สติคือความระลึกรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่เราต้องฝึกให้มาก เมื่อเรากล่าวถึงสติครูอาจารย์ทั้งหลายท่านย่อมยกให้สตินั้นเป็นสิ่งที่เราต้องมีให้มากฝึกให้มาก ต้องให้มีความรู้สึกตัวอยู่ให้มากเพราะธรรมชาติของจิตของคนเรานั้นย่อมนึกย่อมคิด
เมื่อนึกเมื่อคิดแล้วก็มีจิตผูกพันอยู่ในความนึกคิด มีจิตอันไหลไปหมกมุ่นอยู่ในความคิด มีจิตอันเพลิดเพลินไปตามความรู้สึกนึกคิด อันเป็นจิตที่วิ่งไปตามกระแสแห่งอารมณ์ กระแสแห่งความเพลิน ความพอใจ ความกำหนัดยินดี
อันอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ เพราะอาศัยผัสสะนั้นเป็นปัจจัย เมื่อจิตนั้นวิ่งไปตามกระแสแห่งอารมณ์อันเป็นกระแสแห่งความเพลิน ความพอใจ ความกำหนัดยินดีแล้วในสิ่งนั้นๆ
เวทนาแห่งจิตนั้นย่อมเกิด ตัณหาแห่งจิตนั้นย่อมเกิด อุปาทานแห่งจิตนั้นย่อมเกิด ภพ ชาติ ชราและมรณะ อันเป็นที่ตั้งแห่งจิตนั้นย่อมเกิดขึ้นมาไม่มีที่สินสุด สตินี้นั้นเองเป็นที่กลั้นจิตไม่ให้จิตนั้นวิ่งไปตามกระแสแห่งอารมณ์ อันเป็นกระแสแห่งความเพลิน ความพอใจ ความกำหนัดยินดีแล้วในสิ่งนั้นๆ
เมื่อเรามีสติรู้สึกตัวอยู่โดยมากบาปและอกุศลทั้งหลาย อันอาศัยความเพลินความพอใจ ความกำหนัดยินดี ในสิ่งนั้นๆแล้วเกิดขึ้นเป็นอเนกย่อมไม่เกิด เมื่ออกุศลจิตนั้นไม่เกิดกุศลจิตนั้นย่อมเกิด และสตินี้นั้นเองเป็นตัวรู้ที่สักแต่ว่า"รู้" เป็นรู้ ที่ไม่ยินดียินร้ายไปตามกระแสแห่งอารมณ์ไม่ขึ้นไม่ลงไปตามอารมณ์
ปัญญาอันอาศัยสติ สติอันอาศัยสมาธิ สมาธิอาศัยสมถะ สมถะอันอาศัยวิปัสสนานี้นั้นเองเป็นมรรคจิต เป็นจิตที่ไม่ตั้งอยู่ในความหลงไหลไปตามกระแสแห่งอารมณ์ เป็นจิตที่ไม่ตั้งอยู่ในกระแสแห่งความเพลิน ความพอใจ ความกำหนัดยินดี ที่เป็นกระแสแห่งตัณหา ที่เป็นกระแสแห่งตัวกู ของกู
ปัญญาอันอาศัยสติ สติอันอาศัยสมาธิ สมาธิอาศัยสมถะ สมถะอาศัยวิปัสสนานี้นั้นเองเป็นมรรคจิต เป็นจิตที่จะพาเราแล่นไปสู่กองกุศล เป็นจิตที่จะพาเราแล่นไปสู่วิมุตติจิต เป็นจิตที่จะพาเราแล่นไปสู่ที่สุดแห่งกองทุกข์
"ตัวสติคืออะไร จะไปตั้งไว้ตรงไหน"
"...พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่จิต ให้ควบคุมจิตให้อยู่ จนกระทั่งจิตอยู่ในบังคับของเรา เราใช้จิตได้ ไม่ให้จิตใช้บังคับเรา จิตใช้บังคับเราคืออย่างไร ใช้ให้ร้องไห้ร้องห่ม ใช้ให้หัวเราะเฮฮา ใช้ให้ทำชั่วทำผิด ทำทุจริตต่าง ๆ เราทำตามหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นเรียกว่าจิตใช้เรา
ถ้าเราใช้จิต บังคับให้มันอยู่ในอำนาจของเรา มันใช้เราไม่ได้ เราบังคับมันไม่ให้มันยุ่งเกี่ยวด้วยสรรพกิเลสทั้งปวง บังคับมันให้มันไม่โกรธก็ได้ บังคับมันให้มันไม่โลภก็ได้ บังคับอย่าให้หลงมัวเมาก็ได้ บังคับให้นิ่งอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ถึงมันคิดมันนึกก็รู้ตัวอยู่
ถ้ามันคิดตั้งใจให้มันคิดแต่สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลแต่ในทางสุจริต จิตนี้ไม่ปรุงแต่ง มันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ มันต้องมีปรุงแต่ง อย่างพระพุทธเจ้าของเราท่านก็ต้องมี แต่ท่านบังคับพระองค์ได้ เทศนาสั่งสอนประชาชนพุทธบริษัท ทุกสิ่งทุกประการท่านก็มีปรุงแต่งเหมือนกัน เมื่อท่านปรุงท่านแต่งแล้ว แล้วก็เก็บเข้าฝักเสีย
ถ้าเราบังคับจิตได้อย่างว่ามานี้ จิตจะรวมเข้าเป็นอันเดียว จิตดวงเดียวแต่มีอาการของมันร้อยแปดพันประการ คล้าย ๆ กับจิตหลายดวง แต่ที่จริงแล้วมีดวงเดียว มันไว มันเร็วที่สุด เราตามจิตไม่ทัน เรายังคงอยู่ในอำนาจของมัน จิตแท้ดวงเดียว
ทำอย่างไรเราจึงจะเห็นจิต ก็ต้องบังคับจิตให้อยู่ในพุทโธ ๆ เสียก่อน ต่อแต่นั้นจิตก็จะค่อยช้าลง ๆ เมื่อจิตช้าลงแล้วมันก็รวมเป็นหนึ่งเอง เข้าถึง อัปปนาสมาธิ ถึงที่สุดของการฝึกหัดสมาธิในพุทธศาสนา คือ “อัปปนาสมาธิ” เท่านี้
การฝึกหัดจิต ใครจะฝึกหัดด้วยวิธีใด ๆ ก็เถิด รวมความแล้ว หัดให้จิตรวมเป็นอัปปนาสมาธิ เป็นอันฝึกหัดจิต ถึงที่สุดแห่งพุทธศาสนาเพียงเท่านี้..."
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้เผยแผ่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ขอจงเจริญรุ่งเรืองในธรรมพบสุขอันเกษม สาธุ นิพพานะปัจจะโยโหตุ
สติปัฏฐานสี่
การพิจารณากายจะเป็นภายนอกหรือภายในก็ได้ตามแต่ถนัดใจ ในโอกาสอันควรจะพิจารณากายไหน คำว่ากายใน คือกายของเราทุกส่วน กายนอก ได้แก่กายของคนและสัตว์อื่น กายในกาย ได้แก่ส่วนหนึ่ง ๆ ของอาการแห่งกายทุกส่วน สิ่งทั้งนี้ปรากฏตัวเป็นของน่าเบื่อหน่ายและสลดสังเวชแก่ผู้ใช้ปัญญาพิจารณารู้เห็นตามเป็นจริง ทั้งข้างนอกข้างใน และภายนอกภายในมีความเป็นเช่นเดียวกัน ต้องชำระขัดสีเป็นประจำ ฉะนั้นทั่วโลกจำต้องปฏิบัติต่อร่างกายและถือเป็นภาระประจำตลอดเวลา สิ่งต่าง ๆ ที่จะนำมาปฏิบัติต่อร่างกายให้พออยู่ได้และพอดูได้นั้น ปรากฏว่าทั่วโลกต้องถือเป็นสินค้าอันใหญ่โต และขายดิบขายดียิ่งกว่าวัตถุอื่นใดในโลก
การพิจารณาให้รู้ฐานที่เกิด ที่อยู่ พร้อมทั้งความเป็น และจำเป็นไปของร่างกายด้วยปัญญาจนเห็นชัด จึงเป็นการตัดบ่อแห่งความกังวล และกองทุกข์ออกจากใจ เพราะภูเขาหินแท่งทึบแม้จะใหญ่และสูงจดเมฆ ก็ไม่เคยทับถมตัวเราให้ได้รับความทุกข์ลำบากต่อขันธ์ มีรูปขันธ์ คือกายเป็นต้น รู้สึกเบียดเบียนและทับถมตัวเราอยู่ตลอดเวลา จนหาโอกาสปลงลงไม่ได้เลย เรื่องความทุกข์ทั้งมวลที่เกี่ยวกับขันธ์จึงมารวมอยู่กับเราผู้รับผิดชอบในขันธ์ ดังนั้นผู้เป็นเจ้าของขันธ์จึงควรมีความรอบรู้ในขันธ์ ทั้งแง่ดีแง่ร้าย จึงจะอยู่ครองขันธ์ไปด้วยความราบรื่น ไม่เสียเปรียบแก่ขันธ์โดยถ่ายเดียว
ตามธรรมดาขันธ์เอาเปรียบเอารัดเราวันยังค่ำ ขยับตัวทุกระยะเป็นเรื่องเพื่อขันธ์เสียทั้งนั้น ถ้าจิตหาทางออกด้วยความฉลาดรอบคอบต่อขันธ์ของตน ทั้ง ๆ ที่มีความรับผิดชอบในขันธ์อยู่ ชื่อว่ามีทางแบ่งรับแบ่งสู้กันบ้าง ไม่ทำการรับเหมาทุกข์ในขันธ์ท่าเดียว แม้ทุกข์ในขันธ์ก็คงไม่ตั้งห้างร้านขายส่งทุกข์ให้เรารับเหมาโดยถ่ายเดียว ผู้พิจารณาขันธ์ให้เห็นทั้งคุณทั้งโทษด้วยปัญญาจึงไม่มีแต่ทางรับเหมาทุกข์จากขันธ์ตลอดไป ยังมีทางลดหย่อนผ่อนความตึงเครียดในทางใจได้บ้าง การพิจารณากายต้องพิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ โดยถือเอาความเข้าใจเป็นประมาณ แต่มิได้ถือเอาความขี้เกียจเป็นบรรทัดฐาน จนเห็นชัดจริง ๆ ว่า กายนี้เพียงสักว่า หาเป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา ที่ไหนไม่ เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เวทนา จิต ธรรม โปรดทราบว่ามีอยู่ในกายอันเดียวกัน เป็นแต่มีอาการแปลกต่างกันไปบ้าง ท่านจึงให้นามไม่ซ้ำกัน ท่านผู้บำเพ็ญโปรดทำความเข้าใจด้วยดี ไม่เช่นนั้น สติปัฏฐานสี่กับอริยสัจสี่จะกลายเป็นสมุทัย คือบ่อแห่งความสงสัยและกังวลในขณะบำเพ็ญ เพราะความสับสนไม่รู้เงื่อนต้นเงื่อนปลายของอาการแห่งธรรมเหล่านี้ เวทนามีสาม คือ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง ทั้งเกิดขึ้นจากกาย และเกิดขึ้นจากใจ จะมีลักษณะสามเช่นเดียวกัน การพิจารณาโปรดแยกเวทนาออก และพิจารณาไปตามลักษณะของเขา แต่อย่าไปคว้าเอากายมาเป็นเวทนา กายให้เป็นกาย เวทนาให้เป็นเวทนา ทำนองเห็นเสือเป็นเสือ และเห็นช้างเป็นช้าง แต่อย่าไปคว้าเอาเสือมาเป็นช้าง จะเป็นการอ้างพยานไม่ตรงความจริง เรื่องจะลุกลามและลงเอยกันไม่ได้ตลอดกาล
คือแยกเวทนาที่แสดงอยู่ในขณะนั้นออกพิจารณา ให้รู้ที่เกิด ที่ตั้งอยู่ และที่ดับไป ฐานที่เกิดของเวทนาทั้งสาม เกิดขึ้นและตั้งอยู่ที่กายและที่ใจ แต่ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ใจ คงเป็นเวทนาอยู่เช่นนั้น ทั้งการเกิดและการดับไปของเขา อย่าทำความเข้าใจว่าเป็นอื่น จะเป็นความเห็นผิด สมุทัยจะแสดงตัวออกมาในขณะนั้น จะหาทางแก้ไขและหาทางออกไม่ได้ แทนที่จะพิจารณาให้เป็นปัญญาถอดถอนตัวจากทุกข์ สมุทัย เลยจะกลายเป็นโรงงานผลิตทุกข์และสมุทัยขึ้นมาในขณะนั้นโดยไม่รู้สึกตัว ทางเดินของเวทนาทั้งสามคือ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มีอยู่เพียงเท่านี้ทุกระยะกาล และไม่มีสัตว์ บุคคล เรา เขา แฝงอยู่เลย ถ้านำสัตว์ บุคคล เป็นต้น ไปแฝงเข้าในขณะใด เวทนาทั้งสามจะแสดงสัตว์บุคคลอันเป็นอำนาจก่อตัวสมุทัยขึ้นมาในขณะนั้น และเป็นการเสริมทุกข์ให้มีกำลังขึ้นมาทันที
ผู้ปฏิบัติจึงควรทำความรอบคอบต่อเวทนาด้วยปัญญา คือไม่คว้าเวทนามาเป็นตนในขณะทำการพิจารณา เวทนาทั้งสามจะปรากฏเป็นความจริงตามหลักสติปัฏฐานและอริยสัจขึ้นมาประจักษ์ใจ แม้เวทนาจะแสดงอาการเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลงๆ ประการใด จะเป็นทางเสริมสติปัญญาของผู้บำเพ็ญได้ ทุกขณะที่เวทนาแสดงอาการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง ความเป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา จะไม่มีโอกาสแทรกเวทนาทั้งสามได้เลย นอกจากจะมีเท่าที่ปรากฏอยู่เพียงสักว่าเวทนาเท่านั้น ความเศร้าใจ ทุกข์ใจ และท้อใจ หรือความเห่อเหิมเพลิดเพลินในขณะที่เวทนาทั้งสามแสดงตัว จะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะการทำความเข้าใจกับเวทนาได้โดยถูกต้อง และทุก ๆ เวลาที่ผู้บำเพ็ญทำความเห็นกับเวทนาโดยถูกต้อง ชื่อว่าผู้มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ประจำใจ
จิต คำว่าจิตในสติปัฏฐาน มิใช่จิตพิเศษและแปลกต่างไปจากสติปัฏฐานทั้งสาม ท่านจึงให้นามว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เสมอกับกาย เวทนา ธรรม ถ้าเทียบกับไม้ก็เป็นไม้ทั้งต้น ซึ่งเต็มไปด้วยกิ่งก้าน เปลือก กระพี้ รากแก้ว รากฝอย ซึ่งผิดกับไม้ที่นำมาทำประโยชน์จนปรากฏเป็นบ้าน เป็นเรือนแล้ว ผู้พิจารณาจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงเป็นเหมือนนำไม้ทั้งต้นมาแปรรูปให้เป็นต่าง ๆ ตามความต้องการ การพิจารณาจิตประเภทนี้ควรถือเอานิมิต คือความปรุงของจิตเป็นเครื่องพิสูจน์และพิจารณา เพราะการจะรู้ความเศร้าหมอง หรือผ่องใสของจิตได้ ต้องรู้เครื่องปรุงจิตเป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นแม้จิตจะได้รับความเศร้าหมอง และกองทุกข์ตลอดทั้งวันจะไม่มีทางทราบได้ ถ้าไม่ทราบสิ่งปรุงจิตให้เป็นไปต่าง ๆ ก่อน
เราต้องการทราบจิต จำต้องพิจารณาสังขารเครื่องปรุงจิต ซึ่งเหมือนเครื่องปรุงแกงให้มีรสชาติต่าง ๆ จิตที่แสดงความเป็นต่าง ๆ ไม่มีสิ้นสุด และทำให้ผิดจากสภาพเดิมถึงกับเจ้าตัวเกิดความพิศวงงงงัน ไม่ทราบสาเหตุและวิธีแก้ไข จำต้องยอมจำนนไปตามเหตุการณ์ จนลืมสำนึกในทางผิดชอบชั่วดี ก็เพราะเรื่องของสังขารเครื่องปรุงจิตนั่นเอง ฉะนั้นคำว่า จิตในสติปัฏฐานจึงเป็นจิตที่คลุกเคล้ากับอารมณ์ โดยสังขารเป็นผู้ปรุงแต่ง การพิจารณาสังขารจึงเกี่ยวถึงจิต เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน ถ้ารู้เรื่องของสังขารก็เริ่มรู้เรื่องจิต และถ้ารู้เรื่องจิตก็ย่อมรู้เรื่องของสังขารได้อีก นับแต่สังขารขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียด และจิตขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียด คำว่า สังขารหยาบ ละเอียด และจิตหยาบ ละเอียด ทั้งนี้เนื่องจากความเกี่ยวข้องของจิตกับอารมณ์มีทั้งหยาบและละเอียด
ผู้พิจารณาจิตตานุปัสสนาควรทำความเข้าใจไว้แต่ต้นมือว่า จิตกับเครื่องปรุงจิต คือสังขารเป็นคนละประเภท ไม่ใช่อันเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจิตกับสังขารจะคละเคล้ากัน ซึ่งจะทำความลำบากแก่การพิจารณา ตามที่อธิบายมาแล้ว โดยกำหนดความเกิดขึ้น และความเกี่ยวข้องของสังขาร สัมผัสกับอารมณ์อะไร พร้อมทั้งความดับไปของสังขารกับอารมณ์ พยายามสังเกต และสอดรู้ความเคลื่อนไหวของสังขาร ซึ่งจะเคลื่อนจากใจออกสู่อารมณ์ที่เป็นอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ทั้งหยาบ และละเอียด และโปรดทราบเสมอว่าทุก ๆ ประเภทของสังขาร และอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกัน ต้องเกิดและดับพร้อมกัน จะให้เป็นอื่นไปไม่ได้
คำว่าสัตว์ บุคคล เรา เขา เป็นต้น จึงไม่ควรนำเข้าไปแทรกในจิต เพราะจะแปรรูปเป็นสมุทัยขึ้นมาทันที จงพยายามสังเกตให้ทราบว่า มันเป็นเพียงจิตสังขารอยู่เท่านั้น ทุก ๆ ขณะที่ปรุงแต่งขึ้นมา ปัญญาต้องมีทางทราบได้ตามลำดับแห่งการพิจารณา และต้องทราบตามนัยที่ท่านบอกไว้ว่า สักว่าจิตเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา อะไรเลย ผู้พิจารณาเห็นตามจิตตานุปัสสนา ใจจะไม่เกิดความเศร้าโศกเสียใจ และเพลิดเพลินไปตามความปรุงแต่ง และสภาพความเป็นอยู่ สุข-ทุกข์ของจิต และชื่อว่าผู้มีจิตตานุปัสสนาประจำตน
ธรรม คำว่า ธรรม คือเป้าหมายที่เพ่งเล็งของใจ ถ้าเป็นธรรมส่วนละเอียดก็หมายถึงใจเสียเอง ธรรมภายนอกมีมากมาย ส่วนภายในถือเอากายทุกส่วน เวทนาทั้งสาม และจิตในจิตตานุปัสสนามาเป็นธรรมในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณากาย เวทนา จิต เข้าประสานกันครบองค์สติปัฏฐานสี่ ตามความเห็นของธรรมป่าว่าเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หากจะเป็นความผิดพลาดเพราะความฉลาดไม่เพียงพอในความเข้าใจ และการอธิบาย ก็ขออภัยจากท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย เพราะคำว่าธรรมป่าเป็นเรื่องจนใจสำหรับผู้แสดงทุก ๆ ครั้งที่แสดงและนำมาลงในหนังสือ ดังนั้นการฟังและการอ่านหนังสือธรรมป่าโปรดเจริญธรรมคือความไม่สีสาไว้บ้าง ทุกวรรคทุกตอนจะไม่มีความหนักใจเกิดขึ้นในขณะฟังและอ่าน
การพิจารณาสติปัฏฐานสี่ ให้เชื่อมกันเข้าในองค์ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน จนกลายเป็นธรรมแท่งเดียว รู้สึกเป็นความแปลกประหลาด และอัศจรรย์เป็นระยะ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการพิจารณาเบื้องต้น กายก็เทียบกับไม้ทั้งดุ้น เวทนาทั้งดุ้น จิตทั้งดุ้น แม้ธรรมก็ทั้งดุ้น เพราะการพิจารณาก็เป็นลักษณะไม้ทั้งดุ้น สิ่งที่ถูกพิจารณาจึงกลายเป็นเช่นเดียวกันไปหมด แต่เพราะความถูไปไสมาด้วยความเพียร ทุกสิ่งที่อยู่ในวงความเพียรก็ค่อยเปลี่ยนสภาพขึ้นมาเป็นลำดับ
ที่กล่าวในบทธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ค่อนข้างเป็นธรรมละเอียดไปบ้าง ในความรู้สึกจึงอดจะลืมบุญคุณของการพิจารณาในลักษณะไม้ทั้งดุ้นในตอนแรกไม่ได้ เมื่อพิจารณา “ธรรม” ในตอนปลายกับตอนต้นรู้สึกแปลกต่างกันมาก แม้จะเป็นสติปัฏฐานสี่อันเดียวกัน พอมาถึงตอนปลาย จิตปรากฏว่ากาย เวทนา จิต และธรรมทั้งสี่ในองค์สติปัฏฐานได้เชื่อมกันเข้า จนกลายเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานไปเสียสิ้น และประสานกันได้อย่างสนิท โดยไม่นิยมว่านั่นเป็นกาย นี่เป็นเวทนา นั่นเป็นจิต นี่เป็นธรรม ในความรู้สึกต่างก็รวมลงเป็นธรรมด้วยกัน
ในบทกาย เวทนา จิต ได้อธิบายวิธีพิจารณาเพื่อความปลดเปลื้องแก้ไขให้ท่านผู้ฟังทราบพอสมควร แต่พอมาถึงบทธรรมเลยกลายเป็นเรื่องของผู้แสดงไปเสียสิ้น แม้เช่นนั้นก็กรุณาถือเอาตามวิธีที่กล่าวมา และนำไปปฏิบัติตามจริตนิสัยของตน ๆ ผลประโยชน์คงจะได้รับเท่ากับที่อธิบายให้ท่านผู้ฟังทราบโดยตรง
สรุปความในสติปัฏฐาน คือ กาย มีกายใน กายนอก และกายในกาย เวทนาในเวทนานอก และเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ส่วนเวทนารู้สึกซับซ้อนอยู่บ้าง จึงขอแทรกความเห็นลงบ้างเล็กน้อย คือ เวทนาใน หมายถึง จิตเวทนา เวทนานอก หมายถึงกายเวทนา จิตใน จิตนอก และจิตในจิต จิตในหมายถึงจิตกับอารมณ์ที่ปรากฏอยู่ด้วยกันโดยเฉพาะ จิตนอกหมายถึงจิตที่กำลังเกี่ยวกับอารมณ์ภายนอก จิตในจิตหมายถึงกระแสของจิตอันหนึ่ง ๆ ในกระแสจิตทั้งหลายที่คิดออกมาจากใจ และธรรมใน ธรรมนอก และธรรมในธรรมทั้งหลาย ธรรมในได้แก่อารมณ์หรือสภาวะที่เป็นส่วนละเอียด ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิต หรือเป้าหมายเครื่องเพ่งเล็งของจิตด้วย ได้แก่จิตซึ่งเป็นที่ชุมนุมของธรรมทั้งหลายด้วย ธรรมนอกได้แก่สภาวะที่เป็นส่วนภายนอก ที่ควรเป็นอารมณ์ของใจได้ทุก ๆ ประเภท เรียกว่าธรรมนอกทั้งนั้น ธรรมในธรรมทั้งหลาย หมายถึง สภาวะอันหนึ่ง ๆ ในสภาวะทั้งหลาย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เพ่งเล็งของใจ
อนึ่ง คำว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ได้แก่ส่วนย่อย หรือส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหลาย เช่นผมเส้นหนึ่งในผมทั้งหลาย ฟันซี่หนึ่งในบรรดาฟันที่มีอยู่ทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่ากายในกาย ผู้พิจารณาส่วนหนึ่งของกายทั่วไป เรียกว่า พิจารณากายในกาย ส่วนเวทนา จิต ธรรม ก็มีนัยเช่นเดียวกัน จึงมิได้อธิบายไว้มาก เกรงเวลาจะไม่พอ ขอไว้ในโอกาสต่อไป
สติปัฏฐานทั้งสี่นี้ตามความรู้สึกของธรรมป่าเข้าใจว่า มีสมบูรณ์อยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์ แต่มิได้หมายความว่าภายนอกไม่จำเป็น จะทราบได้ชัดต่อเมื่อผู้บำเพ็ญสติปัฏฐานจนสามารถทำการประสานสงเคราะห์กันลงได้ ในธรรมานุปัสสนาล้วน ๆ แล้ว จิตไม่มีความติดใจที่จะไปเสาะแสวงหาสิ่งภายนอกมาสนับสนุนเลย เพียงพิจารณาอยู่เฉพาะในวงกาย วงจิต ก็ควรแก่การแก้ไขตนเองได้ด้วยสติปัฏฐานสี่ ซึ่งมีอยู่ในกายในจิตอย่างสมบูรณ์
แต่การพิจารณาเบื้องต้น ทุก ๆ สิ่งไม่ว่าภายนอกภายใน จะกลายเป็นของจำเป็นไปเสียสิ้น เพราะความติดข้องของจิตพาให้จำเป็น ต่อเมื่อถึงขั้นปล่อยวางเข้ามาเป็นลำดับแล้ว สภาวะนั้น ๆ ก็ค่อยหมดความจำเป็นเข้ามาเช่นเดียวกัน แม้กาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งเป็นธรรมจำเป็นในองค์สติปัฏฐาน จิตจำต้องปล่อยวาง ไม่ควรยึดถือหรือแบกหามเอาไว้ให้เป็นภาระของใจ กลับกลายเป็นสิ่งที่ควรปล่อยวางทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาถึงขั้น ธมฺมา อนตฺตา เต็มที่แล้ว แล้วค่อยย้อนกลับมาพิจารณาประสานกันในวาระต่อไป เพื่อเป็นวิหารธรรมในทิฏฐธรรมปัจจุบัน ขณะที่จิตก้าวผ่านไปแล้วแต่ยังครองขันธ์อยู่
ท่านผู้บำเพ็ญถ้าหนักในสติปัฏฐานไม่ถอยหลัง นับวันจะรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นภายในใจเป็นระยะ ๆ ไป ถึงกาลอันควรจะได้รับ “ผล” ในธรรมขั้นใดที่เคยรับสนอง “เหตุ” ที่ผู้บำเพ็ญบำเพ็ญโดยถูกต้องแล้ว จำต้องปรากฏผลขึ้นมาเป็นขั้น ๆ โดยเป็นพระโสดาบ้าง พระสกิทาคาบ้าง พระอนาคาบ้าง และพระอรหันต์บ้าง โดยไม่ต้องสงสัย
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาเทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
เรื่อง สติปัฏฐานสี่
การรู้ .. ธรรม เห็น .. ธรรม
ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า
ก า ร รู้ ธ ร ร ม เ ห็ น ธ ร ร ม คือ ..
ต้องเห็นสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า
เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไปหมายเอาหมวดใหญ่
ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์
การตีความหมายอย่างนั้น
ก็ ..ไม่ผิด เป็นการถูกต้องกับ
การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติ
ที่จิตมันจะรู้เอง
ด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ
แต่ .. เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์
ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้
การรู้ธรรมเห็นธรรม
โดยธรรมชาติมันจะต้อง ..รู้ขึ้นมาเอง
เป็นกระท่อนกระแท่น
ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว
การรู้ธรรมเห็นธรรม ขอกำหนดหมายอย่างนี้..
๑. คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร
เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่า
จิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้ว
มีอะไรเกิดขึ้น
จิตของเรา.. ยินดีไหม
จิตของเรา.. ยินร้ายไหม
จิตของเรา.. พอใจไหม
หรือ .. เกลียดในอารมณ์นั้น
ในเมื่อรู้ว่า..ยินดีหรือยินร้าย เกลียดหรือชอบก็ดูต่อไปว่า ความเกลียด และ ความชอบ
บังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร
ทำให้ .. จิตร้อน หรือ เย็น
ทำให้ .. จิตสุข หรือ ทุกข์
ถ้าหากว่า
จิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้า ..
จิตของเรารู้สึกทุกข์
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้น
เป็นความร้อนภายในจิต
เรารู้ความร้อนของจิต
ในเมื่อ .. เรารู้ความร้อนของจิตแล้ว
ความร้อนเป็นทุกข์
เราจะต้องถามหาเหตุว่า ..
ทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร
ในเมื่อจิตรู้ว่า .. ความทุกข์นั้น
เกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ
เกิดมาจากอำนาจของ โทสะ
เกิดมาจากอำนาจของ โมหะ
จิตมันก็จะยอมรับว่า
ไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
เป็นอันว่า .. จิตรู้ธรรมเห็นธรรม
คือ .. เห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต
ในเมื่อ ..
จิตเห็นทุกข์ คือ จิตร้อน
เพราะไฟโลภะ โทสะ โมหะ
ผู้ปฏิบัติควรจะทำอย่างไร
เราจะไล่ความร้อนของ
ไฟโลภะ โทสะ โมหะ
ให้หายไปอย่างนั้นหรือ
เราไม่มีทางจะไปตั้งใจไล่
เพราะ .. จิตของเราเกิดความชินชา
ต่อการปรุงกิเลส
ให้เกิดไฟโลภะ โมหะ โทสะ
แล้วถ้าไม่มีทางที่จะขับไล่
ไม่มีทางที่จะละ เราจะทำอย่างไร
เราก็ทำ .. สติกำหนดรู้ คือ
รู้ว่า .. มันเป็นไฟโลภะ โทสะ โมหะ
รู้ว่า .. ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะ
มันทำจิตให้ร้อน ให้..
ดูความร้อนที่มีอยู่ .. ในจิต
ดูความเย็นที่มีอยู่ .. ในจิต
จนกระทั่งจิตรู้ซึ้งเห็นจริงลงไป
แล้วจิตยอมรับความเป็นจริงว่า ...
ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะนี้
เป็นไฟเผาให้ร้อน มันร้อนอย่างนี้หนอ
เมื่อจิตยอมรับความจริงแล้ว
ก็เกิดความเข็ดหลาบในตัวของมันเอง
ภายหลังมันก็จะไม่สร้างเหตุ
เดือดร้อนให้เกิดขึ้นมาอีก
เปรียบเหมือนคนเรา ที่เราว่าถ่านไฟมันร้อน
เมื่อมีใครนำถ่านไฟร้อน
มาวางไว้ตรงหน้าเรา แล้วบอกกับเราว่า
ดูซิ ถ่านไฟนี้มันสวย
ดูซิ มันเย็น แต่ ..
เรารู้แล้วว่าถ่านไฟนี้มันร้อน
เราก็จะไม่ไปจับถ่านไฟนั้น ..
ในทำนองเดียวกัน ..
ในเมื่อจิตมันรู้ฤทธิ์ของ
โลภะ โทสะ โมหะ อย่างแท้จริงแล้ว
ยอมรับสภาพความเป็นจริงแล้ว
มันก็จะไม่ก่อเรื่องให้เกิด
โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาอีก
มีแต่ค่อยพิจารณาปลดเปลื้อง
โลภะ โทสะ โมหะ ของเก่าที่มีอยู่
ให้ลดน้อยลงเบาบางลงไป
การปฏิบัติธรรม ...สำคัญอยู่ที่การ
ทำจิต ให้มี .. สิ่งรู้
ทำสติ ให้มี .. สิ่งระลึก
การภาวนาพุทโธ ก็ทำพุทโธให้
เป็นสิ่ง ..รู้ของจิต
เป็นสิ่ง ..ระลึกของสติ
การภาวนายุบหนอ-พองหนอ
ก็ทำยุบหนอ-พองหนอให้
เป็นสิ่ง .. รู้ของจิต
สิ่ง ..ระลึกของสติ
การภาวนาสัมมาอรหัง ก็ทำสัมมาอรหัง
เป็นสิ่ง .. รู้ของจิต
สิ่ง ..ระลึกของสติ
ทั้งหลายเหล่านี้ หรืออย่างอื่นๆก็ตาม
ใครภาวนาแล้ว เมื่อจิตเป็นสมาธิ
ก็ต้องทำจิตให้เป็นวิตก วิจาร ปีติ สุข และ
เอกัคคตาเหมือนกัน
สมาธิเป็นสัจธรรม เป็นของจริง
ในเมื่อ สัจธรรมของจริง คือ สมาธิมีอยู่
ใครจะรู้แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ..
นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
อย่าไปยึดมั่นอยู่เพียงวิธีการเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านพิจารณาดูความจริง
ที่จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
ในขณะที่เราภาวนา สมาธินี้เป็นของจริง
ใครจะภาวนาแบบไหน อย่างไร
จะเกิดมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด
และขอเตือนไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ..
การรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็ดี
สิ่งที่เราเห็นในระหว่างจิตมีสมาธิ สงบ สว่าง
เราเห็นนิมิตต่างๆ
เกิดอุทานธรรมขึ้นมาก็ดี
สิ่งนั้นเป็นเพียง
สิ่งรู้ของ .. จิต สิ่งระลึกของ .. สติ
เมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว
ให้เราทำสติไว้ให้ดี ... 🌺🍃
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
" ธรรมะไม่ใช่ของไกลตัว
ธรรมะเป็นของที่อยู่กับเราตลอดเวลา
ถ้าเราเอาธรรมะอยู่กับเราตลอดเวลา
จะมีความปลอดภัยมาก
.
ทั้งด้านการดำเนินชีวิต
ทั้งด้านการเคลื่อนไหวไปมา
เพราะธรรมะคือสติ
.
"สติ" สำคัญที่สุด
ฝึกให้มันมีอยู่กับตนเองตลอดเวลา
เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น
.
ธรรมะมันเป็นสิ่งหนึ่งที่จะเป็นคู่กับชีวิตของเรา
ถ้าอยู่กับธรรมะเราจะรู้สึกว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะทำอะไรได้ทันเหตุการณ์
จะนั่งจะนอน จะยืนจะเดิน
จะปฏิบัติภารกิจอะไรก็ตาม
.
ธรรมะสอนให้เราปฏิบัติที่จิต
"จิต" มันอยู่เหนืออำนาจใจ
"ใจ" ก็เป็นก้อนเนื้อชนิดหนึ่ง
สำหรับสูบฉีดโลหิตหล่อเลี้ยงร่างกาย
.
ส่วนจิตนั้นมันอยู่เหนืออำนาจใจ
จิตมันหมายถึงว่าสภาวะรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ
ที่กระทบมาทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ
.
อันนี้ถ้ากระทบมาแล้ว
ถ้าสติเราเพียงพอทุกสิ่งทุกอย่าง
จะทำให้เรารู้เราเข้าใจเหตุผลต่าง ๆ
ในขณะที่เรากระทบสัมผัสสิ่งที่หนักบ้าง เบาบ้าง
ทางหูทางตาก็แล้วแต่เถอะ
.
มันสื่อมา ...
ทางหู - ก็สื่อมากับเสียง
ทางตา - ก็สื่อมากับรูป
ทางจมูก - ก็สื่อมากับกลิ่น
.
ฉะนั้น กลิ่น เสียง รูป รสต่าง ๆ เหล่านี้
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องฝึกหัด
ปฏิบัติตัวเราเองให้มันรู้เท่าทันปัจจุบันธรรม
.
จะเคลื่อนไหวไปมา
ก็ให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน
มันจะทำให้เราไม่ประมาทพลาดพลั้ง
ความบกพร่องก็จะมีน้อยถ้าเรามีสติมาก ๆ
ทำอะไรความขาดตกบกพร่องมันก็จะน้อยลง
จนกระทั่งมันไม่มีเลยได้ยิ่งดี
.
หมายถึงว่า "สติชนรอบ" พอดี
ตั้งแต่นั่งแล้วก็ยืน เดิน
การที่เรานำมันเอามาใช้
ในกิจวัตรประจำวันของเรานั้นจำเป็นต้องมี
.
เข้าวัดมาทำทาน
ก็เพื่อที่จะเปิดบารมีทานของเราให้มันแก่กล้า
อินทรีย์บารมีแก่กล้าทางทานบารมีแล้ว
ทำให้เราไม่ยากจนเข็นใจ ไร้ทรัพย์
.
"ทาน" "ศีล" เราก็จำเป็นจะต้องมี
เพราะว่าเป็นพื้นฐานของธรรมทั้งหลาย
.
"ศีล"ถ้าจะเปรียบไปก็เป็นที่ตั้งแห่งสรรพสิ่งทั้งหลาย
ทั้งหนักทั้งเบา ทั้งภูเขา ทั้งสัตว์สองเท้า สี่เท้า
ที่มนุษย์เราต้องอาศัยใช้ในการประพฤตินั่นล่ะ ส่วนหนึ่ง
ที่จะนำมาซึ่งความพอดีพองาม ถ้าเรามีสติ
.
ที่เรียกว่า ทำอะไรให้มันมีความพอดี
พอเพียง พองาม
แล้วจะไม่เดือดร้อน
.
ทำอะไรถ้ามันเดือดร้อน
อย่าไปทำ ...
.
ทำ "โลก" ให้เป็น "ธรรม"
ทำ "ธรรม" ให้เป็น "ธรรม"
.
อยู่กับธรรม กินกับ "ธรรม"
นอนกับธรรม
แต่ไม่ต้องยึดติดในธรรม
..
เอาธรรมเป็นพาหนะ
นำเราส่งสู่จุดหมายปลายทาง
แล้วเราก็เหมือนพาหนะส่งเราถึงที่แล้ว
เราก็ลงเดินทำภารกิจต่อไป
ก็จอดรถทิ้งไว้
.
เช่นเดียวกับร่างกายของเรา
ก็เหมือนกับยานพาหนะ
.
ถ้า "เจ้าของ" คือ จิตใจดวงนี้ มีสติ มีปัญญา
มีความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเพียงพอแล้ว
ก็จะขับเคลื่อนยานพาหนะคือร่างกายนี้
ไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างราบรื่น
.
แต่ถ้าเราประมาทขาดสติอยู่เรื่อย ๆ
เราก็จะทำให้เสียเงินเสียทอง
เสียอวัยวะทรัพย์สินทุกสิ่งทุกอย่าง
..
แม้แต่วาจาเราก็ใช้ด้วยความประมาท
มันก็ทำโทษให้กับตัวเจ้าของด้วยผู้อื่นด้วย.
.
กายก็เหมือนกัน
เราก็มีสติควบคุมขับเคลื่อนตลอดเวลา
จิตเราก็ต้องพยายามใคร่ครวญกลั่นกรอง
ก่อนที่จะพูด ก่อนที่ทำ ให้มีสติเข้าไว้
การทำอะไรจะได้ไม่ผิดพลาดบกพร่อง
..
ถ้าเรามีสติอยู่กับตัวเสมอ ๆ
ทำอะไรมันก็จะมีแต่ความมั่นใจ ... "
.
.
หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี
ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการทำสมาธิ และ วิปัสสนา >
..........คนเรามักจะเข้าใจผิด ว่า การทำสมาธิ จิตจะต้อง นิ่ง ไม่ขยับไปใหนเลยพอจิตไปคิด อดีต อนาคต ไม่อยู่กับลมหายใจ ก็ จะคิดว่า เราทำสมาธิไม่ได้ ก็เลยพาล ไม่ทำ ไม่ปฎิบัติ นี่คือการเข้าใจ ในเรื่องของสมาธิที่ไม่ถูกต้อง
..........ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อนว่า จุดมุ่งหมาย ของพระพุทธเจ้า ที่ให้เรามาทำสมาธิ เพื่ออะไร
..........คนส่วนมากจะเข้าใจผิดว่า ทำสมาธิ เพื่อให้ จิตนิ่ง ที่จริง มันก็ ถูกอยู่ แต่ถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะการที่เรามาทำให้จิตนิ่ง ให้เป็นสมาธิ จุดประสงค์ ที่แท้จริง คือ พระพุทธเจ้า ต้องการให้เราทำสมาธิให้จิตมันนิ่ง ก็เพื่อให้เห็นว่า ที่จริงแล้ว ธรรมชาติของจิต มัน “ไม่นิ่ง” ธรรมชาติ ของจิต จะเกิดดับ เกิดดับ ตลอดเวลาไม่มีทาง ที่จะอยู่นิ่ง โดยที่ไม่ดับ ถึงจะทำสมาธิ ได้ ระดับ ฌาน สูงๆ ระดับ ฌาน ๔ ขึ้นไป จิต ก็ ยังมีการเกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลา ในระดับ รูปสัญญาสมาบัติ ขันธ์ทั้ง ๕ ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา และในระดับ อรูปสัญญาสมาบัติ ขันธ์ ทั้ง ๔ ก็ยังทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอด
..........สิ่งที่พระพุทธเจ้า ให้เราทำสมาธิ ก็เพื่อให้เรา เห็นการเกิดดับของจิต เรียกว่า วิปัสสนา คือ ให้เห็นสภาวะตามความเป็นจริงที่ปรากฏ คือ เห็นว่า จิต มันเกิดดับ เกิดดับ ไม่นิ่ง เรียกว่า ให้ เห็น อนิจจัง ความไม่เที่ยง ของจิต นี่คือ วัตถุประสงค์ ของการทำสมาธิ และ วิปัสสนา ให้เห็นว่า จิต มันไม่เที่ยง มีการแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา เดี๋ยวไปคิด อดีต บ้าง อนาคต บ้าง สุข บ้าง ทุกข์ บ้าง หรือ เฉยๆบ้าง กลับมาอยู่กับ ลมหายใจ บ้าง หรืออยู่กับการเคลื่อนไหวของกายบ้าง
จิต จะเกิดดับ เกิดดับ วนเวียนอยู่ใน ๔ ขันธ์ นี้ คือ
..........๑. รูป ( กาย หรือ ลมหายใจ )
..........๒. เวทนา ( สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์ )
..........๓. สัญญา ( ความจำในอดีต )
..........๔. สังขาร (ความคิดฟุ้งไปในอนาคต หรือ การปรุงแต่งของจิต )
..........จิตจะเกิดดับ เกิดดับ วนเวียนอยู่ใน ๔ ธรรมชาตินี้ ไม่ไปใหน ที่เราทำสมาธิวิปัสสนา ก็ ให้เราดูว่า มันเกิดดับ เกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น เราไปบังคับ ให้มันนิ่ง ให้มันไม่ดับ ไม่สามารถ ที่จะทำได้ จนเกิดความรู้ ขึ้นมาว่า อ้อ!!จิต ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะถ้าจิต เป็น เรา เราต้องบังคับ ไม่ให้ มันดับได้ นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราจึงบังคับให้เป็นไปตามอำนาจของเราไม่ได้ นี่คือ การ เห็น อนัตตา ว่า มันไม่ใช่ตัวตนของเรา มัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้ว ก็ ดับไปในที่สุด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา นั้นมันเป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไป ไม่ควรที่จะเข้าไปยึดถือ ถ้าเราเข้าไปยึดถือ จะทำให้เกิดทุกข์
..........ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพชัดๆก็ เหมือนเรา ไปยึดความฝัน ว่า มันเป็นความจริง พอมันตื่นขึ้น ความฝัน มันก็หายไป ไม่มีอะไรที่เราจะเข้าไปยึดถือได้เลย พระพุทธเจ้า จึงไม่ให้เข้าไปยึดถือ สิ่งที่มันเกิดแล้วก็ดับ เพราะมันจะเหมือน เราไปยึดถือความฝันคิดว่ามันจะไม่หายไป ไม่ดับ ที่จริง มันก็ ดับไปได้ พระพุทธเจ้า จึงได้ชื่อว่า เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ไปยึดติดกับสิ่งที่จิตมันปรุงแต่ง
..........นี่คือ จุดมุ่งหมาย ของการทำสมาธิ และ วิปัสสนา ที่แท้จริง คือ พยายามทำจิตให้นิ่งเพื่อให้เห็นว่า มันไม่นิ่ง นั่นเอง อย่าไปคิดว่า เราทำสมาธิไม่ได้ เลย ไม่ทำดีกว่า
..........แล้วเราต้องทำอย่างไรบ้าง ในการทำสมาธิ และวิปัสสนา เมื่อเราทราบว่า จิต มันวนเวียน อยู่ใน ๔ ธรรมชาตินี้ ไม่ไปไหน เราก็ แค่ตามดู มันไปเรื่อยๆหรือ จริงๆแล้ว การทำสมาธิ และวิปัสสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ ฝึก ทิ้ง ภพ ไปด้วย ในตัว
..........อะไรที่เรียกว่า ภพ ก็ คือ สถานที่ ที่จิต เข้าไปตั้งอาศัย คือ ภพ ขันธ์ ทั้ง ๔ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร นั่นแหละ คือ ภพ ที่จิต หรือ วิญญาณ เข้าไปตั้งอาศัย แต่ ขั้นต้น เราจะทิ้ง ภพ ทั้ง ๔ ทีเดียวไม่ได้ ต้องค่อยฝึกทิ้งทีละขั้นตอน เพราะเรายังทิ้งไม่ได้หมด จิตเรายังต้องการที่ตั้งอาศัย พระพุทธเจ้า จึง ให้เรา ตั้งจิต ไว้ กับภพปัจจุบันคือ รูป (การเคลื่อนไหวของกาย หรือ ลมหายใจ )ไม่ให้เราไปตั้งอาศัยกับ ภพที่จะพาเราไปเกิดในอนาคต คือ เวทนา ( สุข ทุกข์ ) สัญญา สังขาร ทั้ง ๓ ขันธ์นี้ คือ ภพ ที่จะพาเราไปเกิดในชาติถัดไป
.......... พระพุทธเจ้าจึงให้เราฝึกทิ้งภพที่จะพาเราไปเกิด ให้เรา ตั้งจิตอยู่ในภพที่เป็นปัจจุบัน คือ ให้รู้อยู่แต่ปัจจุบัน ให้ ตั้งจิตอยู่ที่ กาย หรือ ลมหายใจ เท่านั้น เมื่อเราฝึกจิตให้อยู่กับ ภพปัจจุบัน เป็นอย่างดีแล้ว พอเราตาย จิต ก็ ไม่มีภพ ให้เป็นที่ตั้งอาศัย จิตก็จะดับไป พร้อมๆกับลมหายใจ ไม่ไปเกิดอีกต่อไป
.
ช่วงท้าย คำสอนหลวงปู่มั่น "มุตโตทัย"
ปัจฉิมโพธิกาล .. ทรงแสดงปัจฉิมเทศนาในที่ชุมนุมพระอริยสาวก
ณ พระราชอุทยานสาลวันของมัลลกษัตริย์กรุงกุสินารา
ในเวลาจวนจะปรินิพพานว่า
หันททานิ อามันตยามิ โว ภิกขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกขเว
ขยวย ธัมมาสังขารา อัปปมาเทน สัมปาเทถ
เราบอก ท่านทั้งหลายว่า
จงเป็นผู้ไม่ประมาทพิจารณาสังขารที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป
เมื่อท่านทั้งหลายพิจารณาเช่นนั้นจักเป็นผู้แทงตลอด
พระองค์ตรัสพระธรรมเทศนาเพียงเท่านี้
ไม่ตรัสอะไรต่อไปอีกเลยจึงเรียกว่า ปัจฉิมเทศนา
อธิบายความต่อไปว่า
สังขารมันเกิดขึ้นที่ไหน? อะไรเป็นสังขาร
สังขารมันก็เกิดขึ้นที่จิตของเราเอง
เป็นอาการของจิต ให้เกิดขึ้น ซึ่งสมมติทั้งหลาย
สังขารนี้แล เป็นตัวการสมมติบัญญัติ
สิ่งทั้งหลายในโลก ความจริงของในโลกทั้งหลาย
หรือธรรมธาตุทั้งหลายเขามีเขาเป็นอยู่อย่างนั้น
แผ่นดิน ต้นไม้ ภูเขาฟ้า แดด เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรเลย
ตลอดจนตนตัวมนุษย์ก็เป็นธาตุของโลก
เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้เลย
เจ้าสังขารตัวการนี้เข้าไปปรุงแต่งว่าเขาเป็นนั้นเป็นนี้
จนหลงกันว่าเป็นจริงถือเอาว่าเป็นเรา เป็นของๆ เราเสียสิ้น
จึงมีราคะโทสะ โมหะ เกิดขึ้น ทำจิตดั้งเดิมให้หลงตามไป
เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายไปไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอเนกภพอเนกชาติ
เพราะเจ้าสังขารนั้นแลเป็นตัวเหตุ
จึงทรงสอนให้พิจารณาสังขารว่า
สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพสังขารา ทุกขา
ให้เป็นปรีชาญาณชัดแจ้ง
เกิดจากผลแห่งการเจริญปฏิภาคเป็นส่วนเบื้องต้นจนทำจิตให้เข้าภวังค์
เมื่อกระแสแห่งภวังค์หายไป
มีญาณเกิดขึ้นว่า นั้นเป็นอย่างนั้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์
เกิดขึ้นในจิตจริงๆ จนชำนาญเห็นจริงแจ้งประจักษ์ก็รู้เท่าสังขารได้
สังขารก็จะมาปรุงแต่งให้จิตกำเริบอีกไม่ได้
ในคาถาว่า อกุปปํ สัพพ ธัมเมสุ เญยยธัมมา ปเวสสันโต
เมื่อสังขารปรุงแต่งจิตไม่ได้แล้ว ก็ไม่กำเริบรู้เท่าธรรมทั้งปวง
สันโต ก็เป็นผู้สงบระงับถึงซึ่งวิมุตติธรรมด้วยประการฉะนี้
ปัจฉิมเทศนานี้เป็นคำสำคัญแท้
ทำให้ผู้พิจารณา รู้แจ้งถึงที่สุด พระองค์จึงได้ปิดประโอษฐ์แต่เพียงนี้
.
พระธรรมเทศนาใน ๓ กาลนี้
ย่อมมีความสำคัญเหนือความสำคัญในทุกๆ กาล
ปฐมเทศนา ก็เล็งถึงวิมุตติธรรม
มัชฌิมเทศนา ก็เล็งถึงวิมุตติธรรม
ปัจฉิมเทศนา ก็เล็งถึง วิมุตติธรรม
รวมทั้ง ๓ กาล ล้วนแต่เล็งถึง วิมุตติธรรม ทั้งสิ้นด้วยประการฉะนี้
ขันธวิมุติสสังคีธรรม :-
.
#นมตฺถุ สุคตสฺส ธมฺมขนฺธานิ#
.
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมซึ่งพระสุคต บรมศาสดาศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า และนวโลกุตตรธรรม ๙ ประการ และพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น
.
บัดนี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวซึ่งธรรมขันธ์โดยสังเขปตามสติปัญญาฯ
.
ยังมีท่านคนหนึ่งรักตัวคิดกลัวทุกข์ อยากได้สุขพ้นภัยเที่ยวผายผัน เขาบอกว่าสุขมีที่ไหนก็อยากไป แต่เที่ยวหมั่นไปมาอยู่ช้านาน นิสัยท่านนั้นรักตัวกลัวตายมาก อยากจะพ้นแท้ๆ เรื่องแก่ตาย วันหนึ่งท่านรู้จริงซึ่งสมุทัยพวกสังขาร ท่านก็ปะถ้ำสนุกสุขไม่หาย เปรียบเหมือนดังกายนี้เอง ชะโงกดูถ้ำสนุกทุกข์คลาย แสนสบายรู้ตัวเรื่องกลัวนั้นเบา ดำเนินไปเมินมาอยู่เขา จะกลับไปป่าวร้องซึ่งพวกพ้องเล่า ก็กลัวเขาเหมาว่าเป็นบ้า สู้อยู่เดียวหาเรื่องเครื่องสงบ เป็นอันจบเรื่องคิดไม่ติดต่อ ดีกว่าเที่ยวรุ่มร่าม ทำสอพลอ เดี๋ยวถูกยอถูกติเป็นเครื่องรำคาญ
.
ยังมีบุรุษคนหนึ่ง คิดกลัวตายน้ำใจฝ่อ มาหาแล้วพูดตรงๆ น่าสงสาร ถามว่าท่านพากเพียรมาก็ช้านาน เห็นธรรมที่จริงแล้วหรือยังที่ใจหวัง เอ๊ะ! ทำไมจึงรู้ใจฉัน บุรุษผู้นั้นก็อยากอยู่อาศัย ท่านว่าดีดี ฉันอนุโมทนา จะพาดูเขาใหญ่ ถ้ำสนุกทุกข์ไม่มี คือ...กายคติสติภาวนา ชมเล่นให้เย็นใจหายเดือดร้อน หนทางจรอริยวงศ์ จะไปหรือไม่ฉันไม่เกณฑ์ ใช่หลอกเล่นบอกความให้ตามจริง แล้วกล่าวปฤษณาท้าให้ตอบ
.
ปฤษณานั้นว่า ระวิงคืออะไร? ตอบว่าวิ่งเร็วคือวิญญาณ อาการใจ เดินเป็นแถวตามแนวกัน สัญญาตรงไม่สงสัย ใจอยู่ในวิ่งไปมา สัญญาเหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต ทำให้จิตวุ่นวายเที่ยวส่ายหา หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา ถามว่าห้าขันธ์ใครพ้นจนทั้งปวง แก้ว่าใจซิพ้นอยู่เดียวไม่เกาะเกี่ยวกัดพันติดสิ้นพิศวง หมดที่หลงอยู่เดียวดวง สัญญาหลงไม่ได้หมายหลงตามไป
.
ถามว่าที่ตายใครเขาตายที่ไหนกัน แก้ว่าสังขารเขาตายทำลายผล ถามว่าสิ่งใดก่อให้ต่อวน แก้ว่ากลสัญญาพาให้เวียน เชื่อสัญญาจึงผิดคิดยินดี ออกจากภพนี้ไปภพนั้น เที่ยวหันเหียน เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น
.
ถามว่าใครกำหนดใครหมายเป็นธรรม แก้ว่าใจกำหนดใจหมาย เรื่องหาเจ้าสัญญานั้นเอง คือว่าดีว่าชั่วผลผลักจิตติดรักชัง ถามว่ากินหนเดียวเที่ยวไม่กิน แก้ว่าสิ้นอยากดูไม่รู้หวัง ในเรื่องต่อไปหายรุงรัง ใจก็นั่งแท่นนิ่งทิ้งอาลัย ถามว่าสระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ แก่ว่าธรรมสิ้นอยากจากสงสัย ใสสะอาดหมดราคีไม่มีภัย สัญญาในนั้นพรากสังขารขันธ์นั้นไม่ถอน ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ไม่มีพร่อง เงียบสงัด ดวงจิตไม่คิดตรอง เป็นของควรชมชื่นทุกคืนวัน
.
แม้ได้สมบัติทิพย์สักสิบแสน หาแม้เหมือนรู้จริงทิ้งสังขาร หมดความอยากเป็นยิ่งสำคัญจำส่วนจำกั้นอยู่ก้ำเกิน ใจไม่เพลินทั้งสิ้นหายดิ้นรน เหมือนอย่างว่ากระจกส่องหน้า ส่องแล้วอย่าคิดติดสัญญา เพราะว่าสัญญานั้นดังเงา อย่าได้เมาไปตามเรื่องเครื่องสังขาร (ใจขยันจับใจไม่ปน) ไหวส่วนตนรู้แน่เพราะแปรไป ใจไม่เที่ยวของใจใช่ต้องว่า รู้ขันธ์ห้าต่างชนิดเมื่อจิตไหว แต่ก่อนนั้นหลงสัญญาว่าเป็นใจ สำคัญว่าในว่านอกจึงหลอกลวง
.
คราวนี้ใจเป็นใหญ่ ไม่หมายพึ่งสัญญาหนึ่งสัญญาใด มิได้ห่วง เกิดก็ตามดับก็ตามสิ่งทั้งปวง ไม่ต้องหวงไม่ต้องกันหมู่สัญญา เหมือนยืนบนยอดเขาสูงแท้แลเห็นดิน แลเห็นสิ้นทุกตัวสัตว์ แต่ว่าสูงยิ่งนัก แลเห็นเรื่องของตนแต่ต้นมา เป็นมรรคาทั้งนั้นเช่นบันได
.
ถามว่าน้ำขึ้นลงตรงสัจจังนั้นหรือ? ตอบว่าสังขารแปรก็ไม่ได้ ธรรมดากรรมแต่งไม่แกล้งใคร ขืนผลักไสจับต้องหมองมัว ชั่วในจิต ไม่ต้องคิดผิดธรรมดาสภาพสิ่งเป็นจริง ดีชั่วตามแต่เรื่องของเรื่องเปลื้องแต่ตัว ไม่พัวพันสังขาร เป็นการเย็น รู้จักจริงต้องทิ้งสังขารเมื่อผันแปรเมื่อแลเห็น เบื่อแล้วปล่อยได้คล่องไม่ต้องเกณฑ์ ธรรมก็ใจเย็นใจระงับเป็นสังขาร รับอาการถามว่าห้าหน้าที่มีครบครัน แก้ว่าขันธ์แบ่งแยกแจกห้าฐาน เรื่องสังขารต่างกองรับหน้าที่มีกิจการ จะรับงานอื่นไม่ได้เต็มในตัว
.
แม้ลาภยศสรรเสริญเจริญสุข นินทาทุกข์เสื่อมยศหมดลาภทั่ว รวมลงตามสภาพตามเป็นจริง ทั้ง ๘ สิ่งใจไม่หันไปพันพัว เพราะรูปขันธ์ก็ทำแก่ไข้มิได้ถ้วน นามก็มิได้พักเหมือนจักรยนต์ เพราะรับผลของกรรมที่ทำมา เรื่องดีถ้าเพลิดเพลินเจริญใจ เรื่องชั่วขุ่นวุ่นจิตคิดไม่หยุด เหมือนไฟจุดจิตหมองไม่ผ่องใส นึกขึ้นเองทั้งรักทั้งโกรธไม่โทษใคร อยากไม่แก่ไม่ตายได้หรือคน เป็นของพ้นวิสัยจะได้เชย เช่น ไม่อยากให้จิตเที่ยวคิดรู้ อยากให้อยู่เป็นหนึ่งหวังพึ่งเฉย จิตเป็นของผันแปรไม่แน่เลย สัญญาเคยอยู่ได้บ้างเป็นครั้งคราว ถ้ารู้เท่าธรรมดาทั้งห้าขันธ์ ใจนั้นก็ขาวสะอาดหมดมลทินสิ้นเรื่องราว ถ้ารู้ได้อย่างนี้จึงดียิ่ง เพราะเห็นจริงถอนหลุดสุดวิถี ไม่ฝ่าฝืนธรรมดาตามเป็นจริง จะจนจะมีตามเรื่องนอกใน ดีหรือชั่วต้องดับเลื่อนลับไป ยึดสิ่งใดไม่ได้ตามใจหมาย ใจไม่เที่ยวของใจไวหวะวับ สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่ง เล็กบังใหญ่รู้ไม่ทัน ขันธ์บังธรรมมิดผิดที่นี้ มัวดูธรรมขันธ์ไม่เห็นเป็นธุลีไป ส่วนธรรมมีใหญ่กว่าขันธ์นั้นไม่แล
.
ถามว่า-มี-ไม่มี ไม่มีมีนี้คืออะไร? ที่นี้ติดหมดคิดแก้ไม่ไหว เชิญชี้ให้ชัดทั้งอรรถแปล โปรดแก้เถิด ที่ว่าเกิดมีต่างๆ ทั้งเหตุผล แล้วดับไม่มีชัดใช่สัตว์คน นี้ข้อต้นมีไม่มีอย่างนี้ตรง ข้อปลายไม่มีมีนี้เป็นธรรมที่ล้ำลึก ใครพบจบประสงค์ ไม่มีสังขารมีธรรมที่มั่นคง นั่นแลองค์ธรรมเอกวิเวกจริง ธรรมเป็นหนึ่งไม่แปรผันเลิศพบสงบยิ่ง เป็นอารมณ์ของใจไม่ไหวติง ระงับยิ่งเงียบสงัดชัดกับใจ ใจก็สร่างจากเมาหายเร่าร้อน ความอยากถอนให้หมดปลดสงสัย เรื่องพัวพันขันธ์ห้าชาสิ้นไป เครื่องหมุนในไตรจักรก็หักลง ความอยากใหญ่ยิ่งก็ทิ้งหลุด ความรักหยุดหายสนิทสิ้นพิศวง ร้อนทั้งปวงก็หายหมดดังใจจง
.
เชิญเถิดชี้สักอย่างหนทางใจ สมุทัยจองจิตที่ปิดธรรม แก้ว่าสมุทัยกว้างใหญ่นัก ย่อลงก็คือความรักบีบใจทำลายขันธ์ ถ้าธรรมมีกับจิตเป็นนิจนิรันตร์ เป็นเลิศกันสมุทัยมิได้มี จงจำไว้อย่างนี้วิถีจิต ไม่ต้องคิดเวียนวนจนป่นปี้ ธรรมไม่มีอยู่เป็นนิจติดยินดี ใจจากที่สมุทัยอาลัยตัว ว่าอย่างย่อทุกข์กับธรรมประจำจิต (จิตคิดรู้เห็นจริงจึงเย็นทั่ว) จะสุขทุกข์เท่าไรมิได้กลัว สร่างจากเครื่องมัวคือสมุทัยไปที่ดี รู้เท่านี้ก็จะคลายหายความร้อน พอพักผ่อนสืบแสวงหาทางดี จิตรู้ธรรม ลืมจิตที่ติดธุลี ใจรู้ธรรมที่เป็นสุขขันธ์ทุกข์ขันธ์แน่ประจำ ธรรมคงเป็นธรรม ขันธ์คงเป็นขันธ์เท่านั้นแล
.
คำว่า เย็นสบายหายเดือดร้อน หมายจิตถอนจากผิดที่ติดแก้ ส่วนสังขารขันธ์ปราศสุขเป็นทุกข์แท้ เพราะต้องแก่ไข้ตายไม่วายวัน จิตรู้ธรรมที่ล้ำเลิศ จิตก็ถอนจากผิดเครื่องเศร้าหมองของแสลง ผิดเป็นโทษของใจอย่างร้ายแรง เห็นธรรมแจ้งธรรมผิดหมดพิษใจ จิตเห็นธรรมดีเลิศที่พ้นพบปะธรรมปลดเปลื้องเครื่องกระสัน (มีสติอยู่กับตัวบ่พัวพัน) เรื่องรักขันธ์หายสิ้นขาดยินดี สิ้นธุลีทั้งปวงหมดห่วงใจ ถึงจะคิดก็ไม่ห้ามตามนิสสัย เมื่อไม่ห้ามกลับไม่ฟุ้งยุ่งไป พึงรู้ได้ว่าบาปมีขึ้นเพราะขืนจริง ตอบว่าบาปเกิดได้เพราะไม่รู้ ถ้าปิดประตูเขลาได้สบายยิ่ง ชั่วทั้งปวงเงียบหายไม่ไหวติง ขันธ์ทุกสิ่งย่อมทุกข์ไม่สุขเลย
.
แต่ก่อนข้าพเจ้ามืดเขลาเหมือนเข้าถ้ำ อยากเห็นธรรมยึดจะเข้าเฉย ยึดความจำว่าเป็นใจหมายจนเคย เลยเพลินเชยชมจำธรรมมานาน ความจำผิดปิดไว้ไม่ให้เห็น จึงหลงเล่นขันธ์ ๕ น่าสงสาร ให้ยกตัวออกตนพ้นประมาณ เที่ยวระรานติคนอื่นเป็นพื้นไปไม่ได้ผล เที่ยวดูโทษคนอื่นขื่นใจ เหมือนก่อไฟเผาต้องตัวมัวมอม ใครผิดถูกดีชั่วก็ตัวเขา ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอม อย่าให้อกุศลวนตามตอม ควรถึงพร้อมบุญกุศลผลสบาย
.
เห็นคนอื่นเขาชั่วตัวก็ดี เป็นราคียึดขันธ์ที่มั่นหมาย ยึดขันธ์ต้องร้อนแท้เพราะแก่ตาย เลยซ้ำร้ายกิเลสเข้ากลุ้มรุมกวน เต็มทั้งรักโกรธโทษประจักษ์ ทั้งหลงนักหนักจิตคิดโทษหวล ทั้งอารมณ์กามห้าก็มาชวน ยกกระบวนทุกอย่างต่างๆ กัน เพราะยึดขันธ์ทั้ง ๕ ว่าของตน จึงไม่พ้นทุกข์ภัยไปได้เลย ถ้ารู้โทษของตัวแล้วอย่าช้าเฉย ดูอาการสังขารที่ไม่เที่ยงร่ำไปให้ใจเคย คงได้เชยชมธรรมอันเอกวิเวกจิตไม่เพียงนั้นหมายใจไหวจากจำ เห็นแล้วขำดูดูอยู่ไม่ไหว อารมณ์นอกดับระงับไปหมดปรากฏธรรม เห็นธรรมแล้วย่อมหายวุ่นวายจิต (จิตนั้นไม่ติดคู่) จริงเท่านี้ หมดประตูรู้ไม่รู้อย่างนี้จิต
.
รู้เท่า ที่ไม่เที่ยง จิตต้นพ้นริเริ่ม คงจิตเดิมอย่างเที่ยงแท้ รู้ต้นจิตพ้นจากผิดทั้งปวงไม่ห่วง ถ้าออกไปปลายจิตผิดทันที คำที่ว่ามืดนั้นเพราะจิตคิดหวงดี จิตหวงนี้ปลายจิตคิดออกไป (จิตต้นที่เมื่อธรรมะปรากฏหมดสงสัย) เห็นธรรมะอันเกิดเลิศโลกา เรื่องจิตค้นวุ่นหามาแต่ก่อน ก็เลิกถอนเปลื้องหมดได้สิ้น ยังมีทุกข์ต้องหลับนอนกับกินไปตามเรื่อง ใจเชื่อชิดต้นจิตคิดใคร่ครวญ ธรรมดาของจิตต้องคิดนึก พอรู้สึกจิตคุ้นพ้นรำคาญ เงียบสงัดจากมารเครื่องรบกวน ธรรมดาสังขารปรากฏหมดด้วยกัน เสื่อมทั้งนั้นคงที่ไม่มีเลย ระวังใดเมื่อจำทำละเอียด มันจะเบียดให้จิตไปติดเฉย ใจไม่เที่ยงของใจช้ำให้เคย เมื่อถึงเฮยหากรู้เองเพลงของจิต เหมือนดังมายาที่หลอกลวง ท่านว่าวิปัสสนูปกิเลสจำแลงเพศเหมือนดังจริงที่แท้ไม่ใช่จริง รู้ขึ้นเองนามว่าความเป็นไม่ใช่ เช่นฟังเข้าใจชั้นไต่ถาม ทั้งไตร่ตรองแยกแยะรูปและนาม ก็ใช่ความเห็นต้องจงเล็งดู รู้ขึ้นเองใช่เพลงจิตรู้ต้นจิต
.
จิตตนพ้นรำคาญ ต้นจิตรู้ตัวว่าสังขาร เรื่องแปรปรวนใช่กระบวนไป ดูหรือรู้จริงอะไรรู้อยู่เพราะหมายคู่ก็ไม่ใช่ จิตคงรู้จิตเองเพราะเพลงไหว จิตรู้ไหวไหวก็จิตคิดกันไป แยกไม่ได้ตามจริงสิ่งเดียวกัน จิตเป็นของอาการเรียกว่าสัญญาพาพัวพัน ไม่เที่ยงนั้นก็ตัวเองไปเลงใคร ใจรู้เสื่อมของตัวพ้นมัวมืด ใจก็จืดสิ้นรสหมดสงสัย ขาดต้นคว้าหาเรื่องเครื่องนอกใน ความอาลัยทั้งปวงก็ร่วงโรย
.
ทั้งโกรธรักเครื่องหนักใจก็ไปจาก เรื่องจิตอยากก็หยุดได้หายหิวโหย พ้นหนักใจทั้งหมายหายอิดโรย เหมือนฝนโปรยใจ ใจก็เย็นด้วยเห็นใจ ใจเย็นเพราะไม่ต้องเที่ยวมองคน รู้จิตต้นปัจจุบันพ้นหวั่นไหว ดีหรือชั่วทั้งปวงไม่ห่วงใย เพราะดับไปทั้งเรื่องเครื่องรุงรัง อยู่เงียบๆ ต้นจิตไม่คิดอ่านตามแต่การของจิตสิ้นคิดหวัง ไม่ต้องวุ่นต้องวายหายระวัง นอนหรือนั่งนึกพ้นอยู่ต้นจิต ท่านชี้มรรคทั้งหลักแหลม ช่างต่อเต็มกว้างขวางสว่างไสว ยังอีกอย่างทางใจไม่หลุดสมุทัย ขอจงโปรดชี้ให้พิสดารเป็นการดี
.
ตอบว่าสมุทัยคืออาลัยรัก เพลินยิ่งนักทำภพใหม่ไม่หน่ายหนี ว่าอย่างต่ำกามคุณห้าเป็นราคี อย่างสูงชี้สมุทัยอาลัยฌาน ถ้าจะจับตามวิธีในจิต ก็เรื่องคิดเพลินไปในสังขาร เคยทั้งปวงเพลินมาเสียช้านาน กลับเป็นการดีไปให้เจริญจิต ไปในส่วนที่ผิดก็เลยแตกกิ่งก้านฟุ้งซ่านใหญ่ เที่ยวเพลินไปในผิดไม่คิดเขิน สิ่งใดชอบอารมณ์ก็ชมเพลิน เพลินจนเกินลืมตัวไม่กลัวภัย
.
เพลินดูโทษคนอื่นตื่นด้วยชั่ว โทษของตัวไม่เห็นเป็นไฉน โทษคนอื่นเขามากสักเท่าไร ไม่ทำให้เราตกนรกเสียเลย โทษของเราเศร้าหมองไม่ต้องมาก ลงวิบากไปตกนรกแสนสาหัส หมั่นดูโทษตนไว้ให้ใจเคย เว้นเสียซึ่งโทษนั้น คงได้เชยชมสุขพ้นทุกข์ภัย เมื่อเห็นโทษตนชัดพึงตัดทิ้ง ทำอ้อยอิ่งคิดมา จากไม่ได้ เรื่องอยากดีไม่หยุดคือตัวสมุทัย เป็นโทษใหญ่กลัวจะไม่ดีนี้ก็แรง
.
ดีไม่ดี นี้เป็นผิดของจิตนัก เหมือนไข้หนักถูกต้องของแสลง กำเริบโรคด้วยพิษด้วยผิดสำแดง ธรรมไม่แจ้งเพราะอยากดีนี้เป็นเดิม ความอยากดีมีมากมักลากจิต ให้เที่ยวคิดวุ่นไปจนใจเหิม สรรพชั่วมัวหมองก็ต้องเติม ผิดยิ่งเพิ่มจากไปไกลจากธรรม ที่จริงชี้สมุทัยนี่ใจฉันคร้าม ฟังเนื้อความไปข้างฟังนุงนังยุ่งยิ่ง เมื่อชี้มรรคฟังใจไม่ไหวติง ระงับนิ่งใจสงบจบกันที
.
อันชื่อว่า ขันธวิมุติสสังคีธรรมประจำอยู่กับที่ ไม่มีอาการไป ไม่มีอาการมา สภาวธรรมที่เป็นจริง สิ่งเดียวเท่านั้นแลไม่มีเรื่องจะแวะเวียน สิ้นเนื้อความเพียรแต่เพียงนี้ ผิดหรือถูกดีจงใช้ปัญญาตรองดูให้รู้เถิด
.
( พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต )
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยเกล้า สาธุ.