พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 1 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 328 **พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่มีรูป**
+ +
ในเช้าของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 6* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์นั้น ท่านละสังโยชน์ข้อที่ 6* คืออะไร และท่านละได้แบบไหน ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจพิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ให้ดี
ทำกายของตนให้สงบ
ทำใจของตนให้ว่าง ว่างเว้นจากความคิดปรุงแต่ง ความฟุ้งซ่านต่างๆ
รวมจิตใจ กายของตน ให้สงบ ตั้งมั่น ให้เกิดกำลังของฌานสมาธิสักเล็กน้อย
- เพื่อจะได้มีสมาธิ สติปัญญา ในการตรึกตรองธรรม ที่จะได้ฟังต่อจากนี้ไป…
ลูกเอ๋ย.. การฟังธรรมนั้น เราต้องใช้สมาธิ จิตที่ตั้งมั่น สติปัญญา ในการฟัง
เพื่อจะได้พิจารณาธรรม ที่ได้ยินได้ฟัง
เพื่อที่จะเข้าถึงธรรมเหล่านั้น
เพราะธรรมะ พระธรรมคำสอนนั้น.. เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่..
ต้องใช้ใจที่ตั้งมั่น คือ สมาธิ
ต้องใช้สติ และปัญญา ในการฟัง ตรึกตรองธรรมเหล่านั้นให้ดี
.. จึงจะเข้าใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละสังโยชน์ ตั้งแต่ข้อที่ 6 -10 นั้น.. เป็นการละกิเลสที่ละเอียด
หากไม่ใช้สมาธิ สติปัญญา ในการฟังและพิจารณาตามนั้น..
ก็จะฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังผิดๆถูกๆ
จะนำไปประพฤติปฏิบัติ ทำความเข้าใจตามไม่ได้.. ลูกเอ๋ย
เอาละนะ พระยาธรรม.. ทีนี้ ก็ปรับจิตปรับใจของตน จนเข้าสู่การพร้อมที่จะฟังธรรมแล้ว
ก็จงตั้งใจ พิจารณาธรรมตามนี้เถิด
พระยาธรรมเอ๋ย.. *องค์พระอรหันต์* นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ละกิเลสตัณหาได้แล้ว อย่างสิ้นเชิง
ซึ่งกิเลสนั้น ก็คือ เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
ตัณหานั้น ก็คือ ความอยาก และความไม่อยาก
ซึ่งองค์พระอรหันต์.. เป็นผู้ที่มีจิตอยู่เหนือเชื้อเหล่านี้ได้แล้ว อย่างแท้จริง **
ฉะนั้น.. องค์พระอรหันต์ จึงสามารถถอดถอนตนเอง ให้หลบให้พ้นจากสังโยชน์ ข้อที่ 6*
คือ..
การหลงใหลใฝ่ฝัน ในสิ่งที่มันเป็นรูป ที่เป็นวัตถุ สิ่งของต่างๆ
และหลงใหลใฝ่ฝัน ในสิ่งที่เป็นรูปฌาน คือ ฌานที่มีรูป
เช่น ฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 - ที่อาจทำให้เกิดความละเอียดประณีตขึ้น ให้ตนได้เห็นด้วยตัวของตน
--ความหลงใหลในสิ่งเหล่านี้.. ไม่มีอีกต่อไป ในองค์พระอรหันต์ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ คือ ผู้หมดแล้วซึ่งความหลง
สังโยชน์ข้อที่ 6* ที่ละได้.. จึงสามารถละได้ ในการหลงในรูปที่เป็นวัตถุ / หรือในฌานที่เป็นรูป
แยกออกมาเป็น 2 แบบ เช่นนี้
เมื่อทำความเข้าใจหัวข้อ และเหตุแห่งการละได้แล้ว.. ก็จงพิจารณาตามนี้เถิด
รูปที่เป็นวัตถุ ก็หมายถึง สิ่งของข้าวของที่ละเอียดประณีตทั้งหลาย
..ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ที่อาศัย กุฏิศาลา ที่สวยงามละเอียดประณีต
หรือว่าจะเป็นเก้าอี้ โต๊ะ ที่สวยงามละเอียดประณีต
อย่างสมัยทุกวันนี้ ก็มีเรื่องของรถรา เข้ามาเกี่ยวข้อง
มีเรื่องของเครื่องมือสื่อสาร ของใช้ต่างๆที่มันละเอียดประณีตมากมาย เข้ามาเกี่ยวในการประพฤติปฏิบัติ
บุคคล ผู้ที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้ว.. ย่อมอยู่เหนือความหลงในสิ่งที่เป็นรูป ที่เป็นวัตถุ ที่สวยงามละเอียดประณีตเหล่านี้
เช่นถ้าสมมุติว่า ตนได้จำวัดอยู่ในกุฏิ ศาลา ที่สวยงามละเอียดประณีต ตามเหตุ
เพราะว่ายุคสมัยนี้ มีการก่อสร้างที่เจริญก้าวหน้ามาก
ตนก็จำวัดอยู่กลางเมือง - เลยมีเหตุสร้างกุฏิที่สวยขึ้นมา
ตนก็เลยจำวัดไปตามเหตุ
.. แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจกับกุฏิหลังนั้น ว่ามันสวย
ไม่ได้มีจิตใจที่ชื่นชม หรือยึดติดอยู่ในกุฏิหลังนั้น..
เมื่อมีพระรูปใหม่มาอยู่ ตนต้องมีเหตุย้ายออก
หรือว่าตนไปบำเพ็ญที่อื่น..
กลับมา กุฏินั้นมีพระรูปใหม่มาอยู่แล้ว - ต้องสละออกไป..
- ก็ไม่ได้เป็นทุกข์อะไร ไม่ได้สนใจอะไร !
อยู่ ก็ไม่ได้ลุ่มหลง เป็นสุขที่ได้อยู่
ถ้าไม่ได้อยู่.. ก็ไม่ได้เป็นทุกข์ สนใจที่จะได้อยู่ หรือไม่ได้อยู่
อยู่ กับไม่อยู่ - มีค่าเสมอเหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนี ไม่อยู่ในกุฏิที่สวยงาม
เพราะอยู่ ก็ไม่ได้มีอำนาจต่อจิตใจขององค์พระอรหันต์
และไม่ได้เป็นทุกข์อะไร.. หากไม่ได้อยู่กุฏิหลังที่สวยงาม ละเอียดประณีต สุขสบายนั้น..
ไม่ได้ทุกข์อะไร ไม่ได้ติดในความสวยงาม ของรูปที่เป็นวัตถุเหล่านั้นแล้ว..
คือ องค์พระอรหันต์* จะสามารถดำรงชีวิตของตน อยู่กับทุกสิ่ง- ทั้งหยาบ และละเอียด
ตามเหตุและปัจจัย - โดยปราศจากความลุ่มหลง ในรูปที่เป็นวัตถุต่างๆ ++
มี กับไม่มี เสมอเหมือนกัน
สวย กับไม่สวย
ละเอียดประณีต หรือว่าหยาบ
.. ก็ไม่มีอะไรต่างกัน +
มีสติตั้งมั่น อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..
อยู่อย่างสงบ และสบาย
ใจนั้นไม่เป็นทุกข์ หดหู่ เศร้าหมอง กับรูปที่เป็นวัตถุ อีกต่อไป..
และองค์พระอรหันต์นั้น.. ท่านก็สามารถที่จะละกิเลส ที่มันละเอียด
ละเอียดลึกกว่า.. กิเลสที่มันเป็นวัตถุ ที่มันมีรูปอยู่ในกายหยาบ หรือในโลกใบนี้
พระอรหันต์ เมื่อทำกรรมฐาน ฌาน 1- ฌาน 4..
จนเกิดความสุข ความสบาย
จนเกิดความสงบ จิตสว่าง
จนตนนั้น..สามารถที่จะมองเห็นโลกทิพย์ คือโลกที่สุขสบายมากกว่าโลกมนุษย์ /โลกสวรรค์ / โลกของพรหม
ในสถานที่ต่างๆ ที่ละเอียดประณีตมากยิ่งนัก
เห็นในกายที่เป็นกายทิพย์
เห็นในสิ่งสวยงาม ละเอียดประณีตเหล่านั้น
องค์พระอรหันต์.. ก็ไม่ได้มีความลุ่มหลง ยึดติดกับ..
กายทิพย์
ในบ้านที่เป็นบ้านทิพย์ เวียงวัง ที่เป็นวิมานแก้ว วิมานทอง
ในกายที่เป็นกายของเทวบุตร หรือว่า เป็นกายของนางฟ้า
องค์พระอรหันต์ จะสักแต่ว่ารู้ ว่าเห็น..
เพื่อตนนั้น จะได้นำมาพิจารณาถอดถอน ไม่ให้ตนนั้นติดอยู่ในวัฏสงสารนี้
และก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้.. โดยไม่ติด ไม่หลง ในสิ่งที่มันเป็นของละเอียด ที่มีรูปซ้อนอยู่ในโลกทิพย์
หรือแม้กระทั่งการเข้าสู่ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 หรือ ฌาน 4
.. ฌานที่มีรูปต่างๆ
เข้าไปแล้ว มองเห็น สัมผัส
หรือว่าตนนั้นเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดเป็นเหตุมหัศจรรย์ ในการทำสมาธิ
ก็ไม่ได้มีความลุ่มหลงในเหตุ หรือในสิ่งเหล่านั้นเลย..
- ไม่ได้สนใจมันเลย !
มีสติ มีปัญญา อยู่เหนือความลุ่มหลงทั้งหลายทั้งปวง
เห็นรูปที่เป็นวัตถุ ก็สักแต่ว่าเห็นอยู่ รู้อยู่ ดูอยู่
และจัดสรรดูแล ตามเหตุปัจจัยอันสมควร
ไม่ได้ปล่อยให้จิตใจของตน ไปพัวพัน ลุ่มหลง ยึดติด กับสิ่งเหล่านั้น
จิตใจของพระอรหันต์.. ย่อมเป็นสุขอยู่เสมอ
อยู่เหนือความลุ่มหลงสิ่งเหล่านั้น ที่เป็นวัตถุ / ที่เป็นรูป
ไม่สนใจอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น !
รู้เท่าทันว่า.. สิ่งเหล่านั้น คือสิ่งที่จะพาให้ตนจมอยู่ในวัฏสงสาร
ทำสมาธิ ได้ฌานที่มีรูป ฌาน 1- ฌาน 4
เห็นสิ่งที่สวยงาม ละเอียดประณีต
เกิดความสุข ที่ละเอียดประณีต
ทำเหตุที่เป็นเหตุมหัศจรรย์ เกิดขึ้นได้เฉพาะตน หรือตนนั้นมองเห็น รู้ได้ เห็นได้ ด้วยตัวของตน
ก็ไม่ได้ติดอยู่ในสิ่งที่รู้ ที่เห็น ที่ทำได้เหล่านั้น
แม้จะสวยงาม ละเอียดประณีตเพียงใด ก็ตาม.. องค์พระอรหันต์ ก็ไม่ได้สนใจ
รู้เท่าทันว่า สิ่งเหล่านั้น เป็นสิ่งที่จะหลอกจะล่อตน ให้เวียนวน เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้
ไม่รู้จบ
เห็นสิ่งที่หยาบ.. ก็เห็น “ความไม่มี” อยู่ในนั้น
เห็นสิ่งที่ละเอียด.. ก็เห็น “ความไม่มี” อยู่ในนั้น
* องค์พระอรหันต์ ไม่ติดในรูปที่เป็นวัตถุ / ไม่ติดในฌานที่มีรูป*
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
คือ การละสังโยชน์ข้อที่ 6* ขององค์พระอรหันต์
คือ สิ่งที่องค์พระอรหันต์ สามารถประพฤติตน อยู่เหนือความหลงใหลในกิเลสอันละเอียดเหล่านี้ได้ +
จงประพฤติปฏิบัติไปเรื่อยๆเถิดลูก หมั่นพิจารณาดูจิตของตน..
หลงในวัตถุที่เป็นสิ่งสวยงามต่างๆ อยู่หรือเปล่าๆ ?
หลงในฌานสมาธิ ที่เป็นฌานมีรูป อยู่หรือเปล่า ?
ก็ลองพิจารณาไปเรื่อยๆ.. แล้วก็ถอดถอนให้มันหมดสิ้นไป
-- จะได้เข้าถึงความเป็น *องค์พระอรหันต์* --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
นำไปพิจารณา และเผยแผ่
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า..
องค์พระอรหันต์นั้น ท่านสามารถละสังโยชน์ ข้อที่ 6* ได้
คือ การละจากการลุ่มหลงในรูปที่เป็นวัตถุ / และลุ่มหลงในฌานที่มีรูป
- ความลุ่มหลง.. จะไม่มีการเกิดขึ้นในองค์พระอรหันต์ อีกต่อไป +
องค์พระอรหันต์ *
/ เป็นผู้ที่รู้ตื่น รู้แจ้ง
/ เป็นผู้ที่เห็นชัดเจนในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกสมมุติ ในวัฏสงสารนี้
ว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. มีความไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มองเห็นอย่างชัดเจน ว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มีแต่ความไม่มี -ไม่มีอยู่จริง
สมมุติมีขึ้น.. เพื่อหลอกจิตทั้งหลาย ให้ลุ่มหลง เวียนว่ายตายเกิด ตามสิ่งเหล่านั้น
องค์พระอรหันต์.. เป็นผู้ละสิ่งเหล่านี้ได้
.. เข้าใจอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ..