มนุษย์ต่างดาวกล่าวถึง.. "ยุคทอง"
การให้โอวาท จากผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
บนเขากะลา นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2541
.........................
“ยุคทอง เป็นคำเปรียบเปรย ไม่ใช่ยุคที่มีทองหรอกนะ เป็นยุคที่มีความศิวิไลในด้านจิตใจ นั่นยิ่งกว่าทองในประเทศของเจ้าเสียอีก เพราะฉะนั้น ในเมื่อเกิดกลียุค คนชั่ว 70 % ถูกกวาดล้างลงไป คนดีที่ยังเหลือรอดอยู่ เจ้าก็คำนวนเปอร์เซ็นต์ดูสิ พอคนชั่วตายไป คนดีตอนแรกมี 30 % พอตอนหลังก็จะกลายเป็น 80 - 90 % เพราะว่าคนชั่วมันตายลงไป เข้าใจไหม?
ในเมื่อเหลือแต่คนดี ธรรมชาติ ก็เป็น "กฏธรรมชาติ" เมื่อเหลือแต่คนดีในส่วนมาก เหลือแต่ผู้มีบารมีในส่วนมาก ก็จะมี "ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติ"
ในสมัยก่อนธรรมชาติมันไม่ร้อนอย่างนี้ แดดของเจ้ามันไม่ร้อนอย่างนี้ ต้นไม้ของเจ้ามันไม่แห้งแล้งอย่างนี้ แต่เพราะบุญบารมีของพวกเจ้าม้นน้อยลง ธรรมชาติมันก็เลยแปรปรวน ดินก็แห้งแล้ง น้ำก็มาในวาระที่ไม่ควรจะมา ในที่ที่จะเพาะปลูกก็ไม่มา มาในที่ที่ไม่ต้องการ เพราะอะไร? ก็เพราะแรงกรรมของพวกเจ้า
เพราะฉะนั้น "ยุคทอง" มันไม่ต้องรอเวลานานหรอกนะ หลังจากภัยพิบัติของพวกเจ้า ได้เกิดการกลียุคขึ้น มีภัยพิบัติกวาดล้างคนเลวลงไปจนเกือบหมดแล้ว และผู้ที่ยังรับเศษกรรมจากความชั่วของตัวเอง ได้มีการได้รับกรรมไปในระยะหนึ่งแล้ว ยุคทองนั้น ก็จะมีปาฏิหาริย์อื่น ๆ ผุดขึ้นมา ทรัพย์สินเงินทองจะผุดขึ้นมาจากดิน เจ้าก็คงนึกภาพกันไม่ออก ทองจะผุด แร่ธาตุทองจะผุดขึ้นมาจากดิน ต้นไม้ใบหญ้าแปลก ๆ จะขึ้นมาให้พวกเจ้าได้รับรู้ เจ้าเคยได้ยินไหมล่ะ? เจ้าก็ศึกษามามาก ในสมัยก่อน ต้นไม้เกิดขึ้นวันเดียวให้พวกเจ้าได้กินผลกันได้ อะไรนะ ข้าวอะไรของพวกเจ้าน่ะ มันมีจริง ๆ นะ แต่ในสมัยนั้น ผู้มีบารมี....มีอยู่เยอะ
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาปลูกข้าว ทำนา ใช้แรงควาย ใช้แรงวัวอย่างพวกเจ้านี้หรอก จะทำมาหากินยังต้องไปรังแกสัตว์ มันก็กรรมของพวกเจ้าที่ต้องเกิดมาในยุคนี้ จะประกอบอาชีพสุจริตยังต้องมีการทำกรรมเข้าไปในส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ในยุคของเจ้าเป็นกลียุค มันหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในสมัยก่อน ไม่ต้องไปทำกรรมหรอก อยู่ดี ๆ ต้นไม้ก็ขึ้นมา เจ้าก็กินได้ เหมือนในสมัยนี้ ต้นไม้ที่มีผลกินได้เลยก็มีไม่ใช่รึ? ผลไม้ของเจ้า เจ้าไม่ต้องไปหุงหา เจ้าก็กัดกินได้เลย ข้าวในสมัยก่อนก็เหมือนกัน เขาไม่ต้องไปหุงหา เขาก็สามารถกินได้เลยเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นนิยาย หรือเขาแต่งมาหลอกพวกเจ้าหรอกนะ มันเป็นเรื่องจริง”
...................................
“ข้าพเจ้าจะขอให้ความกระจ่างในแง่ธรรมะกับเจ้านะ.... ที่เจ้าบอกนั้นว่า "ปฏิบัติธรรม" นั้น เจ้าควรจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องของจุดมุ่งหมาย นอกจากผู้ที่มีบารมีจะต้องรู้ถึงการปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่แค่สวดมนต์นะ ปฏิบัติธรรมนั้น เจ้าก็จะต้องรู้เหตุ เจ้าไปบอกกับพวกเขานะ ถ้าเจ้ามีโอกาส บอกกับผู้ที่มีความรู้ ไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ต้องรู้เหตุ...รู้เหตุของภัยพิบัติ..ว่าเกิดจากอะไร?
เขาจะปฏิบัติธรรมได้ เขาต้องรู้เหตุภัยพิบัติครั้งนี้ เมื่อเข้าใจแล้ว และรู้ว่าเหตุนั้นเกิดจาก "กรรมดำ" ที่ทำกันเป็นส่วนมาก และผู้ที่มีบารมีที่จะรอดพ้นภัยนั้น นั่นก็คือเหตุที่ดี ทำไมต้องมีการช่วยเหลือจากผู้ที่มาจากต่างจักรวาล ก็เพราะว่าผู้ที่มีบารมี ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ก่อกรรมดำขึ้นนั้น และเป็นผู้ที่มีบารมีเก่าอยู่ สมควรได้รับการช่วยเหลือนั้น นั่นก็คือ...เป็นผล...จากการที่เขาได้ทำเหตุที่ดีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ภาษิตของเจ้าว่าไงนะ.... คนดีตกน้ำไม่ใหล ตกไฟไม่ไหม้..ใช่ไหม? เจ้ากำลังจะตกไฟกันนะ เจ้ากำลังจะตกน้ำ กำลังจะตกไฟกันอยู่ .... ไฟจากฟากฟ้า มันตกลงมาได้ทุกที่นะ อุกกาบาตที่มันหล่นลงมานั้น และที่มันชนกันนอกจักรวาลนั้น จะทำให้เป็นสะเก็ดไฟ เพราะฉะนั้น ภาษิตนี้นะ เจ้าเอาไปบอกเขาได้ คนดีตกน้ำไม่ใหล ตกไฟไม่ไหม้ .... เจ้าจะได้ประสบกันในอนาคตอันใกล้นี้
เพราะอะไร เพราะเจ้าอยู่ในที่นั้น ถ้าเจ้าไม่ได้รับการเตือน ถึงเจ้าจะมีบารมีแต่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าเหลือไหม ? เจ้าเหาะได้ไหม? เจ้าเหาะไม่ได้ เจ้าก็ต้องจมน้ำไป แต่ตกน้ำไม่ใหลเพราะอะไร เพราะเจ้าอยู่ในที่ที่เจ้าจะต้องตกน้ำอยู่แล้ว แต่มันไม่ใหลไป เพราะเจ้าถูกดึงตัวขึ้นมาบนเขานี้
ตกไฟไม่ไหม้ เพราะอะไร ถ้าเจ้าอยู่ในสถานที่ที่จะต้องมีลูกไฟจากฟากฟ้า หรือมีอัคคีภัยเกิดขึ้นแล้ว เจ้าตกอยู่ในสถานที่นั้นก็ต้องไหม้นะ แต่ตกน้ำไม่ใหล ตกไฟไม่ไหม้เพราะอะไร เพราะผู้ที่มีบารมี ถูกดลใจให้มาอยู่ในสถานที่ที่มันปลอดภัย
เพราะฉะนั้น คำภาษิตนี้เป็นคำโบร่ำ โบราณ แต่มันใช้ได้จริงนะ แต่อย่าไปเถรตรงนะว่า หล่นลงไปในน้ำแล้วมันไม่ใหล หล่นลงมันก็ต้องใหลไป แต่การตกน้ำไม่ใหล ตกไฟไม่ไหม้ ข้าพเจ้าขออธิบายอย่างนี้
.. เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมให้เป็นคนดี ที่จะตกน้ำไม่ใหล ตกไฟไม่ไหม้นั้น เจ้าก็ต้องไปบอกเขา ให้ปฏิบัติธรรมรู้หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..... นั่นก็คือ “แก่นแท้” ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนมากที่สุด ไม่มีธรรมะไหน สั่งสอนมากที่สุดเท่าธรรมะนี้
เพราะฉะนั้น อนิจจัง...คืออะไร? อนิจจังคือความไม่เที่ยง ให้เขารู้เหตุของความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์ บ้านเรือนของเจ้า หรือแม้แต่สวรรค์วิมาน มันก็ไม่เที่ยง ทุกขัง...คือมันเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือความทนอยู่ไม่ได้ มันไม่เป็นอย่างนี้ ความไม่เที่ยง มันก็คือความเป็นทุกข์ในตัวอยู่แล้ว ร่างกายของเจ้าที่มันเป็นทุกข์ เพราะต่อไปมันก็ต้องแก่ ต้องตาย นั่นแหละ คือมันเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าว่าแต่ร่างของเจ้าเลยนะ .... ไอ้โลกใบนี้ ที่มันเป็นที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันก็เป็นทุกข์นะ ตอนนี้มันกำลังจะบิดตัวอยู่แล้ว เพราะมันเป็นทุกข์ มันต้องเปลี่ยนแปลง
แล้วคำว่า ..อนัตตา...คือไม่มีตัวตน คือมันไม่ใช่ของแท้แน่นอน เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็น " ธรรมะ " .. ให้เจ้าบอกเลย ...ว่าที่ข้าจะมาช่วยเหลือผู้คนนี้ คนที่มีธรรมะ ไปรู้หลักนี้ ไปเรียนรู้เหตุ ไปเรียนรู้หลัก เพราะพอเขาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเพื่อพิจารณา ไม่ใช่นั่งสมาธิเฉย ๆ มันช่วยอะไรไม่ได้ นั่งสมาธิแล้วต้องพิจารณาถึงหลักนี้ด้วย
แล้วผู้มีบารมี ที่ปฏิบัติธรรมนั้น เทพทั้งหลายก็จะลงรักษา แล้วจะดลบันดาลให้ได้รับรู้ข่าวสาร ถึงการช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติในศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีในหลายสถานที่ แล้วเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือมากันในสถานที่ปลอดภัยเอง
เจ้าต้องบอกเขาถึง "แก่นแท้" นะ ถ้าบอกปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรม บางคนก็บอกว่า ข้าก็เข้าวัด เข้าวัดอยู่ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย มันก็ต้องมีหลาย ๆ อย่างนะ ปฏิบัติธรรมนั้น ก็คือต้องรู้หลักที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ... เออ..มี 3 คำเท่านั้น..”
…………………….
“ข้าพเจ้าก็จะขอบอกว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดเวลา แม้แต่ยานอวกาศของข้าพเจ้า เออ เจ้าพิจารณากันต่อไปละกัน มันต้องใช้ความอดทนในการสังเกต การดู ทำไมต้องทำอย่างนี้ เพราะต่อไปเจ้าต้องใช้ปัญญาในการสั่งสอนคน ในการรู้เหลี่ยมคนอีกเยอะ ถ้าสงสัยก็มาดูไป มันจะหายไปไหม หรือจะมาใหม่ หรือจะมาเพิ่ม...
... สักวันหนึ่ง เจ้าก็จะต้องมีความฉุกคิด... ยานอวกาศ .. สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ทำไมจึงมาหาเรา ..... เจ้าไปคิดเอา..”
มันน่ากลัว และ มันก็ไม่ได้น่ากลัว
#มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
#มันมีความเชื่อมโยงกันในทุกๆเรื่อง
การเมือง
การค้า
การสงคราม
การศาสนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความฉ้อฉล
การเอารัดเอาเปรียบ
ความหลอกลวง
การต่อสู้เพื่อมนุษยชาติที่แท้จริง กับ
การต่อสู้เพื่อประโยชน์ส่วนตนกับพวกพ้อง
พระแม่กาลี/นิบิรูคือ การกวาดล้าง แล้ว ให้นับหนึ่งใหม่
เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย
ยกเว้น ครั้งนี้ การกวาดล้างจะที่จบลงด้วยการสูญเสียโลกและคนบนโลกทั้งหมด
ที่เป็นเช่นนี้เพราะผู้ที่ยึดโลกไว้ในอุ้งมือได้เตรียมการต่อกรอย่างเต็มที่
พวกเขาจะไม่ยอมให้ตนเองถูกกวาดล้างไปแต่กลุ่มเดียวอย่างที่ผ่านมา
"เมื่อเราอยู่ไม่ได้ ลูกหลานท่านก็อยู่ไม่ได้ เช่นกัน"
ฟังดูคุ้นๆนะ น่าจะเป็นลูกหลานของเขา
ที่เคยประกาศตัวให้ชาวไทยได้ทราบแบบเดียวกัน
เมื่อคืนนี้ ที่ข้างบนมีการประชุมกัน
องค์ศิวะเทพเปรยขึ้นมาให้ได้ทราบมาถึงหูของเรา
ท่านบอกว่า "พวกเขาจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายเราและทุกท่านที่มาช่วยรื้อขนผู้คนไปสู่ยุคใหม่"
นี่คือที่พวกเขาเตรียมการกันมานานมากและคงจะพร้อมแล้วที่จะกระทำการนี้ในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้านี้
พวกเขาเป็นใคร
พวกเขาคือลูกหลานเผ่าพันธ์อสูรที่อยู่ที่โลกใบนี้มาก่อน
จนกระทั่งล่าสุด ราว 2 แสนปีก่อน
ชาวพลียะเดี้ยน(กลุ่มดาวลูกไก่/พวกเทพ)ได้มาสร้างเผ่าพันธ์มนุษย์ขึ้นมาโดยให้มีรูปร่างคล้ายคลึงกันกับชาวดาวลูกไก่
ต่อมามีการผสมกันระหว่างเทพกับอสูร
มีความพยายามที่จะพัฒนาพวกนี้ให้ยกระดับจิตขึ้นมา
แต่สุดท้ายเมื่อ 30,000 ปีที่ผ่านมาได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเทพกับอสูร มีการเจรจาสงบศึกทำสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกันอีก ต่างคนต่างอยู่ อสูรลงไปอยู่ใต้ดินอีกด้านหนึ่งของโลก
วันดีคืนดี อสูรผิดสัจจะ พวกเขาได้ย่องขึ้นมาบนโลก
แล้วทำการล่อหลอกมนุษย์ให้มาติดกับดัก
ด้วยความสามารถทางจิตที่เหนือกว่ามนุษย์
ทั้งล่อด้วยอำนาจ พลัง ปัญญา
แล้วทำการสร้างเผ่าพันธุ์ของตนขึ้นมา
สยายปีกทีละนิด จนสุดท้ายพวกเขากุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ
กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังความเจริญทางวัตถุทุกชนิด
แล้วหลอกให้มนุษย์ติดกับดักอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ทุกคนล้วนแล้วแต่ตกอยู่ใต้อำนาจของลูกหลานอสูรทั้งสิ้น
มนุษย์บางคนก็มีเชื้อสายอสูรอยู่ในสายเลือดจึงง่ายมากที่จะนำตัวคนเหล่านี้มาปั้นให้เป็นผู้นำเพื่อพาผู้คนลงสู่อบายภูมิ อันเป็นภูมิของพวกเขา
โลกที่ผ่านมาจึงเจริญลงทางจิตใจ
เมื่อโลกตกต่ำลงมากทางด้านพลังงาน
ซึ่งปกติจะมีคลื่นความถี่มวลรวมอยู่ 7.83 hz.
และมีแนวโน้มตกต่ำลงเรื่อยๆ
พระแม่กาลี/นิบิรู ก็จะได้เวลาเคลื่อนผ่าน
เพื่อทำการล้างคลื่นต่ำด้วยการดูดกลืนไป
เมื่อผ่านพ้นไปแล้วโลกก็จะฟื้นตัวขึ้นใหม่ และมีคลื่นที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ด้วยเผ่าพันธุ์อสูรจะถูกคลื่นพระแม่กาลีดูดกลืนไปเกือบหมดนั่นเอง
คนั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร?
ติดตามในบทต่อไป
เห็นเป็นธาตุ ก็จะไม่เป็นทาส สิ่งที่เห็น
กับหลงตัวตนของตนและสิ่งทั้งปวง
#ปรากฎการณ์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกใบนี้
เป็นแค่"จิตรู้เป็นแค่ขณะๆหรือหลงรู้"เท่านั้น
หาใช่ชีวิตไม่.
มันเป็นแค่ การเกิดดับสืบต่อ ของการรับรู้
จิต จึงเป็น แค่ อุปกรณ์ในการรับรู้โลก
และเป็นส่วนหนึ่งของสังขตธรรม
ที่ดำรงอยู่แค่ขณะๆและดับไป ตามเหตุปัจจัย
ไม่มีอะไร ที่เป็นชีวิตเลย
นอกจาก สังขารการปรุงแต่ง
มีกระแสแห่งธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัยเท่านั้น
ก็ไม่มีอะไรสำคัญกับอะไรๆเลย ไม่มีแก่นสารอะไรเลย เป็นเพียงการ ประชุมกันของส่วนประกอบ ที่มีความไม่เที่ยง เกิดดับ เกิดดับสืบต่อกันอย่าง รวดเร็ว
ชั่วลัดนิ้วมือ จิตมีการเกิดดับ แสนโกฏิขณะ
หรือหนึ่งล้านล้านครั้งของคลื่นสั่นสะเทือน
เซลล์ของมนุษย์ตายชั่วโมงละ 500 เซลล์
เมื่อกี้บางส่วนของคุณก็ได้ตายไปแล้ว
ผ่านไป 7ปีคุณจะไม่เหลือเซลเก่าของคุณอยู่เลย ทุก7ปี คุณจะเป็นคนไหม่
เป็นสภาพที่หาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใคร
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา และบังคับบัญชาของผู้ใด
ไม่ต้องกลัวตายหลอก เพราะ ไม่มีใครตายจริงๆ
เคยถามเซลล์ไหม ใครเป็นเจ้าของ มันไม่เคยตอบ
การรู้จักเส้นทางเป็นเรื่องหนึ่ง
คอยหนีหรือ จะสู้ คิดกำจัด คิดไปปล่อยวาง
คิดว่าว่าง คิดว่าติด คิดว่าบรรลุแล้ว
การเดินไปในเส้นทางนั้น ๆ ก็ฝั่งหนึ่ง
การเกิดมายากับการกำจัดมายา
มันก็เป็นมายาทั้งคู่
การศึกษาการค้นหาแสวงหาใดๆ
มันก็เป็นแค่ตัวอักษรและวาจาและความจำ
เป็นแค่อุปทาน ความเชื่อซึ่งเป็นการปรุงแต่ง
แค่ไปเอาแพ้ เอาชนะ
เอาโง่ เอาฉลาด
เอาถูก เอาผิด
เอาใช่ เอาไม่ใช่
แค่เอาให้ได้ดั่งใจคิด ก็หลงไปเป็นมายาแล้ว
มีความเป็นเจ้าของ ไม่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ความเชื่อในหยาบ ก็เพียงเชื่อในการปรุงแต่งของสังขาร
ความเชื่อในทิพย์ ก็เพียงเพิ่มมานะให้ตัวตน
ความเชื่อในอจินไตย ก็เพียงความหลงในทิพย์ละเอียด
...ยุติทุกความเชื่อ ไม่ใช่ที่เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ
...ยุติทุกความเห็น ไม่ใช่ที่เห็น หรือ ไม่เห็น
...ยุติในทุกข์โทษ "ความเชื่อ"
คลายสิ่งทั้งปวงในอุปทาน
ความลับของพุทธศาสนา คือ
การเพิกถอน ความเห็น ความเชื่อ
และ หลักการใดๆ ให้หมดสิ้น
เพื่อให้ เห็น " สัจจะ "
ได้มีโอกาส ที่จะเปิดเผยตัวมันเองออกมา
หากเอาความยึดถือ...ออกทั้งหมด
ล้วนๆก็จะเป็นบริสุทธิ์ คือ ไม่มีเราซ้อนในสิ่งใดๆ
เป็น ตถาคต ตถาตา ความเป็นเช่นนั้นเอง
พุทธิภาวะ เกิดขึ้นได้จากการไม่ยึดติด
"มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ"
"สมมติบัญญัติที่มีชื่อ "
"สิ่งนั้นก็ไม่ใช่สัจจธรรม แต่เป็นสมมุติ "
คือ ไม่หวั่นไหวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น