/ความรู้สึกเราอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั้น/
จิตมันไหลไปดูแล้วรู้
จิตมันไหลไปฟังก็รู้นะ คอยรู้สึกอย่างนี้
“คอยรู้สึก” จิตเป็นตัวรู้สึก
ความรู้สึกเราอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั้นแหละ
คอยรู้สึกไปเรื่อยๆ ต่อไปเราก็จะเห็นว่า
“จิตนี้ก็ไม่เที่ยง”
เดี๋ยวก็ไปรู้ทางตา เดี๋ยวก็ไปรู้ทางหู
เดี๋ยวรู้ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
“จิตนี้เป็นอนัตตา”
จะไปรู้ทางไหนเราไม่ได้เลือกเลย มันไปรู้ทางนั้นเอง
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
รู้นี่หล่ะ เป็นกลาง
ครูบาอาจารย์แต่ก่อนสอน พุทโธๆ บางคนก็ไม่รู้จักพุทโธ พุทโธเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้เรื่อง พุทโธจริงๆแปลว่าผู้รู้ พุทโธจริงๆแปลว่าผู้ตื่น พุทโธแปลว่าผู้เบิกบาน
อะไรคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จิตนั่นแหละคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เนี่ยพุทโธแล้ว...ต้องรู้ทันจิต จิตก็จะค่อยตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเป็นผู้รู้..ผู้ดูได้
"จิตทีเป็นผู้รู้"นั้นมันถอนตัวออกจากโลกของความคิดได้ มันไม่หลงแล้วมันก็ไม่ได้ไปเพ่งไว้ เพราะฉะนั้นตรงรู้นี้ล่ะ "เป็นกลาง" เผลอไปกับเพ่งเอาไว้เป็นความสุดโต่งสองข้าง
เพราะฉะนั้นจุดแรกนะ เราจะต้องตื่นขึ้นมาให้ได้ "ต้องรู้ตัว"ขึ้นมาให้ได้ ฝึกไปเรื่อยจนจิตของเราเป็นผู้รู้..ผู้ตื่น..ผู้เบิกบาน จิตหลุดออกจากโลกของความคิด
สามารถ เห็นกาย เห็นใจ ทำงานตามความเป็นจริงได้ นี่คือจุดแรกที่พวกเราต้องทำให้ไดั ต้องตื่น ก็คือให้จิตเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ไม่ใช่ผู้เผลอและไม่ใช่ผู้เพ่ง ผู้เผลอใช้ไม่ได้ ลืมกายลืมใจ ผู้เพ่งใช้ไม่ได้ บังคับกายบังคับใจ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
หลวงพ่อชากล่าวไว้ว่า
"ถ้าเรามีสติอยู่ มีสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวอยู่เสมอแล้ว
นั่นคือ เราได้ปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดเวลา
ยามใดที่รู้สึกตัวอยู่เสมอ ยามนั้นท่านอยู่กับปัจจุบัน
เมื่อเรารู้สึกตัว จิตใจเราปกติ
กาย วาจา ก็ปกติ..ศีลก็สมบูรณ์
เมื่อจิตใจเราปกติ เกิดเป็นสัมมาสมาธิ เป็นปัญญาได้
การรักษาความเป็นปกติของจิต ของกายใจนั้น
คือ “การปฏิบัติธรรม”
“รู้เรา”... ไม่ใช่เอา..."เรา"...ไปรู้
ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (รู้ตามอายตนะ) เป็นสังขารฝ่ายปรุงแต่งตามธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ปุถุชน มีเหมือนกัน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ธาตุรู้ (มีอวิชชา) เป็นสังขาร ปรุงแต่งยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ส่วนนี้ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ไม่มีแล้ว คงมีแต่ปุถุชน
ธาตุรู้ (ไม่มีอวิชชา) เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม นิพพานธาตุ จะสักแต่ว่ารู้ คือ ไม่ยึดถือขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงไม่มีตัวเราไปหลงยึดถือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หรือ ยึดถือเขา หรือ ยึดถือสิ่งอื่นใดให้เป็นทุกข์ เป็นภพ ชาติ ชรา มรณะ
เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง หรือ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่เกิดดับ จึงพ้น"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
มีชื่อสมมติ เช่น จิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ นิพพาน เป็นต้น มีเฉพาะในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์เท่านั้น
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
วิธีการของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง
มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส
มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย
มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง...ห้ามไม่ได้
แต่เมื่อมันกระทบอารมณ์แล้วนะ
เกิดสุขให้ “รู้” เกิดทุกข์ให้ “รู้”
เกิดกุศล-อกุศลให้ “รู้” ไป
แล้วเราจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น...ดับทั้งสิ้น
ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยมุ่งมาตรงนี้
.
ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ ไม่ได้มุ่งปรุงดี
แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า
“สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา”
ที่ปัญจวัคคีย์ได้ยินธรรมจักรก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา
นี่คือ เส้นทางของพระพุทธเจ้า
ไม่หนีการกระทบอารมณ์
แต่กระทบอารมณ์ไปแล้ว จิตปรุงอะไรขึ้นมา
ปรุงชั่ว ปรุงดี ปรุงว่าง ปรุงอะไรก็ตามเถอะขึ้นมา
มีสติรู้เท่าทันลงไป แล้วเราจะเห็นว่า
สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
นี่คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนปัญจวัคคีย์
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
“ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ”
(ยัง กิญจิ สมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ)
สิ่งใดส่ิงหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดแหละมีความดับเป็นธรรมดา
.
คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งหมายถึงอะไร?
คือ Something สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นมา
แล้วทั้งหมดนั้นต้องดับ
มันเกิดขึ้นมาเมื่อมีการกระทบ
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ้ามันไม่กระทบนะ จิตมันก็อยู่ในภวังค์ไม่ขึ้นมาทำงาน
มีก็เหมือนไม่มี เพราะฉะนั้นเรามีตาเราก็ดู
มีหูเราก็ฟัง มีใจเราก็คิด
แต่เมื่อมันตาดู หูฟัง ใจคิดนะ
แล้วเกิดสุขให้ “รู้” เกิดทุกข์ให้ “รู้”
เกิดกุศลให้ “รู้” เกิดอกุศลให้ “รู็”
แล้วเราจะรู้เองว่าทุกสิ่งที่เกิด ดับทั้งสิ้น
ไม่ใช่ฝึกเพื่อไม่ให้เกิด ไม่ใช่ฝึกเพื่อจะรักษาเอาไว้
ไม่ได้ฝึกเพื่อจะไล่สภาวะทั้งหลายไม่ให้เกิด
หรือที่เกิดแล้วให้ดับไป
รู้อย่างที่เขาเป็นไปเรื่อยๆ อันนี้ค่อยๆสะสมไปเรื่อยๆ
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เพียงแค่รู้สึกตัวๆ
รู้ถึงความเปลี่ยนแปลง ในกายในใจเท่านี้ก็พอ
ไม่จำเป็นต้องไปรู้อะไรมากมาย สิ่งใดๆเกิดขึ้นมา
ก็แค่รู้สึกๆ ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด รู้สึกแล้วก็แล้วไป
ไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ก็ได้ รู้โดยไม่คิด คิดแล้วให้รู้
รู้แล้วเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นเป็นอย่างหนึ่งต่างหาก
เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา ทั้งหมดนี้ก็มาจากแค่ว่า
คอยรู้สึกตัวสม่ำเสมอนี่แหละ ขอให้มีรากฐานที่มั่นคงก็พอ
วิธีปฏิบัติมันเป็นอะไรที่เรียบง่ายมากๆ
เพียงให้ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอๆ
ความรู้สึกตัวเนี่ยมันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ..
..แต่ว่าจิตของเรามันอยู่กับความคิดปรุงแต่งมานาน
เรียกว่า เพลินอยู่กับอารมณ์ อยู่กับความคิดปรุงแต่ง
ความรู้สึกตัวมันจึงหายไป...
เมื่อใดที่เราปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ
ก็จะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาได้โดยธรรมชาติ
"ก็ให้หมั่นทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ"
ฝึกหัดไปเรื่อยๆโยม..ใหม่ๆรู้สึกตัวครั้งหนึ่ง
จิตใจมันก็เผลอไปนานครึ่งวันค่อนวันบ้าง
นึกได้ก็กลับมาทำความรู้สึกตัวใหม่..
ถ้าเราเพียรเจริญสติอยู่เสมอ
มันก็จะเริ่มรู้สึกตัวได้บ่อยขึ้นเอง..
ร่างกายก็ทำให้สบาย
นั่งก็สบาย ยืนก็สบาย เดินก็สบาย
สบายๆผ่อนคลายทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
เมื่อเราหมั่นระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
นานวันเข้า..."สติก็จะมีความมั่นคงขึ้น"
อยู่กับความรู้สึกตัวเป็นหลุดจากความทุกข์ได้ทันที
ใหม่ๆก็ยังไม่รู้สึกทั้งตัว
ก็รู้สึกเป็นขณะๆ เป็นส่วนๆบ้าง
แต่เมื่อสติสัมปชัญญะมีกำลัง
จะเปลี่ยนจากจาก สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
มาเป็น สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นที่ถูกต้องได้เอง..
โดยสติจะวางจากฐานของกาย..
เข้าสู่ฐานของเวทนา..ความรู้สึกตัวในชั้นพลังงาน
ก็จะเกิดสภาวะของปิติขึ้นมา
คือสภาวะของ.."ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม"
สภาวะของปิติก็จะเกิดขึ้นได้หลายๆอย่าง
เกิดความรู้สึกชาๆซ่านๆตามตัว
..คล้ายสนามพลังไฟฟ้าบ้าง
เป็นกระแสความร้อน ความเย็น ขนลุก
ตัวหนัก ตัวเบา รู้สึกตัวโยกโคลงบ้าง
จะเกิดอะไรก็แล้วแต่..
ผู้ปฏิบัติจะพบว่า เราสามารถรู้สึกได้ทั้งตัว
..นั่นคือผลที่สติมั่นคงจิตตั้งมั่น
ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกตัวเป็น
ก็จะหลุดจากความคิดปรุงแต่งได้ทันที
ความเครียด ความวิตกกังวล
ความเร่าร้อน ทุกข์กายทุกข์ใจ..
มันจะจางคลายลงไป..
..ใจเราจะนิ่งขึ้น
..สงบขึ้น
..."ตั้งมั่นอยู่ภายใน"
พบเห็นอาการของกายของใจ
“มันคิดมาก มันง่วงมาก มันหดหู่ มันเบื่อ มันรู้สึกว่ายาก
ก็ตอบว่า...ถ้าเรามีความรู้สึกตัว สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
มันก็คืออาการต่างๆ ของกายและจิตใจ ความรู้สึกตัว
จะทำหน้าที่เป็นผู้เห็น ได้พบเห็นอาการเหล่านี้
และได้กระทำให้แจ้งในสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว
เห็นแล้วผ่านไป หลุดไป พ้นไป ไม่ใช่เรื่องแปลก
อะไร มันเป็นธรรมชาติ ธรรมดา เป็นเช่นนั้นเอง
การปฎิบัติธรรม คืออย่าเข้าไปในความคิด
อย่าให้ความคิดพาไป ให้ความรู้สึกตัวพาไป”
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
สติปัฏฐานทุกข้อ หัวใจก็คือ
ตั้งกายตรง "ดำรงสติมั่น"...ดำรงสติมั่นคืออย่างไร
วิธีที่พระพุทธองค์สอน ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น
มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
เข้ายาวออกยาวก็รู้ เข้าสั้นออกสั้นก็รู้
.
ทำอย่างไร... ก็ลองวาง...แล้วก็อยู่เฉย ๆ อย่างเดียวเลย
ลองอยู่เฉย ๆ ดู ไม่ต้องไปรู้อะไร
เมื่ออยู่เฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ
จะรู้ถึงลมหายใจเข้าออกขึ้นมาได้เอง
ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
เข้ายาวออกยาว เข้าสั้น ออกสั้น
ลมหยาบ ลมละเอียดก็รู้ขึ้นมาได้เอง
.
เกิดสภาวะที่เรียกว่ารู้สึกตัว
รู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมาได้เอง
เพราะว่าจิตมีสภาวะรู้อารมณ์
แต่ที่มันไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัว
ก็เพราะว่าใจมันไหลไปอยู่กับอารมณ์อื่น
ความรู้สึกตัวมันจึงหายไป
เมื่อใดที่เราวางใจอยู่เฉย ๆ อยู่กับตนเอง
ใจก็จะรู้กายทั้งกาย ก็รู้ความรู้สึกทั้งตัว
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งกายและใจ
คือการดำรงสติมั่น
................................
พระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ๖)
หลวงพ่อสมบูรณ์ ให้หลักไว้ว่า
"ถ้าเราฝึกดูความรู้สึกให้เห็นจิตอย่างต่อเนื่อง
เห็นความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา เราก็จะรู้ได้ว่ามันว่าง มันไม่มีอะไร
เมื่อเราเห็นความรู้สึก จิตของเราจะว่าง
เมื่อเห็นความรู้สึกได้ก็ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน เป็นธรรมชาติล้วนๆ"
.
ใช้ชีวิตไปกับความรู้สึกตัว เมื่อไหร่ที่"ความคิด"มาเยี่ยมเยียน ก็"เฝ้ารู้ เฝ้าดู"...อย่างมีสติ
เห็นก้อนของความคิด เกิดขึ้น ดํารงอยู่ และดับไป การที่จะสลัด ความรู้ตัว การมีสติออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อมันมีอยู่กับตัวแล้ว ปกติความรู้สึกตัวจะไม่อยู่กับเราตลอด แต่จะอยู่กับเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ จากการพัฒนา ผู้รู้..ผู้ดู
"ละความเพลิน"ไปเรื่อย สุดท้ายจะเหลือแต่ความรู้สึกตัว...เป็น"สติ"ผู้รู้...จะเด่นขึ้นมา...
ถ้าหลุดมากๆ หลงเตลิดไปกับคิดมากๆ มีความทุกข์มากๆ เพราะไปยึด คิดถึงทุกข์จึงทุกข์ ก็ไปอาบนํ้าเลยครับ เปิดนํ้าฝักบัวรดทั่วตัว รับสัมผัสความรู้สึกตัวไป แผ่เมตตาไปด้วย เหมือนเรากรวดนํ้าผ่านกายเรา ให้แก่สรรพสิ่งทั้งหลาย กาย..ใจ ที่ผ่อนคลาย นั้นหล่ะครับ รู้สึกตัวได้สุขสดชื่นเลย เจริญในธรรมครับ
Trader Hunter พบธรรม
สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่เช่น,ลูก,สามี,ภรรยา,พ่อ,แม่,
ญาติ,ครูบาอาจารย์,พระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์,เกียรติยศตำแหน่ง,หน้าที่.ใบปริญญา.ภูมิรู้ความสามารถ.ทรัพย์สมบัติเงินทอง
........ล้วนเป็นมายาของจิตหรือสติที่เรียกว่าสัญญาขันธ์.. ความจำได้หมายรู้.. เท่านั้น.. เท่านั้นจริงๆ..
..... แท้จริงสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะมีขึ้นมาเมื่อสติระลึกถึงเท่านั้น..
สติเกิด ก็จำได้ก็เหมือนว่ามีอยู่..
สติหลุด ก็ลืมเสีย เหมือนว่าไม่มีอยู่จริง
เราทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าเป็นเรื่องของจิต หรือ สติ..
ที่เกิดจากความสามารถของจิตเองเท่านั้น
และรู้ว่าจิตหรือสติ.ไม่ใช่ตัวคนตัวสัตว์..ไม่ใช่ตัวเราของเรา..ควบคุมมันแบบเด็ดขาดไม่ได้....แก้ไขดัดแปลงคุณสมบัติของจิตหรือสติไม่ได้...เราจึงต้องปล่อยมันไป
เอาความรู้สึกตัวมาควบคุมมันบ้างเป็นบางครั้ง
และฝึกปัญญาให้รวดเร็วเข้มแข็งเพื่อให้รู้เท่าทันว่า
จิตหรือสติ..เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอนคือเป็น.อนิจจัง
เกิดชั่วครู่ก็ดับลงเองตั้งอยู่นานไม่ได้คือเป็น..ทุกขัง
เป็นอิสระเสรีด้วยตัวมันเอง..ควบคุมไม่ได้บังคับไม่ได้คือเป็น..อนัตตา..
เพราะฉนั้น สิ่งต่างๆที่มีก็มีแค่ชั่วครู่ชั่วคราวเมื่อสติ จิต ความจำ เกิดขึ้นเท่านั้น
มีแล้วสักครู่ ก็ดับ ลับหายไป เมื่อ สติ จิต ความจำ ได้ดับลง
จึงเอาสาระกับสิ่งที่มีเหล่านั้นไม่ได้.มีเหมือนไม่มีอยู่จริง
จิตตไพศาล จิตตไพศาโล
การปฏิบัติถ้าไม่รู้ ต้องทําให้ถูก ต้องถาม แต่ สภาวะที่ฟุ้ง เห็นนั้นเห็นนี้ เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ ให้รู้สึกตัว รู้ตัว เพราะทําผิด เป็นการส่งใจตามไปดูอารมณ์ จนเกิดภพชาติกักขังใจตนเอง ใจหลงเข้าไปติดแล้ว ให้รู้สึกตัว
.
หากทําถูกต้องก้าวหน้า ที่ไม่ก้าวหน้าเพราะทําผิด ไม่รู้สึกตัว เผลอ ไปติดตาม ตามไปดูอารมณ์ จนเข้าไปอยู่ในอารมณ์กลายเป็นภพชาติ เกิดวิตกวิจารณ์สงสัย
ไม่รู้ตัวว่าทําผิดไม่พอ ยังหาเหตุผลสนับสนุนจนกลายเป็นความคิดใหญ่โต เป็นปัญหาให้ใจตนเองติด
.
บอกแค่ให้ " รู้สึกตัว " มีอะไรก็ทําแค่นี้ ทําเกินมันไปติด
Trader Hunter พบธรรม
พวกเรานึกออกหรือยังว่า
"เจริญสติปัฏฐาน"แล้วทำไม"รู้แจ้งอริยสัจ"
ถ้าเจริญสติปัฏฐาน มีสติ มีปัญญา"รู้"กาย เวทนา จิต ธรรม
ย่อลงมาก็คือรูปธรรม นามธรรม นั้นแหละ
รูปธรรมนามธรรมนี้เราจะแจกแจงออกไป
ในลักษณะของขันธ์ ๕ ก็ได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นส่วนนาม นามธรรม
ตัวรูปขันธ์ ก็เป็นรูปธรรรม
แจกแจงเป็นอายตนะ ๖ ก็ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ก็เป็นรูปธรรม "ใจ"เป็นนามธรรม
แจกแจงไปได้หลายแบบนะ เป็นธาตุ ๑๘ ธาตุ
อินทรีย์ ๒๒ อย่าง หรือปฏิจจสมุปบาท ๑๒ + ๑๒ เป็น ๒๔
รวมความนะ มันก็คือ รูปธรรม นามธรรม
การที่เรารู้ความจริง เรียนรู้ความจริงของรูปธรรมนามธรรม
ก็คือการรู้ทุกข์นั่นเองว่าสิ่งที่เรียกว่าทุกข์ในคำสอนของ
พระพุทธเจ้านั้น ท่านบอกว่า
“สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา”
ว่าโดยสรุป ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์
การที่เราเจริญสติปัฏฐานนั้น
เราก็รู้ความจริงของขันธ์ทั้ง ๕ เรียกเรา “รู้ทุกข์” นั่นเอง
ก็เท่ากับเราได้ปฏิบัติใน “กิจต่อทุกข์” เรียบร้อยแล้ว
การที่เรา “รู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง” ว่าขันธ์ ๕ เนี่ยเป็นตัวทุกข์
เมื่อรู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์อย่างแจ่มแจ้งแล้ว
กิจที่ ๒ คือการ “ละสมุทัย” จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ทันทีที่ รู้ทุกข์ ขณะนั้นแหละ ละสมุทัย
เราละ สมุทัย "ละความอยาก"เนี่ย ด้วยการ รู้ทุกข์
"สมุทัย" คือ ตัวตัณหา ตัวความอยาก
เป็นเหตุให้เราเข้าไปหยิบฉวยเอารูปธรรมนามธรรม
หรือขันธ์ ๕ นี้ซึ่งเป็นตัวทุกข์
เอามากอดเอาไว้ มากกไว้ เอามาครอบครองไว้
กลายเป็นไปหยิบฉวยเอาตัวทุกข์ขึ้นมา
ความอยากนี้แหละทำให้เราไปหยิบฉวย
เอารูปธรรมนามธรรมขึ้นมาไว้กับตัวเอง
ก็เลยนำความทุกข์เข้ามาสู่จิตใจ
ถ้า มีสติ มีปัญญา มากพอ รู้ความจริงว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
จะไม่เกิดความอยากที่จะไปหยิบฉวยมันเข้ามา
ไม่มีการเข้าไปครอบครองรูปนามขันธ์ ๕
ก็เท่ากับไม่หยิบฉวยเอาตัวทุกข์เข้ามาไว้กับตัวเอง
งั้นรู้ทุกข์เมื่อไหร่ ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
ละสมุทัยเมื่อไหร่ก็แจ้งนิโรธ คือแจ้งพระนิพพานเมื่อนั้น
เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสภาวะที่สิ้นตัณหา สิ้นตัวสมุทัย
แล้ว จิตใจก็เข้าถึงความสงบระงับ
พระนิพพาน นั้น คือสันติ คือความสงบ
สงบจากอะไร? สงบจากกิเลส สงบจากกิเลสทั้งหลาย
สงบจากตัณหา สงบจากความยึดถือ
สงบจากสังขารคือความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งที่ เป็นรูปธรรมนามธรรมนี่เป็นตัวสังขารทั้งหมด
สงบจากการดิ้นรนปรุงแต่ง ไม่ปรุงแต่งก็พ้นจากภพ
"ภพ"ก็คือ ความปรุงแต่งของจิต
งั้นนิพพานนะ เมื่อไหร่สิ้นตัณหา
รู้ความจริงของขันธ์ ก็จะสิ้นตัณหา
เมื่อสิ้นตัณหา ก็ไม่สร้างภพ
ไม่ดิ้นรนปรุงแต่งขึ้นมา ก็พ้นจากภพกันตรงนั้นเอง
พ้นจากความทุกข์กันตรงนั้นเอง
งั้นถ้าคนถามเราว่านิพพานมีลักษณะยังไง
ก็ตอบเค้าไปตรงๆ นิพพานมีสันติลักษณะ มีลักษณะ"สงบ"
สงบจากอะไร? สงบจากกิเลสตัณหา สงบจากความดิ้นรน
ปรุงแต่ง
สงบจากอะไรอีก?
สงบจาก...รูปนาม ขันธ์ ๕...พ้นจาก...รูปนาม ขันธ์ ๕
นิพพานมีอยู่แล้ว แต่ว่าเรา"ไม่รู้" เรา"ไม่เห็น"
เพราะจิตเรา มีความอยาก จิตเรา มีกิเลส
จิตเรา มีความดิ้นรนปรุงแต่ง
เราเลยไม่สามารถจะเห็น"สภาวะที่พ้นความปรุงแต่ง"ได้
ขณะใดที่จิตเราหมดตัณหาหมดกิเลสนะ
เมื่อสิ้นตัณหาก็สิ้นความปรุงแต่งของจิตด้วย
"พระนิพพาน"คือสภาวะที่สิ้นตัณหาสิ้นความปรุงแต่ง
ก็จะปรากฏขึ้นให้รับรู้ในขณะนั้นเลย
งั้นเมื่อไรรู้ทุกข์ เมื่อนั้นแหละละสมุทัย
เมื่อใดละสมุทัย เมื่อนั้นแหละแจ้งนิโรธ เห็นพระนิพพาน
การที่เรา..."รู้"ทุกข์..."ละ"สมุทัย..."แจ้ง"นิโรธ
ในขณะนั้นน่ะ คือ ขณะแห่งอริยมรรค
งั้นการที่เรารู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรคเนี่ย
กิจกรรมทั้ง ๔ เนี่ยทำเสร็จในขณะจิตเดียวกัน ในแว๊บเดียว
ในพริบตาเดียวนั้นเอง ก็ข้ามพ้นจากความทุกข์ไปได้
ธรรมะอย่างนี้นะธรรมะประณีต ลึกซึ้งมาก ต้องภาวนา
ถ้าภาวนาเราอยากแค่มีทุกข์น้อยๆ
ก็เอาแค่โสดาบัน สกทาคามี
เรายังติดใจในกาม ยังห่วงเมีย ห่วงสามี
ยังอะไรต่ออะไรอยู่นะ ห่วงทรัพย์สมบัติอยู่
เอาโสดาบัน สกทาคามี ก็พอ
ถ้าถึงขึ้นอนาคามีเนี่ยมันพ้นจากกามไป
จากปุถุชนเนี่ย ขึ้นไปเป็นพระโสดาบันยากมากนะ
คนจำนวนมากอยากได้ แต่มันไปไม่ถูก
ที่รู้ทางที่ถูกแล้วก็ขี้เกียจปฏิบัติ
ถ้ารู้ทางถูกแล้วขยันปฏิบัตินะ
มันก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามีอะไร ไม่ยาก
ทีนี้คนส่วนใหญ่มันติดในความสุข ความหลงโลก
อะไรอย่างนั้นไป ไม่ยอมภาวนา
ถ้าเราภาวนาเนี่ย พระโสดาบัน พระสกทาคามี
ไม่ใช่เรื่องยากเกินวิสัยมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราจะ
ทำได้ ไม่ต้อง"ละ"...อะไรมากนะ
รักษาศีล ๕ ไว้
มีสติ รู้เนื้อรู้ตัว ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวไว้
อย่าให้มันฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป
รู้สึกตัวบ่อยๆ นั่นแหละเรียกว่ามีสมาธิ
มีสติ มีสมาธิ รักษาศีลไว้
ค่อยดูกายทำงาน ดูใจทำงาน เห็นกายกับใจแยกออกจาก
กัน
เห็นความสุขทุกข์ แยกออกจากร่างกาย แยกออกจาก
จิตใจ
เห็นความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น
ความโลภความโกรธความหลงทั้งหลายเนี่ย
แยกออกจากจิตใจ
แยกออกเป็นส่วน ๆ ๆ ไป แต่ละอันเนี่ยทำหน้าที่ของมันไป
แต่ละอันก็เกิดดับไป
เนี่ยฝึกดูอย่างนี้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีนะ ก็จะได้ธรรมะขึ้นมา
ถ้าบารมีมากก็เป็นพระอรหันต์
บารมีลดลงมาก็ได้อนาคามี สกทาคามี
เป็นพระโสดาบัน เป็นลำดับไป
ก็พากเพียรเข้า รักษาศีล ๕ ไว้ ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับ
ตัว อย่าฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป รู้ตัวบ่อยๆ ถัดจากนั้นดูกาย
ทำงาน ดูใจทำงาน ทำอย่างนี้แหละ
ให้เวลากับการรู้กายรู้ใจให้เยอะๆหน่อย
มรรคผลอะไรไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยที่ฆราวาสจะทำได้
สมัยพุทธกาล ฆราวาสไม่ได้จีเนียสกว่าพวกเรานะ
คนสมองมันก็พอๆกันแหละ มีงานศึกษาอันหนึ่งเคยอ่าน
พวกหมอนั่นแหละศึกษาบอก คนสมัยโรมันสมัยกรีกนะ กับ
คนยุคนี้สมองพอๆกัน ไม่รู้ไปขุดสมองโรมันมาดูได้ไงนะ
คนสมัยพุทธกาล กับยุคเรา ก็พอๆกันแหละ
ไม่ได้โง่ ไม่ได้ฉลาดกว่ากันน่ะ เค้าทำได้ เราก็ต้องทำได้
มีมือมีตีนเหมือนกันนะ มีใจเหมือนกัน ต้องทำเอาให้ได้
รักษาศีล ๕ ไว้
ฝึกจิตใจให้อยู่กับเนื้อกับตัว
แล้วก็ดูกายทำงาน ดูใจทำงานไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็เข้าใจ
เราดูกาย ดูใจ ทำงานมากๆ
ในที่สุดก็เข้าใจความเป็นจริงของกายของใจว่า
กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา กายนี้ ใจนี้ เป็นตัวทุกข์
ถ้าเข้าใจในระดับที่"เห็น"กายนี้ ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา
ก็เป็นพระโสดาบัน
ถ้าเข้าใจความจริงระดับที่ว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นตัวทุกข์
จะเป็นพระอรหันต์นะ
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
" ความเป็นจริง...ความสุข หรือ ความทุกข์นั้น...ไม่มี
มันมีแต่"ความรู้สึก"รู้สึกว่า..สุข รู้สึกว่า..ทุกข์ (เท่านั้น)
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
☝️อะไรชื่อว่า "หนึ่ง"☝️
รู้จัก "ธาตุรู้" รู้จัก "ใจ"
แล้วจะถามว่าใจรู้จักอะไรบ้าง ใจรู้อะไรบ้าง อันนี้ไม่ใช่แล้วอันนี้มันแจกแจง
แต่มันรู้เบ็ดเสร็จรวบยอดเลยคือว่า รู้แล้ว... เคยไปถึงแล้ว
มีคนถามหลวงปู่ทาว่า "อยู่กับรู้" รู้เนี่ยมันรู้ลึก รู้กว้าง หรือมันแคบ หรือรู้ตื้น หรือรู้ละเอียดรู้หยาบ รู้อะไร?
รู้ไปหมดนั่นแหละ จบ!
ไม่งั้นจะถาม รู้ไปหมดรู้อะไรบ้าง? อย่างนี้มันก็ไม่จบ
ที่มันถามเพราะมันยังไปไม่ถึง ถ้าถึงแล้ว ไปถึงเหมือนกันหมดแล้วมันไม่ถามหรอก
ถามเท่าไหร่ก็ไม่รู้... หยุดถามจึงรู้ จะถามให้รู้มันไม่รู้หรอก
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
☇กิริยาหลักมีคำเดียวคือคำว่า "รู้"
ทันทีที่เรายินดียินร้ายแล้วเราเข้าไปแทรกแซง
ความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจ
แต่ถ้าเราสักว่ารู้สักว่าเห็น
ความทุกข์จะไม่เกิดขึ้นในใจ
เพราะฉะนั้นท่านถึงสอนว่าจิตมีราคะให้รู้ว่ามีราคะ
รู้เฉยๆ
มันเป็นธรรมดาที่ราคะจะต้องเกิด มีเหตุเขาก็เกิด
จิตมีโทสะให้รู้ว่ามีโทสะ ไม่ได้ให้แก้
เพราะฉะนั้นจิตจะปรุงแต่งไม่ใช่ปัญหานะ
ปัญหาคือเราอย่าเข้าไปปรุงแต่งจิต
ถ้าจับหลักตรงนี้ได้ การภาวนาจะราบรื่น
อะไรก็ได้ที่ปรากฏขึ้นมา
สุขจะเกิดก็ได้ ทุกข์จะเกิดก็ได้ เฉยๆ จะเกิดก็ได้
กุศลก็ได้ โลภโกรธหลงก็ได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่แสดงไตรลักษณ์
อย่างเท่าเทียมกันทั้งหมดเลย
อย่างความโกรธก็แสดงไตรลักษณ์ว่า
มันไม่เที่ยง มันทนอยู่ไม่ได้ มันบังคับไม่ได้
มันเกิดจากเหตุ ถ้ามีเหตุมันก็เกิด ไม่มีเหตุมันก็ไม่เกิด
เราบังคับมันไม่ได้
ทุกๆ ตัวแสดงไตรลักษณ์เหมือนๆ กันหมดเลย
เพราะฉะนั้นในทางจริยธรรม
สภาวธรรมแต่ละอย่างไม่เท่าเทียมกัน
กุศลย่อมดีกว่าอกุศล
แต่ในขั้นของการเจริญวิปีสสนานี่
สภาวธรรมทั้งหลายเท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์
ดังนั้นกุศลเกิดขึ้นก็รู้ไป อกุศลเกิดก็รู้
ในสติปัฏฐานสอนว่า
จิตมีโมหะก็รู้ว่ามีโมหะ จิตไม่มีโมหะก็รู้ว่าไม่มีโมหะ
จิตมีโมหะเป็นอกุศล จิตไม่มีโมหะเป็นกุศล
กิริยาที่ทำต่อกุศลและอกุศลนั้นเท่าเทียมกันคือรู้
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรามีแต่หน้าที่ของการรู้
ถ้าเราไปดูมหาสติปัฏฐานสูตร
หรือสติปัฏฐานสูตรซึ่งมีหลายสูตร
ที่เรียกมหาสติปัฏฐานไม่ใช่สติใหญ่นะ
มหาสติปัฏฐาน หมายถึงมหาสูตร สูตรนี้ใหญ่
มีสติปัฏฐานสูตรย่อยๆ อีกหลายสูตร
ในสติปัฏฐานทุกๆ สูตรนี่
กิริยาหลักมีอยู่คำเดียวคือคำว่ารู้
หายใจออกยาวก็รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้
หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้าสั้นก็รู้
ยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้ นอนอยู่ก็รู้
มีแต่คำว่ารู้
คู้ก็รู้ เหยียดก็รู้ เหลียวซ้ายแลขวาก็รู้
ก้าวไปก็รู้ ถอยหลังก็รู้ รู้อยู่
มีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้
มีราคะก็รู้ ไม่มีราคะก็รู้ มีโทสะก็รู้ ไม่มีโทสะก็รู้
มีโมหะก็รู้ ไม่มีโมหะก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้
มีนิวรณ์ก็รู้ มีกามฉันทนิวรณ์ก็รู้
รู้ว่านิวรณ์เกิดจากอะไร นิวรณ์ดับไปได้เพราะอะไร
หรือตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ภายนอกก็รู้ทัน
รู้ตาด้วย รู้รูปด้วย รู้หูด้วย รู้เสียงด้วย
ตัวสำคัญคือรู้การกระทบด้วย
รู้วิญญาณที่รับรู้การกระทบด้วย
รู้สังโยชน์ รู้กิเลสที่เกิดตามหลังการกระทบด้วย
ไม่ได้มีตรงไหนเลยที่บอกว่าให้เกินรู้
ไม่ใช่ตามองเห็นรูปแล้วให้ตัดความรู้สึกเสีย
หรือให้กำหนดที่ตา กำหนดที่รูป
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น
ท่านให้รู้ ไม่ได้ให้กำหนดลงไป
ถ้ากำหนดลงไปแล้วใจมันจะนิ่ง มันจะไม่มีกิเลส
ไม่มีสังโยชน์อะไรที่เกิดตามหลังมา
ดังนั้นเราตามรู้ธรรมดานี่เอง
พอรู้แล้ว ใจเราปรุงกิเลสขึ้นมา เราก็รู้ทัน
คำว่ารู้นี่เป็นคำสำคัญ
ในสติปัฏฐานเต็มไปด้วยคำว่ารู้ ไม่มีคำว่าละ
แต่เมื่อเรารู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งตรงตามความเป็นจริงมากแล้ว
มันจะละอันหนึ่งคือมันจะละความยินดียินร้ายในโลก
คำว่าโลกก็คือกายใจรูปนามนี่เอง
เป็นคำว่าโลกในนิยามศาสนาพุทธนะ
โลกมีนิยามว่าหมู่สัตว์ก็ได้ มีนิยามว่ารูปกับนามก็ได้
กายกับใจนี้เองที่เรียกว่าโลก
เราทำสติปัฏฐาน
เรารู้กาย เวลารู้กายถูกต้อง มันรู้ใจด้วย
จะรู้ทั้งกายทั้งใจ หรือ
เราทำจิตตานุปัสสนา เรารู้จิต
ถ้ารู้จิตถูกต้องก็จะรู้กายด้วย มันจะเนื่องกัน
พอรู้แล้ว เข้าใจความเป็นจริง
ของกายของใจของรูปของนามแล้ว
มันจะละความยินดียินร้ายในรูปในนามนั้นได้
เช่น เราเคยยินดีกับความสุข ยินร้ายกับความทุกข์
ยินดีกับกุศล ยินร้ายกับอกุศล
พอเราเจริญสติปัฏฐานมากๆ
เราก็จะเห็นว่าความสุขชั่วคราว ความทุกข์ชั่วคราว
กุศลชั่วคราว อกุศลชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราว
พอเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราว มันเสมอภาคกัน
จิตจะไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง จิตจะเป็นกลาง
เมื่อจิตเป็นกลาง รู้รูปด้วยจิตเป็นกลาง
รู้นามธรรมทั้งหลายด้วยจิตเป็นกลาง
จิตไม่เติมแต่งไม่ปรุงแต่งต่อ
อะไรปรากฏก็ได้
สภาวธรรมใดๆ ปรากฏก็เสมอภาคกันหมดเลย
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจิตไม่ปรุงต่อ
เพราะฉะนั้นจิตจะปรุงราคะขึ้นมา ปรุงโทสะขึ้นมา
หรือมันจะพากย์ขึ้นมา มันจะบรรยายขึ้นมา
มันจะพูดขึ้นมา ไม่ใช่ปัญหา
ถ้าเรารู้ทัน เราก็จะเห็นว่าทุกอย่างเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใจไม่ยินดียินร้ายขึ้นมา
พอใจเราไม่ยินดียินร้าย ใจจะไม่ปรุงแต่ง
พอมันหมดความปรุงแต่ง
จิตจะเข้าไปสัมผัสธรรมะที่ไม่ปรุงแต่ง คือนิพพานได้
ดังนั้นเส้นทางนี้ไม่ได้ลึกลับอะไร เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล
แต่อย่าเอาเหตุผลของการคิดมาใช้
ให้รู้กายให้รู้ใจไปจนมันประจักษ์ชัดว่าทุกอย่างชั่วคราว
จิตจะหมดความดิ้นรนปรุงแต่ง
เมื่อจิตหมดความดิ้นรนปรุงแต่งแล้ว
จิตจะไปสัมผัสกับธรรมะที่ไม่ปรุงแต่ง
นิพพานมีอยู่ต่อหน้าต่อตา
นิพพานไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับไป
มีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ไม่เห็น
เพราะว่าอวิชชาหรือความไม่รู้ความไม่เห็นของเราไปบังไว้
พอเราเกิดอวิชชา เราจะคิดว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเรา
เราหวงแหนกายนี้ใจนี้ อยากให้มันมีความสุข
นี่คือความไม่รู้ทุกข์
คือไม่รู้ว่ากายกับใจเป็นก้อนทุกข์
ก็เกิดอยากให้มันมีความสุข
เกิดสมุทัย เกิดการดิ้นรนขึ้นมา
จิตใจยิ่งมีความทุกข์ซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
ถ้าเรารู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งนะ มันหมดความอยาก
หมดความดิ้นรนเลย นิโรธจะปรากฏขึ้น
คือนิพพานจะปรากฏต่อหน้าต่อตาเลยนะ
นิพพานคืออะไร
นิพพานคือความสิ้นตัณหานั่นเอง
สิ้นความทะยานอยากของจิต
เมื่อสิ้นความทะยานอยากของจิต สิ้นตัณหา
ภพคือการทำงานของจิตก็จะไม่เกิดขึ้น
คือจิตจะไม่ปรุงต่อแล้ว
เมื่อไม่มีภพไม่มีการทำงานของจิต
จิตจะไปสัมผัสไปเห็นนิพพานได้
ทันทีที่เรารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง รู้กายรู้ใจนี้แจ่มแจ้ง
จนกระทั่งรู้ว่าเป็นแค่ธาตุแค่ขันธ์ไม่ใช่เรานะ
หมดความรัก หมดความอยาก
สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ
หมดความอยากจะให้มันสุข ให้มันดี
ให้มันคงทนถาวร ให้มันเที่ยง ให้มันบังคับได้ตลอดไป
พอหมดความอยาก
นิโรธหรือนิพพานก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
การที่เรารู้ทุกข์จนกระทั่งหมดความอยาก ละสมุทัยได้
แจ้งนิโรธต่อหน้าต่อตาเรียกว่ามรรค
มรรคตัวนี้เรียกว่าอริยมรรค
ส่วนมรรคที่พวกเราคอยรู้กายคอยรู้ใจนี้
ไม่เรียกว่าอริยมรรค
แต่เรียกว่าบุพภาคมรรคหรือมรรคเบื้องต้นนะ
ยังไม่ใช่ตัวอริยมรรคนะ ที่พวกเราเดินกันอยู่
อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง
ถ้ารู้กายรู้ใจแจ่มแจ้งเต็มที่แล้วใจยอมรับ
อริยมรรคจะเกิดขึ้นเอง
เกิดขึ้นชั่วขณะเดียวสังโยชน์ก็ขาดแล้ว
ขาดแล้วขาดเลยไม่กลับฟื้นคืนขึ้นมาใหม่นะ
อย่างสังโยชน์ทั้งหลายก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลานะ
เมื่อก่อนหลวงพ่อเข้าใจผิด
ตอนหัดภาวนาใหม่ๆ หลวงพ่อคิดว่าสังโยชน์มีอยู่ตลอดเวลา
แต่อย่างตอนที่จิตลงภวังค์นี่ จะไม่มีสังโยชน์
หรือเด็กเกิดใหม่ๆ เด็กไม่ได้สำคัญว่านี่กายนี่ใจของตัวเอง
นี่เป็นตัวเรา เด็กคิดไม่เป็น
ดังนั้นเด็กที่เกิดใหม่ไม่มีสักกายทิฏฐิ
เด็กที่เกิดใหม่ๆ ไม่มีวิจิกิจฉา
ไม่เคยสงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เลย
วิจิกิจฉาที่สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
เรียกว่าวิจิกิจฉาแท้
ส่วนวิจิกิจฉาเช่นสงสัยว่าคนนี้ชื่ออะไร
ถนนนี้วิ่งไปถึงไหนนี่เรียกวิจิกิจฉาเทียม ตัวนี้ไม่ใช่กิเลส
เด็กไม่มีวิจิกิจฉาคือไม่ลังเลสงสัย
ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นะ
เด็กไม่มีสีลัพพตปรามาส
ไม่ได้ถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างงมงาย
เพราะเด็กไม่คิดจะถือศีลบำเพ็ญพรตอะไร
วันๆ แค่ได้กินนมก็พอใจแล้ว ได้นอนได้ทำตัวอบอุ่น
ดังนั้นเด็กเกิดใหม่ๆ ไม่ได้มีสังโยชน์
แต่มีอนุสัยนะ พร้อมที่จะงอกกิเลสหยาบๆ ขึ้นมา
พร้อมที่จะสร้างสังโยชน์ สร้างอะไรขึ้นมาใหม่อีก
ของเราก็เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าอนุสัยจะเกิดตลอดเวลา
ในขณะที่จิตของเรามีสติขึ้นมา
อนุสัยก็ไม่มี สังโยชน์ก็ไม่มี
ถ้าเราขาดสติเมื่อใด กิเลสก็เกิดขึ้นมา
ฉะนั้นตัวกิเลสเองก็เกิดๆ ดับๆ
สังโยชน์เองก็เกิดๆ ดับๆ เป็นขณะๆ ไป
เช่นเดียวกับสภาวธรรมอื่นๆ นั่นเอง
ดังนั้นไม่ต้องไปเกลียดมัน มันเกิดขึ้นมาก็รู้ไป
มันก็เกิดแล้วก็ดับให้เราดู
แสดงธรรมะให้เราดูเท่าเทียมกับธรรมะฝ่ายกุศลนั่นแหละ
พอรู้ชัดๆ รู้มากๆ นะ
ถึงจุดที่อริยมรรคเกิดขึ้นแล้ว
มันจะตัดสังโยชน์เด็ดขาด ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
อย่างพระโสดาบันขาดสติได้ไหม
พระโสดาบันขาดสติได้
แต่ขณะที่พระโสดาบันขาดสติ
จะไม่มีสักกายทิฏฐิขึ้นมา ขาดแล้วขาดเลย
ดูลงมาทีไรนะ ไม่มีความรู้สึกว่ากายนี้ใจนี้คือตัวเราเลย
แต่ว่ายึดถือไว้
ฉะนั้นการภาวนา ถ้าจิตของเราจะพากย์
จิตจะมีความโลภโกรธหลง ไม่ใช่ปัญหานะ
แต่ถ้าเราเกิดยินดียินร้าย
ยินดีในความดีของมันในความสุขของมัน
ยินร้ายในอกุศลในความทุกข์
จิตจะดิ้น จิตจะทำงาน อยากให้ดี
ความอยากเกิด จิตก็ดิ้น
อยากให้พ้นทุกข์ อยากให้มีความสุข
อยากให้กิเลสหายไป
จิตจะเกิดการดิ้นทั้งนั้นเลย
ทันทีที่ตัณหาเกิด จิตก็จะดิ้น
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
มันไม่มีคำถาม มันมีแต่คำตอบ
ถ้าเราได้ทำเป็นการประจักษ์แจ้ง
ถ้าเราได้เข้าถึงธรรม มันเห็นเอง เรียกว่า ปัจจัตตัง
ความรู้สึกตัว แค่เสี้ยววินาที มันเป็นศิลปะ
เหมือนกับแสงสว่างคู่กับความมืด
เปลี่ยนหลงเป็นรู้
มันหลงไปตามความคิด ความหลง ความโกรธ
"ความทุกข์" มันเป็นอาการของกาย ของจิต เราอย่าไปเชื่อมัน
ปัญหาต่างๆ เรากลับมาที่ความรู้สึกตัว
เป็นตัวเฉลยของชีวิต จุดหมายปลายทางของชีวิตแล้ว
จบกันแค่นั้น
เปลี่ยนได้ทุกโอกาส
ให้กายสัมผัสกับความรู้สึกตัว เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
เปลี่ยนหลงเป็นรู้ อะไรๆก็เพื่อรู้
หัดช่วยตัวเอง ให้ทันเวลา
มันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์
เป็นไปเพื่อความสงบ
เป็นไปเพื่อพระนิพพาน
เป็นงานที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
หลวงพ่อคำเขียน
ในการปฏิบัติ ความรู้สึกตัว เราต้องมี ทั้ง กลวิธีจำเพาะ และ ความเข้าใจในการปฏิบัติที่ถูกต้อง
กลวิธี :
กลวิธี คือ การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ, คลึงนิ้วมือ, เดินมา-เดินไป. กลวิธีนี้ทำให้ร่างกายเราไม่อยู่นิ่ง; เราจะสามารถทำความรู้สึกตัวได้อย่างต่อเนื่องและชัดเจนเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว. ความเข้าใจ :
ก) เราควรเข้าใจว่า ความรู้สึกตัว คือ รู้สึก หรือ รู้ เฉย ๆ , ไม่มีอะไรมากกว่านั้น, ไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากนั้น. (เราไม่ต้องทำความรู้สึกตัวว่า เรากำลังเดิน, กำลังหายใจเข้า, กำลังหายใจออก: อย่างนั้นผิด. แค่รู้สึกเฉย ๆ : แค่นั้นพอ, ไม่ต้องมีอะไรอีก.) ให้เราทำความรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจ. เมื่อความคิดขึ้นมา, รู้; เมื่อร่างกายเคลื่อนไหว, รู้สึก
ข) เราควรเข้าใจว่า ไม่ว่าการเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น: แค่ รู้สึก หรือ รู้ เฉย ๆ แล้วก็ปล่อยไป. ไม่ต้องรู้ว่ามันเป็น ความโลภ หรือ ความโกรธ: มันไม่จำเป็น. เราแค่รู้สึก แล้วก็ปล่อยไป. ตัวอย่างเช่น เมื่อมีลมพัดมาเราแค่รู้สึก, ไม่ต้องรู้ชื่อของมัน; แม้แต่รู้ว่ามันเป็นลมก็ยังมากเกินไป. เราแค่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (เมื่อไม่มีลม) แค่นั้นพอ. เราไม่ต้องตั้งชื่อให้มัน, ไม่งั้นเราจะเกิดความสับสนขึ้นได้
ในการทำความรู้สึกตัวจากการเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ, เราไม่ควรตั้งใจกับความรู้สึกมากนัก; ทำสบาย ๆ , อย่าจริงจังจนเกินไป. จากที่กล่าวมา ทั้งกลวิธีจำเพาะและความเข้าใจในการปฏิบัติที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น. เพราะ ถ้าเรารู้แต่กลวิธีแต่ไม่เข้าใจในการปฏิบัติ, ก็จะไม่เกิดผล. และ ถ้าเราเข้าใจในการปฏิบัติดีมาก, แต่ไม่มีกลวิธี, ก็จะไม่เกิดผลเช่นกัน. ดังนั้นในการปฏิบัติเราต้องมีทั้งกลวิธีจำเพาะและความเข้าใจในการปฏิบัติที่ดี
สรุป:
๑. เราต้องทำมัน (ทำความรู้สึกตัว) ด้วยตัวเอง จนกระทั่งเรา รู้มัน, เห็นมัน, เข้าใจมัน, และเผยมันออก ภายในกาย-จิตของเรา.
๒. ต้องมีทั้งกลวิธีจำเพาะและความเข้าใจในการปฏิบัติที่ถูกต้อง
๓. อย่าอยู่นิ่ง; เราควรเคลื่อนไหวตลอดเวลา
๔. ปฏิบัติให้มาก ๆ ด้วยกลวิธีดังกล่าว โดยปราศจาก การบังคับ หรือ การคาดหวัง ใด ๆ ทั้งสิ้น. ผลจากการปฏิบัติจะเกิดขึ้นเอง.
โดย เขมานันทะ