บทที่ 24 เจริญรอยตามแบบพระพุทธองค์
บทที่ 26 จิตตื่นรู้ในสิ่งใด *****
บทที่ 27 การดำเนินจิตสู่ความพ้นทุกข์
นครแห่งจิต สภาวธรรมแห่งจิต****
อารมณ์ เฉยๆ นิ่งๆ ซือๆ คือ อารมณ์กรรมฐานสูงสุด
จงรักษาอารมณ์นี้ไว้ ให้ยาวนานที่สุด
.......................
จงฝึก สติ ให้เป็น มหาสติ
แล้วจิต กับ กาย จะแยกออกจากกัน เอง
จะเข้าใจเอง ธรรมะหมายถึง อะไร
สติคือ จิตจับลมหายใจ ดับความคิด
มหาสติคือ ดับความคิด ตลอด 24 ชม.
การทำใจให้สงบชื่อว่าสมาธิ สมาธิเมื่อเกิดขึ้นกับจิตทำให้จิตตั้งมั่นคือมีอารมณ์เดียวโดยสภาพจิตใจของบุคคลแต่ละขณะย่อมผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอนึกอย่างนี้อยู่ไม่นานแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นนึกอย่างอื่นนี่เรียกว่าใจไม่แน่วแน่ ใจไม่แน่วแน่นั้นย่อมไม่มีพลังคือพลังแห่งปัญญาจะไม่เฉียบแหลมคมรู้ลึกตลอดหรือรู้แจ้งเห็นจริงได้เพราะสภาพของใจที่ไม่แน่วแน่ไม่มั่นคง พร้อมทั้งทำให้จิตใจโอนเอนไปตามอารมณ์ต่างๆชอบง่ายเบื่อง่าย,ดีง่ายร้ายง่ายมักจะเป็นสภาพอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นความประพฤติของบุคคลจึงลุ่มๆดอนๆเขาจึงรวมเรียกว่าปุถุชนคือชนที่ยังถูกกิเลสบังคับบัญชาอยู่ ถ้าผู้ที่มีการฝึกฝนอบรมจิตของตนให้สงบได้บ้างแม้ไม่มากก็ทำให้เกิดปัญญารู้ดีรู้ชั่วมีหิริโอตัปปะเกลียดกลัวต่อความไม่ดีงาม ถึงแม้ไม่ตลอดรอดฝั่งแต่ความดีก็ยังมากกว่าสิ่งที่เป็นบุญมากกว่าเป็นบาปเรียกว่ากัลยาณปุถุชนคือปุถุชนที่มีความดีมากขึ้นจนกว่าจิตใจของบุคคลที่จะเกิดความแน่วแน่มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ขจัดกิเลสอันใดกิเลสอันนั้นไม่เกิดกลับขึ้นมาอีกตั้งแต่พระโสดาบันไปจึงเรียกว่าอริยชนได้แก่ภูมิธรรมถึงโลกุตรธรรมสภาพของจิตที่จะเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวมาแล้วนั้นได้ต้องอาศัยพลังของสมาธิเป็นพื้นฐาน ผู้ที่ฝักใฝ่ในการภาวนาทำสมาธิพึงพยายามทำจิตของตนให้ตั้งมั่นให้อยู่ในคุณความดีคือถ้ายังอยู่ในระดับของสมาธิไม่ได้ก็ให้อยู่ในระดับของคำภาวนา ภาวนาว่าพุทโธก็ให้จิตอยู่ในระดับนี้อย่าให้ตกต่ำไปเป็นอกุศล พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งปวงท่านมีวาระจิตปกติมีสมาธิเป็นวิหารธรรม,มีฌานเป็นวิหารธรรมจิตของท่านไม่ตกต่ำไปกว่านี้ เมื่อจิตอยู่ในสภาพนี้จึงทำให้ปัญญาความเฉลียวฉลาด,ความรู้แจ้งกระจ่างอยู่กับจิตอยู่เสมอเพราะพื้นฐานแห่งความดีงามซึ่งพระบรมศาสดาทรงเปรียบเทียบเหมือนนครคือเมือง นครหรือเมืองใดเมืองหนึ่งเมื่อถูกข้าศึกล้อมพระจ้าแผ่นดินซึ่งบริหารเมืองนั้นก็ย่อมฝึกทแกล้วทหารอยู่ในเมืองนั้นให้เกิดความเข้มแข็งชำนาญในการใช้อาวุธ เมื่อมีโอกาสก็เปิดประตูเมืองส่งทหารเข้าไปสู้กับข้าศึกศัตรูที่ล้อมเมืองอยู่ ได้ผลแพ้ชนะประการใดหรือทหารอ่อนเพลียแล้วก็ถอยกลับเข้ามาในเมืองแล้วปิดประตูเมืองเสียพักผ่อนและฝึกอบรมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นฉันใด จิตก็เหมือนกันพักอยู่กับสมาธิเมื่อสมาธิเข้มแข็งแคล่วคล่องดีแล้วใช้ปัญญาพิจารณาว่าฟาดฟันกิเลสคือราคะ,โทสะ,โมหะครั้นเมื่อพลังแห่งสมาธิและปัญญาอ่อนลงก็สงบมาตั้งอยู่กับสมาธิอบรมสมาธิให้เข้มแข็งขึ้นใช้ปัญญาให้เฉียบแหลมขึ้นแล้วก็ตั้งหน้าปราบปรามอาสวกิเลส,กามาสวะ,ภวาสวะ,อวิชชาสวะซึ่งเปรียบเหมือนกับดังนครดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นสมาธินอกจากจะเป็นกำลังส่งให้ถึงปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้วยังเป็นพื้นฐานตั้งมั่นของจิตใจ ขณะพิจารณาอยู่ถ้าจิตไม่อยู่ในความตั้งมั่นจะเปลี่ยนแปลงโอนเอนไปตามเรื่องต่างๆ ส่วนจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับสมาธิจะทำให้ปัญญาที่พิจารณานั้นอยู่ในแนวเดียวเหมือนไฟฉายที่มีดวงกลมเป็นจุดเล็กเมื่อส่องไปทางใดก็พุ่งตรงกระแสความแรงก็พุ่งตรงไปตามนั้นทำให้เห็นได้ไกล ถ้าไฟฉายดวงใดที่ไม่มีความรวมของกระแสไฟพร่าและกระจายอยู่การส่งก็ไม่ได้ไกล ปัญญาก็เช่นเดียวกันพึ่งพาอาศัยสมาธิเป็นกำลัง การที่จะฝึกจิตให้เป็นสมาธิด้วยอุบายต่างๆโดยใจความที่สำคัญก็คือ ๑.ละอารมณ์หรือชำระอารมณ์ของจิตที่อยู่ในอกุศลธรรมอันใดคือนิวรณ์ นิวรณ์คือกามฉันท์ความพอใจรักใคร่ในรูป,พยาบาทความโกรธแค้นขัดเคืองอาฆาต,ถีนมิทธะความที่จิตหดหู่ ท้อถอย เบื่อหน่าย อิดหนาระอาใจ,อุทธัจจะความที่จิตฟุ้งซ่านไม่แน่วแน่เป็นหนึ่งลงได้,วิจิกิจฉาสงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ ทั้ง ๕ อย่างนี้ยังแบ่งเป็นอย่างละ ๓ ประเภทคืออย่างแรงอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียด ทั้งกามฉันท์ ทั้งพยาบาท ทั้งถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา มีทั้งอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียด อย่างหยาบก็พอจะเห็นได้รู้ได้เช่นอารมณ์กำลังหงุดหงิดมีความโกรธก็อยู่ในเครือพยาบาทก็ต้องชำระอารมณ์ที่หงุดหงิดที่ไม่ชอบใจอะไรนั้นให้สงบเสียก่อนให้หายไปเสียก่อน เหมือนกับว่ากระดานดำที่ครูสอนนักเรียนขีดเขียนข้อความอันใดไว้ครั้นเมื่อไม่ต้องการใช้แล้วก็ต้องลบออกให้สะอาดเสียก่อน จิตที่กำลังถูกพยาบาทเป็นต้นก็เช่นเดียวกันต้องลบด้วยคุณธรรมคือนึกถึงความดีมีเมตตาธรรม,กรุณาธรรมต่อกันให้มากๆจนเกิดความสงสาร,สมเพชจิตก็จะรับภาวะอันนั้นไว้แทรกซึมเข้าไปในความรู้สึกคือสภาพของจิตที่นึกที่คิดพยาบาทก็จะหายไปแม้อื่นๆก็เหมือนกันชำระจิตใจนั้นไว้ก่อน อนึ่งพึงใช้ปัญญาพิจารณาธรรมะที่เกิดความสังเวชในบางครั้งนิวรณ์อย่างละเอียดซึ่งสุขุมอยู่ในจิตใจ,มีเหมือนไม่มีแต่เมื่อบำเพ็ญภาวนาก็แล้วเกิดมาขวางหรือเกิดความไม่สงบนี่เรียกว่ามีเหมือนไม่มีคือเวลาไม่ภาวนานิวรณ์เหล่านั้นกิเลสเหล่านั้นไม่เกิดพอภาวนาเข้าก็เกิดเช่นเวลาอยู่ธรรมดาไม่ง่วงพอมาภาวนาพุทโธ พุทโธเกิดความง่วงคอยขวางจิตก็ต้องหาวิธีแก้ไข โดยทั่วไปนอกจากแก้ไขแล้วพึงใช้ปัญญาพิจารณาให้เกิดสังเวชธรรมความสังเวชธรรมคือความสลดใจในสังขาร นั่นคือเป็นชนวนที่ให้เกิดความสงบเช่นพิจารณาว่าเราต้องแก่,ต้องเจ็บ,ต้องตายนึกถึงความตายให้มากๆแล้วเทียบดูกายของเราเอง สมัยก่อนเราเคยเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นกลางคนและเป็นคนแก่เฒ่าใกล้ความตายเข้ามาทุกที ทุกที ทุกที ความตายใกล้เข้ามาแล้วเหมือนกับเราถือท่อนไม้ที่ติดด้วยไฟเดิมทีก็อยู่ห่างมือไม่ร้อนครั้นติดนานวันเข้านานเวลาเข้าไฟก็ใกล้มือเข้ามาทุกทีความร้อนก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ความแก่เพิ่มขึ้น,ความเจ็บมากขึ้นจนทนไม่ไหวก็ต้องตาย ความตายใกล้เข้ามาทุกทีหนีความตายไปไม่พ้นจะมีกำลังความสามารถทางพวกพ้อง,ทางวัตถุหรือทางยศถาบรรดาศักดิ์สักเพียงใดก็ตามเกิดแล้วต้องแก่,ต้องเจ็บ,ต้องตายไม่มีใครห้ามกันไว้ได้เป็นสภาพของความเป็นจริงอยู่อย่างนี้ นึกว่าเราต้องตายแน่ๆเมื่อเราจะตายลูกที่เคยอยู่กับเราก็อดสงสารลูกไม่ได้หรือสิ่งของต่างๆที่เคยอยู่ในอำนาจของเราก็สิ้นสูญขาดจากกรรมสิทธิ์จากเราไปแล้วไปแล้วไม่ได้กลับ ไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะไปเจอกับอะไรเจอกับใครบ้างไม่ได้กลับมาอยู่กับลูกหลานพี่น้องเหมือนอย่างเดิมอีกความตายจึงเป็นความพรากขาดจากกันไม่มีหนทางใดหนทางหนึ่งแก้ นึกถึงความตายแล้วใจจะสลด,ใจสลดนั้นเป็นอารมณ์ที่จะเกิดสมาธิอารมณ์ของจิตที่สลดใจสลดนั้นพึงทำจิตให้เป็นกลางในขณะนั้นไม่ยินดีไม่ยินร้าย ประการที่ ๒ แล้วก็ทำใจให้เบาเมื่อทำใจให้เบาดีแล้ว ประการที่ ๓ ตั้งสติระลึกอยู่ที่จิตเบานั้นให้จิตนึกว่าพุทโธเร็วก็ได้ช้าก็ได้แล้วมีสติคุมไว้คุมไว้ต่อต่อต่อเนื่องกันไปอย่างนี้ จิตที่เบาใกล้สมาธิจิตที่นึกแต่พุทโธนึกอยู่อย่างเดียวมีสติคุมไว้ไม่นึกอย่างอื่นจะเป็นหนทางให้จิตเข้าสู่สมาธิขึ้นอยู่กับความระวังของจิตของสติ ถ้าสติระวังรอบคอบพอความสงบเกิดขึ้นถ้าตื่นเต้นเดี๋ยวเดียวก็จะหายไป หรือกลัวเดี๋ยวเดียวก็จะหายไป ถ้าความสงบเกิดขึ้นมีสติคุมอยู่เฉยๆเป็นกลางอยู่อย่างสม่ำเสมอสมาธิก็จะนานหน่อย ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่สติของเราจะคุมได้ ท่านสอนไว้ว่า ประการที่ ๔ ถ้าสมาธิเกิดขึ้นแล้วจำไว้ให้ดีเวลาสมาธิจะเกิดขึ้นนั้นตั้งจิตไว้อย่างไร,ระวังจิตไว้อย่างไร สมาธิเกิดขึ้นแล้วก็ตั้งจิตไว้อย่างนั้นอย่าให้จิตเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ถ้าจิตเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นสมาธิก็จะหายไปหรืออยู่ไม่ได้นานเหมือนกับว่าเราพบคนที่เป็นมิตรตีสีหน้ากลางๆไว้,ไม่ยินดีไม่ยินร้ายไปพบคนที่เป็นศัตรูเราก็ตีสีหน้าเหมือนไม่ใช่ศัตรูกลางๆไว้ มิตรหรือศัตรูพบกันเมื่อใดก็วางเฉยวางกลางๆไม่สะทกไม่สะท้าน,ไม่หวั่นไม่ไหวรักษาจิตไว้อย่างนี้ได้เมื่อสมาธิเกิดขึ้นจะทรงอยู่ได้นาน แท้จริงคนภาวนานั้นสมาธิย่อมเกิดขึ้นเรื่อยแต่เกิดแล้วดับ,เกิดแล้วดับเพราะรักษาอารมณ์คือความเป็นกลางไม่อยู่ ต่อเมื่อรักษาอารมณ์คือความเป็นกลางอยู่ครั้งใดสมาธิก็จะนานหน่อยลักษณะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นต่อนี้ไปจงตั้งใจน้อมจิตของตนพิจารณาใจของตน ปล่อยวางนิวรณ์ให้หมดนึกถึงพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์ นึกถึงธรรมสังเวชให้เกิดขึ้นกับจิตแล้วตั้งใจภาวนาด้วยความมีสติไม่หวั่นไหวปฏิบัติจนจิตจะสงบตามคำสอนของพระศาสดาต่อไป
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
การทำงานของ #วิปัสสนาญาณ
หรือญาณทัศนะ
เมื่อถูกปลุกให้ตื่น
บางคนเรียกว่า “#พุทธสภาวะ” นั่นแหละ
คือ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์นี่แหละ
จะเกิดการกางข่ายญาณออกมาเป็น 360 องศา
เรียกว่า “รู้รอบ” การรู้รอบของญาณทัศนะ
จะปราศจากการยึดติด
ไม่เกาะติดกับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น..
คำว่า เห็น... สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน...สักแต่ว่าได้ยิน
จะเกิดขึ้นเมื่อสามารถปลุกภาวะตรงนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้วเท่านั้น
ที่เรียกว่า “พุทธสภาวะ”
การปฏิบัติจึงเน้นการปลุกธาตุรู้ให้ตื่นขึ้นมา
อาศัยกายใจเป็นอุปกรณ์ของการพัฒนาสติ
ปลุกการตื่นรู้ขึ้นมา
เรียกว่า ปลุกภาวะตรงนี้ให้ตื่นขึ้นมา
เมื่อตื่นขึ้นมาจะเกิดการหลุดออกทั้งหมดเลย
แม้กระทั่งอวิชชาก็สามารถเปลื้องออกไปจากใจได้
จิตก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้
เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องว่า
..เป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยม
.
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
รู้มากยิ่งทุกข์มาก... ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะแหล่งที่มาของความรู้มีอยู่ 2 ทาง
1. ความรู้อันเกิดจากความคิดนึกปรุงแต่ง
การตีความเพื่อทำความเข้าใจ โดยอาศัยการอ่าน การฟัง
2. ความรู้อันเกิดจากการเห็นประจักษ์แจ้ง
ด้วยความมีอยู่ เป็นอยู่ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ
การใช้ความคิด ก็เป็นการใช้งานจิต
เมื่อจิตอ่อนกำลัง จิตก็ขาดสติ ทำให้เกิดอาการฟุ้งซ่าน
ความรู้ที่ได้จากความคิด จึงเกิดจากอาการหลงของจิต
ที่เผลอสติเข้าไปจมอยู่กับความคิด
หลงยึด หลงแบกเอารู้นั้นมาเป็นเรารู้
การเห็นประจักษ์แจ้ง เกิดจากจิตที่มีสติตั้งมั่น
ความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อจิตเห็นทันสภาวะที่กำลังปรากฎ
จึงสามารถเข้าใจด้วยการพิจารณาไตร่ตรองตามเหตุและผลนำไปสู่การยอมรับความจริงตามที่เป็น ด้วยปัญญาของจิต
จิตจึงไม่หลงยึด หลงแบกเอารู้นั้นมาเป็นของตน
เพียงสักว่ารู้ สักว่าเห็น เท่านั้น
เมื่อคิดบังรู้
*คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิดนั่นแหละจึงรู้*
วิมุตติธรรม