ถ้าหลับตา จิตไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ไม่เกิดอยู่ดี ถ้านั่งสมาธิ จิตเดินผิด ไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ไม่เกิด ถ้าไม่นั่งหลับตา ไม่นั่งสมาธิเลย และจิตก็ไม่ตั้งมั่น ปัญญาหรือ วิปัสสนาภาวนาก็ไม่เกิดอีกอยู่ดี แต่หากลืมตาก็ตาม หลับตาก็ตาม ยืน เดิน นั่ง นอน มีจิตตั้งมั่น ปัญญาที่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอารมณ์ ไตรลักษณ์ก็จะปรากฎ เมื่อฝึกฝนดีแล้ว ทำปัญญานำสมาธิก่อนก็ได้ สุดท้ายจิตก็จะสงบจากนิวรณ์ สงบจากกิเลสเหมือนกัน บรรลุสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ได้ในที่สุด หรือจะ ทำสมาธินำ ปัญญาไปก่อน สุดท้ายจิตก็จะสงบจากนิวรณ์ สงบจากกิเลสเหมือนกัน บรรลุสัมมาสมาธิ และสัมมาสติ ได้เหมือนกันนั้นเอง
Trader Hunter พบธรรม
" สติ...
นี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้ว จิตมันจึงจะล่วง
เพราะ สติคุ้มครองจิต
ตัวสติ ก็คือจิตนั่นแหละ
แต่ว่า ลุ่มลึกกว่า
สติ นั่นอบรมจิต
ครั้นอบรมจนขั้นจิต รู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มัน จึงหายความหลง
พบ ความสว่าง
ความหลงนั้นก็คือ ไม่มี...สติ
ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนแน่วแน่แล้ว
ให้มันแม่นยำ
ให้มันสำเหนียกแล้ว
มัน จะรู้แจ้งทุกสิ่ง ทุกอย่าง
สติ แก่กล้า
จิต ย่อมทนไม่ได้
เมื่อ ทนไม่ได้ ก็สงบลง
ครั้นสงบลงแล้ว มัน ก็รู้
เดี๋ยวนี้ มันไม่มีปัญญา
มัน ก็ส่ายไป - มา
เพราะ มันไปหลงทาง
จิตไปหลายทาง เพราะเป็นอาการของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือ...ว่าง
ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้ เป็นตัว เป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้ว ปลง
เป็นผู้วาง ภาระ ก็มี ความสุข
จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มี ความสุข
ไม่ ยึดถือ
เพราะรู้ ตามความเป็นจริงของมันแล้ว."
__________________________________________
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
การมีสติ นั้นก็คือการ "รู้สึกตัว" นั้นเอง ไม่ใช่ "ความคิด" ที่เราคิดตั้งใจจะมีสติ ต่างกันนะตรงนี้ เพราะการไปคิดตั้งใจจะให้มีสติ นั้นไม่ใช่ สติแท้ๆ ที่เป็น " รู้สึกตัว " แต่เป็นการเข้าไปยึดถือความคิด ที่คิดว่ามีสติ
หลักการที่จะทําให้เรานั้น สามารถเกิด " รู้สึกตัว " ที่เป็นสัมมาสติแท้ๆได้นั้น ก็ให้หมั่น รู้สึกตัวผ่านกาย เช่น ลมหายใจ หรือ การขยับกาย
รู้สึกถึงลมหายใจ ตรงจุดที่ใจรู้สึกถึง หรือ รู้สึกตัวจากการขยับกาย ตรงนี้สําคัญมากๆเลยนะครับ เพราะเป็นสภาวะที่จิตเข้าไปรู้ ตรงนี้หล่ะคือ การเข้าไปรู้ในระดับจิต ผ่านการใช้ลมหายใจ
เมื่อชินกับความรู้สึก เราจะเห็นความรู้สึกปรากฏขึ้นมาแบบไม่เฉพาะเจาะจง ไม่มีการไปกําหนดเพื่อรู้สึกตัวอีก มาให้รู้สึกตรงไหนก็รู้สึกไปแต่จะรู้ได้ทั่วๆกาย รู้สึกตัว
ตรงที่เรารู้สึกนี้หล่ะ เป็นการเจริญใน มรรค8 อย่างแท้จริงๆ
หลักสําคัญเป็นแบบนี้ มรรค8 ไม่ได้อยู่ตามตํารา แต่มรรค8 อยู่ที่ใจ ต้องเข้าไปรับรู้ที่ใจ จึงจะเจริญมรรค8 ได้อย่างแท้จริง
ผ่านตรงจุดนี้ให้ได้ ชีวิตจะเปลี่ยนอย่างมากๆ เมื่อเข้าสู่สภาวะเจริญปัญญา
หากจิตใจมีสติ สมาธิ ปัญญา
จิตใจก็จะมั่นคงหนักแน่น
ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์
จิตก็จะรู้จักปลง รู้จักวาง
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่เร่าร้อน
ไม่ทุกข์ทรมานใจ
แม้จะต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
.
เช่น การต้องเผชิญกับการพลัดพราก
จากสิ่งอันเป็นที่รัก
ทั้งจากบุคคลและสิ่งของวัตถุต่าง ๆ
หรือยศถาบรรดาศักดิ์ก็ตาม
ก็สามารถที่จะรักษาจิตใจของเรา
ไม่ให้ทุกข์ได้
เพราะว่าเข้าใจตามความเป็นจริงว่า
ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความดับไปเป็นธรรมดา
.
หากต้องเผชิญกับสิ่ง
ไม่พึงปรารถนาก็วางใจได้
ทำใจได้ ปลงใจได้
เพราะเข้าใจสภาพความจริง
ของสิ่งทั้งหลายว่า
มันไม่เที่ยง มันไม่ยั่งยืน มันไม่ใช่ตัวตน
.
เมื่อปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น
ปกติคนทั่วไปก็จะทุกข์
แต่ถ้าจิตที่มีธรรมะก็จะไม่ทุกข์
จิตก็จะวางได้ ด้วยเข้าใจว่า
สิ่งทั้งหลายก็เป็น ธรรมดา อย่างนี้
.
ถ้าใจมีธรรมะชำระจิต
จิตก็มีความสะอาด มีสติปัญญา
ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจ
ทำให้ใจหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์
.
แต่ถ้าจิตไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะโอสถ
จิตก็จะตกอยู่ภายใต้
อำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน
ก็ต้องทนทุกข์เร่าร้อนอยู่
แล้วก็สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีก
เพราะแก้ปัญหาไม่ถูก
พอมีปัญหาก็ทำร้ายตนเองบ้าง
ทำร้ายผู้อื่นบ้าง
เป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิม
............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
" สติ...กำกับจิตตลอด
ต้องตั้งสติ มองดูจิตของตนตลอดเวลา
ไม่เลือกกาล เลือกสถานที่
ไม่เลือกหนาว เลือกร้อน
เลือกฝนตก เลือกแดดออก
เลือกสบาย หรือเลือกป่วยไข้
ต้องเป็นผู้มีสติอยู่...ทุกกาล ทุกสถานที่
และ ทุกอิริยาบถ
สติ...กำกับจิต
สติ...ต้องอยู่ตลอด ไม่ว่าจิตจะอยู่ในขั้นใด
ขั้น เริ่มฝึกหัด
ขี้น จิตเป็นสมาธิ
ขั้น เริ่มฝึกหัดทางปัญญา
จะเจริญสมถะ
หรือวิปัสสนาขั้นใดก็ตาม
ต้องอาศัยสติ กำกับดูแลตลอด
หากขาดสติ...
สมาธิ และปัญญาก็จักไม่เจริญไปได้."
_______________________________________
(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
การปฏิบัติธรรมเจริญสติ เพื่อให้รู้ทันจิต โดยหลวงพ่อปราโมทย์
วิธีเจริญสติเพื่อให้รู้ทันจิตต้องมาเจริญสติปัฏฐาน สติปัฏฐานเป็นทางสายเอกทางสายเดียว ต้องมาทำวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่มาทำสมาธิแล้วก็หลุดพ้นไป สมาธิไม่ได้ทำให้หลุดพ้นนะ สมาธิเป็นเครื่องมือนะ เป็นเครื่องมือเป็นตัวทำให้จิตมีพลังทีนี้สมาธิมี ๒ แบบ
สมาธิที่คนทั้งหลายฝึกกันนะ เป็นสมาธิเพื่อจะสงบ สงบสบายนะแล้วเกิดนิมิตเห็นโน่นเห็นนี่ไป ก็นึกว่าเห็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
สมาธิอีกชนิดหนึ่งก็คือ จิตที่ตั้งมั่นก็คือ จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เนี่ยสมาธิชนิดนี้ต้องฝึก คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยหรอก คุ้นเคยแต่สมาธิสงบ ไม่คุ้นเคยสมาธิตั้งมั่น'ปาฏิหาริย์แห่งการตื่น' จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราตื่นจากฝัน
ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในทุกวัน ทุกนาที คือ ปาฏิหาริย์ของการเกิดมา รับรู้ และมีสติ ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง การรู้เท่าทันจิตของตัวเอง
#โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขาากะลา)
วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์
บทที่2.
(ผู้สูงสุดฯ)เพราะฉะนั้น เจ้าจะให้ข้าพเจ้าสอนวิชาไหน?..... วิชาปาเป้ารอบนอก หรือวิชาปาเป้ากลางแก่น
(ตรงกลางครับ...)
(ผู้สูงสุดฯ)ตรงกลางนะ.... เออ .. ถ้าสอนแล้วนะ #อย่าไปเอาวิชาปาเป้านอกแก่นอีกนะ รู้หรือเปล่า เรียนรู้เรื่องแก่นแล้วก็ทำเรื่องแก่นไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นแก่นนั้น คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสอนสมาธิที่เป็นแก่นนั้น ฟังกันให้ดีนะ
สิ่งที่เป็นแก่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้สอนสมาธิที่เป็นแก่นนะ เพราะว่าสมาธินั้น มันต้องตามจิต จริตของแต่ละคน มันไม่ได้ให้ใคร #มันไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว #มันมีหลายอย่าง
แต่วิชาที่มันเป็นแก่นนั้น ก็คือวิชา ลด...ละ...เลิก เจ้าเข้าใจไหม? ไอ้ที่มีอยู่ ลด ละ เลิก
ความจริงแล้ว การที่เจ้าจะเดินทาง แล้วเจ้าแบกสัมภาระไป กับการที่เจ้าวางสัมภาระเพื่อให้ตัวเจ้าเบานั้น มันง่ายกว่าการที่จะไปยกสัมภาระ เพิ่มสัมภาระใช่ไหม?
แต่ตอนนี้ค่านิยมของคนที่จะปฏิบัติธรรมของพวกเจ้าเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรม แก่น....ก็คือ ลด ละ เลิก #แต่พวกเจ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องไปแบกเอาภาระ ตาทิพย์ หูทิพย์ ต้องไปแบกเอาภาระเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะต้องไปแบกเอาภาระ มีวิชาอะไร เห็นโน่น เห็นนี่ จะต้องไปแบกเอาภาระกันทำไม? ถ้าไม่เห็น #เขาก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นก็คือ #การลดที่มีอยู่ #กิเลสที่มีอยู่ “ลดลง” ได้ไหม? "ละลง" ได้ไหม?.... การยึดถือที่มีอยู่ ละลงได้ไหม? การปฏิบัติผิดศีลผิดธรรมที่มีอยู่ ... เลิก ได้ไหม? 3 วิธีนี้ พวกเจ้าจะหลุดกันอย่างสบาย ๆ
ถ้าเจ้ามานั่งนึกถึงความจริงนะ อันนี้ข้าใช้ปัญญาของร่างนี้ที่มันอ่านหนังสือชาดก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเป็นตัวอย่าง
....... การที่มีนางคนหนึ่ง เจ้าอาจจะได้เคยอ่านนะ ใครที่เคยอ่านพระไตรปิฎก หรือชาดกน่ะ.... นางคนหนึ่งซึ่งมีสามี และมีบุตร 2 คน แล้วสามีถูกงูกัดตาย แล้วลูก 2 คนก็ต้องมาตาย ด้วยการจมน้ำตาย และการถูกเหยี่ยวคาบเอาไป ชื่อนางอะไรนะ...? ใครตอบได้ ...
(คุณวิโรจน์) นางปตาจาลาครับ....
เจ้าดูในวาระจิตของคน ๆ นั้น สามีเพิ่งตาย ลูกอีก 2 คน #มันทนแทบจะไม่ได้ใช่ไหมจิตใจ #เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นบ้า บ้านี่คือเสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ #อย่างที่เพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าจะเป็นกันในข้างหน้านี้แหละ เสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ ไม่ใช่คนบ้าถาวรนะ
ในวาระจิตตรงนั้น แต่ในวาระตรงนั้น เจ้าคิดว่าสมาธิของเขาจะมีไหม? สมาธิก็ไม่มี เสียสติคิดถึงลูก คิดถึงสามี กระเซอะกระเซิงเข้ามาในวิหาร #ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเป็นประธานอยู่ #ในเมื่อท่านแผ่บารมีให้ได้สงบสติอารมณ์ได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้น ในวาระนั้น ก็จะมีแค่สติที่รู้ตัวเองอยู่เท่านั้น การที่จะไปทำสมาธิ ถอดฌาณ หรือว่าจะไปเห็นโน่น เห็นนี่ หรือว่าจะไปเหาะเหินเดินอากาศนั้น คน ๆ นั้นเขาทำได้ไหม? .... เขาทำไม่ได้ เพราะแค่สติตัวเอง #แค่ประคองไว้ให้ได้ก็ดีแล้ว
แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้เขา นั่นคืออะไร? #นั่นคือการเตือนสติเขา #การให้ปัญญาบารมีแก่เขา การเทศนาธรรมสั่งสอนให้เขาระลึกรู้ ในพระปัญญาบารมีที่ท่านสอนถูกตรงวาระจิตคน
เพราะฉะนั้น คน ๆ นั้น บรรลุธรรมเป็นอะไร? #บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ในฉับพลันเลยนะ มันมีความฟลุ๊คได้ไหม? อรหันต์เนี่ย มันฟลุ๊คไม่ได้...
แต่เกิดจากบุคคลคนนั้น #เขาพุ่งเป้าไปตรงแก่น เป้าใหญ่ ๆ นั้น พระพุทธองค์สอนแก่นให้เขา #ตรงกับเป้าที่เขาต้องการจะรู้พอดี #ด้วยพระปรีชาญาณของท่าน
สมาธิเพื่อวิปัสสนา
หลวงพ่อปราโมทย์ : สมาธิยังมีอีกชนิดหนึ่ง สมาธิที่ใช้ในการเจริญปัญญา สมาธิชนิดนี้ไม่ใช่อารัมณูปนิชฌาน แต่เรียกว่า “ลักขณูปนิชฌาน” ลักขณูคือเห็นลักขณะ คำว่าลักขณะนี้คนไทยเรียกว่า “ลักษณะ” ลักขณะเป็นภาษาบาลี แต่คนไทยยืมศัพท์นี้มาใช้นะ ยืมภาษาสันสกฤตมาใช้ เรียกว่า “ลักษณะ” เคยได้ยินคำว่า “ไตรลักษณ์” มั้ย “ไตรลักษณะ” นะ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็จะเป็น “ลักขณะ” กอไก่แล้วก็ต่อด้วยขอไข่
สมาธิที่เห็นไตรลักษณ์ ลักษณะของสมาธิชนิดนี้นะ จิตใจเป็นคนดู เป็นสภาวะที่เรียกว่า “ความตั้งมั่น” พวกเราไปเปิดพจนานุกรมดูให้ดีนะ สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ เนี่ยพวกมักง่ายแปลเอาเองว่าสมาธิแปลว่าสงบ ในพจนานุกรมทั้งหลาย ไปดูนะ คำว่า “สมาธิ” จริงๆแล้วแปลว่าความตั้งมั่นของจิต
ความตั้งมั่นของจิตหมายถึงอะไร หมายถึงจิตไม่แส่ส่ายไหลเพลินไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งมั่นอยู่ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ที่ตัวอารมณ์ ถ้าจิตของเราไหลไปตั้งนิ่งอยู่ที่ตัวอารมณ์ เรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” เพ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว ใช้ทำสมถกรรมฐาน ถ้าจิตตั้งมั่นอยู่กับจิต ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ที่อารมณ์นะ ตั้งอยู่กับความรู้สึกตัว รู้สึกกาย รู้สึกใจ ของตัวเอง ใจของเราจะมีความรู้สึกว่า มันเหมือนเป็นคนดูคนหนึ่ง
ร่างกายเดินอยู่ มีใจที่ตั้งมั่นเป็นแค่คนดู เห็นร่างกายเดินใจเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกาย ใจเป็นคนดู เห็นความสุขความทุกข์ความเฉยๆเกิดขึ้นในจิตใจ ใจเป็นคนดู เห็นกิเลสเกิดขึ้นในใจ ใจเป็นคนดู ใจมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นแค่คนดู ตัวนี้แหละเอาไว้ทำวิปัสสนากรรมฐาน
งานวิปัสสนากรรมฐานคืองานวิจัยภาคสนามล่ะ ตัว Object ที่เราจะเรียน ในการวิจัยภาคสนาม ก็คือรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเรา เราจะเรียนเพื่อให้เห็นความจริงของรูปธรรมและนามธรรมที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา ความจริงของรูปธรรมและนามธรรมอันนี้ ก็คือ “ไตรลักษณ์” นั่นเอง ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้เป็นอนัตตา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
บททดสอบ...บารมี ในยามตื่นตัวกลัวภัย
คนที่จิตใจสูง...ปัญญาบารมีมาก
จะป็นผู้เตือนภัย ประกอบด้วยสติปัญญาอุเบกขา...
คนที่จิตใจเมตตาสูง...
จะเป็นผู้เกื้อกูล พร้อมให้กำลังใจ...
คนที่มีทานบารมีสูง
จะเป็นผู้เสียสละ ทุ่มเทกำลังกายแลทรัพย์วัตถุ
คนที่มีศีลสูง...
จะเป็นผู้นิ่งสงบ ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
คนที่ภาวนามาสูง...
จะเป็นผู้ส่งกระแสจิต ให้สรรพชีวิตพ้นทุกข์ในยามยาก
คนที่ขันติธรรมสูง...
จะเป็นผู้อดทน ต่อสิ่งปฎิปักษ์ความคิดร้ายทั่วไป
คนที่มีวิริยะบารมีสูง
จะเป็นผู้คุมใจ ให้ไม่ตกต่ำหดหู่เศร้าหมองจมลง
คนที่มีสัจจะสูง...
จะเป็นผู้เปิดเผยความดี ความจริงในทุกๆด้าน สันติทุกกรณี
คนที่อธิษฐานบารมีมาสูงมาก
จะเป็นผู้แสดงอตีตังสญาณ อดีตที่ตั้งใจเอาไว้กำจัดทุกข์ภัย
คนที่มีอุเบกขาธรรมบารมี...
จะเป็นผู้ทดสอบจิตใจแห่งความมั่นคง ในสิ่งยินร้ายนานาประการ
//.. สมาธิก้อนหิน..//
ก้อนหิน ภูผา ภูเขา ท่อนไม้ วัตถุ ล้วนนั่งเงียบๆ..เพราะไม่มีจิตวิญญาณ จึงไม่รู้อะไร
การนั่งเงียบๆ โดยไม่รู้อะไร ไม่รู้ไตรลักษณ์ ไม่รู้การเกิด-ดับ ไม่รู้อริยสัจ๔ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้หนทางดับทุกข์
การนั่งเช่นนั้น จึงไม่ผิดอะไรกับก้อนหิน ท่อนไม้ที่ตายแล้วเพราะวัตถุเหล่านี้ก็นั่งเงียบๆ เหมือนกัน
การนั่ง ที่มีสติ ระลึก รู้ตัวตื่นตัว และรู้เท่าทันกิเลส ที่ผ่านเข้ามาทุกวินาที และไม่ไหลตามกิเลส
และยังกำหราบกิเลสเหล่านั้นลงไปได้ สมาธิเช่นนี้ จึงเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์โดยแท้
มโนธาตุ โพธิญาณ
รักใคร เราก็รู้ โกรธเกลียดใคร เราก็รู้
แต่ที่ไม่รู้คือความรัก ความโกรธเกลียด
เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา มีความแปรปรวน
ไม่คงทน บังคับไม่ได้จริง
ให้สังเกตให้ดี ถ้ารู้เข้าใจบ้างแล้ว
ทั้งรัก ทั้งโกรธ จะมีน้ำหนัก
ในจิตใจน้อยลงเรื่อยๆ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเกลียดเลย
จะมีผลพวงคือความทุกข์ในใจนั้น
ก็ลดน้อยลงด้วย ใจจะเป็นอิสระมากขึ้นๆ
...ไร้การเกาะเกี่ยวผูกพัน
เหลือก็เพียง เมตตาและปัญญา
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
กิเลสมาร หมายถึงจิตใจที่เรายังเลิกละ
ปลดปล่อย กิเลส ราคะ ตัณหาไม่ได้
ราคะ ตัณหานั่นแหละคือตัวมาร
ที่คอยหลอกลวงอยู่ในใจนั้น
ถ้าผู้ใดใจไม่มั่นคง ก็หลงใหลไป
ตามการหลอกลวงของมารกิเลส
ไม่ยอมละ ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมปล่อยวาง
กิเลสก็ติดอยู่ในตัว ติดอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจ
คือ ใจเราไปติดกิเลส ไม่ใช่กิเลสมาติดอยู่ในใจของเรา
จิตใจของเราไม่ภาวนาละกิเลส แต่ภาวนาเอากิเลส
กิเลสก็มาอยู่ในกาย ในวาจา ในจิตในใจของเราเต็มไปหมด
___________________________
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
< สติ จิต กาย >
สติ ความรู้ที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นในการกระทำในสิ่งนั้นๆ เช่นมีสติตั้งมั่นในการขับรถจากกรุงเทพฯ มาที่หนองคาย จิตใจตั้งมั่นอยู่กับการขับรถบนถนน พอมาถึงบ้านตัวเองก็ขับเลยบ้านไปเสียอย่างนั้น พอรู้ตัวเข้าถึงรู้ว่าขับเลยหน้าบ้านมาแล้ว
สติสัมปชัญญะ คือมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบัน อย่างนี้ไม่ขับรถเลยหน้าบ้านตัวเองแน่นอน
จิต ผู้รู้ เมื่อมีกิเลส ก็จะเป็นผู้คิดผู้ปรุงแต่งไปตามกิเลสนั้นๆด้วย กิเลสที่คอบงำสัตว์โลกให้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร คือสังโยชน์ ๑๐ เป็นเจตสิก หรือกิเลสตามนอน อยู่กับจิต เกิดกับจิต อาศัยจิตเกิด ถ้าไม่มีจิตก็เกิดไม่ได้ เดินทางไปพร้อมๆกับจิตจึงเรียกว่า กิเลสตามนอน
กาย คือร่างกาย เป็นสัจธรรมอันหนึ่ง ไม่มีกิเลส และไม่ใช่กิเลส เป็นอนัตตา ไม่รู้ความหมายในตัวของมันเอง
》สัจธรรมของชีวิต
๑. จิตสั่งกายทำงาน จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อจิตคือสฬายตนะภายใน คือผู้รู้(จิตที่มีเจตสิก)ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบ(ผัสสะ)สฬายตนะภายนอก เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ก็จะเกิดการรับรู้ของจิตขึ้นเจตสิกที่มาพร้อมๆกับจิตก็จะเริ่มทำงานทันทีขณะที่ผัสสะ มีการปรุงแต่ง ปรุงแต่งได้ ๒ ทาง คือ
▪ปรุงแต่งทางจิต จิตจะเกิดความคิดปรุงแต่ไปในอดีต หรือไม่ก็คิดปรุงแต่งไปในอนาคต ฟุ้งซ่านไป เรียกอาการเหล่านี้ว่าจิตสังขาร การปรุงแต่งของจิต
▪ปรุงแต่งทางร่างกาย เช่น มีการแสดงออกของกาย คอหมุน คอเอียง เงยหน้า หงายหลัง ศรีษะก้มลงเลื้อยไปเหมือนงู ง่วงนอนอ่อนเพลียมืดตื้อเล่านี้ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่าการปรุงแต่งของสังขารร่างกาย
ในขนะเราทำความเพียรนั่งสมาธิ จิตเราปรุงแต่งไปในทางใด ปรุงแต่งทางจิต หรือปรุงแต่งทางกาย เราควรจะรับทราบจริตของเรา
๒. สติสัมปัชญญะมีหน้าที่ดูและควบคุมจิต ให้ทำงานที่ถูกต้อง เมื่อจิตฟุ้งซ่านอาจจะทางจิตหรือทางกาย สติสัมปชัญญะต้องไปสกัดกันจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านทันที ว่าความฟุ้งซ่านเหล่านี้เป็นเพียงจิตสังขารหรือกายสังขารเท่านั้น เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เที่ยง ยึดมั่นก็เป็นทุกข์ ปล่อยวางไป เป็นธรรมดาของสังขารทั้งหลาย
สติสัมปชัญญะต้องเท่าทันจิตและเจตสิก เพราะเจตสิกเคลื่อนที่ตามนอน สติสัปชัญญะของเราก็จะต้องเคลื่อนที่ตามนอนเหมือนกันถึงจะเท่าทันกัน เช่น ตาไปกระทบรถยนต์ชนกันหน้าบ้าน เจตสิกจะทำงานปรุงแต่งทันทีเลยว่า ตายกี่คน บาดเจ็บกี่คน ตื่นเต้น ตกใจ ถ้าเราฝึกสติสัมปชัญญะตามนอนได้ เมื่อเจตสิกเริ่มจะปรุงแต่ง สติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมทันทีว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่เที่ยง เท่านี้ก็หยุดการปรุงแต่ง ทุกข์ของเราก็จะไม่เกิด
ดังนั้นการฝึกสติสัมปชัญญะให้ตามนอนได้ ต้องฝึกให้เป็นนิสัยเคยชิน จนเป็นอัตโนมัติ เช่นการฝึกสติให้เกิดสมาธิของเราต้องฝึกทุกวัน อย่าเว้นวัน เมื่อไม่เว้นวัน สติก็เกิดความเคยชินเป็นนิสัยตามนอนไปเอง สติสัมปชัญญาก็จะตามนอน ไปพร้อมๆกับจิต และเจตสิก สติสัมปชัญญะตัดเจตสิกไม่ให้ปรุงแต่งก็เหลือแต่จิตคือผู้รู้ รู้เฉยๆ จึงเป็นการรู้ที่ไม่มีกิเลส สติสัมปชัญญะจึงเป็นตัวบังคับบัญชาจิตที่มีเจตสิกไม่ให้สั่งกาย(กายสังขาร)หรือจิต(เจตสิก) จิตสังขาร ทำงาน
......ขออวยพร......
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง