แล้ว ..
พยายามสอนให้คน รู้ "อารมณ์ของพระนิพพาน" .. ไม่ใช่ตายไปแล้วค่อยรู้
ปรกติก็ไม่ค่อยมีใครสอน "อารมณ์ของพระนิพพาน" .. " ที่ทุกคนก็มีอยู่แล้ว "
มันเฉย ๆ น่ะ พยายามดูน่ะ มันก็ไม่มีอะไรมากมาย !!
..
พระอาจารย์มงคล ปภาโส : วัดป่ามงคลรัตนาราม ทุ่งสิม อุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษ.
๑๗ เมษายน ๒๕๖๑
#คำสอนสำคัญ 4 ข้อ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร"
🌷🌷1. ในโลกจักรวาลนี้.. ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร "ทุกสิ่งทั้งปวงเกิดดับตามเหตุปัจจัย" ผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นด้วยสิ่งใด ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรูปนามและสังขารอันไม่เที่ยงทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน เราเขาอะไร รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร
🌷🌷2. อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญ.. ให้ทำตนแบบปกติธรรมดาๆนี่แหละดีที่สุด เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเรา ไม่นับถือให้ความสำคัญเราแล้ว จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อนรนสับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม
ขอให้ตั้งใจให้ดีมีสติทุกเมื่อทุกขณะจิต เพียงแต่รู้ เฝ้าดูเฝ้าเห็นกายกับใจเคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัย เป็นเพียงรูปธรรมนามธรรมเท่านั้น เป็นเพียงก้อนทุกข์ก้อนธาตุเท่านั้น
"เราไม่ควรไปให้ราคาตัวเองและวัตถุ" เราอยู่ในโลกอย่าหลงมายาของโลก ไม่ติดไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสิ่งในใจ มีแต่ใจรู้แจ้ง ปล่อยวางสู่ความว่างสภาพเดิมของธรรมชาติแท้
🌷🌷3. ในตัวคนเรามีแต่ขี้ทั้งนั้น.. นับตั้งแต่หัวถึงเท้าเป็นขี้หมด มีขี้รังแค ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เล็บ ขี้ไคล ขี้ในท้องแล้วยังไม่พอ ยังมีขี้ในใจอีก ขี้เกียจ ขี้กลัว ขี้ลัก ขี้หึง ขี้เอา มีแต่ขี้ทั้งนั้นนับไม่ถ้วน
ให้พิจารณาให้เกิดความเบื่อหน่าย หายความรักความชังเสียเถิด แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง
🌷🌷4. เกิดเป็นคน "ให้มีดี 3 อย่าง"
1.ใจดี 2.พูดจาดี 3.ทำแต่สิ่งดีๆ แล้วเราจะได้ของดี อย่ามัวเมามาขอแต่ของดีจากพระ จงทำดีเอาคนเดียว
ท้ายที่สุดนี้... เราขอเมตตาให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีสติมีปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสาร ให้ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตะสุขยิ่ง
ตราบใดยังไม่ถึงพระนิพพาน ได้เวียนว่ายตายเกิดทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ดีเป็นบัณฑิต ขอให้ได้สร้างบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม ให้ทำประโยชน์ตน ประโยชน์แก่ญาติแก่สังคม ประโยชน์แก่ชาวโลก ให้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการด้วยเทอญ
ข้อธรรมทั้งหมดนี้.. ข้าพเจ้า "ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร" ได้เขียนบันทึกเมตตาไว้ ในปีพุทธศักราช 2550 ขณะเข้าจำพรรษา ณ ถ้ำมหาโพธิสัตว์ราชคฤห์ จ.ลำปาง
" ความหลุดพ้น
ปล่อยวาง แม้กระทั่งสิ่งที่ถูก
อย่าปล่อยวาง โดยความยึดมั่น ถือมั่น
อย่า ยึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งในสิ่งที่ ถูกต้อง
เมื่อเห็นว่า เรา ถูกแล้ว
ก็เห็นว่า เรา ไม่ผิด
แต่ ความเป็นจริงแล้ว
ความผิด มันฝังอยู่ใน ความถูก
แต่เรา ไม่รู้จัก
นี่คือ ทิฏฐิมานะ
ทิฏฐิ คือความเห็น
มานะ คือความยึดไว้ถือไว้
ถ้าเรายึด ในสิ่งที่ถูก
ก็เรียกว่า มันผิด ถือถูก นั่นแหละ
ยึดมั่น ถือมั่น ในความถูก
ไม่เป็นการ...ปล่อยวาง
เมื่อ...
ปัญญารู้แจ้ง เห็นจริงแล้ว
วาง...ทันที
วาง...ตัวปัญญานั้น อีกที
เข้าสู่... ความว่าง
อยู่กับ...ความว่าง."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เมื่อต้องการ "โลกุตระ" ต่อไป ให้ "รวมสิ่งที่เรารู้เราเห็น" ทั้งหมดเข้ามาเป็น "จุดอันเดียว" คือ "เอกัคคตารมณ์" ให้เห็นเป็นสภาพ "อันเดียว" กันทั้งหมด เอา "วิชชาความรู้" ทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามา "รวมอยู่" ใน "จุดอันนั้น"
จนรู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายนี้ "เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป" เป็นธรรมดา แล้ว "อย่ายึดถือ" ใน "สิ่งที่รู้" ที่เห็นมาเป็น "ของตน"
อย่ายึด "ความรู้ความเห็น" ที่เกิดจากตนมาเป็นของตน ให้ "ปล่อยวาง" ไปเสียตามสภาพ
ถ้าไปยึด "อารมณ์" ก็เท่ากับ "ยึดทุกข์"
"ยึดความรู้" ของตนจะเกิดเป็น "เหตุแห่งทุกข์" คือ "สมุทัย"
ฉะนั้น "จิตที่นิ่ง" เป็น "สมาธิ" แล้วเกิด "วิชชา" วิชชานั้นเป็น "มรรค" สิ่งที่ให้เรารู้ต่างๆที่ผ่านไปผ่านมาเป็น "ทุกข์"
"จิต" เราอย่าเข้าไป "ยึดเอาวิชชา" อย่าเข้าไปยึดเอา "อารมณ์" ที่มาแสดงให้เรารู้
"ปล่อยวาง" ไปตามสภาพ ทำจิตให้สบายๆ ไม่ "ยึดจิต" ไม่ "สมมุติจิต" ของตนเองว่า "เป็นอย่างนั้นอย่างนี้" ถ้ายัง "สมมุติตน" เองอยู่ตราบใด ก็เป็น "อวิชชา" อยู่ตราบนั้น
เมื่อ "รู้" ได้โดย "อาการ" อย่างนี้ก็จะกลายเป็น "โลกุตระ" ขึ้นในตน จะเป็น "บุญกุศล" อย่างประเสริฐสูงสุด ในฐานะที่เป็น "มนุษย์พุทธบริษัท" ของพระพุทธเจ้า
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
#สักแต่ว่าดูรู้เห็น
เราต้องพยายาม มี ธรรมะ กันให้ได้
ตรงที่ #เมื่อตาเห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้กลิ่น ฯลฯ นี้
โดยที่เรา ศึกษาอบรม อยู่เป็นประจำ ถึงหัวข้อที่ว่า " #สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น "
แปลว่า คนธรรมดา เขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้ว ก็เกิดเวทนา แล้วเกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ
นี้ .. เป็นทางเดิน ที่เดินกันจนโล่งเตียนไปหมด เดินง่ายที่สุด .. แต่เราไม่เอาอย่างนั้น
พอมี #ผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับไปเดินในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง ตัวกู - ของกู
แม้ จิต เดินไปถึงเวทนาแล้วก็ตาม ยังยักกลับไปทางของสติปัญญา ก็ได้ไม่ลอยไปตามกระแสแห่ง ตัวกู - ของกู
อย่างนี้ ไม่มีทุกข์เลย , ทุกวันทุกคืนจะไม่ทุกข์เลย
ถ้าทำได้เก่ง คือ ทำไปตามวิธีที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ก็เป็น พระอรหันต์ ได้ในตัวเอง
ถ้าจะเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็มีหลักง่าย ๆ คือ หลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแก่พระสาวก ชื่อ พาหิยะ ว่า
#ดูกรพาหิยะ ..
#เมื่อใดเธอเห็นรูปสักว่าตาเห็น , #ได้ฟังเสียงสักว่าหูได้ยิน
#ได้ดมกลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น , #ได้ลิ้มรสก็สักว่าได้ชิม
#ได้สัมผัสผิวหนังก็สักว่าเป็นการกระทบทางผิวหนัง , #จะนึกคิดขึ้นมาในใจก็สักว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ
เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้น ตัวเธอจักไม่มี [ คือ ตัวกูไม่มี ]
เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้นหรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ใหนก็ตาม มันก็ไม่มี
นั่นแหละ คือ ที่สุดของความทุกข์ .. นั่นแหละ คือที่สุดของความทุกข์ , นั้นแหละ คือ นิพพาน
เมื่อใดเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อนั้นเป็นนิพพาน
ถ้าเป็นถาวร ก็เป็นนิพพานถาวร , ถ้าเป็นชั่วคราว ก็เป็นนิพพานชั่วคราว
นี่แปลว่า เป็นหลักเพียงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น
จะปฎิบัติวิธีใหน ก็ให้เป็นไป เพื่อ เฉยได้ หรือ หยุดได้ ต่ออารมณ์ที่มากระทบทั้งนั้น
จะทำ วิปัสสนา แบบใหนก็ตามเถอะ ถ้าถูกต้องหรือไม่หลอกลวงกันแล้ว ก็ต้องมาในรูปนี้รูปเดียว
คือ ในรูปที่อารมณ์ไม่ปรุงแต่ง ให้เกิดความรู้สึกว่า ตัวกู - ของกู ขึ้นมาได้
และอันนี้ มันไม่ยากที่จะทำลายกิเลส
เพราะเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ มันทำลายกิเลสของมันเอง มันฆ่ากิเลสอยู่ในตัวมันเอง
พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
เมื่อเดินสุดทางอริยมรรคแล้ว จะเป็นแบบนี้
"ทุกข์ นั่นแหละมีอยู่ แต่ผู้มีทุกข์หามีไม่
การกระทำนั้นมีอยู่ แต่ผู้กระทำไม่มี
นิพพานนั้นมีอยู่ แต่คนผู้นิพพานไม่มี
ทางก็มีอยู่ แต่ผู้เดินทางไม่มี"
950 ภาวะนิพพานชั่วคราว..
นิพพาน คือ..สูญจากกิเลส..ตัณหา..อุปทาน
สูญจากอวิชชา..เวียนว่ายตายเกิด..เริ่มจาก
" กิเลสนิพพาน..ช่วงดับกิเลส.. แต่ยังดำรงขันธ์อยู่ ยังมีชีวิตอยู่
.." ขันธ์นิพพาน. .ทั้งดับทั้งกิเลสและขันธ์๕ดับ..ละสังขาร..แต่พระธาตุยังอยู่.
.." ธาตุนิพพาน"..ทั้งดับกิเลส ทั้งละสังขาร แม้แต่พระธาตุ.ก็หายไป..
เมื่อครบ๕๐๐๐. ปี..พระบรมสารีริกธาตุจะรวมตัว
เป็นกายพระพุทธองค์..ตรัสเทศนาครั้งสุดท้าย
แล้วพระธาตุทั้งหมดจะหายไป..หมดศาสนา
แห่งพุทธะ..
**...จริงแล้วกิเลส ขันธ์๕ ธาตุ๗..มันเกิดดับตลอด
เวลาอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด..เรียก" สันตติ"
....ถ้าจิตมีสติละเอียด..จะเห็นอาการเกิดดับถี่ยิบ
แต่เราไม่มีกำลังพอ..ยังจมในอวิชชา..
จิตเราไม่ตื่น..โพล่งตื่นรู้แจ้ง.จิตขาดพละ๕..ในการหยั่งรู้
สภาวะนี้..นิโรธ..จึงไม่เกิด
**ในช่วงที่สิ่งสมมุติปรุงแต่งทั้งหลายดับชั่วคราว
ทั้งจากอำนาจของฌาน..อำนาจวิปัสสนา
เรียก.." นิพพานชั่วคราว".หรือ." ตทังคนิพพาน"
ทางมหายานเรียก." สูญตา"
**..อุปมาเหมือนดวงอาทิตย์..ที่เมฆหมอก..เลือน
หายชั่วคราว...
**..แต่ถ้าช่วงนี้ ถ้าจิตตื่น.สติปัญญา.
มรรคสมังคี..แจ้งไตรลักษณ์.แจ้งอริยสัจ๔
.เห็นธรรมชาติของสรรพสิ่งมีแต่เกิดดับ.
.
**.......แล้วจิตปล่อยวางถือมั่น
ก็จะเข้าสู่สภาวะนิพพาน อย่างแท้จริง..เป็น
" สมุทเฉทประหาร" บรรลุฉับพลัน…***
มีผู้สอนศาสนาบางคนเขาสอนว่าเฉยๆ เป็นโมหะ แล้วเฉยอย่างไรเจ้าค่ะ จึงจะเป็นเฉยในโลกุตร ถ้าเราชอบความว่างก็จะกลายเป็นอรูปฌานอีกใช่ไหมเจ้าค่ะ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ตอบ :
คำว่าเฉยก็ดีก็คือใจเป็นผู้เฉย ไม่สำคัญว่าตนเป็นเฉย เฉยเป็นตน เป็นแต่สักว่าเฉย แล้วมันก็ปล่อยเฉยอยู่ในตัวแล้วเพราะรู้เท่าทัน ถ้าไม่ว่าเรารู้เท่าทันก็ใช้คำว่า “ปัญญารู้ทัน” และบางแห่งพระบรมศาสดาก็บอกว่า มีสติกับอุเบกขาวางเฉยต่อสังขารทั้งปวง เป็นการทำลายความโง่ไปในตัวที่เรียกว่า อวิชชา เป็นโลกุตรด้วย
อนึ่ง มันก็มีเฉยหลายอย่าง เฉยเกียจคร้านทำงานทำการมันก็เป็นโมหะ การงานในที่นี้หมายเอาปัญญาภาวนาที่เรียกว่า “วิปัสสนา” เห็นสังขารเกิดดับพร้อมกับลมหายใจออกเข้าแล้ววางเฉย จะเรียกโมหะไม่ถูกเพราะพักปัญญาชั่วคราว
และเมื่อเราชอบความว่าง เป็นอรูปฌานก็มี ไม่เป็นก็มี
ที่ไม่เป็นนั้นคือความว่างจากเรา จากเขา จากสัตว์ จากบุคคลนั้นมันเป็นว่างที่มีปัญญา รู้ชอบเรียกว่ารู้ตามเป็นจริงแห่งปัญญา และก็ไม่สำคัญว่าว่างนั้นเป็นตน ตนเป็นว่างด้วย ถ้าไม่สำคัญอย่างนั้นกิเลสก็แตกกระเจิงไปหมดแล้ว ไม่ใช่อรูปฌานเลย....
ที่เป็นอรูปฌานนั้นเพราะไม่มีปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาสัมปยุตอยู่ในขณะเดียวก็เลยกลายเป็นอรูปฌาน อรูปฌาน ๔ นั้นโดยใจความคือไม่เห็นอนัตตาธรรมนั่นเอง และก็เข้าใจว่าอรูปฌานนั้นเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนอยู่
" รู้...อยู่ที่เดียว
สติสัมปชัญญะ - สัมมาสติก็อันเดียวกัน นั่นล่ะ
มีหน้าที่กำหนดรู้
ที่เกิด ของธรรม ที่ดับ ของธรรม
รู้... อยู่ที่เดียวนี้ล่ะ
ละ อยู่ที่เดียวนี้ล่ะ
วาง อยู่ที่เแดียวนี้ล่ะ
การปรารภความเพียร ก็เอาสตินี้ล่ะ
เวลาเกิดความคับขัน ก็ให้น้อมเข้ามา
ปฏิบัติอยู่...
ให้เพียรเพ่งอยู่จนหายสงสัย
อันนี้ สำคัญมาก
เพ่งเข้ามาสู่จิต สู่ใจ
อย่าไปเพ่งออกภายนอก
เพ่งจนหายสงสัย
จนไม่มี เกิด ไม่มี ดับ
พราหมณาจารย์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เพียรเพ่งอยู่จนมันดับไปเอง
แม้...เกิดขึ้นแล้ว มัน ก็ดับไปเอง
แต่อย่าเข้าไปยึดถือในอะไร ๆ
สิ่งที่มันปรุงขึ้น แต่งขึ้น มักจับมัน ไม่ทัน
ให้เพ่งจับอยู่เฉพาะในปัจจุบัน
อย่าไปเพ่งอดีต - อนาคต
อดีต เป็นธรรมเมา
อนาคต เป็นธรรมเมา
พราหมณาจารย์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เพ่งอยู่ภายใน ต้องเพ่งเข้าสู่ภายใน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเกิดขึ้น
มัน ก็ดับไปเอง
อย่า เข้าไปยึดถือสำคัญมั่นหมาย
ว่า เป็นสิ่งนั้น ว่า เป็นสิ่งนี้
เพ่งอยู่...จนหายสงสัย
ถ้าหายสงสัย มันก็ได้บรรลุมรรคผล-นิพพาน
เท่านั้นล่ะ
การเพ่ง...
อย่า ให้มันออกไปข้างนอก
ให้เพ่งเข้ามาหาใจ
ให้เข้าสู่...ใจ
ให้เข้าสู่...ฐิติภูตัง
ให้ตั้งอยู่...ในธรรม
อันไม่ไป ไม่มา ไม่เข้า ไม่ออก."
______________________________________
(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง
สังขารมีทุกข์ประจำ เป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์
พิจารณาเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้
เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา
ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ
อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี
อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็น
อยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว
เจ้าความอยาก ทั้ง ๓ นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา
ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับ คือนิโรธเสียได้
จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา
ที่ท่านเรียกว่า "มรรค ๘"
ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้
เพราะอาศัย"ศีล"บริบูรณ์
"สมาธิ" เป็นฌาน
ปัญญา"รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง"
หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
และดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้
ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้
ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้
ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔
ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง
จน"จิต" ครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้
ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และอริยสัจ ๔
แต่อย่าเพิ่งพอ หรือคิดว่าดีแล้ว
ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป
จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้ว
นั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้า มีจิตไม่ส่งออกนอก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นวิหารธรรม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่..
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
1008..จิตตกกระแสพระนิพพาน
คือ ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรม –ธรรมชาติ(เกิด-ดับ)
คือ ผู้มีความเห็นถูก เห็นผิด สิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ (ศีล)
คือ ผู้ที่ไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เพราะมันประจักษ์ในใจ ซาบซึ้งในใจในกระแสแห่งพระรัตนตรัย กระแสแห่งความจริงกระแสแห่งไตรลักษณ์ ในหัวใจตนเอง
เพราะ เห็นเส้นทาง แนวปฏิบัติ เพื่อที่จะให้บรรลุนิพพาน และพากเพียรจะไปให้ถึง
ผู้มีจิตตกกระแสพระนิพพาน คือ ผู้พิจารณา จนเกิดปัญญา ในไตรลักษณ์
คือ พระโสดาบันบุคคล ผู้ตัดขาดจากอบายภูมิ อย่างช้าเป็นพระอรหันต์ ไม่เกิน 7 ชาติ
มโนธาตุ โพธิญาณ
เวลานั้นองค์สมเด็จพระทศพลเสด็จมาพอดี
ทรงประทับยืนอยู่เหนือศีรษะด้านหน้า
มีแสงสว่างมาก แล้วท่านตรัส ท่านบอกว่า
"คุณ คนที่ปฏิบัติอยู่แล้วทั้งหมดนี้กำลังใหญ่
คือ เข้าถึงนิพพานทุกคน แต่ทว่าเพื่อความไม่ประมาทให้เขาทำอย่างนี้
วันหนึ่งจะใช้เวลาไหนก็ได้ เวลาที่ใจสบาย
ถ้าเวลาอื่นมันติดงานมากก็เอาเวลานอน
นอนก่อนจะหลับ หรือว่าตื่นใหม่ๆ ใจสบาย
เอาจิตจับนึกถึงท่าน (พระพุทธเจ้า)
ถ้าบุคคลใดไม่ได้ทิพจักขุญาน
ก็นึกภาพเอาเอง กำหนดภาพพระพุทธเจ้า
หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง
ให้เป็นประกาย บังคับจิต ถ้าเห็นเป็นสีเหลือง
ก็บังคับให้เป็นสีแก้วให้ได้ ทำอยู่อย่างนี้
ไม่กี่วันหรอกก็เป็น ให้จิตมันเป็นฌาน
ถ้านึกถึงเมื่อไรก็เห็นพระพุทธเจ้าเป็นสีแก้ว
เป็นประกายทุกวัน"
องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ ท่านบอกว่า
ให้เขาทำอย่างนี้นะ ทุกวันอย่าได้ขาด
วันหนึ่งใช้เวลา ๒ ถึง ๓ นาที ก็ไม่เป็นไร
ฉันไม่จำกัดเวลา ว่าจะใช้เวลานานหรือเร็ว
ถ้าเขาทำอย่างนี้ได้ทุกวัน แล้วก็ทรงอารมณ์
ตามที่บอกไว้ คือ
๑) นึกถึงความตายไว้ อย่าประมาทในชีวิต
๒) เคารพในพระรัตนตรัย
๓) ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
๔) จิตหวังพระนิพพานอย่างเดียว
ท่านบอกว่าเป็นอย่างนี้ละก็ ถ้าก่อนอายุขัย
ของเขา ๗ วัน ท่านกำหนดให้เลยนะ
ว่าก่อนอายุขัยอีก ๗ วัน ต้องตายแน่อยู่ไม่ได้
ตอนนั้นกระแสจิตของเขาจะเห็นภาพ
ในอากาศเต็มจักรวาล ทั้งพระพุทธเจ้าก็ดี
พระอรหันต์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี
แพรวพราวไปหมด และก็หลังจากนั้นไป
เมื่อกำลังใจของตนจะพ้นกำหนด
ในการทรงสังขาร
สมเด็จพระพิชิตมารบอกว่า
จะเข้าถึงอรหัตผลทันที
________
จากหนังสือ "พระคุณพ่อ" ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิด
พระราชพรหมยาน หน้า ๑๑๔ คัดลอกโดย
คณะบุญสุประวีณ์
FB : กุลปราการ นันทิกานต์
SPACE TO SPACE...
จิตคืออะไร ทำไมต้องฝึกจิตให้มันแยกตัวออกจากความคิด
ประการที่ 1....เพราะเราไม่สามารถสั่งสมองให้หยุดทุกข์หรือมีความสุขได้ นั่นแปลว่า มีบางสิ่งอีกอย่างที่ไม่ใช่ความคิดอยู่ภายในเรา เบื้องต้นเราเรียกมันว่า "จิต" ก่อนละกัน
ประการที่ 2 ..... เพราะคำว่า"ชีวิต" มีพลังงาน 2 สิ่งที่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว มันคือ ลมหายใจกับความคิด เมื่อมีลมหายใจ จึงมีความคิด เมื่อไม่มีความคิด..
พลังงานทั้งหมดจะอยู่กับชีวิต กลายเป็น"พลังชีวิต" ที่มีแต่ลมหายใจ เราจะเรียกมันว่า "ปราณ" หรือ "ชี่" พลังงานนี้เป็นพลังงานเดียวกับพลังงานในจักรวาล
ที่ก่อกำเนิดทุกสรรพสิ่ง ไม่หยุดนิ่ง เคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง ไม่เชื่อมโยง ไม่สัมพันธ์กัน เป็นอิสระต่อกัน
เมื่อปราณเป็นลมหายใจที่ไม่มีความคิด เมื่อไม่มีความคิด จึงหมายถึงความว่าง ..ปราณจึงเป็นลมหายใจในความว่าง เป็นการการเคลื่อนลมจากภายนอกสู่ภายใน
มีความละเอียดอ่อน เป็นเนื้อเดียวกลมกลืนกับ Space ของด้าน Ralative (โลกมิติเมื่อมีการลืมตา)
ส่วนคลื่นพลังงานละเอียดนี้ ในด้าน Absolute(โลกมิติของการหลับตา) เราเรียกมันว่า Consciousness หรือ จิต ซึ่งเคลื่อนอยู่ในความว่าง(Space) เช่นกัน
Absolute เป็นสภาวะของการไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ นิ่ง เงียบ สงบ จิต จึงมีคุณสมบัติของความนิ่ง เงียบ สงบ ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ความมีชีวิตมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อ มีการเคลื่อนของ Conscioussness (SPACE TO SPACE) จาก Space ของ Absolute มายัง Space ของ Ralative โดยผ่านปราณ .. Consciousness หรือ จิต จึงเป็นตัวเชื่อมโยงและปรากฏในทั้ง 2 สภาวะ เป็นการเคลื่อนจากแหล่งพลังงานศักย์ มาเป็นพลังงานจลน์ (หยุดนิ่ง สู่ การเคลื่อนไหว)....
แต่เนื่องด้วยมนุษย์มีสมอง ซึ่งมีคุณสมบัติในการคิด การคิดต้องใช้พลังงานเช่นกัน ดังนั้นกำลังของจิตในด้าน Ralative จะลดลง เพราะถูกใช้ไปกับการคิด
เมื่อเกิดการคิด สภาพเดิมของจิต คือ นิ่ง เงียบ สงบ จึงถูกผลักให้เคลื่อนไหวไปตามความคิด ในที่สุดคงเหลือแต่ความคิดที่เข้าไปครอบงำจิต ความสงบสุขภายในหายไป
แหล่งซึมซับความพอใจภายในหายไป เปลี่ยนเป็นบันทึกสะสมจากความคิดเข้ามาทำงานแทนทั้งหมด ชีวิตเริ่มสัมผัสการวนเวียนแต่ในความคิดลบ จมอยู่ในความทุกข์ อย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว และมิอาจแก้ไขได้ด้วยปัญญาความรู้จากภายนอก
ในเมื่อปัญหาเกิดจากข้างในทำงานคลาดเคลื่อน หนทางออกจึงควรเริ่มต้นที่จะแก้ไขจากภายใน นั่นคือการฝึกจิต ความหมายของการฝึกจิต จึงเป็นการที่เราจะแยกจิตออกจากความคิด คำว่า"แยกออกจากกัน" จึงหมายถึง การสร้างช่องว่าง "SPACE" เพื่อให้จิตกลับเข้าไปอยู่ในที่ว่างเดิมของตัวมันเอง กลับไปสู่ความนิ่ง เงียบ สงบ โดยใช้เส้นทางเดิมที่มันเดินทางมา Space to Space แต่เป็น Space ของ Reative สู่ Space ของ Absolute
ดังนั้นการฝึกจิตจึงไม่จำเป็นใดๆที่จะต้องสร้างความคิดอื่นหรือเรื่องราวใหม่ เพื่อมากดเก็บ ปิดกั้น กีดขวาง ....การเกิด การเคลื่อนของความคิดกับความว่าง ที่เป็นธรรมชาติ
การเคลื่อนของจิตจาก Absolute มา Relative เป็นการเคลื่อนของ Pure Consciousness แต่ใน Relative หรือโลกกิจกรรม ได้สร้างสิ่งสะสมมากมายมหาศาลใส่เข้าไปใน Consciousness ดังนั้น เส้นทางการจะเคลื่อนกลับ จึงต้องใช้การฝึกจิตแบบธรรมชาติที่มันเดินทางมาโดยเข้าไปสัมผัสความว่างเป็นประจำ
เมื่อจิตแยกตัวออกมาอยู่นิ่งในที่เดิมของมันเอง มันจึงเห็นการเคลื่อนออกของความคิดตั้งแต่ภายใน สภาวะเช่นนี้เราเรียกว่า Awakening และ Awareness การตื่นตัวและตระหนักรู้ของจิตพร้อมๆกันจากภายใน จิตเลิกวิ่งตามความนึกคิด การคิดจากระดับนี้ไม่ได้ใช้พลังงานใดๆ เป็นการคิดที่เกิดจากการรู้ การเห็น และอยู่ในความจริงแท้ มันจึงไม่เหนื่อย.. เหมือนทั่วๆไป......Ariya Oneness