พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 14 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 340 **พระอรหันต์สายสุกขวิปัสสโก**
+ +
ในเช้าของวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมถึงองค์พระอรหันต์แบบที่ 1* น่ะเจ้าค่ะ
องค์พระอรหันต์แบบที่ 1 หรือสายที่ 1 นั้น ท่านมีสภาวธรรมเป็นแบบไหน
ท่านยึดหลักการประพฤติปฏิบัติยังไงหรือเจ้าคะ ท่านจึงสามารถประพฤติปฏิบัติจนเป็นองค์พระอรหันต์ได้ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี การที่ลูกนั้นตั้งใจฟัง จะช่วยให้ลูกนั้นเข้าใจในธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เข้าใจอย่างแท้จริง
ทำใจของตนให้สงบเถิด
อย่าปล่อยความคิดให้มันฟุ้งซ่านไปทางโน้นทางนี้น่ะลูก
เพราะธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของสายแต่ละสายขององค์พระอรหันต์นั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ..
-- เพราะจะเป็นแนวทาง ที่ทุกดวงจิตจะใช้ยึดเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อเข้าสู่พระนิพพาน**
ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่อย่างน้อยก็เข้าใจว่ามีหนทางคร่าวๆไว้ประมาณนี้ อย่างน้อยก็รู้แล้วเห็นแล้ว เข้าใจบ้าง
พระยาธรรมเอย.. ในสายที่ 1 ของการเป็นองค์พระอรหันต์นี้ เรียกว่า การเดินทางเข้าสู่พระนิพพานเส้นทางที่ 1* จะเรียกว่าอย่างนี้ก็ได้ และก็มีนาม มีชื่อสมมุติเรียกไว้ในคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ว่า *สุกขวิปัสสโก* ซึ่งเป็นพระอรหันต์ที่สมมุตินามขึ้นมา ตามรูปแบบของการประพฤติปฏิบัติตาม
พระยาธรรมเอย.. องค์พระอรหันต์ในรูปแบบที่ 1 หรือสายที่ 1* นี้ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะมีเพียงแค่ความดีที่ตั้งใจทำ เป็นสิ่งนำพาให้ชำระกิเลสจนสิ้น แล้วเข้าสู่พระนิพพาน
โดยไม่ได้มีญาณวิเศษอะไร คือจะไม่มีความรู้หรือญาณรู้อื่นๆ นอกเหนือจากการรู้ว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเช่นไร เพื่อที่จะดับกิเลสแห่งตนได้ ท่านจะรู้เพียงเท่านี้
เช่น ท่านก็จะรู้ถึงการทำความดีว่า..
การที่เราจะดับการเกิดแห่งตนได้ เราจะต้องมีศีล เราจะต้องมีการทำความดี โดยการทำทานแก่ผู้อื่น เพื่อชำระ ความโลภ ความหลง กิเลสแห่งตน เราจะต้องมีสติตั้งมั่น มีการฝึกสมาธิให้จิตของเรานิ่ง เมื่อจิตของเรานิ่งพอ เราก็จะเอากำลังแห่งจิตนั้นค่อยๆมาพิจารณาให้รู้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ตามธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนสั่งเอาไว้
ทีนี้องค์พระอรหันต์ในแบบนี้ ท่านก็จะตั้งใจทำความดีอย่างแท้จริง
อยู่บนศีล.. ก็จะรักษาศีลอย่างจริงจัง แท้จริง ตั้งใจแน่วแน่
ทำสมาธิ.. ถ้าได้ตั้งสติไว้ในอารมณ์ใดแล้ว - ก็จะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์นั้น
ไม่สับสนวุ่นวาย ไม่โยกจิตออกไปทิศทางอื่น
รักษาอารมณ์นั้นให้สงบนิ่งเข้าไว้
เช่น การดูลม หายใจ เข้าออก ท่านก็จะตั้งมั่นดูลมหายใจ เข้าออก อย่างเดียว ดูจนเข้าสู่ฌานในระดับฌานต่างๆ
-- แต่ท่านจะไม่รับรู้ ไม่ดูไม่เห็นสิ่งอื่นใด..นอกจากความสงบที่เกิดขึ้นในจิตของท่าน --
ท่านก็จะอาศัยกำลังแห่งฌานสมาธิหรือความสงบนั้น มาเติมพลังให้กับจิต ให้จิตนั้นมีปัญญา ตรึกตรองทบทวน รู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิดขึ้น มีอยู่ และดับไป
.. แล้วค่อยๆ
ถอดถอนความยึดติดลุ่มหลง ทั้งตัวเรา ตัวเขา
ถอดถอนความยึดติดลุ่มหลงในตัวบุคคล ลาภยศ สรรเสริญ สิ่งต่างๆทั้งหลายที่เป็นกิเลส หลอกตาหลอกใจ
... ท่านก็จะค่อยๆรู้ตาม ถอดถอนตามไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
พิจารณาถึง ความไม่เที่ยงบ้าง
พิจารณาถึง กฎแห่งกรรมบ้าง
พิจารณาถึง ธรรมะบ้าง
แล้วก็ฝึกจิตตน ให้นิ่งอยู่ในสมาธิ ให้อยู่ในการรักษาศีล ดูจิตของตนให้มันสงบ
ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้เป็นปี 2 ปี 10 ปี 20 ปี.. ก็อยู่อย่างนี้ จนความดีที่ตนนั้นมุ่งมั่นตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติ ค่อยๆส่งผลค้ำหนุนดวงจิตดวงนั้นให้ค่อยๆรู้ตื่น รู้แจ้งขึ้นเรื่อยๆ
เพราะว่าความดีค้ำหนุนจิตให้ออกจากกิเลสตัณหา ไกลขึ้นทุกวันๆ..
จิตดวงนั้น ก็จะยิ่งรู้วิธีของการถอดถอนกิเลส ดับกิเลสละเอียดอ่อนขึ้นทุกวันๆ
จิตดวงนั้น ก็ยังคงทำความเพียรเช่นนั้นอยู่เรื่อยๆ เรื่อยๆ
จนวันหนึ่ง ที่..
จิตดวงนั้นสามารถที่จะหลุดจากกิเลสทั้งหลาย กรรมทั้งหลาย ผลของกรรมทั้งหลาย
จิตดวงนั้นหลุดจากการยึดเอา ถือเอา สิ่งทั้งหลายบนโลกนี้เป็นตัว เป็นตนเป็นของตน จนเกิดการวางเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้.. จนสำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ *
เช่นนี้ละ พระยาธรรม รูปแบบที่ 1* ที่องค์พระอรหันต์บางกลุ่ม เขาเลือกที่จะเดินตามทางเส้นนี้..
ไม่รับรู้สิ่งใด นอกเหนือจากการ ดูใจ ดูกาย ดูจิตของตน
ให้อยู่ในกรอบของความดี
ให้อยู่ในกรอบของความสงบ
ให้อยู่ในกรอบของการชำระกิเลส
ให้รู้แจ้งรู้ตื่นตามคำสอนสั่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นอดีตชาติ ไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ ไม่มีญาณวิเศษอื่นๆ - ท่านก็ไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านั้น เพราะท่านได้รู้ เข้าใจ หนทางที่จะทำให้กิเลสทั้งปวง.. สิ้นไปจากตัวของท่านแล้ว
ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องเห็น ท่านก็รู้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริง รู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยการเข้าถึงของจิตดวงนั้น
ถึงแม้ท่านจะไม่เห็นว่า ชาติก่อน หรือชาติหน้าจะเป็นยังไง แต่ละคน แต่ละดวงจิตจะเป็นแบบไหน.. ท่านก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าตัวของท่านนั้น รู้วิธีของการทำตนให้เข้าใจ โดยที่ไม่ต้องเห็นก็ได้ /
ท่านนั้นสามารถเข้าใจได้ ทั้งที่ไม่เห็น
ท่านมีปัญญามากพอ ที่จะรู้ถึงสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
ท่านรู้กิเลส รู้ตัณหาในตน รู้กิเลส รู้ตัณหา ตามที่องค์พระพุทธเจ้าทรงสอนสั่ง
/ เห็นโลกนี้เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา
/ เห็นโลกนี้เต็มไปด้วยของไม่เที่ยง ของไม่มีอยู่จริง
/ เห็นโลกนี้มีแต่ความวุ่นวาย น่าเบื่อหน่าย ยิ่งนัก
- แล้วก็มีจิตที่ตั้งมั่นต่อองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างตั้งใจ อย่างแน่ใจ โดยไม่ซัดส่ายไปทางอื่น -
เพราะองค์พระอรหันต์ในแบบนี้ ไม่ค่อยจะคิดมาก ไม่ค่อยจะลังเลสงสัยมาก ไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากมาย.. เพราะว่ามีความศรัทธามั่นคงอยู่แล้ว
ศรัทธา เชื่อในองค์พระพุทธ เชื่อในองค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
จึงมั่นใจในการทำความดีเป็นหลัก โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็น หรือต้องรู้ ต้องพบ ต้องเจอด้วยตัวของตนเอง เพียงแค่มุ่งมั่นตั้งใจ ทำความดีตาม ให้ความดีในแต่ละอย่างที่ตนทำนั้นปรากฏชัดเจนแก่ตนขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
จนตนนั้นสามารถอาศัยความดีเหล่านั้น..
ชำระกิเลส คือ “ความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ” แห่งตนได้
ชำระตัณหาคือความอยากและความไม่อยากแห่งตนได้
สามารถถอดถอน รู้แจ้งตามความเป็นจริง ว่า..
รูป ไม่เที่ยง
เวทนา ไม่เที่ยง
สัญญา ไม่เที่ยง
สังขาร ไม่เที่ยง
วิญญาณ ไม่เที่ยง
-- รูปไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไมใช่เขา ไม่มีอยู่ในเรา --
เราก็คือ ดวงจิตอันบริสุทธิ์ ส่วนสิ่งทั้งหลายที่มีเหล่านี้..
- มันเป็นเรื่องของกิเลส
- มันเป็นเรื่องของกรรม
- มันเป็นเรื่องของผลของกรรม
จิตของเราควรละเสีย ซึ่งความยึดติดในตัวในตน
จิตของเราควรละเสีย ซึ่งการลุ่มหลงว่านั่นคือเรา คือของเรา
จิตของเราควรทำแต่ความดี เพื่อไม่ให้จิตนั้นตกต่ำลงไปอีก
จิตของเราควรละจากการทำชั่วทั้งปวง
-- เพื่อจิตของเรานั้นจะได้หลุดพ้นจากกรรมดีและกรรมชั่ว หลุดจากการยึดติด การมี การลุ่มหลง การเวียนว่ายตายเกิด - เราจะได้ไปสู่พระนิพพาน ++
พระยาธรรมเอย.. องค์พระอรหันต์ สุกขวิปัสสโก สายที่ 1 แบบที่ 1* นั้น มีสภาวธรรมเป็นเช่นนี้ละลูก ท่านรู้ตื่นด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ความดี รู้ตื่นด้วยความศรัทธามั่นหมายว่า ท่านจะต้องประพฤติปฏิบัติตาม องค์พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ท่านมีความตั้งใจอย่างนี้ เช่นนี้ โดยไม่มีความคิดอื่นๆฟุ้งซ่านมากมาย
ท่านจึงแน่วแน่ตั้งใจในความดี
* อยู่บนศีลที่บริสุทธิ์
* อยู่บนธรรมที่สว่างไสว
* อยู่ตามการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี
ทำความดี จนจิตของท่านละกิเลสได้แล้ว - ท่านก็สามารถดับการเกิดได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีญาณวิเศษอะไรมากมาย
องค์พระอรหันต์ในรูปแบบนี้ ก็จะตรงกับจริต หรือว่านิสัยของดวงจิตในกลุ่มที่ มีศรัทธานั้น เป็นตัวนำ ของความรู้สึกในจิต
เมื่อมีศรัทธา..ก็เลยไม่มีความสงสัยมากมาย ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องทดสอบอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น เชื่อ ทำตามว่าจะดีแน่ แล้วพิจารณาตามให้เห็นตาม จนถอดถอนกิเลส จนหมดจนสิ้น เท่านั้นละ.. พระยาธรรม
จิตกลุ่มนี้จึงเป็นจิตที่มีความศรัทธานำ จึงไม่สงสัย ไม่วุ่นวาย การประพฤติปฏิบัติ จึงเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
ตั้งใจมีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา
ตั้งใจเอาความดีเหล่านั้น กลับมาถอดถอนรูป ถอดถอนนาม ถอดถอนกิเลสที่มีอยู่เป็นอยู่ จนจิตดวงนั้นสามารถรู้แจ้งในกายนี้ ว่าไม่เที่ยง รู้แจ้งในตัวในตนว่าไม่มี แล้วสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ อย่างนี้ละ ..พระยาธรรม
แล้วที่กล่าวมาในสายหนึ่งๆนั้น หรือรูปแบบหนึ่งๆนั้น ไม่ใช่ตัวใช่ตนของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง พระยาธรรมเอย..
แต่มันเป็นหนทางที่เป็นหนึ่งสายของการเดินทาง แนวทางการประพฤติปฏิบัติที่เป็นไปตามจริต นิสัยของดวงจิตบางกลุ่ม ที่สามารถยึดหลัก แนวทางนี้ เข้าสู่พระนิพพานได้ ซึ่งไม่ผิดอะไร
ถ้าไม่อย่างนั้น เดี๋ยวก็จะกลัว จะตกใจว่า ทำไมเราไม่รู้อย่างเขา ไม่เห็นอย่างเขา ทำไมไม่เป็นอย่างเขา เราเป็นอย่างเรานี่หละดีแล้วลูก จะเป็นแบบไหนก็ตาม ขอให้ไม่ผิดไปจากแบบ ทำความดี ละกรรมชั่ว ทำความดีชำระกิเลส จุดมุ่งหมายคือพระนิพพาน
ถือว่าใช้ได้ ถือว่าไม่ผิดหลักคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ที่จิตทั้งหลาย จะต้องมีรูปแบบของการปฏิบัติในแบบต่างๆ ก็เพราะว่า เชื้อแห่งกิเลสที่มันเกาะกลุ่มจิตดวงนั้นมานานจนกลายเป็นนิสัย หรือจริตตามเชื้อกิเลสเหล่านั้น มันมีรูปแบบต่างๆ ตามแต่ละดวงจิตที่ถูกครอบงำมา…
ฉะนั้น.. แต่ละสายจึงต้องมีหนทางของการชำระกิเลส รู้ ไม่รู้ เห็นไม่เห็น ตามจริตของแต่ละดวงจิต ซึ่งในสายนี้ ชัดเจนไปในทางของ ศรัทธาจริต ก็จะสามารถประพฤติปฏิบัติเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างง่ายดาย ถ้ายึดหนทางนี้ ก็ถือว่าใช้ได้
-- ขอให้ไปถึงพระนิพพานเท่านั้น ถือว่าจบกิจ ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม
เมื่อเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราเอนไปในทางใด หรือรูปแบบใด สายใด หนทางใด แนวทางใด.. เราก็แค่พิจารณาตนอยู่ในแนวทางนั้น ให้รู้ ให้เข้าใจว่า.. อาศัยทางนี้ทำได้ ไม่ผิด เพราะมีบัญญัติไว้
องค์พระพุทธเจ้าแยกสายเอาไว้ ไม่ผิดอะไร
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจบ้างหรือเปล่าลูก ในแบบที่ 1 สายที่ 1* ของการเดินเข้าสู่พระนิพพาน มีสภาวธรรมเป็นแบบไหน เกิดขึ้นในสายนี้เพราะอะไร..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่าองค์พระอรหันต์* สุกขวิปัสสโก* สายที่ 1 นี้ เป็นผู้ที่ยึดหลัก การเชื่อมั่น หรือศรัทธานั้นเป็นที่1 จึงเชื่อมั่น ศรัทธาในความดี มีศีลบริสุทธิ์ แล้วก็มีสมาธิที่ตั้งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ประพฤติปฏิบัติอย่างเรียบง่าย และนำเอาความดีของตน มาพิจารณาถอดถอน ความไม่เที่ยง ทั้งรูปทั้งนาม ถอดถอนกิเลสจนสามารถเอาชนะได้
-- และพระอรหันต์สายนี้ก็เป็นสายที่มีจริต หรือนิสัย รูปแบบของการมีศรัทธานำ ส่วนใหญ่ก็จะปฏิบัติตามสายนี้.. ก็ถึงซึ่งพระนิพพานได้เช่นเดียวกัน ++
.. เข้าใจอย่างนี้เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ