หากเรายังมีเชื้อหลงเหลือแห่งวิถีทางแห่งโพธิธรรม
เราก็ยังคงหมายมั่นการถ่ายทอดวิธีการสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
พระทีปังกร คงไม่ประทานพรให้เรา
แต่เพราะเรามีปฏิปทาที่ไร้การได้รับโพธิธรรมใดๆ พระทีปังกรจึงประทานพรและ
พยากรณ์ให้เรา ว่า....
จักบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต นามว่า"พระศากยมุนีพุทธเจ้า"
ทุกคนต่างมีพร้อมซึ่ง ตถตา และเป็นความเสมอภาค
ดังนั้น"ใจ"ของพุทธะและเวไนย มิได้มีความแตกต่างเลย
เพียงแต่เวไนยล่องลอยเวียนว่ายในคติ 6
***คติ6 คือ นรกคติ เปรตคติ อสูรคติ เดรัจฉานคติ มนุษย์คติ เทวคติ)
ทั้งที่ ธรรมญานยังครอบคลุมทุกสรรพสิ่งและครอบคลุมเขาอยู่ไม่ได้ผันแปรไปตามเหตุ
ปัจจัย
แม้สมมุติบัญญัติ จะแบ่งนามให้เป็นปุถุชนกับอริยะ
แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังนั้น...ความแตกต่างมีเพียงอย่างเดียวคือ
"เวไนยคล้อยตามกระแสกรรมและไขว้เขวไปจากองค์เดิม
ส่วนพุทธะจะไม่คล้อยตาม และแจ่มแจ้งอยู่ในใจเป็นนิจในทุกปรากฎการณ์ที่เป็นเพียงมายา
ธรรมะก่อนนอน...จากอาม่า
พระโพธิสัตว์คือสัตว์ชนิดใดเล่าพระเจ้าข้า
พระอมิตตภะพุทธเจ้า พริ้มพระเนตรลงแล้วตรัสว่า..
พระโพธิสัตว์คือ...
ผู้ละเลยแล้วซึ่งตนเอง
ผู้หลงลืมแล้วซึ่งตนเอง
ท่านเอากายของสัตว์โลกมาเป็นที่กำเนิด เพื่อร่วมทุกข์กับสรรพสัตว์
ท่านคือผู้ปลดปล่อยโลก
ท่านทำลายความมืดมิดด้วยแสงสว่าง
ไม่ว่าสถานการณ์คับแค้นเพียงใด
พระโพธิสัตว์ก็จะทำหน้าที่ต่อไป
เพื่อยังความสว่างแก่โลก
ความทุกข์ยาก บาปกรรม ความชั่วร้าย ความอยุติธรรม
จะถูกขจัดออกไป
ธรรมะจะส่องแสงเจิดจ้า
ตราบใดที่พระโพธิสัตว์
"ยังดำรงอยู่"
#โอม มณี ปัทเม หุม#
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
หากกุลบุตร กุลธิดา บังเกิดโพธิจิตแล้ว จะดำรงตนต่อไปอย่างไร
พระพุทธองค์ตอบว่า
"โพธิจิตนี้ เพียบพร้อมด้วยทุกสิ่ง และเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว "
เมื่อกุลบุตรกุลธิดาได้บังเกิดโพธิจิต ก็คือ
#เขาเหล่านั้นได้เบาบางสูญสิ้นตัญหาการยึดถือใดๆ
ครานั้น จึงเป็นเวลาที่เขาย้อนกลับสู่โฉมเดิม
ดังนั้น...จึงมิสมควรไปไขว่คว้าหาสิ่งใดอีก
เขาเหล่านั้น ควรเชื่อมั่นว่า
"ธรรมญานตน"คือสัจจะแท้
และทำให้เวไนยทั้งหลายเกิดความรู้แจ้งด้วยตนเองด้วย
โดยภายนอกมิได้เห็นว่ามีเวไนยได้รับการโปรด
โดยภายในก็อย่าคิดว่าตนเองโปรดได้
เหตุเพราะธรรมญานเป็นของว่างเปล่าตามธรรมชาติมาแต่เดิม
หากเข้าถึง "ญานแท้"แล้ว
"ไม่มีธรรมใดที่จะบังเกิดในโพธิจิตเลย"
จากนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
เธอรู้ความหมายของตถาคตหรือไม่ ตถาคตหมายถึงผู้ถึงแล้วซึ่ง"ตถตา"
หรือผู้ไปสู่จิตเดิมแท้หรือธรรมญาน ซึ่งทุกดวงจิตมีมาแต่เดิม
เมื่อครั้งเราอยู่ในสำนัก พระทีปังกรพุทธเจ้า
#เรามาถึงยุคนิวเอจ(New Age)
ยุคที่ผู้คนเข้าใจและรู้จักพลังงาน รู้ว่าในมิติที่ทับซ้อนและเชื่อมโยงกันทั้งหมดนี้ เรามิได้อยู่เดียวดาย
มีพลังงานของจิตวิญญานเป็นแสนเป็นล้านที่อยู่รอบๆตัวเราแต่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
และพวกเขามีความสามารถที่แตกต่าง มีความก้าวหน้าหลากหลาย และวิวัตน์ไปสู่ความสูงส่งยิ่ง
📌บางดวงจิตเคยเกิดเป็นมนุษย์และไปอย่าง มืดดำ ต่ำต้อย
📌บางดวงจิต สว่างไสว ตื่นรู้ และ สงบ ศานติ
📌บางดวงจิตอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน(ภาวะถ่ายภพ)
📌บางดวงจิตเรียนจบแล้วและไม่กลับมาเกิดอีก
📌บางดวงจิตเลือกที่จะกลับมาเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ
📌บางดวงจิตไม่มาจุติแต่ช่วยเหลือดวงจิตอื่นผ่านอีกฟากฝั่งของมิติ
👼angel เทวดา
👼guides วิญญานนำทาง
👼พระผู้สร้าง
และๆๆๆๆๆๆ
ตามแต่จะสมมุติเรียกอะไร ยุคนี้ ก็เป็นยุคที่มนุษย์ได้รื้อค้นและได้ยอมรับภูมิปัญญาที่กลั่นกรอง ผ่านยุค ผ่านสมัยมา
📌ดนตรีบำบัด
📌ฝังเข็ม
📌สมุนไพร
📌สะกดจิต
📌พลังหินบำบัด
📌สมาธิบำบัด
และๆๆๆๆๆๆ
เรากำลังแหวกว่ายในท้องทะเลแห่งยุคนิวเอจ ที่ความรู้ในเวทย์โบราณ และจิตวิญญานกำลังไหลทะลัก
ยุคที่ทำลายความเชื่อเก่าๆและจิตสำนึกอันคับแคบว่าเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์คือที่สุด
และการเรียนรู้ทางจิตวิญญานย่อมรวดเร็ว ย่นระยะมากกว่าการเรียนรู้ในกายหยาบมาก
.....จงเปิดใจที่จะรับฟัง"หัวใจเดียวกัน"ที่กำลังดูแลเราเถิด
💐💐💐
#อาม่า...คุรุทางจิตวิญญานนักสะกดจิตบำบัดและที่ปรึกษาจิตวิทยาเชิงพุทธ
#คือมีเชื้อหรือโครตวงศ์เป็นต้นกำเนิด
การตั้งจิตมุ่งมั่นในพระโพธิญานนั้น ต้องประกอบกุศลธรรมสาม
คือบำเพ็ญ กาย วาจา ใจอย่างหนัก และข้ามผ่าน ความกลัวอย่างโลกๆ
ปัญญา ที่เกิดจากการกำหนดหรือตั้งใจทำให้เกิด
ยังไม่เป็นธรรมชาติ หรือผลลัพท์อันสมดุลของเหตุปัจจัย
เพราะยังต้องอาศัยกำลังของศรัทธา สุตมยปัญยา(การฟัง)
จึงทำให้หลายดวงจิต ทดท้อ และละทิ้งปนิธาน
คุณสมบัติสำคัญ ของวิถีโพธิสัตว์นี้ จึงต้องอาศัยคุณสมบัติภายในคือ"โครตวงศ์"
กำลังแห่งเชื้อ(โครต)ที่มีนี้ จะเป็นกำลังยิ่งใหญ่ที่กระตุ้นให้ผู้บำเพ็ญโพธิจริยา ไม่หวนกลับ ละทิ้งปนิธาน
โครตวงศ์ หรือเรียกอีกอย่าง คือ"หน่อเนื้อพุทธางกูร" จะถูกฝังลึกในกรรมฐานของพระโพธิสัตว์
โดยมี"อัปปมัญญา4"เป็นที่ตั้งของกรรมฐาน
อัปปมัญญา4 คือธรรมที่แผ่ไปไม่มีประมาณแก่มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายทุกภพภูมิ อย่างหาที่สุดไม่ได้
นั่นคือ
เมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุฑิตา ยินดีพอใจในความสุขสมหวังแก่ผู้อื่น
อุเบกขา การวางใจเป็นกลาง
ธรรมข้อสุดท้าย คืออุเบกขาเป็นธรรมที่สำคัญที่สุด คือไม่มีอคติเอนเอียง
การทำหน้าที่ให้เป็นเหตุปัจจัยตามปนิธาน
ไม่ใช่ข้อผูกพันผูกมัด ระหว่างตัวตนกับตัวตน
ไม่มีผู้ให้ ผู้รับ สูงกว่า ต่ำกว่า
ไม่มีความดี และผลแห่งความดีให้คาดหวัง
ดังนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นเพียงชื่อสมมุติบัญญัติสำหรับพระโพธิสัตว์
และมองภาพบุคคล
#ไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีศัตรู ไม่มีมิตร#
มองเห็นแต่ทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดของทุกดวงจิตที่ไม่จบสิ้น
มองเห็นการดิ้นรน ที่จะพ้นทุกข์ของทุกรูปนาม
และการดิ้นรนนี้แหละ คือศักยภาพที่ทุกคนมีความสามารถที่จะพ้นทุกข์
และมีความสามารถที่จะฉุดช่วยทั้งตนเองและผู้อื่นได้
อุเบกขาธรรม จึงเป็นการหยั่งเห็นความว่าง โดยไม่ทิ้งโลก
"เห็นรูปคือความว่าง คือมหาปัญญา"
แต่..เมื่อใด เห็นความว่างเหล่านั้น กลับมาเป็นรูป เพราะความหลงผิดหลงยึดของดวงจิตเหล่านั้นของพวกเขา
เมื่อนั้น การเห็นก็จะเห็นด้วย"มหากรุณา"
#โอวาทธรรมจากอาม่า พระเชนเรซิก#