พุทธธรรมกฎแห่งกรรม วันที่ 13 ธันวาคม 2562
ตอนที่ 133 **ถึงหรือยังไม่ถึงพระนิพพาน**
ในเช้าของวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ ลูกมีความรู้สึกว่า ถึงซึ่งพระนิพพานตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วแล้ว แต่จนป่านนี้ ลูกก็ยังรู้สึกว่า ตกลงว่าถึงจริงหรือเปล่า เพราะว่าบางทีเรามองดูดีๆ มันก็จะมีกิเลส มีตัณหาเข้าแทรกมาในดวงจิตของเราได้บ้าง อย่างนั้นหน่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์ โปรดทรงเมตตาอธิบายสภาวธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้าฯ
ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จงปรับจิตปรับใจของตนให้เป็นปรกติ
ปรกติ ก็คือ สว่างไสว สงบ ไม่ปรุงแต่ง พร้อมที่จะฟังธรรม
คืนจิตของตนกลับคืนสู่สภาวะปรกติของจิต ที่ปราศจากสิ่งมัวหมองทั้งหลาย เข้ามาควบคุม ครอบงำจิต แล้วก็ค่อยๆพิจารณาธรรม ตามเสียงที่ได้ยินได้ฟังดังต่อไปนี้
พระยาธรรมเอ๋ย... ดวงจิตของปุถุชนคนธรรมดา จะไม่สามารถเข้าถึงนิพพานเลยลูก
ดวงจิตของเขาจะมืดมิด และมี*กำแพงของวัฏสงสาร*ปิดกั้น คลุมให้เขานั้น มองไม่เห็นคำว่า *พระนิพพาน*
แต่ดวงจิตใดก็ตาม เมื่อสามารถ*ปั่นรอบ*ตนเอง ให้ขึ้นมาเป็นองค์พระอริยะเจ้า ตั้งแต่ระดับที่ 1 ขึ้นมา
ดวงจิตดวงนั้น ก็จะสามารถ*แตะสภาวธรรม ของคำว่า พระนิพพาน*
เมื่อจิตขึ้นมาแตะอารมณ์แห่งพระนิพพานแล้ว ลูกก็จะเข้าใจว่า พระนิพพานเป็นแบบไหน
และลูกก็จะเพียรพยายามที่จะสร้างสั่งสมความดี ให้มาถึงพระนิพพานให้ได้ ในสักวัน
แต่เมื่อจิตยังเป็นพระอริยะเจ้า ในระดับที่ 1 เราก็จะยังคงเห็นกิเลสที่ยังเยอะอยู่
เพียงแต่เบาบางกว่าปุถุชนคนธรรมดา เท่านั้น
เมื่อเห็นกิเลสชัดเจนอยู่ เราก็จะยังมั่นใจว่า
เรานั้นยังมีกิเลสมากอยู่
เรานั้น ยังไม่ถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์หรอก
เราก็จะยังมั่นใจเช่นนั้น
และเราก็ยังคงต้องปั่นรอบไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งจิตของลูกนั้น - เลื่อนสภาวะละเอียดขึ้นๆ จนถึงภูมิของพระสกิทาคามี จิตของลูกเริ่มละเอียด เห็นพระนิพพานชัดเจน และทรงอารมณ์นิพพานได้มากขึ้น ลูกก็จะรู้สึกว่า ถึงนิพพานแล้ว
สิ่งกระทบ หรือทดสอบต่างๆนั้น เบาบางลง และเป็นสิ่งรบกวนที่เล็กน้อย
และเราสามารถชนะมันได้แน่นอน
เพราะว่า พระสกิทาคามี จะเหลือการเกิดแค่เพียง 1 ภพชาติ แล้วก็จะนิพพานได้
ฉะนั้น ดวงจิตดวงนั้น จึงเข้าใกล้พระนิพพานมาก
แล้วก็จะรู้สึกว่า ค่อนข้างทรงอารมณ์ของพระนิพพาน คือ อารมณ์แห่งการรู้ตื่น รู้เท่าทัน ปล่อยวาง ละกิเลสตัณหาได้มาก
ฉะนั้น ก็จะรู้สึกคล้ายๆว่า ตนถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว
และในความเป็นจริง ก็คือ *ถึงแล้ว* นั่นหละลูก เพียงแต่ว่า *ยังไม่ทรงอารมณ์นิพพาน*
ยังมีสิ่งก่อกวนได้บ้าง แค่นั้นเอง และมันก็เล็กน้อย ไม่สำคัญอะไรกับเรา
ลูกจึงรู้สึกว่า ถึงตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว แล้ว
แต่บัดนี้ ก็ยังเหมือนว่ายังไม่ถึง หรือว่าไม่ถึงก็ไม่แน่ใจ ก็เพราะว่า ลูกเดินทางมาเป็นขั้นๆ
ถึงตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่ทรงสภาวะอยู่เท่านั้น
พระยาธรรมเอย... และมาในช่วงนี้ ลูกก็จะต้อง*ปั่นกระแสจิต*ของตน
ยกระดับจิตของตน ให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
ลูกนั้นก็เลยเห็นสภาวะของกิเลสตัณหา ที่กระทบเข้ามาบ้าง ที่ยังแอบฝังอยู่ในตัวเราเล็กๆ น้อยๆบ้าง อยู่บ่อยๆ เพราะลูกจะต้องปั่นรอบ ถอดถอนกิเลสตัณหา ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
เพื่อเข้าสู่การเป็น*พุทธเจ้าน้อย*
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... การที่ลูกเลื่อนระดับมาเป็นขั้นๆ ก็จะทำให้ลูก*แตะอารมณ์พระนิพพาน*บ้าง *ทรงอารมณ์พระนิพพาน*เป็นระยะๆบ้าง แล้วก็เดินทางมาจนเป็นพระอริยะเจ้าในระดับที่ 3
ก็ละเอียดขึ้น และมุ่งหน้าสู่ระดับที่ 4 ก็ละเอียดขึ้น
เช่นนี้หละ... พระยาธรรม
การถึงพระนิพพาน จิตทุกดวงที่ทรงความเป็นพระอริยะเจ้าแล้วนั้น จึงถึงทุกดวง
รู้สึกว่าถึงมากขึ้น ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ * ไล่ตามระดับภูมิจิต ที่เลื่อนเข้าสู่การเป็นพระอริยะเจ้า ในแต่ละระดับ*
*กิเลสตัณหา* ก็เบาบางลง ตามระดับเหมือนกัน
*พระนิพพาน* ก็ชัดเจนมากขึ้น ตามระดับเหมือนกัน
จนบัดนี้ ถ้าจะกล่าวว่าถึงนิพพาน ก็ถึงนิพพาน นั่นหละ... พระยาธรรม
และจิตก็ทรงสภาวะอารมณ์ของพระนิพพาน เป็นระยะๆ คือ เป็นบางที บางช่วงเวลา
แล้วก็หย่อนไปรับกระทบ ทดสอบดูว่า ยังกระทบได้ไหม
แล้วก็ขึงให้ตึงขึ้นมา เพื่อสลัดกระทบนั้นออกไป
ฝึกเช่นนี้ ทำเช่นนี้ ฝึกไปเรื่อยๆ จนกว่าดวงจิตนั้นจะทรงพลังแข็งแกร่ง
สิ่งกระทบเข้ามาไม่ถึง ไม่ได้อีกต่อไป
นั่นละ จึงจะถึง*การทรงอารมณ์แห่งพระนิพพาน* อย่างแท้จริง
และไม่ว่าลูกนั้นจะต้องไปรับกับสภาวะใด *ก็แค่กระทบเข้ามา แล้วก็เด้งกลับไป*
จะเจาะไม่ทะลุมาในดวงจิตของลูก จะไม่มีสิ่งใดกระทบลูกได้อีกเลย
เช่นนี้หละ พระยาธรรมเอย... เหตุที่ลูกสงสัย ก็มีแค่นี้
ก็จิตเดินทางมาถึงตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่*ทรงสภาวะอารมณ์ตั้งมั่นไว้*
กิเลสตัณหาค่อยๆลอก ค่อยๆลอก ให้มันเบาบางไปเรื่อยๆ
*ตามรอบ ตามเหตุ ตามปัจจัย ของภูมิจิต* ที่เลื่อนและละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
เช่นนี้หละลูก... พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยังเล่า
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. เราก็จะต้องเพียรพยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าไม่มีอะไรกระทบเราได้
แต่ว่าลูกรู้สึกว่า มันทุกข์มากเลย ทั้งที่สิ่งที่กระทบเข้ามา มันแค่เล็กน้อย
แต่ว่าเรารู้สึกปฏิเสธมันอย่างสิ้นเชิง ไม่อยากได้มันเลย แม้แต่นิดเดียว
เช่นนี้ หน่ะเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ก็นั่นหละ พระยาธรรม จิตเราทรงอารมณ์ของความสุข ความสงบ
คลื่นกระแสแห่งทุกข์ แม้เพียงเล็กน้อย ถ้าเจาะเข้ามาในจิตเราได้
เราก็จะรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเลย ไม่น่าให้มันมีอยู่ เป็นอยู่เลย ไม่น่าให้ที่อาศัยแก่มันเลย !
แม้แต่เพียงแค่เล็กน้อย.. เราก็จะรู้สึกรังเกียจตัวกิเลสตัณหานั้น
ปรารถนาที่จะสลัดมันออกไปจากตัวของเรา มันต้องรังเกียจ มันจึงจะไม่รักษาเอาไว้ ลูก
ฉะนั้น สภาวะจิตของลูก ยังอยู่ในช่วงที่ กิเลสตัณหากระทบเข้ามา
ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านรับให้ดันออกไป เลยเจาะทะลุเข้ามาได้บ้างเล็กน้อย
แต่แม้ว่าจะเล็กน้อย แต่ก็เหมือนหนามที่ทิ่มแทงอยู่ เลยรู้สึกทุกข์ รู้สึกอยากที่จะผลักดันมันออกไป
ก็เป็นปรกติธรรมดาของสภาวธรรมแห่งจิต
ผู้ที่ปรารถนาความบริสุทธิ์ ปรารถนาความสุข ที่คือสุขอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นแค่เศษทุกข์เล็กๆน้อยๆ เขาก็จะไม่ปรารถนาให้มาอยู่ในจิตของเขา
จนเขานั้นไม่อาจมองข้าม แม้เป็นเพียงเงาทุกข์เล็กน้อย ก็ไม่ปรารถนา
จิตจึงสามารถทรงสภาวะอยู่ในความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง สว่างไสว รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ไม่มีสิ่งใดทำให้ขุ่นมัว เศร้าหมอง มัวหมอง มืดมิดได้อีก ลูก..
กิเลสนั้นเพียงเล็กน้อย แต่มันก็สามารถเป็นเหตุจุดประกาย ให้เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น ทางที่ดี จึงควรถอดถอนให้สิ้นซาก ไม่เหลือ แม้แต่เพียงแค่เศษเล็กน้อย เท่าเม็ดพุดซา
ก็ควรที่จะดึงออกไปให้หมด แต่เราก็จง*อย่าเร่งรีบ ในการดึง*
เราจงค่อยๆ ทำไป*อย่างปล่อยวาง* ใช้ *ทางสายกลาง*ในการดำเนินไป
ไม่ตึงเกินไป จะให้มันหมดวันนี้ พรุ่งนี้ และก็ไม่หย่อนเกินไป จนปล่อยให้มันได้ใจ
ทำความดีไป ชำระไป ถอดถอนไป *ตามเหตุ* และ*ถึงเวลาที่มันจะหมด มันก็จะหมดเอง* นั่นหละลูก
พอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วหรือยังเล่า... พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
พระพุทธองค์เจ้าขา... แล้วตอนที่ลูกมาที่นี่ ลูกรู้สึกว่า เราต้องทิ้งสภาวะทุกอย่างเอาไว้
พอเราเข้ามาในโลกแห่งความไม่มี มันก็ยังมีสิ่งที่เกาะคลุมเรามาอยู่อีก
แล้วเราก็ต้องสลายจิตเข้าไปในส่วนที่ไม่มีอีก แบบนี้หน่ะเจ้าค่ะเพราะอะไรหรือเจ้าคะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย... ก็ดวงจิตของคนเรา ปรกติแล้ว *มันไม่มีอะไรเลย..*
มันมีเพียงแค่สภาวธรรม *ความโล่งๆ ว่างๆ*
แต่หากว่าเรา โดน *กิเลสตัณหา กรรมวิบาก อัตตาตัวตน ครอบงำแล้ว* เราก็จะ*มีตัว มีตน*
และถ้าหากมีตัว มีตน ก็จะ*เป็นที่ตั้งมั่น* แห่ง *ความหนัก* ทั้งหลาย
เมื่อลูกสลัดเอาของหนัก ที่เป็นสิ่งที่คลุมในตัวในตน ในสิ่งทั้งหลาย ภายนอกทิ้งไปแล้ว
ดวงจิตของลูกในส่วนลึก มันก็ยังคงมีสภาวะของการ*แบกรับหน้าที่ แบกรับในสิ่งต่างๆ* ในส่วนลึก
จึงยังคงเห็นคลื่น ที่ละเอียดลึก ที่ยังคงคลุมจิตเราอยู่
และลูกก็จำเป็นที่จะต้อง สลัดเอาคลื่นที่คลุมในจิตของลูกนั้น ทิ้งไปอีก
และตัวตนนั้น ก็ต้องทิ้งไป จนเหลือแต่ดวงจิตที่ว่างโล่ง
อย่างที่ลูกทรงสภาวะอยู่ ณ ตอนนี้ นั่นหละลูก
พระยาธรรม : สาธุเจ้าข้าฯ
ถึงว่า ตอนที่ลูกมา มันหนัก ลูกทิ้งไปแล้ว
อันที่ 2 ข้างใน มันก็ยังหนักอยู่ มันเป็นคลื่นคลุมอยู่ข้างหลัง เหมือนผ้าคลุมไหล่ หน่ะเจ้าค่ะ
ลูกก็เลยสลัดทิ้งมันไปอีก
เข้ามา ก็ยังเหมือนมีผ้าคลุมไหล่อยู่อีก แต่มันเป็นแสงสว่าง มันเป็นเหมือนของทิพย์ หน่ะเจ้าค่ะ
แต่ลูกก็ยังรู้สึกว่ามันเกะกะ ลูกก็เลยทิ้งมันไปอีก
เลยเหลือแต่จิตว่างๆ มันก็เลยสบาย เช่นนี้เจ้าข้าฯ
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ช่วงนี้ลูกเจอหลายอย่าง ลูกได้ยินเสียงพญามารด่าอยู่เรื่อยเลยเจ้าค่ะ
เขาจะชอบด่าหยาบๆคายๆ เป็นเสียงที่ด่าแบบใช้คำพูดที่ไม่ดีเลย คุกคามลูกอยู่ตลอด แบบนี้หน่ะเจ้าค่ะ
เกิดจากสภาวะอะไรหรือเจ้าคะ แต่ลูกก็ไม่ได้สนใจนะเจ้าค่ะ ลูกแค่ได้ยินเฉยๆ เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์...พระยาธรรมเอย. ก็เป็นธรรมดาหล่ะลูก
ลูกนั้น เผยแผ่ธรรมออกไป ก็จะต้องมีคนที่ด่า คนที่ว่า
คนที่กล่าวในถ้อยคำหยาบๆคายๆ ต่างๆ มากมายหลายรูปแบบ
ลูกนั้น จะต้องข้ามเสียงด่า เสียงว่าเหล่านี้ให้ได้ เหมือนที่ลูกฟังเสียงทิพย์ไงลูก
เราอย่าไปติดในคำพูด ดำด่าก็อย่าไปสนใจมัน
คำชื่นชม ก็อย่าไปสนใจมัน เราจงอยู่ของเราเฉยๆ
และตั้งจิตให้ดีในการทำความดี เพื่อเผยแผ่พระธรรมนี้ให้กว้างไกล
และช่วยเหลือเหล่านั้น ให้พ้นทุกข์ก็พอ *
เราไม่ได้ทำไป เพื่อได้รับคำสรรเสริญ
และเราก็ไม่ได้ทำไป เพื่อให้ได้รับคำด่า
ไม่มีสิ่งอื่นภายนอก ที่สำคัญสำหรับเรา
เพียงแต่สิ่งเราทำอยู่ เราทำเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์
ทำเพื่อให้หนทางแห่งการพ้นทุกข์นั้น ได้ช่วยเหลือกลุ่มคน กลุ่มดวงจิต
ที่เขาเหล่านั้น ปรารถนาจะพ้นทุกข์ตาม เช่นเดียวกันกับเรา
เท่านั้นหละ พระยาธรรม
ฉะนั้น ลูกจึงได้ยินเสียงด่า ในคำด่า คำว่าต่างๆ
เป็นธรรมดาหล่ะลูก เพราะอีกหน่อย ก็คงจะมีคนที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้น
แต่ลูกก็จง*เห็นเป็นธรรมดา*ไป
มันก็ต้องค่อยๆ ฝึกตั้งแต่ สิ่งที่ละเอียดภายใน สู่สิ่งที่หยาบภายนอก
เพื่อคุ้นชิน และอยู่กับมันได้เป็นปรกติ เช่นนั้นหละ พระยาธรรมเอย
มารและสิ่งไม่ดี จะมาทั้ง*สิ่งที่เป็นทิพย์ และสิ่งที่เป็นรูปธรรม ในสิ่งที่เป็นของหยาบ และของละเอียด*
เราจงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน อย่างรู้ตื่น และจงเรียนรู้ที่จะทรงสภาวะจิตของตน
*ให้เห็นทุกอย่างเหล่านั้นเป็นธรรมดา*
เช่นนี้หละ พระยาธรรมเอ๋ย ลูกคงพอจะเข้าใจแล้วสินะ
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าขา ฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง พระพุทธเจ้าข้า ฯ..สาธุ
"เหตุ" ต้องละ... "ผล" ต้องละ
เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง)
ก็ไม่ต้องอิงอาศัย กับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใด ๆ ทั้งสิ้น
จิตก็อยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ
อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น
เรียกว่า "สมุจเฉทธรรมทั้งปวง"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
//.อภิญญา 5 //
– ความรู้พิเศษจากฌาน มี 1.ทิพยโสต-หูทิพย์ 2.เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจ) 3. บุพเพนิวาสา นุสสติญาณ (ระลึกชาติได้) 4. ทิพยจักขุญาณ-ตาทิพย์ 5. “อิทธิวิธี.** เป็นอภิญญาโลกิยะปุถุชน.. อาจกลับกลาย หรือเสื่อมลงได้
*ถ้าบุคคลใดได้ .“อาสวัขยญาณ” (ญาณกำจัดกิเลส) คือ (1ในอภิญญา 6) เป็นอภิญญาระดับโลกุตระ ของอริยบุคคล( โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์)
. เป็น “อกุปปาวิมุตติ” ไม่มีการกลับกลาย ไม่กำเริบ ..จากอภิญญาโลกียะ กลายเป็น อภิญญาโลกุตตระ
มโนธาตุ โพธิญาณ