" #พระธรรมคำสอนสมเด็จองค์ปฐม "
จิตหนีทุกข์ได้ แต่กายหนีไม่ได้
จิตหนีทุกข์ได้ด้วยพระธรรม
จิตเกาะบุญ ก็ไปสวรรค์ได้ชั่วคราว
จิตเกาะความสงบ ก็ไปพรหมได้ชั่วคราว
แต่หากจิตฉลาดมีปัญญา
ก็เกาะพระนิพพานทำอะไรทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว
คนโง่คิดจะเอากายไปสวรรค์-ไปพรหม-ไปนิพพาน
ซึ่งไม่มีใครสามารถจะเอาไปได้
เพราะกายนี้เป็นสมบัติของโลก
“…การทำทางจิตนี่ จะเอามือไปแตะต้อง-มันไม่ได้
เพราะตัวคิดนั้นน่ะ มือไปจับ-มันไม่ได้
มันคิด (บาง)คนว่า‘เรารู้ความคิด’-มันรู้เข้าไปในมุ้ง
มันเข้าไปในความคิด มันก็เลยคิดไปเรื่อย ๆ ไป
มันก็เลยไม่มีวันหยุด อันนั้นท่านว่า‘สังขารปรุงแต่ง-วิญญาณรู้’
วิญญาณมันก็รู้ รู้ไปตามความคิดอันนั้นแหละ
เรียกว่าวิญญาณพึ่งรู้ วิญญาณมันรู้
บัดนี้พอดีเราตั้งท่าไว้ดี ๆ
*พอดีเราเดินไปไหน-มาไหน อยู่ที่ใดก็ตาม
มันคิดปุ๊บ เราเห็น-เรารู้-เราเข้าใจ...ความคิดมันถูกหยุดทันที*
อันนี้ผมสมมติให้เหมือนแมวกับหนู
พอดีหนูออกมา แมวมันจับอย่างแรง-มันจับ
*เมื่อเรามีสติแล้ว ความคิดมันจะหยุดทันที
มันก็เลยไม่ถูกปรุง*
อันนี้เมื่อพระพุทธเจ้าจะบำเพ็ญนั้น
ท่านเอาขันหรือเอาถาดนี่แหละ เมื่อกินข้าวนางสุชาดาแล้ว
เอาไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำ ว่าอย่างนั้น
‘ถ้าหากข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์
ฆ่ากิเลสตาย คายกิเลสหลุดจริง ๆ แล้ว
วางขันใบนี้ลงไป(ใน)น้ำนี่ ให้ขันใบนี้ทวนกระแสของน้ำ’-ว่าอย่างนั้น
ตรงกันข้าม ‘ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ได้ตรัสรู้ จะไม่ได้เป็นพระอรหันต์
ฆ่ากิเลสไม่ตาย คายกิเลสไม่หลุดจริง ๆ แล้ว
วางขันใบนี้ ให้มันไหลไปตามกระแสของน้ำ’ ว่าอย่างนั้น
อันนั้นเป็นคำพูด เป็นสมมติ
ถ้าหากพวกเรา ถ้าหากว่าเป็นคนปากเข็ด(ศักดิ์สิทธิ์)จริง ๆ แล้ว
เรามีแม่น้ำ อย่างที่เราอยู่กรุงเทพ ฯ นี่แหละ
เอาขันหรือเอาถาด เอาอะไรไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา
‘หากข้าพเจ้าจะตายจริง ๆ แล้ว ให้ขันใบนี้ทวนกระแสของน้ำเสีย
ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ตายจริง ๆ แล้ว
ให้ขันใบนี้ไหลไปตามกระแสของน้ำเสีย’
รับรอง ร้อยทั้งร้อยจริง ๆ-มันต้องไหลไปตามกระแสของน้ำ
แต่คุณก็จะต้องตายจริง ๆ
(ความจริงทวนกระแสน้ำ) หมายถึงทวนกระแสของความคิด
ความคิดมันคิดขึ้นมา เราเห็นปุ๊บ
ไม่ต้องทำไปตามกับความคิด
แต่ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญานั้น ไม่ต้องพูดถึงก็ได้
*เราให้เห็นตัวความคิดนี่แหละ*-ความคิดนี่แหละ
เรียกว่าปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ตัวปัญญามันรู้
ไม่ต้องว่าสุตมยปัญญา-จินตมยปัญญา-ภาวนามยปัญญา
ไม่ต้องพูดก็ได้-หรือจะพูดก็ได้ มันเป็นลูกบอลอยู่ในสนามหญ้า
คนเตะไปทางไหน มันก็กลิ้งไปเรื่อย ๆ ลูกบอลน่ะ
เราพากันหยุดเตะลูกบอล ลูกบอลก็ทิ้งอยู่ในสนามหญ้าตามเคย
หรือจะจับไปซุกในโกล์-ในรู มันก็เข้าไปอยู่ในรูมันฮั่นเลย
อันนี้ก็เหมือนกัน ที่พูดนี้
เมื่อเรามาดูความคิด ก็หมายถึงเราไปจับลูกบอลได้
หรือไปเตะลูกบอลก็ได้ หรือไม่ต้องเตะลูกบอลก็ได้
นี่เป็นอย่างนั้น มันสมมติพูดกัน
ดังนั้นที่สุดของทุกข์นั้นบัดนี้ ...
เพราะเวลานี้ก็ได้ ๕ โมง ๒๖ (นาที)-โอ๊ะหลง ๒๓ นาทีแล้วนี่
ยังไม่นานเท่าไหร่ จวนจะได้ ๖ โมงเข้ามา
ครั้นถ้า ๖ โมง ก็ออกไปบิณฑบาตกันแล้ว
มันเป็นอย่างนั้น
ดังนั้นการแก้ของวิปัสสนูนะ เราต้องหยุดการกระทำ
การกระทำยังไง-ก็ต้องหยุด
หยุดแล้วก็*เดินไป-เดินมา ให้มีสติรู้
อย่าไปเพ่งมันมากเกินไป*
เป็นวิปัสสนูประเภทหนึ่งนั้น คือมันอยากพูด-อยากจา
อีกประเภทหนึ่ง มันหนักอก-หนักใจ
อีกประเภทหนึ่ง มันวีน(เวียน)ศีรษะ
อันนี้เป็นวิธีที่เราทำผิด คือทำไม่ถูก
แต่มันถูกของเรา แต่มันผิดความรู้ที่ผู้ท่านรู้จริง ๆ
มันผิดไปได้ยังไง ?
เพราะเราทำไปนั่นแหละ มันไม่สบายกาย-ไม่สบายใจ
อันไม่สบายคือว่า มันมึนศีรษะ-เวียนหัว
แน่ะ! มันไม่สบาย-อันนั้น
ท่านว่า*‘ทำสบาย ๆ’* ท่านสอนอย่างนั้น
เราก็ยังไปฝืนทำให้มันหนักอก-หนักใจ วีนหัว
นั่งสมาธิลงไป-เพ่งลงไป แน่นอก-แน่นใจ
อ้าว! มันก็ฝืนธรรมชาติไปแล้ว-อันนั้น
มันไม่ปฏิบัติธรรมะตามธรรมชาติ
*คำว่า(ปฏิบัติธรรมะ)ตามธรรมชาติ ก็หมายถึง
เราไปไหน-มาไหน ก็มีสติ
มันเจ็บหัว-ปวดท้อง วีนหน้า-เวียนตาที่ไหน
เราก็ต้องแก้ไข-เปลี่ยนแปลงทันที ไม่ต้องไปฝืนมัน*
บางคนนั่ง ผมเองนี่แหละ-นั่งเป็นเวลา ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง
เจ็บแข้ง-เจ็บขา (ก็)นั่งอยู่นั่นแหละ-นึกว่าตัวเก่ง
อันนั้นมันเก่งทางผิด มันเก่งทางไม่รู้
อันนั้นเรียกว่า‘อยู่ในมุ้ง’ เราไปเชื่อตำรับ-ตำราเกินไป
สมาธิ ไม่ได้หมายถึงอันนั้น
*สมาธิหมายถึง มันเป็นอะไร-เรารู้...เรียกว่าสมาธิ
ตั้งใจทำการ-ทำงาน ก็รู้*
จะพูดยังไง มันไม่มีทางสิ้น-ทางจบ
อันนี้เป็นวิธีแก้วิปัสสนู ก็เหมือนกันนั่นแหละ...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
คำบริกรรมกับพุทโธ
"...คำบริกรรมกับพุทโธนี้ แม้จะเป็นความปรุงก็ตาม
แต่เป็นความปรุงอยู่ในจิตเดียว
ความปรุงอยู่ในจิตเดียวนั้นเป็นเหตุที่จะให้จิตมีความสงบตัวได้ด้วยความปรุงอันนั้น เช่น..คำว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ หากว่าจิตมันจะแยกออกไปทำงาน เพราะความเพลิดเพลินในงาน งาน ยังไม่เสร็จเราก็ให้พยายามทำกำหนด คำบริกรรมถี่ยิบเข้าไป ไม่ยอมให้จิตนี้
ออกไปทำงาน คือจิตขั้นที่เพลินต่องาน มันเป็น มันมี เผลอไม่ได้ ถ้าจะว่าเผลอ มันก็พูดยาก รามือไม่ได้ว่างั้น
พูดง่ายๆ เรารามือไม่ได้ มันจะต้องโดดไปหางาน
เอ้าตอนนี้ เราต้องให้หนักแน่นในการ บริกรรมบังคับจิตให้อยู่กับอารมณ์ อันเดียวคือ พุทโธ เป็นเครื่องยับยั้งจิต
กำหนด พุทโธ พุทโธ ให้มันถี่ยิบอย่างนั้น แล้วก็พุทโธกับจิตก็เป็นอันเดียวกัน แน่วลง สงบ
พอจิตสงบลงไป จิตก็สบาย ปล่อยวางงานอะไรทั้งหมด เย็นขึ้นมา ซึ้งภายในจิตใจ นี่คือสมาธิ สมาธิที่ชอบ.. "
พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
การปฏิบัติธรรมก็คือการกำจัดความอยาก
..ดูโลกภายนอก จะว่าเป็นส่วนดิน ส่วนน้ำ ส่วนลม ส่วนไฟ, ดินก็สักแต่ว่าดินเท่านั้น ลมก็สักแต่ว่าลม ไฟก็สักแต่ว่าไฟ ไม่เห็นเค้าจะบอกว่าเค้าเป็นประเทศนั้น ไม่เห็นเค้าจะพูดว่าเป็นจังหวัดนั้น ไม่เห็นว่าเค้าพูดว่าเค้าเป็นของใคร
คนจะเกิด คนจะตาย ดิน น้ำ ลม ไฟ เค้าไม่สน ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ในการเกิด การตายของคนที่เป็นเจ้าของ ในทางที่โลกเค้าสมมุติกัน.....ไม่เห็นเค้าว่าเป็นอาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ....ไม่เห็นเค้าเป็นเดือนมกรา กุมภา เดือนอ้าย เดือนยี่....ถ้าตั้งใจฟังจริงๆ..." โลกธาตุเค้าเงียบ " ....
ผมก็ดิน ขนก็ดิน เล็บก็ดิน ฟันก็ดิน ดินนี่ก็เงียบ แล้วก็น้ำส่วนต่างๆ ลมส่วนต่างๆ ไฟส่วนต่างๆเค้าก็เงียบหมด ทั้งๆที่เค้าก็มีอยู่ ดินก็มีอยู่ น้ำก็มีอยู่ ลมก็มีอยู่ ไฟก็มีอยู่....
ดิน น้ำ ลม ไฟ ภายนอกเป็นอย่างไร...ดินน้ำลมไฟ ในสรีระของเราๆท่านๆก็เป็นอย่างนั้น ก็เพราะดินในเรา เราก็ไม่ได้เอามาจากไหน, น้ำที่มีอยู่ในเรา เราก็ไม่ได้เอามาจากไหน ลมไฟก็เหมือนกัน เอามาจาก ดินน้ำลมไฟ ที่มีอยู่ภายนอก ที่มีอยู่ในโลกนั้นเอง....ดินน้ำลมไฟ ในโลกเป็นอย่างไร ดินน้ำลมไฟในเราๆท่านๆก็อันเดียวกัน
ในเมื่อแยกเป็นส่วนดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวมกันมาได้แยกจากกัน ธาตุทั้ง 4 นี่เข้ากันสนิทกับธาตุภายนอก ลมก็เป็นลมภายนอกเข้ากันสนิท ไฟก็กลายเป็นไฟภายนอกและเข้ากันอย่างสนิท น้ำก็เป็นน้ำภายนอกเข้ากันอย่างสนิท ดินก็กลายเป็นดินภายนอกเข้ากันอย่างสนิท ก็เพราะว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นส่วนเราๆก็คือ ดินน้ำลมไฟภายนอกนั้นเอง ถึงจะมารวมกันเป็นคนเป็นสัตว์ ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงความเป็นธาตุเดิม เหมือนเดิม คืนสู่ธาตุเดิม เป็นธาตุเดิมได้อย่างสนิท
ดินน้ำไฟลมภายนอกเค้าเงียบอย่างไร ดินน้ำไฟลมภายในเค้าก็เงียบสงัดเหมือนกัน
เห็นมั๊ย ผมเส้นไหน ขนเส้นไหน เล็บเกล็ดไหน เค้ามีความต้องการ มีความปรารถนาอะไร เห็นเค้ามีความทุกข์ เห็นเค้ามีความสุขมั๊ย
แผ่นดินเป็นอย่างไร ผมทุกเส้นก็เป็นอย่างนั้น ใครจะตัด ใครจทำะอะไร เค้าไม่ได้ว่าอะไร มีแต่ "ใจ" เท่านั้นที่มีความอยากเข้ามาครอบงำ วุ่นวายไปหมด
เพราะใจที่มีความอยากครอบงำ ใจวุ่นวาย โลกธาตุวุ่นวายไปด้วย
ใจที่ไม่มีความอยากครอบงำ ความวุ่นวายของใจไม่มี โลกธาตุก็ไม่วุ่นวาย
การปฏิบัติธรรมก็คือการกำจัดความอยาก ที่เข้ามาครอบงำ การกระทำที่จะเป็นไปในลักษณะที่จะต่อสู้ และ เอาชนะ...ความอยาก...ได้ อันนั้นเป็นข้อปฎิบัติ
พระพุทธเจ้าสอนลงในจุดนี้ ข้อปฏิบัติที่จะกำจัดความอยากนั้น จะไปหาคิดที่อื่น ไม่มี ไม่มีอยู่ในตำรับตำราที่ไหน อย่าไปค้นเอาตำรับตำรามากำจัดความอยาก เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากว่าจะค้น ก็ค้นลงไปในจุดที่ความอยากมันต้องการ ในจุดที่เป็นเหตุให้เกิดความอยากนั้น
ในโลกนี้ไม่มีอะไร มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุที่ไม่มีความรู้ทั้งจากเป็นส่วนภายนอกและส่วนภายใน ทั่วโลกธาตุ เป็นธาตุไม่มีความรู้ แต่ก็เป็นธาตุ แต่ธาตุที่มีความรู้ ก็คือความรู้....คนเข้ามาอยู่ในธาตุไม่รู้อันนี้...เอาธาตุรู้อันนี้ล่ะ ค้นลงไปในธาตุที่ไม่รู้ เพราะจะเอาอะไรไปค้นไม่มี....ก็ต้องเอาธาตุรู้นี้ล่ะไปค้น
ค้นธาตุไม่รู้ ให้เห็นให้รู้..ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าธาตุ แม้แต่ธาตุก็สักแต่ว่าธาตุ ดินก็สักแต่ว่าดิน น้ำก็สักแต่ว่าน้ำ ลมไฟก็สักแต่ว่า....เป็นชื่อเสียงสมมุติกัน เขาไม่ได้ตั้งชื่อของเขาสักอย่างสักธาตุ
....เดี๋ยวนี้มันมีความอยาก ไม่เห็นกาย ไม่เห็นใจ แต่เมื่อเห็นกาย เห็นใจจริงๆแล้ว ความอยากมันก็ไม่มี ใจก็เป็นใจไม่ใช่ความอยาก ความอยากก็เป็นความอยาก ไม่ใช่ใจ การศึกษาพระพุทธศาสนามีอันเดียวเท่านี้ คือการศึกษา ธาตุรู้ ธาตุไม่รู้ อันนี้ แจ้งชัดในกาย ในจิต เท่านั้น.......
พระอาจารย์แบน ธนากโร
." ปล่อยวาง
อยู่...กับธรรมชาติ
มันเกิดเราก็ รู้ มันดับเราก็ รู้
มันสุขเราก็ รู้ มันทุกข์เราก็ รู้
รู้แล้วไม่ใช่ว่า...
เราจะเป็นเจ้าของสุขนะ
หรือเมื่อทุกข์ขึ้นมา เราก็ไม่เป็นเจ้าของทุกข์
เหมือนกัน
เมื่อ...
ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์
มันก็มีแต่การเกิด - ดับ อยู่...เท่านั้น
ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ของมันอย่างนั้นแหละ
เพราะ...มันไม่มี อะไร."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ความสำเร็จทางโลกคุณอาจต้อง คิด วางแผน ทบทวน ลงมือทำ และทำแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมาคุณก็จะประสบความสำเร็จทางโลกอย่างแน่นอน!
แต่ความสำเร็จทางธรรมนั้น ไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องทบทวนใดๆทั้งสิ้นหน้าที่ของคุณคือลงมือทำอย่างเดียว!
จาก ประสบการณ์ตรง! จิ้น ติดต่อกับพระเจ้าในตัวคุณ
ท่านพระอาจารย์สอนว่า
"อิริยาบถทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน นั้นนะสร้างบุญขึ้นมาได้ เช่น เราเดินไปก็ระลึกพุทโธไป เรานั่งอยู่ก็ระลึกพุทโธ เรานอนอยู่ก็ระลึก
พุทโธ พยายามทำให้มันติดต่อ ทำการทำงานก็ระลึกพุทโธอยู่ อย่างท่านฯ ไปสอนชาวบ้านนอกนะ ถึงฤดูทำไร่ เขาไปดายหญ้า สับจอบสับเสียมลงดิน ก็ให้ระลึกพุทโธ เวลาเกี่ยวข้าวก็เหมือนกันแหละ เกี่ยวกอหนึ่งก็พุทโธ เกี่ยวกอสองก็ พุทโธ
หมายความว่า งานที่เราทำก็ได้ บุญเราก็ได้
อันนี้เป็นลักษณะของบุคคลผู้มีปัญญา ทำการงานทุกอย่าง อย่าทิ้งพุทโธ เพราะเหตุไร เพราะว่าบุญเกิดทางใจ บุญนั้นไม่ได้เกิดแต่การบริจาคทานอย่างเดียว บุญเกิดจากการรักษาศีล บุญเกิดจากการภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนา เป็นบุญที่สามารถทำได้ไม่เลือกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคนแก่คนเฒ่าหรือเด็ก หญิงหรือชาย หรือคนเจ็บป่วยก็ตาม สามารถทำได้ คนที่มีสติปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นบุญแล้ว ทำการทำงานก็เป็นบุญ
ทุกสาขาอาชีพที่เป็นอาชีพบริสุทธิ์ ถ้าเราระลึกพุทโธคราวใด บุญก็เกิดขึ้นคราวนั้น ไม่ต้องหาไกล คนมีปัญญาไม่ต้องหาไกล หาอยู่ในกาย หาอยู่ในวาจา หาอยู่ในจิต
ศาสนานั้นอยู่ในธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ๖
ท่านฯ บอกว่า มีกล่าวไว้ในคัมภีร์วินัย
ขันธปัญญธาตุ อายตนะอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ในตัวเราหรอกหรือ เพราะเหตุนั้นศาสนาจึงอยู่ในตัวเรา สมบูรณ์แบบไม่บกพร่อง นอกจากเราจะเสริมสร้างให้มัน เพื่อให้เรารู้จักศาสนาในตัวของเรา นี่คือบุคคลผู้ที่เป็นพุทธแท้ ท่านบอกอย่างนั้น
ศาสนายังแบ่งออกเป็นศาสนาภายนอกและศาสนาภายใน ศาสนาภายนอก คือ พระสงฆ์ สามเณร วัด กุฎี วิหาร ศาลาการเปรียญ เจดีย์ เป็นต้น
ส่วนศาสนาภายใน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีอยู่แล้ว ตั้งอยู่ในบุคคล แต่บุคคลไม่รู้ว่า อะไรคือศาสนาภายนอก ภายใน
การบำรุงพระพุทธศาสนา เราจะต้องบำรุงไปพร้อมกัน ภายนอกก็บำรุง ภายในก็บำรุง ถ้าเราจะบำรุงแต่ภายนอก ทิ้งภายในเสีย เราก็ไม่รู้จักศาสนาอยู่ในตัวเราเองอุปมาเปรียบเหมือน ทุกคนมีสองขา ขาหนึ่ง มัดติดไว้เสียไม่ใช้ หมายความว่า เราเดินได้ แต่ไม่สะดวก นั่นคือรักษาแต่ศาสนาภายนอก ศาสนาภายในไม่รักษา เหมือนกันกับรักษาศาสนาภายใน ภายนอกไม่รักษา ก็เปรียบเหมือนมีสองขา แต่ใช้ขาเดียว
เพราะฉะนั้นการบำรุงศาสนา จึงต้องบำรุงไปพร้อมกันทั้งศาสนาภายนอกและศาสนาภายใน ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนมากจะไม่เข้าใจอย่างนี้ ท่านจึงว่า ทำอะไรให้มีสติปัญญา.. "
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของผู้ถ่ายภาพนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน
มีสติรู้ทันความคิดคือผู้รู้ทันตนโดยแท้...#พระสิ้นคิด
ธรรมะไตรปิฎก วันที่ 20 มีนาคม 2563
ตอนที่ 74 **อยู่เหนือกายเวทนาจิตธรรม**
+ +
ในเย็นของวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563 ณ บ้านไทยเจริญ แดนเกิดพระยาธรรมิกราช
เมื่อท่านพระยาธรรมิกราช ได้ขึ้นเข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามธรรม และขอฟังธรรม ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เจ้าขา...วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมและทูลถามธรรม ถึงสภาวธรรมที่ 3 - ที่เกิดขึ้นเมื่อลูกไปนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ เมืองพุทธคยา น่ะเจ้าค่ะ
สภาวธรรมที่ 3 ที่เกิดขึ้น เมื่อลูกได้เห็นผู้คนที่มาประพฤติปฏิบัติอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ในหลากหลายรูปแบบในการทำความดี ลูกได้เห็นว่า.. การตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์ ทรงมีอีก 1 ประการ ก็คือ พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้อยู่เหนือ กาย เวทนา จิต และธรรม
ลูกจึงจะขอถึงพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมเรื่องนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี ฟังแล้วก็พิจารณาตาม ให้รู้ ให้เข้าใจ ตามธรรมเหล่านี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง
เพราะธรรมทั้งหลาย ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ทางบอกทาง ให้ลูกนั้นได้ฟังได้พิจารณาตามนั้น ก็เกิดจากสิ่งที่มันมีอยู่จริง สิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ในทุกวัน ตามธรรมชาติของทุกสิ่งที่เป็นไป และดำเนินไป …
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อลูกตั้งใจฟัง ลูกก็จะเห็นตามความจริงของสิ่งที่มันดำเนินไป นะ
และเมื่อเห็นตามความจริงของทุกสิ่งที่มันดำเนินไป.. ลูกก็จะเข้าใจ เห็นแจ้ง รู้เช่นนั้น เข้าใจเช่นนั้น.. จนลูกก็จะเห็นเป็นธรรมดาของทุกสรรพสิ่ง อย่างรู้ตื่น
พระยาธรรมเอย.. การตรัสรู้ธรรมใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั้น..
- ย่อมต้องเป็นผู้ที่เข้าใจใน กาย เวทนา และจิต
- ย่อมเข้าใจในธรรม คือ รู้ เห็น ตามความเป็นจริงของทั้ง 4 ประการนี้ อย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้รู้กาย เข้าใจในกาย
เป็นผู้รู้เวทนา เข้าใจในเวทนา
เป็นผู้รู้ธรรม เข้าใจในธรรม
เป็นผู้รู้จิต เข้าใจในจิต ละลูก
จะต้องเป็นผู้เห็น กาย เวทนา จิต และธรรม อย่างชัดเจน
และย่อมแน่นอนละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ว่าจะต้องฝึกฝนตน ให้อยู่เหนือกาย เวทนา จิต และธรรม เหล่านั้นด้วย จึงจะสามารถบรรลุเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ลูก
และก็เช่นเดียวกัน บุคคลผู้ที่จะสามารถประพฤติปฏิบัติ จนตนนั้นเข้าถึงซึ่งการเป็นองค์พระอรหันต์ ก็จะต้องเป็นผู้บรรลุ อยู่เหนือกาย เวทนา จิต และธรรมด้วย ** จึงจะสามารถบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ได้
ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติ และทำความดี ที่ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำ เมื่อถึงจุดที่สูงสุดแห่งการทำความดีอย่างแท้จริง รู้ตื่น บรรลุในธรรมแล้ว..
ย่อมจะต้อง"เป็นผู้เห็น"...กาย เวทนา จิต และธรรม
ย่อมจะต้อง"เป็นผู้สามารถถอดถอน"..กาย เวทนา จิต และธรรม ออกจากตน
เป็นผู้...สักแต่ว่าดู...สักแต่ว่ารู้...สักแต่ว่าเห็น
เช่น ดังธรรมที่จะอธิบายให้ฟัง ต่อจากนี้ไป..
พระยาธรรมเอย.. การที่เราบำเพ็ญ จนถึงจุดของการรู้ตื่น เข้าใจ ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่มันดำเนินไปนั้น ย่อมแน่นอนละลูกว่า
ขั้นที่ 1 ก็คือ ดวงจิตสว่างไสว รู้ตื่นตามความเป็นจริงว่า..
แท้ที่จริงแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นไม่มี มีเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้นที่มีอยู่ ตั้งอยู่ และก็จะดับไป
กายนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้ ไม่จีรังยั่งยืน มีอายุขัยในการตั้งอยู่ของมัน
กาย นี้ เกิดขึ้นมาจากผลของกรรม
กรรม นั้น เกิดขึ้นมาจากอำนาจของกิเลสตัณหา
หากเราไม่ยึดถือในกรรม อำนาจกิเลสตัณหาครอบงำไม่ได้
กรรมนั้นไม่มี - กายก็ย่อมไม่มีด้วย
การเกิด แก่ เจ็บ ตาย – ย่อมไม่มีในเรา
เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นอยู่ คือ กายนั้น
รู้...เห็น...ตามความเป็นจริง ด้วยเวทนา คือความรู้สึกสุข -ทุกข์ต่างๆ เข้าใจในความรู้สึกเหล่านั้นว่า เป็นเพียงแค่เวทนา
-แท้ที่จริงแล้ว เราเป็นเพียง...ผู้รู้อยู่ ดูอยู่ เห็นอยู่..
แต่"ไม่ได้สุขได้ทุกข์ ตามความรู้สึก"เหล่านั้น !
พระยาธรรมเอ๋ย..
เราก็จะเป็นผู้เห็น...ตามธรรมดา ธรรมชาติของเวทนา
เราจะเป็นผู้เห็นจิต ***จิตนั้นก็จะเป็นผู้สงบ เป็นผู้รู้ตื่น สว่างไสว***
***เห็นจิตที่อ่อนแอ*** - ที่ถูกอำนาจกิเลสตัณหา กรรมวิบากครอบงำ
***เห็นจิตที่เข้มแข็ง*** สว่างไสว อยู่เหนือสิ่งครอบงำทั้งปวง
เราก็จะเห็นจิต เห็นเวทนาแล้วก็จะเห็นตามความเป็นจริง ในเรื่องของธรรม คือ ธรรมชาติ คือ สิ่งที่เป็นไป และดำเนินอยู่ เห็นการขับเคลื่อนของทุกสิ่ง
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน และเข้าใจตามความเป็นจริง
นี่คือ ขั้นที่ 1 แห่งการบรรลุ ถึงซึ่งการเข้าใจ รู้ตื่นในธรรม บรรลุถึงพระนิพพานอย่างแท้จริง ลูก
ส่วนต่อไป ในสิ่งที่ 2 ที่ทำให้เรานี้ ก็จะสามารถที่จะถึงซึ่งนิพพาน หรือการถึงนิพพาน ก็จะสามารถเห็นตามนี้ได้
ก็คือ
การที่เราเห็น กาย เวทนา จิต และธรรม และเราก็จะสามารถที่จะ"ถอดถอน...ความลุ่มหลง...ยึดติด" ออกไปจากตัวเราด้วย
ไม่ยึดในกาย...ไม่ยึดในเวทนา...ไม่ยึดในจิต ในธรรม
ไม่ยึดอะไรทั้งนั้น
จิตของเราก็จะสว่างไสว อยู่เหนือกาย เวทนา จิต และธรรม
เราก็จะเลื่อนเข้าสู่ สภาวธรรมที่ 3 - ก็คือ การเห็นสักแต่ว่าเห็น การรู้สักแต่ว่ารู้
เราก็จะเห็น กาย เวทนา จิต และธรรม สักแต่ว่า
ด้วยจิตใจอันรู้ตื่น เข้าใจตามความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง
ถอดถอนความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง ออกจากความยึดติด จิตหลุดลอยเหนือสิ่งเหล่านี้ จนกลายเป็นแค่สักแต่ว่า..
นี่คือ 3 ประการ 3 ขั้น ของการประพฤติปฏิบัติจนบรรลุ ถึงซึ่งการอยู่เหนือกาย เวทนา จิต และธรรม
และแน่นอนละ พระยาธรรมเอย.. ว่า องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ - ย่อมถึงซึ่งการอยู่เหนือกาย เวทนา จิต และธรรม
และย่อมแน่นอนละลูกว่า บุคคลผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ในที่แห่งนั้น คือแดนธรรม แดนแห่งการตรัสรู้นั้น.. ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญ ฝึกฝนจนถึงซึ่งการอยู่เหนือ กาย เวทนา จิต และธรรม ตามที่ลูกกล่าวมานั้น
จึงสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอย.. ความจริง ก็คือความจริง
ฉะนั้น เมื่อเราประพฤติปฏิบัติถึงความจริงอันสูงสุดแล้ว.. ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ย่อมจะกระจ่างแจ้งแก่ตัวของเราเอง..
ขอเพียงแค่ลูกทั้งหลาย.. ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนอบรมจิตของตน หนักแน่นในการทำความดี
แล้วลูกก็จะมีวัน ที่จะเดินถึงซึ่งการบรรลุธรรม
... จะเจอประตูที่เปิดแล้ว ไม่มีทางปิดอีก
แล้วลูกนั้น.. ก็จะได้เป็นผู้มีชัยชนะแล้ว ไม่พ่ายแพ้อีก
ลูกนั้น.. ก็จะเป็นผู้ถึงซึ่งการอยู่เหนือ กาย เวทนา จิต และธรรม ตามที่ลูกได้ถามมา ใน 3 รหัส แห่งการบรรลุ ตรัสรู้ธรรม ที่เกิดขึ้นในจิตของลูก
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ลูกรู้จักพิจารณาธรรม ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า รู้จัก และเข้าใจถึงธรรมอันละเอียด
* ความดีมีมากมาย -- แต่ความดีที่ถูกต้องแท้จริงนั้น.. ก็ไม่ได้มีมาก
* คนทำความดีมีมาก – แต่คนที่จะเข้าใจในความดีอย่างแท้จริง.. ก็มีไม่มาก
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. การที่เราจะช่วยดวงจิตอื่นเข้าสู่พระนิพพานได้.. เราจะต้องเป็นผู้ที่มีความละเอียดอ่อนมาก ในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้
ฉะนั้น.. เมื่อลูกได้มองเห็นสัจธรรม คือ ความเป็นจริงแห่งการบรรลุมรรคผลนิพพาน - เช่นดังที่ลูกได้กล่าวมา 3 ประการ ที่ผ่านมานั้น แสดงว่า.. ดวงจิตของลูก
รู้ตื่น สอดส่องสันดานแห่งสัตว์ทั้งหลาย..
รู้และเข้าใจ ตามความเป็นจริง
สามารถเห็นชัดเจน ระหว่างพระนิพพาน - กับการที่ยังไม่รู้ตื่น รู้แจ้ง
สามารถเห็นชัดเจนระหว่าง การทำความดีให้ถึงซึ่งความดีอันสูงสุด - และระดับการทำความดี โดยทั่วไป..
ฉะนั้น.. ถือว่าลูก เป็นผู้สามารถที่จะชี้ทางบอกทาง ได้อย่างแท้จริง
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ตั้งใจดำเนินหน้าที่ของตนไป ขับเคลื่อนไปนะ
ช่วงนี้ ก็อาจจะต้องเพียรพยายามดูจิต เฝ้าดูตน
คิดดี ทำดี ทำสิ่งที่ดีตามหน้าที่ ค่อยๆทำตามขั้นตอนไป
ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา... ทุกอย่างจะขับเคลื่อนไป ลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ...
สาธุ
"บุญใหญ่...ในพระพุทธศาสนา"
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
"ความหลงผิด คื อ
มั น นึ ก มั น คิ ด ขึ้ น ม า แ ล้ ว ก็ ป รุ ง ไ ป เ อ ง"
...
คนเราไปหาเงินหาทองแล้วก็มาทำบุญ
แล้วมันก็ยังละความหลงผิดไม่ได้
คือยังไม่เลิกละจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง
คือยังเลิกไม่ได้
อันนั้นยังไม่เรียกว่าเป็น "บุญแท้"
คือเป็นบุญตามวัตถุเท่านั้น
จะมีเงินร้อยล้านพันล้าน
ไปจ้างคนอื่นมาทำให้เรา มันก็ไม่ได้
ตรงกันข้าม ไม่มีเงินแม้สตางค์แดงเดียว
ทำเอาก็ได้ รู้ได้เหมือนกัน
อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
คือไปไหนมาไหน ...
ต้ อ ง มี ส ติ ต า ม ดู ค ว า ม คิ ด ใ ห้ เ ห็ น ใ ห้ รู้ ใ ห้ เ ข้ า ใ จ
...
ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจอันน้อยๆ นี้แหละ มันจะสะสมเอาไว้
เมื่อมันสะสมเอาไว้เต็มสมบูรณ์แล้ว
มันจะโพลงตัวขึ้นเรียกว่า "เป็นอัศจรรย์"
เมื่อมันอัศจรรย์ขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่เคยรู้ "ต้องรู้"
สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ "ต้องเห็น"
สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ ต้อง "เข้าใจ"
เรียกว่าอัศจรรย์เหมือนแผ่นดินไหวนั่นแหละ
...
อันบุญนั้น ไม่ต้องทำกับพระก็ได้
เราเอาของให้ใครนั้น เรียกว่า "การทำบุญ"
การทำบุญนั้น เรียกว่า "การทำดี"
การทำดี เรียกว่า "การทำบุญ"
ทำแล้วยังมีความโกรธ ความโลภ ความหลงอยู่
นั่นมันยังดีไม่มาก
...
ให้เอาสติมาดูความคิดนั่น
การที่จะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นนั้น
เราต้องมาดูความคิด มาดูจิตดูใจเราสิ
ว่ามันคิดขึ้นมาปุ๊บเห็นปั๊บ
หัดบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ เหมือนกับนักมวย
นักมวยนี่พอขึ้นเวทีต้องชก ไม่มัวแต่มาไหว้ครู
ถ้ามัวมาไหว้ครู มันจะไม่ทันเหตุการณ์
การฝึกอันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ให้มันโกรธแล้วค่อยมาฝึกหัด
อันนี้มันไม่ทัน ต้องฝึกหัดเตรียมไว้ก่อน
...
เมื่อมีคู่ต่อสู้มายุให้เราโกรธ อันนี้เราไม่โกรธ
เพราะเรามีสมมติฐานเข้าไปถึงความคิด
เรามีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง
มันเลยมาตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ "ไม่เห็นแก่ตัว"
เมื่อมันทำลายความหลงผิดได้แล้ว นั่นคือ บุญอย่างแท้จริง
ดังนั้น เ ร า ต้ อ ง ทำ ค ว า ม เ ห็ น แ จ้ ง ค ว า ม รู้ จ ริ ง ใ น
"ต้ น ต อ ค ว า ม คิ ด ข อ ง เ ร า นี้"
อันนี้คือ "บุ ญ ใ ห ญ่ ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า"
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
พลิกใจให้ตื่นรู้
.
ถ้าเทน้ำใส่ขวดที่ยังไม่ได้เปิดฝา
น้ำจะไหลเข้าขวดไม่ได้
มันจะไหลลงซ้ายขวาทันที
ถ้าไม่ให้น้ำไหลไปซ้ายขวาก็ต้องเปิดฝาขวด
มาปฏิบัติถ้าใจเราไม่เปิด
สิ่งที่หลวงพ่อพูดไปจะกลายเป็นความคิด
ซึ่งเป็นอดีตอนาคต
แต่ถ้าใจเราเปิดสิ่งที่หลวงพ่อให้
มันจะไม่ลงซ้ายลงขวา
มันจะลงตรงกลาง ณ ปัจจุบัน
เทลงมาเท่าไรเก็บได้หมด
บางคนมาปฏิบัติเจ็ดวันไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แถมวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิอาจารย์อีก
แสดงว่าใจยังไม่เปิด
ความผิดอยู่ที่อาจารย์หรืออยู่ที่ใจเรา?
ถ้าเราไม่ได้เปิดใจ
ฝนตกทั้งวันไม่ได้น้ำฝนแม้แต่เม็ดเดียว
เพราะลืมเปิดฝาตุ่ม
สิ่งแรกคือเปิดใจรับรู้อยู่กับปัจจุบัน
ถ้าใจไม่อยู่กับปัจจุบัน
มันจะไหลไปอยู่กับอดีตอนาคต เพราะมีอุปาทาน
สำคัญว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเรา
เมื่อ*มีเรา* ก็ต้อง *มีเขา*
*สัญญา*เป็นอดีต *สังขาร*เป็นอนาคต
เราต้องกลับมาอยู่กับเวทนา ให้สติรู้อยู่กับเวทนา
เวทนาจึงเป็นรูปกับนาม ***ความรู้สึกทั้งกายทั้งใจ***
พอหลุดจากเวทนากลายเป็นสัญญา
สัญญานึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตู
สังขารเกิดความกังวล ต้องขอโทรศัพท์กลับบ้าน
เพื่อนบ้านบอกว่าปิดแล้ว ฉันลืมไป
เป็นสัญญาอนิจจา ทั้งที่ปิดแล้วบอกว่ายังไม่ได้ปิด
เราไปยึดว่าความจำนั้นเป็นเรา
มันไม่เที่ยง มันลืมไปแล้ว
เพราะร่างกายเริ่มแก่ความจำเริ่มเสื่อม
.
Direk Saksith
ความร้ายกาจของสิ่งที่เรียกว่า “สุขเวทนา”
.
“สุขเวทนา” ที่เกิดมาจากกามารมณ์นี้ เป็นตัวอย่างที่ใครๆก็เรียกกันว่าเป็น “ความสุข” เพราะให้เกิดสุขเวทนาในขณะนั้น แต่โดยหลักธรรมะที่แสดงอยู่ว่าสิ่งที่เรียกว่าเวทนานั้น ย่อมเป็นเพียง “สังขาร” ชนิดหนึ่ง คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ต้องเกิดๆดับๆ ความที่ต้องดับนั้นต้องทำให้เกิดทุกข์แก่บุคคลผู้ยึดถือว่า“เป็นของตน” และอยากให้อยู่คงทนถาวร หรือว่าอาการที่มันเกิดๆดับๆนั้น มันย่อมทรมานจิตใจคนที่ยึดถือว่า“เป็นของตน” หรือว่าอาการที่เกิดๆดับๆนั้น ย่อมแสดงความว่างจากสาระ ที่จะไปจับฉวยเอาเป็นจริงเป็นจังได้ เพราะมีแต่การเกิดๆดับๆ
.
สิ่งที่เรียกว่า “สุขเวทนา” กำลังหลงไหลมัวเมากันว่า เป็นความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยเพลิดเพลินนั้น ที่แท้ก็คือ..การเกิดการดับที่ถี่ยิบของสังขาร หมายความว่า เวทนานั้นย่อมเกิดขึ้นมาจากผัสสะ ซึ่งเป็นการกระทบ มีการเกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ อยู่ทุกขณะที่ความคิดหรือความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไป
.
ความรู้สึกเป็นสุขหรือสนุกสนานนั้น มันต้องเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ว่ามันจะนิ่งแน่ตายตัวลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วหยุดอยู่ ความสนุกสนานที่เดินไปเป็นเรื่องเป็นราวอย่างนั้นอย่างนี้นั้น คืออาการของการเกิดดับแห่งสังขาร คือที่ปรุงเป็นความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาได้ มองดูในลักษณะเช่นนี้ ก็จะเห็นได้ว่าเป็นมายาชนิดหนึ่ง เหมือนกับพยับแดด ซึ่งหลอกให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เข้าไปใกล้ก็ไม่มีอะไร ความรู้สึกที่เป็นสุขเวทนาที่รู้สึกอยู่ในใจก็เป็นอย่าง(พยับแดด)นั้น ถ้าโมหะครอบงำก็จะเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน แต่พอสติปัญญาหรือความจริงเข้ามาเท่านั้น ก็ไม่มีตัวไม่มีตน กลายเป็นของที่เป็นเพียงมายา ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีความเที่ยงแท้ถาวร จึงให้เกิดความทุกข์แก่บุคคลที่เข้าไปยึดถือว่า “สุขเวทนานี้ของเรา”
.
สิ่งที่เรียกว่า “สุขเวทนา” นั้น เป็นที่สรุปของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งครอบงำใจสัตว์ แต่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงไม่ค่อยสนใจ ในสิ่งที่เรียกว่าสุขเวทนา ในฐานะที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ ไปถือเสียว่าเป็นส่วนที่ควรจะยึดถืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมิได้เป็นปัญหาที่สำคัญ
.
โดยที่แท้นั้น สุขเวทนาที่เป็นของหลอกๆหรือเป็นมายานั่นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย เพราะเราจะเห็นได้ว่าความขวนขวายทุกสิ่งทุกอย่างของสัตว์นั้น มีความประสงค์มุ่งหมายตรงที่ “สุขเวทนา” อย่างเดียวเท่านั้น
.
การที่อุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้มีความรู้ความสามารถ คล้ายๆกับว่าไม่ได้คำนึงถึงสุขเวทนาอันจะมีมาข้างหน้า แต่โดยที่แท้แล้ว การศึกษาเล่าเรียนฝึกฝนอบรมตนให้มีสติปัญญาความรู้ความสามารถนั้น มันก็ไปจบลงแค่ความปรารถนาในสุขเวทนาทางเนื้อทางหนัง หรือจะกล่าวว่า ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ได้ รวมความแล้วก็คือทางเนื้อทางหนัง เพราะว่าต้องอาศัยวัตถุเป็นปัจจัยสำคัญ
.
ลองพิจารณาดูว่า ความขวนขวายของคนหรือของสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ความขวนขวายไหนบ้างที่ไม่มุ่งหมายไปยังสุขเวทนา แม้แต่การทำบุญให้ทานก็มุ่งหมายจะได้สุขเวทนากันเป็นส่วนใหญ่ มุ่งหมายจะให้ได้สวรรค์ ได้เกิดในสวรรค์ แล้วความหมายของสวรรค์นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากสุขเวทนา คือความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ทางวัตถุ หรือทางเนื้อทางหนัง ดังที่กล่าวแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการขวนขวายที่ต่ำลงไปกว่าการทำบุญ
.
เมื่อการทำบุญเองก็มุ่งหมายสุขเวทนาดังนี้เสียแล้ว การทำบาปหรือการทำอย่างอื่น ก็ต้องต่ำลงไปกว่านั้นมาก คนพาล คนเขลา หรือปุถุชน ประกอบกรรมอันเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นความชั่ว ก็เพราะเหตุอย่างเดียวคือ เหตุที่ตกเป็นทาสของสุขเวทนานั่นเอง คือใคร่จะได้ความสุขสนุกสนานทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง แล้วก็ประกอบกรรมอันไม่ควรกระทำ เพราะว่าแสวงหาจากกรรมอันสุจริตไม่ได้ ก็ต้องแสวงหาด้วยกรรมที่เป็นทุจริต มีการลักการขโมย หรือการล่วงละเมิดต่างๆ ซึ่งเป็นไปในทางทุจริต ทำสิ่งที่ไม่ควรทำได้ทุกอย่าง กระทั่งถึงฆ่าบิดามารดาของตัวเองก็ได้ ในเมื่อสุขเวทนานั้นเป็นนายเหนือจิตเหนือใจมากขึ้น
.
ผู้ที่ตกเป็นทาสของกามคุณ ย่อมมืดมัวจนถึงกับฆ่าบิดามารดาของตนได้ หรืออกตัญญูต่อบิดามารดาของตนได้ นี้นับว่าเป็นไปถึงที่สุด อาจจะทำทุกอย่างซึ่งเป็นอนันตริยกรรมเท่าๆกัน เพราะอำนาจของการตกเป็นทาสของสุขเวทนา นั้นเอง”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา “อันธตมมุยหกถา” เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “มาฆบูชาเทศนา”
-------------------------------------
“สุขเวทนา”ทางเนื้อทางหนัง
.
“ความพอใจใน“สุขเวทนา”ทางเนื้อทางหนังนั้น เป็นกิเลสประจำสันดานของสิ่งที่มีชีวิตทุกชีวิตทีเดียว มันสลับซับซ้อน จนถึงกับกล่าวได้ว่า ธรรมชาตินี้ฉลาดเหลือเกิน ได้สร้างเหยื่อมาสำหรับ“ล่อคน” ให้สมัครใจตกเข้าไปเป็นทาสของความทุกข์หรือกิเลสอย่างไม่มีสร่าง เหยื่ออันนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น คือ“สุขเวทนา”ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
.
ถ้าในโลกนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า“สุขเวทนา”ทางเนื้อทางหนังแล้ว พญามารทั้งหลายก็จะตายไปหมดแล้ว โลกนี้ก็จะไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ให้เป็นปัญหาสำหรับพวกเราอีกต่อไป แต่บัดนี้ โดยเหตุที่สุขเวทนาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลก ธรรมชาติได้ใช้เป็นเหยื่อ สำหรับล่อลวงสัตว์ให้ตกเป็นทาสของความทุกข์ คือ สมัครเป็นทุกข์ สมัครที่จะทนทุกข์ มองเห็นความทุกข์เป็นของน่าทน หรือควรทน เพื่อจะได้สุขเวทนานี้เอง
.
คนที่ตกเป็นทาสของกามคุณ ย่อมยอมทนทุกข์หน้าชื่นตาบาน ยอมทนทุกข์ทุกอย่างทุกชนิด แม้แต่ชีวิตก็อาจจะสละได้ นี้ก็เพื่อประโยชน์แก่สุขเวทนาทางเนื้อทางหนัง นิดเดียวเท่านั้น ไม่มีสาระอะไร ก็กลับเห็นเป็นสิ่งที่มีสาระอันใหญ่หลวง ถึงกับกล้าเสียสละชีวิตแลกเอามาซึ่งสุขเวทนานั้น ดังที่เราจะได้เห็นกันอยู่บ่อยๆว่า สัตว์ได้เสียชีวิตไป เพราะเห็นแก่สุขเวทนาทางเนื้อทางหนัง ยิ่งในสัตว์เดรัจฉานก็ยิ่งเห็นได้มาก เห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ในหมู่มนุษย์นี้ก็ไม่ใช่น้อย....พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสระบุลงไปที่“สุขเวทนา”นั้นว่า เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ แต่ปวงสัตว์ไปหลงใหล เห็นเป็นที่ตั้งแห่งความสุข อย่างที่เรียกว่า “สุขเวทนา” คำที่ใช้เรียกนี้มันก็หลอกลวงให้หลงอยู่อย่างเต็มที่แล้ว คือเรียกว่า“สุขเวทนา” แต่ตัวสุขเวทนาอันแท้จริงนั้น คือตัวให้เกิดความทุกข์ หรือเป็นความทุกข์อยู่ในตัว”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา “อันธตมมุยหกถา” เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “มาฆบูชาเทศนา”
-------------------------------------
สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสิ่งหนึ่ง คือ “เวทนา”
.
“ เรื่องพุทธศาสนานี้ ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่อง “ความดับทุกข์” อย่างเดียว หรือขยายออกไปเป็นเรื่อง ทุกข์ กับ ความดับทุกข์ สองเรื่อง, หรือขยายออกไปอีก ทุกข์นั้นแยกออกเป็น ๒ ส่วน คือ ตัวทุกข์ กับ เหตุให้เกิดทุกข์, ความดับทุกข์นั้นก็มี ๒ คือ ความดับทุกข์ กับ วิธีที่จะให้ได้มาซึ่งความดับทุกข์ มันกลายเป็น ๔ เรื่อง เป็น “อริยสัจ” ขึ้นมา อย่างนี้ นี่คือทั้งหมดในพุทธศาสนาพุทธศาสนาทั้งหมดมีแต่เพียง ๔ เรื่องนี้
.
ถ้าย่นก็เหลือ ๒ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ๔ เสมอ คือ “ อริยสัจ ๔ ” แต่ในบางที่บางแห่งนั้นท่านตรัสแต่เพียง ๒ ระบุว่า “เมื่อก่อนก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็ตาม ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์ กับเรื่องความดับทุกข์” เรื่องอื่นไม่พูด แต่มันขยายออกไปได้เป็น ๘๔,๐๐๐ ข้อ ตามสมมุติกัน ไม่มีใครเคยนับ คาดคะเนกัน สมมุติกันว่าพระธรรมในพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกทั้งหมดนี้นับดูจะได้ ๘๔,๐๐๐ หัวข้อของเรื่องคือประเด็น
.
แม้อย่างนั้นก็ยังพูดได้ว่า ถ้ามัน ๘๔,๐๐๐ ประเด็นจริง มันก็ไปรวมอยู่ที่คำว่า “เวทนา” คำเดียว มันเป็นเรื่องของ ความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความดับทุกข์, ทางถึงความดับทุกข์, เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อริยสัจ ๔ บัญญัติสำหรับบุคคลผู้กำลังมีเวทนาอยู่ พอเขาไม่มีเวทนา กำลังไม่มีเวทนาอะไร ตอนนั้นไม่มีเรื่องอริยสัจ พอมีเวทนาขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะมีความจำเป็นที่จะต้องมี จะต้องการเรื่องอริยสัจ แล้วก็มีอริยสัจ
.
นี่จำไว้ ที่ว่าอริยสัจคือตัวพุทธศาสนา ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของ “บุคคลผู้มีเวทนา” พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น นี่ว่าเรื่องตัวศาสนาแท้ๆ ก็มีต้นเหตุมาจากสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสิ่งหนึ่ง คือ “เวทนา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่ีมา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “จุดสำคัญที่สุดตั้งต้นที่เวทนา” เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “นวกานุศาสน์” หน้า ๒๕๒-๒๕๓
ในพระวินัยฯ ก็มิได้ส่งเสริมไสยศาสตร์ใด ๆทั้งสิ้น มิได้ส่งเสริมดิรัจฉานคาถาใด ๆทั้งสิ้น
ที่หลวงปู่สักยันต์ที่แขนในปัจจุบันอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้หมายว่ามันจะอยู่ยงคงกระพันอันใดเลย ทำตามธรรมเนียมประเพณีของเขาในสมัยนั้นเฉยๆ แต่หลวงปู่เห็นตัวเองทุกวันนี้อาเจียนก็จะออกแล้ว
และทำมาตั้งแต่ฆราวาสก่อนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา...
"...ในครั้งพุทธกาลพระเครื่องไม่มี แต่ไศยศาสตร์ต่างๆเขาก็มีอยู่ทุกๆสมัยจนนับไม่ไหวเสียแล้ว นานาจิตตัง นานาธัมมัง
เพราะพระพุทธศาสนาไม่เป็นฐานะของผู้สร้างบารมีต่ำจะมาเลื่อมใสได้โดยง่าย ถึงแม้จะมาเลื่อมใสก็กลายเป็นนิกายต่างๆแผกเพี้ยนไปด้วย..."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
🔸การภาวนาเฉพาะส่วนตัว ก็ได้กำหนดลมหายใจออกเข้าเป็นหลักเป็นส่วนมาก แท้จริงได้หัดทำแต่ยังอยู่เป็นฆราวาส คราวภรรยาตายแล้วเป็นต้นมา นิมิตเห็นแสงดาวและนิมิตก้อนเมฆที่ไหลผ่านแล้วแตกสลาย ได้น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นประจักษ์แต่เป็นฆราวาสแล้ว
จิตที่รวมลงในอานาปาฯ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ตัดเสียงหมอลำที่เขาลำอยู่ในวัดที่กำลังเป็นพระมหานิกายอยู่ ก็ได้รู้จักรสชาติแล้วไม่สงสัย พอหมดกำลังก็ถอนออกมา ก็ได้คำนึงน้อมสู่ไตรลักษณ์แถมท้ายส่งเดช
ฉะนั้นการปฏิบัติมาแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ท่านผู้ใดเล่าเรื่องนิมิตต่างๆ นานาสารพัดให้ฟัง ก็ฟังได้ แต่ไม่ตื่นเลย เพราะนิมิตทั้งหลายไม่ใช่พระนิพพาน เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนแตกสลายเท่านั้น เพราะไม่พ้นกองพลของไตรลักษณ์ เพราะนิมิตกับกิเลสมันเป็นคนละรสละชาติ กิเลสต่างจากนิมิตไกลกันริบหรี่เลย
อยู่กับหลวงพ่อบุญมีนิมิตไม่มาก แต่ถึงกระนั้น เตียงที่นอนอยู่พาเหาะลอยไปในอากาศก็มี บางทีเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วตีลังกาพลิกคว่ำพลิกหงายโลดโผน เดินจงกรมในอากาศ นอนกลางอากาศเข้าสมาธิก็มี และในเวลาที่นอนขวางอยู่บนอากาศเช่นนั้น ตอบตนเองว่า “นี้สิจึงเป็นสมาธิ” เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เห็นลมเข้าออกตามเดิม
อุปจารสมาธินี้เป็นไปโลดโผนต่างๆ นานา กุศลสมาธิชั้นนี้อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง ผู้มีปัญญาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ได้เร็วพลันทันเวลา เป็นทาง (ป้อง) กันความสำคัญตัวว่าประเสริฐได้ เป็นทางไม่ให้นอนใจ ติดอยู่เพียงแค่นั้น ผู้ขาดการศึกษา มักพาให้เพิ่มบ้า ว่าตนภาวนาเก่ง ใครเทศน์ก็ไม่ลง เพราะขาดปัญญาปลงลงสู่อนิจจัง เพราะธรรมอนิจจังเป็นศาลยุติธรรมตัดสินฝ่ายสังขารธรรมไม่ลงบัลลังก์อยู่ทุกกาล ปัญญาญาณต้องรู้ตามเป็นจริงส่งคืน ไม่มีหน้าที่จะต้องไปปล้นไปจี้ว่าเป็น เรา เขา สัตว์ บุคคลอะไร จะกลายเป็นหักดอกไม้บูชาอวิชชา ความมัวความเมาให้บวกทวีคูณทวีขึ้น
นักภาวนาชอบมาติดอยู่ชั้นนี้ แกะยาก จนกว่าจะเห็นคุณและโทษในชั้นนี้ด้วยตนเองชัดเจน แล้วจึงจะข้ามพ้นจากความเข้าใจผิดไปได้สะดวก...
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
" นิมิตต่างๆ สารพัดห้อยโหนโยนดาด.เดินจงกรมในอากาศ ทะลุภูเขาภูแขวอะไรก็ตามเถิด.อยู่ใต้อำนาจอนิจจังทั้งนั้น จะเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและแตกสลาย.
ถ้าอย่างนั้นพระโมคคัลลาทำไมถึงไม่แสดงฤทธิ์อยู่จนถึงขณะนี้.เข้าสู่พระนิพพานทำไม ถ้าฤทธิ์เดชเป็นของจีรังยั่งยืน."
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ลมออกลมเข้ายาว หรือสั้นจะไม่ใช่กายอย่างไร ก็คือ กายานุปัสสนา นั่นเอง และก็ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่สมดุลกันอยู่นั้นเอง จึงพอหายใจเข้าหายใจออกได้
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก บางทีเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง อุเบกขาบ้าง ก็เป็น เวทนานุปัสสนา นั่นเอง
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เห็นจิตเศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว หรือกลางๆ ก็เป็น จิตตานุปัสสนา นั่นเอง
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เห็นความไม่เที่ยงแห่งกายสังขาร จิตตสังขาร ก็เป็น ธรรมานุปัสสนา นั้นเอง
แล้วกายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ยกขึ้นสู่เมืองขึ้นของ "ไตรลักษณ์" ให้กลมกลืนกันเป็นเชือกสามเกลียว เป็นเป้าอันเดียวกันไม่ต้องแยก ไม่ต้องเรียง ไม่ต้องขยาย เห็นอยู่ ณ ซึ่งหน้าสติ ซึ่งหน้าปัญญาพร้อมกับลมเข้าออก ไม่มีอันใดก่อน ไม่มีอันใดหลัง ติดต่ออยู่ พิจารณาอยู่ไม่ขาดสาย
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ลมหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก็เห็นทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลมกลืนกันอยู่ด้วย
ไม่ใช่อยู่คนละเป้า ไม่ใช่อยู่คนละขณะอีกด้วย
เมื่อเห็นชัดอยู่อย่างนั้นแล้วกิเลสทั้งปวงที่เคยยึดมั่นว่า เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตนก็สลายไปในตัวอยู่ ณ ที่นั้นเอง
ทางนี้เป็นทางพ้นทุกข์ง่าย
ดีกว่าจะเอา นิมิต ต่างๆ ไปอวดกัน !!
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
“ กรรมฐานทั้งหลายมาติดค้างกันอยู่นี้มาก มายึดมาถือกันอยู่ในเรื่องนิมิต หรือทุกขเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา ประชันขันแข่งกันอยู่เพียงแค่นี้
ผมนั่งได้เท่านั้น ฉันนั่งได้เท่านี้ ฉันเดินไปเที่ยวพรหมโลก ฉันส่งจิตไปนั่น ฉันส่งจิตไปนี่อวดอ้างกันอยู่เพียงแค่นี้ เพราะยังยึดถืออยู่
นั่งใครเป็นเจ้าของนั่ง นอนใครเป็นเจ้าของนอน เห็นใครเป็นเจ้าของเห็น ไม่เห็นใครเป็นเจ้าของไม่เห็น เดินใครเป็นเจ้าของเดิน ยืนใครเป็นเจ้าของยืน
นอกจากกิเลสความหลงแล้ว ไม่มีใครไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นเข้าไปยึดถือเอาเป็นเจ้าของ เพราะไม่ยอมให้มันว่างจากสัตว์จากบุคคล
ถ้าเห็นเป็นแต่สักว่าเห็น ถ้ารู้เป็นแต่สักว่ารู้ ไม่ส่งต่อไปหารัก หาชัง หาความเดือดร้อน การเห็นการรู้ก็เป็นโมฆะไป
เห็นเรียบๆ รู้เรียบๆ เท่านั้น เขาว่าสวยก็สวยไปตามเขาเสีย เขาว่าไม่สวยก็ไม่สวยไปตามเขาไม่ต้องคัดค้านส่งคืนให้หมด “
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ความว่าง
ความว่างในขั้นศีลสมาธิปัญญา
การที่จะเป็นความว่างนั้นต้องหัดกำหนดให้รู้จักความสงบกาย
สงบวาจาสงบใจ ซึ่งเป็นศีล ไม่ดิ้นรนไปเพื่อที่จะประพฤติ
ก่อภัยก่อเวรต่างๆ จิตพร้อมทั้งกายทั้งวาจาสงบเรียบร้อย
ดั่งนี้ก็เป็นศีล ตัวศีลนี่แหละเป็นความว่าง ว่างจากภัย
ว่างจากเวรทั้งหลาย ไม่ก่อภัยไม่ก่อเวรอะไรๆ ขึ้น
ทางกายวาจาพร้อมทั้งทางใจ คือใจก็ไม่คิดที่จะไป
ก่อภัยก่อเวรแก่ใคร ไปทำร้ายเบียดเบียนใคร กายวาจา
ก็ไม่ไปประพฤติกระทำร้ายใครเบียดเบียนใคร
ก็ว่างจากภัยจากเวรทั้งหลาย ใจที่ว่างดั่งนี้
กายวาจาที่ว่างดั่งนี้เป็นศีล
จิตก็เหมือนกัน เมื่อจิตสงบได้จากความคิดฟุ้งซ่านไป
ในอารมณ์ตามใคร่ตามปรารถนาต่างๆ มาตั้งมั่นอยู่ในกิจ
ที่ควรทำต่างๆ ตลอดจนถึงมีความสงบอยู่ในภายใน
ไม่ฟุ้งซ่านออกไป ความสงบจิตดั่งนี้ก็เป็นสมาธิ
และปัญญาคือตัวความรู้ ความรู้ที่รู้จักศีลตามเป็นจริง
รู้จักสมาธิตามเป็นจริง ตลอดจนถึงรู้จักตัวความว่าง
ว่าความว่างที่เป็นความว่างจริงนั้น ต้องว่างจาก
ความเพลิดเพลิน ความติดใจยินดีที่ไปกับตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา คือ
รู้จักสัจจะคือความจริงที่กายวาจาใจของตัวเอง
ดั่งนี้ก็เป็นปัญญา จิตที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญานี้เอง
ก็เป็นตัวความว่างซึ่งเป็นตัวผล เป็นความสงบที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
และเป็นความรู้ที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะรู้จักธรรมะ รู้จักพุทธศาสนา
เมื่อรู้จักธรรมะรู้จักพุทธศาสนาดั่งนี้ แม้น้อยหนึ่ง
ก็เป็นประโยชน์มาก เพราะได้รู้จักของจริงของแท้
ว่าพุทธศาสนาที่จริงที่แท้นั้นเป็นอย่างนี้ และจะทำให้
รู้จักลู่ทางที่จะปฏิบัติให้พบกับความว่าง ให้พบกับ
ความสงบ ให้พบกับความหลุดพ้นของตนยิ่งๆ ขึ้นไปได้
---------------------------------------------------------------
ความจริงที่ตนเอง
พระบรมศาสดาผู้ทรงรู้ทรงเห็น ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน
ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติทุกคนได้รู้ได้เห็นสัจจะคือความจริงนี้
ที่ตนเองของทุกๆ คน ไม่ใช่ที่อื่น แม้ที่ทรงแสดง
สติปัฏฐานทั้ง ๔ ตั้งสติกำหนดดูกายเวทนาจิตธรรม
ก็เป็นการดูให้รู้เข้ามาในการที่จะปฏิบัติอาศัย
กายเวทนาจิตธรรมนี้เอง ให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นมา
และให้พบกับความว่าง ให้พบกับความสงบ ให้พบกับ
ความหลุดพ้น ไม่ใช่อย่างอื่น
และก็ทรงจำแนกแจกธรรม ก็คือตรัสสอนให้ผู้ฟัง
รู้จักจำแนกทางปฏิบัติออกไปเป็นกาย เป็นเวทนา จิต ธรรม
ดูให้รู้จักกาย รู้จักเวทนา รู้จักจิต รู้จักธรรม
ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว และโดยเฉพาะในข้อที่เกี่ยวกับ
ธรรมะนั้น ก็ได้ทรงสรุปเข้าในสัจจะคือความจริงความจริงที่ตนเอง
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต
วัดบวรนิเวศวิหาร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก