“นักปฏิบัติจะปฏิบัติตลอดเวลา”
นักปฏิบัติ จะปฏิบัติตลอดเวลา แม้จะต้องทำกิจวัตร กิจกรรมที่จำเป็น กลับมาจากบิณฑบาตมาเตรียมตัวฉัน ก็มีสติอยู่กับการเตรียมตัว ตักอาหารเข้าบาตร พอถึงเวลาฉันก็มีสติอยู่กับการฉันเพียงอย่างเดียว พอฉันก็ต้องฉันระมัดระวังไม่ให้เกิดความอยาก เกิดความโลภในอาหาร ก่อนจะฉันก็ให้พิจารณา “ปฏิกูลสัญญา” ของอาหาร ให้นึกถึงภาพที่ไม่น่าดู พระบางรูปท่านก็เอามันตั้งแต่ในบาตรเลย อาหารอะไรเข้าไปในบาตรก็คลุกคนมันไปเลย ของอะไรที่จะเข้าไปในท้องนี้ เอาไปรวมกันในบาตรก่อน ของอะไรที่มันจะคนอยู่ในท้องก็คนมันในบาตรก่อน ของคาว ของหวาน ผลไม้ ขนมนมเนย คนมันเข้าไปในบาตร แล้วค่อยตักฉันด้วยสติ เวลาตักขึ้นมาก็มีสติ เวลาเข้าปากก็มีสติ คือรู้อยู่ว่ากำลังตัก กำลังเอาอาหารเข้าปาก กำลังเคี้ยว กำลังกลืน ทุกขณะไม่ให้เกิดความโลภ ความยินดี ให้กินเหมือนกินยา
อันนี้คือการปฏิบัติของนักปฏิบัติ จะไม่มีเวลาไหนที่ไม่ปฏิบัติ นอกจากเวลาหลับเท่านั้น นอกนั้นจะต้องมีการเจริญสติควบคุมใจ ให้เฝ้าอยู่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ ไม่ปล่อยให้ใจไปนึกไปคิดถึงคนนั้นคนนี้ ถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ให้อยู่ในปัจจุบันตลอดเวลา อยู่กับการกระทำของร่างกาย ฉันเสร็จเอาบาตรไปล้าง ก็มีสติอยู่กับการล้างบาตร ล้างบาตรเสร็จ กลับมาเช็ดบาตร ก็มีสติอยู่กับการเช็ดบาตร พอเช็ดบาตรเสร็จ เอาบาตรใส่ถลกบาตรเรียบร้อย ก็ไปช่วยกันทำความสะอาดศาลา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็แยกกันกลับ ระหว่างทำก็มีสติอยู่กับการกระทำทุกขั้นตอน ขณะเดินกลับกุฏิก็มีสติกับการเดินกลับกุฏิ
พอถึงกุฏิก็วางบาตรไว้ เข้าเดินจงกรมต่อ เดินจงกรมไปเดินมาจนกว่าจะเมื่อย ก็กลับมานั่งสมาธิ นั่งสมาธิจนเมื่อยก็ลุกขึ้นมาเดินต่อ จนถึงเวลาบ่ายต้องปัดกวาด ก็ไปปัดกวาด ปัดกวาดก็มีสติอยู่กับการปัดกวาดต่อ ทำอะไรมีสติตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนที่ไม่มีการใช้สติ ไม่มีการเผลอสติ ปัดกวาดเสร็จ ดื่มน้ำปานะ ดื่มน้ำเสร็จ ไปสรงน้ำ ซักผ้า ทำเสร็จ ขณะทำก็มีสติอยู่กับงานที่กำลังทำอยู่ตลอดเวลา ไม่ส่งจิตไปคิดเรื่องอื่นเลย ไม่ส่งไปคิดถึงคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ อยู่กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น
พอเสร็จภารกิจจากการสรงน้ำ ก็เดินจงกรมต่อ เดินไป สลับกับการนั่งสมาธิไปจนถึงเวลาพักผ่อนหลับนอน ๔ ทุ่มบ้าง ๕ ทุ่มบ้าง พัก ๔ ชั่วโมง ถ้า ๔ ทุ่ม พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมา ถ้า ๕ ทุ่มก็ตี ๓ ลุกขึ้นมา แล้วก็ต่อด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ไปจนถึงเวลาออกไปบิณฑบาตร นี่แหละคือวงจรของผู้ปฏิบัติ ของพระปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ท่านไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรแล้ว ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเดียว คือเรื่องของการทำใจให้สงบ ด้วยการฝึกสติ เจริญสติ ไม่ปล่อยให้ใจคิดเรื่อยเปื่อย ควบคุมมันตลอดเวลา แล้วเวลานั่งสมาธิจิตก็จะสงบ
มีคนถามว่า “สมาธิ” กับ “ฌาน” ต่างกันอย่างไร “สมาธิ” ก็แปลว่าความสงบของจิต “ฌาน” ก็คือระดับความสงบที่มีมากน้อยตามลำดับไป ความสงบนี้ก็จะสงบเป็นขั้นๆ แต่ละขั้นก็เรียกว่า “ฌาน”
สงบขั้นที่ ๑ ก็เรียกว่า “รูปฌาน ๑”
สงบขั้นที่ ๒ ก็เรียกว่า “รูปฌาน ๒”
สงบขั้นที่ ๓ ก็เรียกว่า “รูปฌาน ๓”
สงบขั้นที่ ๔ ก็เรียกว่า “รูปฌาน ๔”
พอสงบขั้นที่ ๕ ก็เปลี่ยนจาก “รูปฌาน” เป็น “อรูปฌาน”
ก็เรียกว่า “อรูปฌาน ๑ อรูปฌาน ๒ อรูปฌาน ๓ และอรูปฌาน ๔”
ความสงบนี้แบ่งเป็น ๒ ระดับ ระดับรูปฌานที่หยาบกว่าอรูปฌาน มี ๘ ระดับด้วยกันของความสงบของรูปฌานและอรูปฌาน
แล้วยังมี “นิโรธสมาบัติ” อีกระดับหนึ่ง นี่คือสมาธิระดับต่างๆ สงบเข้าไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ จากน้อยไปหามาก ฌานขั้นที่ ๑ ก็สงบน้อยกว่าฌานขั้นที่ ๒ ฌานขั้นที่ ๒ ก็สงบน้อยกว่าฌานขั้นที่ ๓ ที่ ๔ ก็น้อยกว่าที่ ๕ ที่ ๕ ก็อรูปฌาน ที่ ๖ ๗ ๘ นี้เป็นอรูปฌาน แล้วก็ไปหยุดที่นิโรธสมาบัติ สงบเต็มที่ เต็ม ๑๐๐ ทุกอย่างดับหมด
ถ้าเปรียบเทียบเราดับไฟทีละดวงในบ้าน ก็มืดไปทีละนิด มืดไปทีละหน่อย มีไฟอยู่ ๙ ดวง ในบ้าน เราก็ดับมันทีละดวง ดับในห้องครัว ดับในห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องนอน ห้องน้ำ ดับมันไปทีละดวง เดี๋ยวพอครบ ๙ ดวง มันก็มืดหมด ใจก็เหมือนกัน ใจก็ดับทีละนิดทีละหน่อยไป สงบไปทีละนิดทีละหน่อยไป เดี๋ยวก็สงบเต็มที่ เต็ม ๑๐๐ ขึ้นมา
นี่คือเรื่องของสมาธิที่เรียกว่า “สัมมาสมาธิ” ต้องเป็นสมาธิที่อยู่ในฌานต่างๆ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสัมมาสมาธิก็คือ ฌาน ๔ “รูปฌาน ๔” จิตเป็นอุเบกขา สักแต่ว่ารู้ เป็นอารมณ์เดียว เป็นหนึ่ง “เอกัคคตารมณ์” คือสักแต่ว่ารู้ แต่ไม่มีอะไรให้รับรู้ นอกจากความว่าง ฌาน ๑ ยังมีวิตก วิจารให้รู้ มีปีติ มีสุขให้รับรู้อยู่ แต่พอเข้าฌาน ๔ แล้วไม่มีอะไรให้รับรู้ นอกจากความว่าง เหลือแต่ผู้รู้ สักแต่ว่ารู้ แต่มีสิ่งที่ละเอียดกว่าที่ไม่ได้ทรงตรัสถึง อันนั้นอยู่ในอรูปฌาน
จะเข้าอรูปฌานนี้ จิตต้องให้ละเอียดกว่านั้น ด้วยการกำหนดอารมณ์ของอรูปฌานขึ้นมา สำหรับสัมมาสมาธินี่ ทรงแสดงเอาแค่รูปฌาน ๔ คือให้ได้อุเบกขา สักแต่ว่ารู้ แล้วให้จิตสงบอยู่ในนั้นนานๆ จนกว่าจะถอนออกมา ถ้าเข้าไปเดี๋ยวเดียว แล้วก็ออกมา เข้าไปปุ๊บแล้วก็ออกมา เรียกว่า “ขณิก สมาธิ” ถ้าอยู่นานๆ เกินกว่าแป๊บเดียวก็เรียกว่า “อัปปนาสมาธิ” อยู่ได้นานกว่าขณิกสมาธิ
“สัมมาสมาธิ” นี่มีอยู่ ๒ ขณิก กับ อัปปนา ขณิกนี่ถือว่าเป็นเหมือนหนังตัวอย่าง ถ้าเป็นสินค้าก็สินค้าตัวอย่าง สมัยก่อนนี้เขามีสินค้าตัวอย่างมาแจกให้ลูกค้าให้เขาลองดูก่อน ใส่ขวดเล็กๆ เช่น สุรานี้ ก็ไม่เอามาใส่ขวดใหญ่แจกให้ดื่ม เอาใส่ขวดเล็กๆ พอดื่มได้แก้วสองแก้ว ให้รู้รสว่าเป็นอย่างไร “ขณิกสมาธิ” ก็เป็นเหมือนความสงบตัวอย่าง ให้รู้ว่าสงบแล้วมันดีอย่างไร วิเศษอย่างไร แล้วจะได้อยากนั่งนานๆ ฝึกสติให้มาก ต้องมีสติมากถึงจะทำให้มันเป็นอัปปนาสมาธิได้
แต่บางคนนี้พอเข้าไปอัปปนาสมาธิแล้ว ไม่ยอมอยู่ในอัปปนาสมาธิ ออกไปรู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกทิพย์ นี่เรียกว่า “อุปจารสมาธิ” ออกไปพบกับกายทิพย์ต่างๆ มีตาทิพย์มีหูทิพย์ ได้ยินเสียงทิพย์จากพวกกายทิพย์ สนทนากับพวกกายทิพย์ได้ หรือไปอ่านจิตของคนอื่นได้ ไปรับรู้ความคิดปรุงแต่งของจิตของคนอื่นได้ หรือระลึกชาติได้ หรือมีความสามารถพิเศษ “อภิญญา” เหาะเหินเดินอากาศดำดิน อันนี้ไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า แต่ไม่ได้ไปสนใจ ถ้ามีก็มี ไม่มีก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะสมาธิแบบนี้ ความวิเศษแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อการกำจัดความทุกข์ ต่อการกำจัดตัณหาความอยาก กำจัดการเวียนว่ายตายเกิด ที่ต้องการคือกำจัดความทุกข์ กำจัดตัณหาความอยาก เพราะมันทำให้ใจไม่สงบนั่นเอง
เป้าหมายคือต้องการทำใจให้สงบพียงอย่างเดียว การมีอภิญญานี้ไม่ได้ทำให้กำจัดหรือทำให้ใจสงบได้ กลับไปทำให้ใจไม่สงบเสียอีก การไปมีอภิญญา มีการรับรู้อะไรต่างๆ ไม่ได้ทำให้ใจสงบเย็น มีความสุขเหมือนกับการอยู่ในอัปปนาสมาธิ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติต้องระวัง ถ้าใจเป็นนิสัยที่ชอบออกไปรับรู้นิมิตต่างๆ นิมิตของข้างใน ของตนเองที่ผลิตขึ้นมาเอง หรือนิมิตจากภายนอก จากพวกกายทิพย์ต่างๆ ก็ต้องระมัดระวัง อย่าไปสนใจ อย่าไปติดตาม อย่าไปให้เวลากับมันเพราะจะทำให้เสียเวลา จะหลงทาง แล้วมันจะติด
ทุกครั้งนั่งสมาธิก็อยากไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ เพราะมันเพลิดเพลิน เหมือนกับดูมือถือดีๆ นี่เอง จะเรียกว่ามือถือนี้เป็นอุปจารสมาธิภายนอกก็ได้ อุปจารสมาธิของคนที่ไม่มีสมาธิ ก็คือมือถือนี่ มีอะไรให้เพลิดเพลินดูได้ตลอดเวลา ฟังได้ตลอดเวลา แต่ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ได้ทำใจสงบนิ่ง ไม่ได้ทำให้ใจมีความสุขทางใจ ฉะนั้น อันนี้ต้องระมัดระวัง แต่เท่าที่ได้ยิน คนที่มีอุปจารสมาธินี้มีน้อย ร้อยหนึ่งมีสัก ๕ อย่างนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอุปจารสมาธิกัน
ดังนั้น ถ้าไม่มีอุปจารสมาธิก็ควรจะดีใจ อย่าไปเสียใจ บางคนคิดว่านั่งแล้วต้องเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นเทวดา ระลึกชาติได้ ถึงจะเรียกว่านั่งได้ผล อันนี้ไม่ใช่ การจะนั่งได้ผลนี่ ต้องให้มันเป็นอุเบกขา ให้มันไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลงดีกว่า ให้มันสักแต่ว่ารู้ไว้ เฉยๆ พยายามรักษาอุเบกขา ไม่รักไม่ชัง ออกมาก็พยายามรักษามันต่อ รักษาด้วยสติก็ได้ รักษาด้วยปัญญาก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้ารักษาด้วยสติมันก็จะรักษาได้ชั่วคราว ถ้ารักษาได้ด้วยปัญญา มันก็จะรักษาได้อย่างถาวร ถ้ายังใช้ปัญญาไม่เป็น ก็ต้องใช้สติไปก่อน ออกจากสมาธิมาก็พุทโธต่อไป เจริญสติต่อไป ควบคุมใจอย่าให้ไปคิดปรุงแต่ง อย่าให้ไปรักไปชังไปกลัวไปหลง เห็นอะไรจะรักก็หยุดมัน เห็นอะไรจะชังก็หยุดมันไปก่อน พอเห็นอะไรชอบก็หยุดมัน พุทโธ พุทโธ หยุดมันไปก่อน เห็นอะไรไม่ชอบก็หยุดมัน พุทโธ พุทโธ หยุดมันไปก่อน
อันนี้สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาอุเบกขาด้วยสติ หลังออกจากสมาธิแล้ว ก็ต้องใช้สติต่อ ผู้ที่ใช้ปัญญาเป็นก็เอาปัญญามาสอนใจ เห็นอะไรรักก็ให้พิจารณาว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ได้มาแล้วจะทุกข์ พอรู้ว่าสิ่งที่ได้มา จะให้ความทุกข์กับเรา ก็ไม่เอาดีกว่า เห็นคนนั้นคนนี้ชอบ อยากจะได้เขามาเป็นแฟน เดี๋ยวเขาทิ้งเราจะทำอย่างไร เดี๋ยวเขาไปมีคนใหม่ จะทำอย่างไร เดี๋ยวเขาตายจากเราไป จะทำอย่างไร เดี๋ยวเกิดเขาพิการไป จะทำอย่างไร ตอนที่ได้เขามาดีอยู่ เดี๋ยวได้มา ๓ วัน เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตขึ้นมา จะทำยังไง เราจะอยู่กับเขาต่อไปได้หรือเปล่า ให้มองมุมกลับบ้าง มองมุมลบบ้าง อย่าไปมองมุมบวกอย่างเดียว อย่าไปมองว่าได้มาแล้วจะดี จะมีความสุขไปอย่างโน้นอย่างนี้ มันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป ได้มาแล้วเดี๋ยวมาตีกันก็ได้ มาทะเลาะกันก็ได้ มาโกรธกันเกลียดกันก็ได้ นี่คือปัญญา ถ้าอยากจะกำจัดความรัก เห็นอะไรแล้วรักแล้วชอบ อยากได้ก็กำจัดมันด้วยปัญญา
เห็นอะไรที่ไม่ชอบก็เหมือนกัน เห็นอะไรที่ไม่ชอบก็บอกว่า “ก็ห้ามมันไม่ได้ ต้องเจอก็ต้องเจอ เจอก็เฉยๆ ไป” เจออะไรไม่ชอบก็อย่าไปไม่ชอบมัน ทำใจเฉยๆ ไป ไม่ต้องไปทำอะไร มันจะไม่ชอบ ก็ปล่อยมัน เห็นอะไรไม่ชอบก็ปล่อยวางมัน ให้มันอยู่ของมันไป มันจะมาก็ปล่อยมันมา เดี๋ยวมันจะไปมันก็ไปเอง เราไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ เช่น ออกมาแล้ว เดี๋ยวเจ็บตรงโน้น ปวดตรงนี้ ปวดท้องขึ้นมา ปวดศีรษะขึ้นมา จะไปกำจัดมันก็ไม่ได้ จะไปเกลียดมันก็ทุกข์ไปเปล่าๆ ทำใจเฉยๆ อยู่กับมันไป ถ้ามียากินได้ ทำให้มันหายก็กินไป ถ้ามันกินแล้วไม่หาย ก็อยู่กับมันไป ไม่ต้องไปวุ่นวายไปกับมัน เพราะมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปอยากให้มันหายก็จะทำให้เราทุกข์อีก
นี่คือวิธีกำจัดความรัก ชัง กลัว หลง ความกลัวก็เหมือนกัน เห็นอะไรกลัวก็ “กลัวอะไร อย่างมากก็แค่ตาย” แล้วมันไม่ตายหรือ คนเรามันต้องตายด้วยกันทุกคน เมื่อถึงเวลามันหนีไม่พ้น มันก็หายกลัว นี่คือวิธีใช้ปัญญาที่จะทำให้ใจเราเป็นอุเบกขาไปตลอด เห็นอะไรไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็อย่าไปสนใจ อย่าไปอยากรู้อยากเห็น เดี๋ยวก็หลงอีก เดี๋ยวก็หลงผิดเป็นชอบอีก เห็นอะไรไม่รู้ว่าเป็นอะไร ก็ปล่อยมันไป ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ให้รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ไป เราก็จะสามารถรักษาใจให้เป็นอุเบกขาได้ตลอด
ถ้าเราเห็นทุกอย่างในโลกนี้ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเห็นอะไรที่สวยงาม ก็ต้องเห็นมุมกลับว่ามันมีมุมที่ไม่สวยงาม ทุกอย่างมันมี ๒ ด้าน มันมีทั้งสวยและไม่สวยมาอยู่ในสิ่งเดียวกัน มันมีทั้งดีและไม่ดีในสิ่งเดียวกัน ให้มองให้เห็นอย่างนี้ เวลาเห็นส่วนที่ดีก็นึกถึงส่วนที่ไม่ดี แล้วมันก็จะทำให้เราไม่ไปหลงกับมัน ไม่ไปหลงไปรักไปชังมัน เราก็จะอยู่กับมันเฉยๆ ได้ นี่คือการใช้ปัญญาเพื่อรักษาอุเบกขา รักษาความสงบของใจ หลังออกจากสมาธิมาแล้ว ถ้ามีปัญญาแล้ว ต่อไปใจจะเฉยโดยอัตโนมัติ เข้าใจแล้วมันก็จะปล่อยวาง มันจะสัมผัสรับรู้อะไร มันจะไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง ถ้ามันยังรักชังกลัวหลง ก็ใช้ปัญญาเข้ามาแก้ไปเรื่อยๆ แก้ไปจนกระทั่งมันไม่มีอะไร ที่ทำให้ใจเห็นแล้วเกิดความรักชังกลัวหลงขึ้นมา ก็ไม่ต้องแก้อีกต่อไป นี่คือวิธีที่จะทำให้ใจเป็นอุเบกขา ปล่อยวาง สงบตลอดเวลา ไม่ยึดไม่ติดกับอะไร เหมือนหยดน้ำบนใบบัว ใจที่ไม่รับอะไร ใบบัวนี้ไม่รับหยดน้ำ หยดน้ำจะมาแตะใบบัวก็ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป อะไรมาให้ใจสัมผัสรับรู้ ใจก็รับรู้ไปเฉยๆ แต่จะไม่มีความรักชังกลัวหลงเข้าไปดูดมันเข้ามา นี่คือผลที่เกิดจากการใช้ปัญญา ถ้าเป็นสตินี่ ถ้าเผลอไม่มีสติเมื่อไหร่มันจะดูดเข้าหากันทันที เห็นอะไรก็จะรักทันที จะชังทันที ถ้ามีสติก็แยกมันออกได้ พอรู้ว่ากำลังรักก็พุทโธ พุทโธ หยุดคิดถึงสิ่งที่กำลังรักอยู่ เดี๋ยวมันก็ลืม มันก็หายไป
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต