ความสำคัญของ สมถะและวิปัสสนา
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ เป็นส่วนแห่ง
วิชชา (ความรู้แจ้ง) . ๒ อย่าง อะไรเล่า ?
๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
สมถะ เมื่ออบรมแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ?
อบรมแล้ว จิตจะเจริญ
จิตเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ?
เจริญแล้ว จะ ละราคะได้.
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
วิปัสสนาเล่า เมื่อเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ?
เจริญแล้ว ปัญญาจะเจริญ
ปัญญา เจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ?
เจริญแล้วจะ ละอวิชชาได้ แล.
ทุก. อํ. ๒๐/๗๗/๒๕๗.
การนั่งสมาธิ คือการนั่งรู้สึกตัว ปล่อยวางกายใจ
ขึ้นกับจริตของแต่ละคน หากมีจริตไปทางนั่งสมาธิ แค่ปล่อยวางไปทีละขันธ์ หลักเนื้อแท้ของการทําสมาธิคือ ใจจะค่อยๆปล่อยออกจากขันธ์ออกจากอารมณ์ต่างๆนั้นเอง แค่ รู้สึก ไม่ไปปรุงแต่ง เหลือแต่รู้ เข้าสู่วิปัสสนาญาณ
แต่หากมีจริตที่ไม่สามารถนั่งสมาธิได้ การหมั่นรู้สึกตัว ดูกายดูจิต ในชีวิตประจําวันก็สามารถทําได้ คือ แค่ รู้สึก ไม่เข้าไปปรุงแต่ง จนสุดท้าย จิตตั้งมั่นขึ้นมา ชั่วแว๊บๆ
สิ่งที่บอกกล่าวมา เกิดได้ทั้งลืมตาหรือหลับตา
หากนั่งสมาธิจนชํานาญ เวลาลืมตาใช้ชีวิต ก็สามารถเกิดสิ่งหล่าวนี้ได้เองเหมือนกัน แม้ไม่ได้ฝึกดูจิตมาเลย เพราะกําลังของสมาธิที่มี ทําให้จิตตั้งมั่นขึ้นมาเองได้
สุดท้ายแล้ว การปฏิบัติทั้งหลาย ล้วนเข้าสู่ระดับจิตใจ อยู่เหนือลักษณะท่าทาง ทางกายต่างๆนั้นเอง ไม่เกี่ยวกับการลืมตาหรือหลับตา หรือ ต้องนั่งสมาธิถึงจะเห็นเลย แต่จากการสังเกตุตัวเองแล้ว หากนั่งสมาธิด้วย จิตผู้รู้จะทรงตัวอยู่ได้นาน และมีกําลังที่จะเล่นกับจิตกับใจได้มากกว่า
คำตอบของหลวงปู่ชา สุภทฺโท
ถาม : มีอุบายที่แก้อุทธัจจกุกกุจจะ*เสียหน่อยไหมครับ
ตอบ : อะไร อุทธัจจะ มันเป็นยังไง
*อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านและรำคาญ ความฟุ้งซ่านและความเดือดร้อนใจ (ข้อ ๔ ในนิวรณ์ ๕ **)
**นิวรณ์ ๕ สิ่งที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม มี ๕ อย่าง คือ
๑. กามฉันท์ ความพอใจใฝ่กามคุณ
๒. พยาบาท ความคิดร้าย
๓. ถีนมิทธะ ความหดหู่ซึมเซา
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
ถาม : มันฟุ้งซ่าน เวลามันเกิดเข้มข้นขึ้นมา เราจะมีอุบายแก้ยังไงครับ
ตอบ : มันไม่ยากหรอก ของมันไม่แน่นอนหรอก ไม่ต้องไปแก้มัน คราวที่มันฟุ้งซ่านมีไหม ที่มันไม่ฟุ้งซ่านมีไหม
ถาม : มีครับ
ตอบ : นั่นจะไปทำอะไรมันล่ะ มันก็ไม่แน่อยู่แล้ว
ถาม : ทีนี้เวลามันแลบไปแลบมาละครับ
ตอบ : เอ้า ก็ดูมันแลบไปแลบมาเท่านั้นแหละ จะทำยังไงกับมัน มันดีแล้วนั่นแหละ โยมจะไม่ให้มันเป็นอะไรอย่างไร มันจะเกิดปัญญาหรือนั่น
ถาม : มันแลบไป เราก็ตามดูมัน
ตอบ : มันแลบไป มันก็อยู่นั่นแหละ เราไม่ตามมันไป เรารู้สึกมันอยู่ มันจะไปตรงไหนล่ะ มันก็อยู่ในกรงอันเดียวกัน ไม่ไปตรงไหนหรอก นี่แหละเราไม่อยากจะให้มันเป็นอะไร นี่ท่านอาจารย์มั่นเรียกว่า สมาธิหัวตอ ถ้ามันแลบไปแลบมา ก็ว่ามันแลบไปแลบมา ถ้ามันนิ่งเฉยๆ ก็ว่ามันเฉยๆ จะเอาอะไรกันล่ะ ให้รู้เท่าทันมันทั้ง ๒ อย่าง
วันนี้มันมีความสงบก็ถอนมันมา...ให้ปัญญามันเกิด แต่บางคนเห็นว่า มันสงบนี่ดีนะ ชอบมัน ดีใจ วันนี้ฉันทำสมาธิมันสงบดีเหลือเกิน...แน่ะ อย่างนี้เมื่อวันที่สองมาไม่ได้เรื่องเลย วุ่นวายทั้งนั้นแหละ...แน่ะ วันนี้ไม่ดีเหลือเกิน เรื่องดีไม่ดีมันราคาเท่ากัน เรื่องดีมันก็ไม่เที่ยง เรื่องไม่ดีมันก็ไม่เที่ยง จะไปหมายมั่นมันทำไม มันฟุ้งซ่านก็ดูมันฟุ้งซ่านไปสิ มันสงบก็ดูเรื่องมันสงบสิ อย่างนี้ให้ปัญญามันเกิด มันเป็นเรื่องของมัน จะเป็นอย่างนี้ เป็นอาการของจิตมันเป็นอย่างนั้น เราอย่าไปยุ่งกับมันมากสิ...ลักษณะอันนั้น
อย่างเราเห็นลิงตัวหนึ่งน่ะ มันไม่นิ่งใช่ไหม โยมก็ไม่สบายใจเพราะลิงมันไม่นิ่ง มันจะนิ่งเมื่อไร โยมจะให้มันนิ่ง โยมถึงจะสบายใจ มันจะได้ไหม...เรื่องของลิงน่ะ ลิงมันเป็นเช่นนั้น ลิงที่กรุงเทพฯ ก็เหมือนลิงตัวนี้แหละ ลิงที่อุบลฯ ก็เหมือนลิงที่กรุงเทพฯ น่ะแหละ ลิงมันเป็นอย่างนั้นของมันเอง ก็หมดปัญหาเท่านั้นแหละ อันนี้ลิงมันไม่นิ่ง...เราก็เป็นทุกข์อยู่เสมอ อย่างนั้นเราก็ตายเท่านั้นแหละ เราก็เป็นยิ่งกว่าลิงซะแล้วมั้ง
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๓๔ “คำตอบหลวงปู่ชา” หน้า ๔๙-๕๐
วิธีปฏิบัติ
จงหายใจเข้า หายใจออก อยู่อย่างนี้แหละ
อย่าใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น
ใครจะยืนเอาก้นขึ้นฟ้าก็ช่าง อย่าไปเอาใจใส่
อยู่แต่กับลมหายใจ เข้า ออก
ให้ความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ ทำอยู่อย่างนี้แหละ
ไม่ไปเอาอะไรอื่น ไม่ต้องคิดว่าจะเอานั่นเอานี่
ไม่เอาอะไรทั้งนั้น..ให้รู้จักแต่ลมเข้า...ลมออก...
ลมเข้า...ลมออก...พุทเข้า โธออก
อยู่กับลมหายใจอย่างนี้แหละ เอาอันนี้เป็นอารมณ์
ให้ทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก
ลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก ให้รู้จักอยู่อย่างนั้น
จนจิตสงบ หมดความรำคาญ ไม่ฟุ้งซ่านไปไหนทั้งนั้น
ให้มีแต่ลมออกลมเข้า ลมออกลมเข้าอยู่อย่างนั้น
ให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ยังไม่ต้องมีจุดหมายอะไรหรอก
นี่แหละเบื้องแรกของการปฏิบัติ
หลวงปู่ชา สุภัทโท
หลวงพ่อปราโมทย์ : ตอนนี้เห็นทุกข์มากขึ้นมั้ย หรือภาวนามีแต่ความสุข การภาวนามี ๒ ขั้นนะ ขั้นแรก ทำให้จิตตั้งมั่นก่อน เรียกว่าจิตตสิกขา จิตตั้งมั่นมีสมาธิ มีความสุข ไม่ได้ทำอะไร แค่รู้สึกตัวขึ้นมา จิตมันไหลไป เรารู้สึกตัวขึ้นมา จิตก็ตั้งมั่น ก็มีความสุขผุดขึ้นมา
เพราะฉะนั้นหัดกับหลวงพ่อใหม่ๆนะ จะมีความสุขเยอะมากนะ ไม่ได้ทำอะไรก็มีความสุข มีความสุขผุดขึ้นมา ตรงนั้นเราฝึกในขั้นที่เรียกว่า จิตตสิกขา เรารู้ทันจิต ในการภาวนาเนี่ย ถ้าไม่รู้ทันจิต ใช้ไม่ได้จริง
เพราะฉะนั้นเรื่องจิตตสิกขาเป็นเรื่องใหญ่ ก็เรียนจนกระทั่งจิตมันตั้งมั่น ถึงฐานของมันจริงๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน โดยไม่ได้เจตนา ยังเจตนาอยู่ ยังไม่ใช่ของจริง
เพราะฉะนั้นบางที เราหัดใหม่ๆ จิตเราไหลไปเผลอไป เรารู้ทัน เรารู้สึกตัว จิตตั้งมั่นขึ้นมา จิตตื่นขึ้นมา ก็มีความสุข เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ดีๆก็มีความสุขโชยขึ้นมาเป็นระยะๆ ทั้งวันเลย มีความสุขเยอะเลย
แต่ทีนี้การภาวนาไม่ได้ไปหยุดอยู่แค่การทำสมาธิ ต้องเดินปัญญาให้ได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกจงจำไว้เช่นนี้เถิดลูก..
สมาธิ / ความรู้ในสมาธิ ที่ " ยังมีเรา "อยู่ -- ย่อมไม่กระจ่างแจ้ง ย่อมอาจยังไม่เห็นความเป็นจริง…
แต่สมาธิ ที่ปราศจากความยึดติด / ปราศจากตัวตน / ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา - ซึ่งเป็นสิ่งที่ว่างเว้นจากทุกสิ่งทุกอย่างอย่างแท้จริง
เป็นคลื่นพลังของความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง...
**คลื่นพลังเหล่านั้น - ก็จึงจะบอกความจริงกับเราได้…
- เพราะเขาคือ ความถูกต้อง
- เพราะเขาคือ คนที่ไม่ใช่คน ไม่ใช่ใคร..
- เขาคือ สิ่งที่บริสุทธิ์
++ เขาจึงจะเปิดเผยสภาวธรรมของความถูกต้อง ที่บริสุทธิ์ ให้เรารู้ ++
จงประพฤติ ปฏิบัติ กระทำเช่นนี้เถิด ลูกเอ๋ย..
-- แล้วสมาธิอันสูงสุด ปัญญาอันสูงสุด.. ก็จะเข้าถึงลูก - ลูกก็จะเข้าถึงมัน --
กราบขอบพระคุณพระองค์มากนะเจ้าค่ะ ที่ได้ทรงเมตตาเทศนาสั่งสอน เรื่องการนั่งสมาธิ ให้แก่ลูกได้ฟัง
ลูกจะนำไปเผยแผ่ ให้ทุกๆ คนรู้ แล้วจะได้ช่วยกันฝึกสมาธิ เพื่อทำให้โลกมีความสงบเย็น ทำให้ทุกคนได้รับกับความพ้นทุกข์ เจ้าค่ะ
สาธุ.........
ถ้าเกิดว่าเราจะรู้อะไรในนั้น -- ก็จะรู้แบบผู้รู้อย่างแท้จริง -- เพราะ..
รู้จากสิ่งที่ว่างเว้นจากความปรุงแต่ง การมีตัวตน
รู้จากสิ่งที่ว่างเว้น จากเชื้อของกิเลสตัณหา
สิ่งที่เกิดขึ้นมาและให้เรารู้นั้น - รู้ด้วยสภาวธรรม ขององค์พระอรหันต์
... ปราศจากทุกสิ่งทุกอย่าง
-- จึงจะเป็นความรู้ที่รู้อย่างแท้จริง และถูกต้องอย่างแท้จริง --
เมื่อนั้น เราก็จะสามารถ เข้าใจสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ตามความเป็นจริง เพราะว่าเรา
ไม่ได้ไปรู้ด้วยตัวของเรา
ไม่ได้ไปรู้ด้วยกิเลสและตัณหา
แต่เรารู้- รู้ด้วยความบริสุทธิ์ของจิตดวงนั้น ที่ตั้งมั่น จนจิตดวงนั้นสามารถเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
และพลังแห่งความบริสุทธิ์นั้น - จึงนำพาให้เราไปเจอกับความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ซ้อนอยู่
จึงทำให้เรานี้เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง..
เพราะความรู้ใน ณ ตอนนั้น มันไม่ใช่ความรู้ของเรา มันไม่ใช่ความรู้ของใคร
... แต่มันคือความจริงที่ซ่อนอยู่ในเบื้องหลังชีวิตของเรา - ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ
ลูกเอ๋ย.. เมื่อเราไปเจอสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราก็จะเป็นผู้มีสมาธิ และเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้รู้แจ้ง เป็นผู้เข้าถึงสมาธิที่ ที่สูงสุดแล้วอย่างแท้จริง
ลูกเอ๋ย จงค่อยๆฝึก..
- จากการตั้งใจ
- จากการละวางตัวตน ละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกาย
ค่อยๆฝึกฝน นำจิตของตนไปสงบ อยู่ในจุดใดจุดหนึ่งที่เรานี้ถนัดเลือก
.. ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ จะเป็นอะไรก็ตาม ที่เราเลือก
เมื่อตั้งมั่นที่นั่น จนความเป็นเรา.. ไม่มี จนแนบนิ่งแล้ว -- พลังนั้นก็จะพาเราไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง
พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอน ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาบอกแก่พวกเรา
อย่างนั้นแหละลูก.. เราจึงจะเข้าใจกับทุกอย่าง..อย่างแท้จริง
ฉะนั้น.. เรายังไม่รับอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดปรุงแต่ง เป็นมารเผชิญ เป็นเรื่องที่ผุดขึ้นมา เพื่อขัดขวางความสงบ
หรือจะเป็นภาพในโลกทิพย์ ที่เรามองเห็น จะเป็นอะไรก็ตาม เรายังไม่เอาอะไรทั้งนั้น.. เพราะเราต้องการ " ความสงบ "
เมื่อเราฝึกอย่างนี้ สั่งตนเองอย่างนี้ แล้วทำจิตใจให้เข้มแข็งอย่างนี้ ..ลูกเอ๋ย
ฝึกไปเรื่อยๆ.. เอาให้จริง เอาให้จัง เอาให้ได้
กายนี้จะขยับหน่อยก็ไม่เป็นไร จิตนั้นห้ามขยับ จิตนั้นให้นิ่งอยู่กับสิ่งนั้น
วันแรก อาจจะทำได้ 3 วินาที
วันต่อไป หรือว่าครั้งต่อไป.. อาจขึ้นมาเป็น 1 นาที, 5 นาที, 10 นาที.. ก็ปล่อยให้มันเป็นไป
ค่อยๆ ฝึกไป ฝึกอย่างตั้งใจ ฝึกด้วยความพยายาม.. แต่อย่าใช้ *ตัณหา* คือ " ความอยากในการฝึก "
ต้องฝึกแบบกลางๆ
-- รู้ว่าเราต้องไปที่นั่น ๆ แต่เราก็จงไปตามความพอดี อย่าเร่ง อย่าช้า ไปแต่พอกลางๆ --
ลูกเอ๋ย.. เมื่อทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ลูกก็จะสามารถเข้าถึงสมาธิได้
เพราะ* สมาธิ * ก็คือ "ทำจิตให้สงบ" - รวมทุกอย่างมาเป็นจุดเดียวกัน
เมื่อเรารวมเป็นสมาธิได้แล้ว จิตเราไม่คิด ไม่ปรุงแต่งอะไรแล้ว เราไม่เอาภาพอะไร หรือเรื่องอะไรมาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว …
เกิดความว่างเปล่าในจิตของเรา
เกิดความไร้ตัวตนในตัวของเรา
เกิดสภาวธรรมที่สว่างไสวในจิต หรือในสิ่งที่เราตั้งมั่น
โดยที่เราปราศจากความปรุงแต่ง ปราศจาก …
ความห่วง- ความพะวง
ความอยากรู้อยากเห็น – ความไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น
ปราศจากทุกอย่าง คือ ตั้งมั่นแค่นิ่งเฉยๆ จิตที่นิ่งจะนำพาให้เราทะลุเข้าไป ในมิติของสมาธิ
ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ จะเป็นลูกแก้ว จะเป็นพระธาตุเจดีย์ จะเป็นองค์พระ เป็นแสงสว่าง เป็นพลังเย็น เป็นลม เป็นอากาศ..
เป็นอะไรก็ช่าง ที่เรากำหนดจิตตั้งมั่นไว้
** เรามีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ.. เฝ้าเอาจิตดวงนี้เอาไว้ ไม่ให้ออกนอกกรอบลูกแก้ว ที่เราตั้งมั่นเอาไว้
-- เฝ้าจิตดวงนี้เอาไว้ ไม่ให้ออกนอกกรอบของสิ่งของ ที่เราสมมุติจะเอาจิตตั้งมั่นไว้ตรงนั้น.. ก็พอ --
ก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ ก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน ให้ปัญญาสั่งเราเสียก่อน ให้อย่าทำนอกเหนือหน้าที่ ณ ตอนนั้น ที่เรากำลังจะทำ
ลูกเอ๋ย.. ให้นึกเสียว่า ตอนนี้เราจะทำสมาธิ เราจะตั้งใจทำ เป็นเรื่องของจิตไม่เกี่ยวกับกาย
ตอนนี้กายนี้ จอดแนบนิ่งแล้ว สมมุติว่าตายซะก็ได้.. เพราะเราจะไม่แวะ ไม่ข้องไม่เกี่ยวกับกาย
ฉะนั้น.. สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ ก็จะไม่เกี่ยวกับเรา.. เพราะตอนนี้เป็นเวลาที่เรา จะต้องฝึกจิต ให้บอกตนเองอย่างนี้
.. เมื่อมีภาพในอดีต เราก็ดันมันออกไปด้วยปัญญาของเรา ว่าตอนนี้ไม่มีเราแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเรา
ภาพเหล่านั้น ไม่น้อมเข้ามา.. ทีนี้ก็จะหายไป
.. เมื่อมีภาพในอนาคต หรือในเรื่องอะไรก็ตาม ภาพอะไรก็ช่าง - เราไม่สนใจมัน ไม่น้อมเอามาใส่เราแล้ว
เพราะตอนนี้หน้าที่ของเรา คือ ต้องกำหนดจิต ให้ตั้งมั่นในสิ่งที่เราจะเอาจิตของเราให้ตั้งมั่นในมัน
หากเรายังไม่สามารถกำหนดจิตของเราให้นิ่งอยู่ในสิ่งนั้นได้ แปลว่าเรานั้นยังไม่สงบ แปลว่าเรานั้นยังไม่สามารถทำจิตให้นิ่งๆได้ ..
ก็จงหมั่นฝึกอยู่บ่อยๆ หมั่นทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
รวมถึงการที่เรา อาจจะยังยึดติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่.. เราก็เลยชอบเอาเรื่องนั้น เรื่องนี้มารบกวนเรา
แต่เราก็จงรู้ว่า หน้าที่ของเราก็คือ ..ท่องว่าใบไม้สีเขียว
หรือว่าดูใบไม้สีเขียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เรายกขึ้นมา ที่เรานี้จะกำหนดให้จิตของเราแนบนิ่ง อยู่กับสิ่งๆนั้น...
และเราก็สามารถกำหนดเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุเจดีย์สีทอง ไม่ว่าจะเป็นพระธาตุเจดีย์สีขาว สีใส สีเขียว
..หรือว่าจะเป็นลูกแก้ว จะเป็นอะไรก็ตาม.. ลูกเอ๋ย ขอเพียงแค่ให้เรากำหนดจิตไว้ในจุดใดจุดหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง –
ให้จิตเรานั้น นิ่งอยู่ตรงนั้นก็พอ
พระยาธรรมรับคำสอนจากพุทธองค์ วันที่ 15 มิถุนายน 2559
ตอนที่ 94 **การนั่งสมาธิ**
ขอกราบนอบน้อม ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกๆ รูป
รวมถึง เจริญธรรม ญาติบุญ ญาติธรรม ทั้งหลาย
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็จะถึงเวลาที่เราทั้งหลาย จะได้น้อมจิตเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน
ให้ทุกคนเตรียมจิตให้สบาย เตรียมใจให้สงบ ยกจิตของตนขึ้นเข้าเฝ้า ฟังธรรมจากขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยความเงียบ ความสงบ พร้อมๆกัน...
+ +
พระยาธรรม ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าข้า ในวันนี้ เมื่อลูกได้มีโอกาสที่ดี น้อมจิต น้อมใจ น้อมกาย
ขึ้นเข้าเฝ้าต่อพระองค์แล้ว ลูกจะขอทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่องค์พระบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
" ถ้าเกิดว่าเรามีความปรารถนาที่จะมีสมาธิ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น ให้นิ่ง เข้าสู่ฌานสมาธิที่ลึก..
เราจะต้องทำแบบไหน ทำยังไง หรือเจ้าค่ะ เราจะได้ประสบความสำเร็จกับการนั่งสมาธิ หน่ะเจ้าค่ะ ?"
- - - -
พระพุทธองค์ พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้น จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งสำเร็จ -- เราต้องตั้งใจก่อนลูก
ก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ ให้เราระลึกรู้ และบอกกับตนเองว่า ตอนนี้เรากำลังจะนั่งสมาธิ
*สมาธิ* นั้น ก็คือ การรวบรวมจิตของเรา ให้หยุดอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง ให้พักผ่อน ไม่ให้จิตนั้นฟุ้งซ่าน วุ่นวาย
คือ การทำให้จิตอยู่นิ่งๆ
เมื่อเราบอกตนเองเช่นนี้แล้ว เราก็รู้แล้วว่า.. ต่อจากนี้ไป หน้าที่ของเราที่จะต้องทำ คืออะไร
เราก็รู้แล้ว ว่า คือ การทำจิตให้สงบไงลูก
เมื่อเรารู้เช่นนั้น เราก็ปล่อยทุกสิ่ง ปล่อยทุกอย่าง ที่มันผ่านเข้ามา ที่มันผ่านไป
ปล่อยจิตปล่อยใจ ปล่อยทุกสิ่ง ปล่อยทุกอย่าง แล้วเอาจิตของเราไปตั้งมั่นอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น ถ้าเกิดเรานึกถึงใบไม้ สีเขียว เราก็จงนึกถึงแต่ใบไม้สีเขียวนั้น.. ห้ามไปนึกสิ่งอื่น -
แล้วก็เอาจิตหยุดอยู่แค่ใบไม้สีเขียว..ใบไม้สีเขียว กำหนดจิตไว้อย่างนั้น ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จิตของเราก็จะทรงสมาธิอยู่.. แค่ที่ใบไม้สีเขียว โดยไม่ฟุ้ง ไม่ยุ่งกับสิ่งอื่นใด
ลูกเอ๋ย.. ถ้าเรามีสมาธิที่นิ่ง นาน - เราก็จะตั้งมั่นอยู่กับใบไม้สีเขียวนั้น
นิ่งได้อยู่นาน จะไม่วอกแวกไปทางอื่น จะไม่นึกถึงสิ่งอื่นใดเลย…
แต่ถ้าเรามีจิตที่ยังไม่ตั้งมั่น เราก็จะนึกถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้
#ขั้นแรกของการปฏิบัติ
"จงหายใจเข้า หายใจออก อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น ใครจะยืนเอาก้นขึ้นฟ้าก็ช่าง อย่าไปเอาใจใส่ อยู่แต่กับลมหายใจเข้าออก ให้ความรู้สึกกำหนดอยู่กับลมหายใจ ทำอยู่อย่างนี้แหละ
ไม่ไปเอาอะไรอื่น ไม่ต้องคิดว่าจะเอานั่นเอานี่ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ให้รู้จักแต่ลมเข้า ลมออก ลมเข้า ลมออก พุท เข้า โธ ออก อยู่กับลมหายใจอย่างนี้แหละ เอาอันนี้เป็นอารมณ์ ให้ทำอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก ลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก ให้รู้จักอยู่อย่างนั้น จนจิตสงบ หมดความรำคาญ ไม่ฟุ้งซ่านไปไหนทั้งนั้น ให้มีแต่ลมออกลมเข้า ลมออกลมเข้าอยู่เท่านั้น ให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ยังไม่ต้องมีจุดหมายอะไรหรอก
นี่แหละเบื้องแรกของการปฏิบัติ"
.... หลวงปู่ชา สุภทฺโท
< การฝึกนั่งสมาธิ >
เวลาเรานั่งสมาธิฝึกภาวนา ตั้งลมหายใจเข้ากล่าวคำว่าพุท - ลมหายใจออกกล่าวคำว่าโธ เป็นเสาหลักไว้เลย(เรียกว่าผู้ถูกรู้) เอาจิตหรือใจหรือวิญญาณตัวนี้(ซึ่งเรียกว่าผู้รู้) เข้าไปรับรู้ลมหายใจเข้า-ออก พยายามให้รับรู้ลมหายใจเข้า - ออกให้ได้นานที่สุด จนการรับรู้อ่อนหรือเบาลงๆจนสงบนิ่งเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ
แต่ผู้ฝึกใหม่มักไม่ค่อยเป็นดังนี้ พอจิตไปรับรู้ลมเข้า - ลมออกไม่นาน จิตไปโผล่ขึ้นที่ความคิดความปรุงโน่นตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ แสดงว่าตัวจิตที่รับรู้ลมอยู่เดิมนั้นดับไป จิตตัวใหม่ไปจับความคิดความปรุงหรือสัญญาสังขารที่เกิดขึ้นเป็นอาการของขันธ์ ๕ โน่น ความคิดความปรุงนี้ไม่ใช่แยกออกไปจากลมเข้า - ลมออกนะ มันเหมือนออกไปจากสมองของเรา มันจะมาแย่งเป็นฐานเสาหลักในการทำสมาธิของเราแทนลมเข้า - ลมออก เมื่อสติตามทันมันแล้ว ดับจิตตัวที่ไปรับรู้สัญญาสังขารนั้นเสีย สร้างจิตตัวใหม่มารับรู้ลมเข้า - ลมออกเหมือนเดิมเสีย
ให้แก้ไขและฝึกกันอยู่อย่างนี้แหละสำหรับผู้ฝึกใหม่ อย่าสงสัยว่าทำไมมันไม่อยู่กับลมและสงบเสียที สาเหตุก็เพราะจิตเรามันดื้อไง ต้องทำวันแล้ว วันเล่า จนกว่ามันจะยอมแพ้ความขยันของเรา แล้วเราก็จะพบกับความสงบเอง
สาเหตุที่สงบยากมี....?
๑. ศีลเรารักษาได้ดีขนาดไหน การรักษาศีล ๕ ให้รักษาด้วยใจ ถึงแม้เรากระทำผิดศีลข้อนั้นๆโดยไม่ได้เจตนา ยกมือสาธุแสดงอาบัติคือสารภาพความผิดที่กระทำลงไปโดยไม่ได้เจตนากับพ่อแม่ครูอาจารย์เสีย เท่านี้จิตใจเราก็ไม่ติดข้องกับการผิดศีลแล้ว จิตใจก็ยังบริสุทธิ์ใสสะอาดของศีลอยู่เหมือนเดิม
๒. เราฝึกภาวนาสมาธิต่อเนื่องไหม ถ้าฝึกไม่ต่อเนื่องก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก อย่างน้อยๆก็ให้ต่อเนื่องสัก ๙ วัน ๑๐ วัน จึงจะเห็นผล
๓. อย่าเลือกวิธีการทำสมาธิอย่างอื่นหรือหลายใจ แม้ใจเดียวจิตก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ถึงขนาดนี้ ให้ดูลมเข้า - ลมออกอย่างเดียว
๔. เมื่อจิตเป็นสมาธิเห็นความสงบแล้วก็อยากจะคุยโม้โอ้อวด อย่าทำ จิตจะเสื่อมจากสมาธิ จะกลับมาทำอีกอยากให้จิตสงบเหมือนเดิมอาจจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูเป็นเดือนถึงจะกลับมาเหมือนเดิม ยิ่งอยากสงบจิตยิ่งฟุ้งซ่าน
พยายามสู้ไปสู้มาอยู่อย่างนี้แหละ ทำวันไหนบารมีก็ได้เพิ่มวันนั้นแหละ ในที่สุดมันจะต้องเต็มจนได้ บุญกุศลก็ได้รับทั้งตัวเราและครอบครัว เทวดาก็คุ้มครองรักษา จิตเราสัมผัสไม่ได้หรอกเพราะจิตยังไม่เป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้วจะสัมผัสได้เหล่าเทวดาดูแลคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม
....ขออวยพร....
บรรยายธรรมโดย คุณตานิพนธ์ ทอดทอง
< เทคนิคการทําสมาธิ >
เมื่อเริ่มทําอย่าเพึ่งตั้งใจจะรู้ลมเลยทันที ให้สังเกตุมาที่กายใจเราเองก่อน กายเราตึงเพ่งเกร็งตรงไหนให้ผ่อนคลายออก หมั่นสังเกตุรู้สึกมาที่กายตน อย่าให้ตึงเพ่งเกร็ง เมื่อคลายกายดีแล้ว ให้มาคลายใจ ให้รู้สึกถึงใจเราเอง ว่าใจเราตึงเพ่งเกร็งไหม ให้ผ่อนคลายใจเราให้เบาสบายๆ สัมมาสมาธิจะเกิดเมื่อกายใจเราเบาสบาย ลองทําใจยิ้มดู(ทําแบบไม่ได้ไปทํานะ- ทำความรู้สึกเอา)
ปรับกายใจเสร็จ จึงเริ่มรับสัมผัสรู้ไปกับลมหายใจ ให้สัมผัสรู้สบายๆกับลมหายใจ ถ้ารู้สึกว่ายังวอกแวกไหลไปกับความคิด ให้กําหนดเอาคําบริกรรม (พุท-โธ) มาช่วยกํากับใจเพิ่มอีกทาง ถ้าใจเราสบายสัมผัสรู้สึกไปกับลมได้ดีอยู่แล้ว คําบริกรรมก็ไม่จําเป็น ให้สัมผัสรู้ไปกับลม โดยเล่นกับลมที่ยาวบ้างสั้นบ้างให้มีสติรู้สึกตัวสัมผัสรู้ที่เกิด การดึงลมที่ยาวๆ สามารถที่จะดึงให้เราเข้าฌานไปได้อย่างง่ายๆ เมื่อเราคุ้นเคย (เมื่อปฏิบัติจนชินในอารมณ์ฌาน ให้เหนี่ยวนําอารมณ์ฌานขึ้นมาสบายๆ ฌานจะเกิดอย่างง่ายๆ)
ระหว่างที่สัมผัสรู้ลมหายใจ ให้หมั่นกลับมาสังเกตุกายใจว่าตึงเพ่งเกร็งไหม(สังเกตุจากเปลือกตาหัวคิ้ว มีการเกร็งไหม ถ้ามีเพ่งอยู่ ให้คลายออก ปรับให้เบาสบาย การให้ใจยิ้มจะช่วยคลายเบาๆ) การกลับมาสังเกตุเป็นการเรียกสติทําให้เผลอน้อยลง(สติยิ่งมาก เผลอยิ่งน้อย) ใจจะสงบเข้าถึงความว่าง จะค่อยๆวางขันธ์จากหยาบไปละเอียด อาการเวทนาถ้ามีปวดขาจะหายไป กายจะเบา ใจจะเบา ขันธ์จะถูกวางไปเรื่อยๆ คําบริกรรมจะหายไป(อย่าไปดึงกลับมาอีก) ลมหายใจจะเบาจนเหมือนไม่มีลมหายใจ ตาดับ หูดับ อะไรที่หายไปอย่าตกใจและอย่าไปดึงกลับมาอีก
ให้สัมผัสรู้กับความว่าง ให้สังเกตุว่ามีเรา(จิตผู้รู้)ที่ไปดูความว่างอยู่ อย่าเข้าไปอยู่กับความว่างให้แค่รู้ แต่ให้สัมผัสถึงและอยู่กับผู้ที่ดูความว่างนั้น ให้อยู่กับผู้ที่ดูความว่าง จะทําให้คุ้นเคยชินกับผู้ดู(จิตผู้รู้) อะไรที่ผุดขึ้นมาก็แค่เข้าไปรู้ แต่ไม่เข้าไปเป็น แค่สัมผัสรู้ถึงพอ จะค่อยๆย้อนเข้าไปอยู่กับธาตุรู้ >>>วิปัสสนาญาณจะเกิดจากความว่าง ปัญญาจากความว่าง เป็นธรรมจากความว่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน
หลักการ สัมมาสติเป็นตัวทําให้เกิดสัมมาสมาธิ หากขาดสติจะไม่ใช่สัมมาสมาธิ จะเป็นเผลอเพลินหรือเผลอเพ่งกลายเป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาสมาธิไม่เกิดปัญญา
สัมมาสมาธิเป็นหนทางแห่งการเกิดปัญญา(ปัญญาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ) สัมมาสติและสัมมาสมาธิ จะผลัดกันหนุนซึ่งกันและกัน ในเส้นทางแห่งการ เจริญสติ เจริญสมาธิ และเข้าไปหนุนให้สัมมาต่างๆในมรรค8 ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น บนเส้นทางแห่งมรรคผล
San Nirvana
หลวงพ่อชา สุภ้ทโท
" ปฏิบัติกันเถิด"
การฝึกจิตไม่เหมือนฝึกสัตว์
จิตนี่เป็นของฝึกยากแท้ ๆ
แต่อย่าไปท้อถอยง่าย ๆ
ถ้ามันคิดไปทั่วทิศก็กลั้นใจมันไว้
พอใจมันจะขาด มันก็คิดอะไรไม่ออก
มันก็วิ่งกลับมาเอง ให้ทําไปเถอะ
จงหายใจเข้า หายใจออก อยู่อย่างนี้แหละ
อย่าใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น ใครจะยืนเอาก้นขึ้นฟ้า
ก็ช่าง อย่าไปเอาใจใส่ อยู่แต่กับลมหายใจ
เข้าออก ให้ความรู้สึกกําหนดอยู่กับลมหายใจ
ทําอยู่เท่านี้แหละ
ไม่ไปเอาอะไรอื่น ไม่ต้องคิดว่าจะเอานั่นเอานี่
ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ให้รู้จักแต่ลมเข้า - ลมออก
ลมเข้า - ลมออก พุธ - เข้า โธ - ออก
อยู่กับลมหายใจอย่างนี้แหละ
เอาอันนี้เป็นอารมณ์
ให้ทําอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งลมเข้าก็รู้จัก
ลมออกก็รู้จัก ลมเข้าก็รู้จัก ลมออกก็รู้จัก
ให้รู้จักอยู่อย่างนั้นจนจิตสงบ หมดความรําคาญ
ไม่ฟุ้งซ่าน ไปไหนทั้งนั้น
ให้มีแต่ลมออก - ลมเข้า - ลมออก - ลมเข้า
อยู่เท่านั้น ให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ ยังไม่ต้องมี
จุดหมายอะไรหรอก นี่แหละเบื้องแรก
ของการปฏิบัติ.
จิตรวม
.
ก่อนที่จิตจะรวม บางคนก็ปรากฏว่า กายของตนหวั่นไหวสะทกสะท้านไป บางคนก็จะมีภาพนิมิตต่างๆ ปรากฏขึ้นเป็นภาพภายนอกก็มี แสดงอุบายภายในให้ปรากฏขึ้นก็มี แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นผู้ไม่มีสติก็จะมัวเพลิดเพลินลุ่มหลงอยู่ในนิมิตภาพนั้นๆ จิตก็จะไม่รวม
.
หากถอนออกเลยทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ ไม่มีกำลัง แต่ถ้าเป็นผู้มีสติดีหากมีนิมิตภายนอก หรือธรรมผุดขึ้นภายในก็ให้น้อมเข้ามาเป็นอุบายของวิปัสสนากัมมัฏฐาน จิตก็จะรวมลงถึงฐีติจิต เมื่อจิตรวมลงก็ให้มีสติรู้ว่าจิตของเรารวมและให้รู้ว่าจิตของเรารวมลงอิงอามิสคือกัมมัฏฐานหรือไม่ หรืออยู่เฉพาะจิตล้วนๆ ก็ให้รู้ อย่าไปบังคับให้จิตรวม และจิตรวมแล้ว อย่าบังคับให้จิตถอนขึ้นปล่อยให้จิตรวมเอง ปล่อยให้จิตถอนเอง และเมื่อจิตถอนหรือก่อนจะรวมชอบมีนิมิตแทรกขึ้นทั้งนิมิตภายนอกและนิมิตภายใน ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่านั่นเป็นเรื่องของนิมิตเป็นเรื่องของอุบาย
.
อย่าไปตามนิมิตหรืออุบายนั้นๆ ให้น้อมเข้ามาเป็นวิปัสสนากัมมัฏฐาน ยกขึ้นสูงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ให้พิจารณากำหนด
กัมมัฏฐานที่ตนเคยกำหนดไว้อย่าละเลยละทิ้งด้วยความมีสติอยู่ทุกระยะที่จิตรวม จิตถอน ถ้าหัดทำให้ได้อย่างนี้ ต่อไปจะเป็น “สันทิฏฐิโก” คือเป็นผู้รู้เองเห็นเอง แจ้งชัดขึ้น จะตัดความเคลือบแคลงสงสัยไม่สงสัยลังเลในพระรัตนตรัยต่อไป
.
• พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต •
" ถ้าจิตไม่สงบ ให้เอาจิตมาระลึกรู้อยู่กับกาย "
สังเกตุไหม คําสอนของหลวงปู่ดูลย์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ให้เอาจิตกลับมารู้อยู่กับกายพอ ใครจะมีวิหารธรรมของตัวเองอย่างไร เช่น จะรู้สึกตัว จะรู้ลมหายใจ จะพิจารณาธาตุในกาย หรืออะไรก็ตามก็คือการกลับมาอยู่ที่ฐาน"กาย" เพื่อให้จิตกลับมาอยู่ที่ฐานก่อนนั้นเอง ดังคําสอนของท่านที่ว่า " อย่าส่งจิตออกนอก "
ปล. ยํ้าว่าฐานที่เอาจิตมาอยู่คือ "กาย " ยกเว้นผู้ที่เก่งมาก ไม่สําคัญแล้ว เพราะแม้ไม่ดึงกลับมาไว้ที่ฐาน จิตก็ไม่ไหล ตั้งมั่นสงบนิ่ง
ารนั่งสมาธิภาวนา อย่างธรรมดา เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย ตั้งกายให้เที่ยงตรง หลับตา ภาวนา พุทโธ พุทโธ อันนี้ก็เป็นระเบียบหนึ่ง
แต่อีกชนิดหนึ่งในวิธีนั่ง ท่านว่านั่งสมาธิแบบชัดสมาธิเพชร เอาแข้งซ้ายขึ้นมาบนขาขวา แล้วก็เอาขาขวาขึ้นมาบนขาซ้าย เอามือขวาทับมือซ้ายเหมือนกัน วิธีนี้แน่นหนากว่า
ฉะนั้นผู้ที่ฝึกหัดแบบที่หนึ่งได้ดีแล้ว ก็หัดแบบที่สองนี้เพิ่มเติมตอนหัดทีแรกก็มีความเจ็บปวดบ้าง เป็นธรรมดาของรูปขันธ์ แต่ถ้าหากฝึกไปทีละน้อย ๆ จนนั่งได้นานๆ จะหายไปเรื่อยเจ็บปวด ทุกขเวทนา ขนาดชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ไม่ขัด ถ้ามันเคยชินจริงๆ
อันนี้เป็นการนั่งสมาธิทางรูปร่างกาย
ส่วนสมาธิภาวนาจริงๆ นั้น หมายถึงการตั้งจิตตั้งใจ
ที่อยู่ของตนโดยเฉพาะ เราก็มีวิธีกราบพระไหว้พระ ทำวัตรสวดมนต์ตามกำลัง แล้วก็นั่งสมาธิเสียก่อน จึงค่อยนอนทุกคืนๆ ไป
อันสมาธินั้น หมายถึง การตั้งจิต ให้รู้ถึงที่ตั้งของจิต ที่ตั้งของจิตนั้น ในจิตใจของคนเรา มีดวงจิตผู้รู้อยู่ภายในร่างกายของคนเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ไป มา พูดจาปราศรัย ได้นั้น อยู่ที่ดวงจิตผู้รู้นี้เอง
ดวงจิตผู้รู้ ธาตุรู้ ดวงนี้นั้น เป็นดวงตั้งดวงเดิม มีมาตั้งแต่อเนกชาติ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว มิใช่ว่าพึ่งมาเกิดในภพนี้ชาตินี้ก็หามิได้
ดวงจิตผู้รู้นี้ เป็นของเราเอง เป็นจิตใจของเราทุกคน ไม่ใช่บิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าให้
บิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าให้นั้นคือให้รูปขันธ์ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง รูปตัวก้อนธาตุดินน้ำไฟลมนี้ ได้มาจากบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้า
ส่วนดวงจิตผู้รู้นี้เป็นของเราเอง เกิดตายๆ มาในโลกนี้นับไม่ถ้วน ก็จิตผู้รู้ดวงนี้แหละ ยังลุ่มหลงอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียง
เวลาภาวนาตั้งจิต ท่านจึงให้ตั้งลงไป ณ ที่นี้ จะบริกรรมอุบายใดก็ตาม กำหนดตรวจกายก็ตาม คือเอาจิตดวงนี้กำหนดพิจารณาตรวจไปตามร่างกาย มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
เมื่อกำหนดพิจารณาร่างกายทุกอย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ให้มารวมจิตใจเข้าไปที่ดวงจิตผู้รู้ที่ว่านี้
ดวงจิตผู้รู้อันนี้ มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้มีอยู่ในอดีต มิได้มีอยู่ในอนาคต สิ่งใดที่เป็นอดีตล่วงมาแล้ว สิ่งนั้นมันก็หมดไปแล้ว สิ่งที่ยังมาไม่ถึง คือข้างหน้าอนาคตกาล สิ่งนั้นก็ยังเป็นเรื่องข้างหน้า
จิตใจมิได้อยู่ข้างหน้า เป็นแค่อารมณ์ส่ายไปในเรื่องอดีต ส่ายไปในเรื่องอนาคต แล้วก็มาเป็นอารมณ์สับสนอยู่ภายในจิต ถ้าไม่ชำระแก้ไขในเวลาปัจจุบัน คนเราก็จะหาเวลาทำสมาธิรวมจิตรวมใจให้สงบไม่ได้
เพราะอารมณ์เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งบาปทั้งบุญมารวมอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ เวลานั่งสมาธิภาวนาทุกครั้งทุกคราว ท่านจึงให้ละวางปล่อยวางเรื่องราวอารมณ์ที่ผ่านมาแล้ว ที่ยังไม่มาถึง ดีเท่าไรก็อย่าไปคิดคำนึง ชั่วร้ายขนาดไหนก็อย่าไปคิดคำนึง เพราะสิ่งนั้นมันเป็นธรรมดาของจิตปุถุชนคนเรา
ท่านให้เลิกติดต่อกับสิ่งนั้นๆ มาตั้งจิตลงไปในดวงจิตผู้รู้ที่กล่าวนี้
คำว่า ดวงจิตผู้รู้ นี้ มิใช่ว่าแต่งตั้งหรือว่าเทศน์ธรรมจึงเกิดมีขึ้น จิตดวงที่มีความรู้อยู่นี้ มันเป็นดวงดั้งเดิม เป็นธาตุแท้จิตใจของคนเราและสัตว์ทั้งหลาย ไม่ได้มีอะไรมาเพิ่มเติม
ดวงจิตผู้รู้นี้ ทีนี้สิ่งที่เพิ่มเติมนั้นก็คือ จิตผู้รู้นี้แหละมีสังขารจิตปรุงแต่งคิดนึกไปตามอารมณ์ อดีต อนาคต แล้วก็เก็บเข้ามา มาหมักหมมไว้ในดวงจิตผู้รู้อันนี้ มาหลอกหลอนจิตผู้รู้อันนี้ ให้ไหวหวั่นพรั่นพรึงไปตามสังขารจิตอันนั้น
ท่านจึงให้ชื่อสังขารจิตที่ปรุงแต่งหลอกหลอนนั้นว่า เป็นสังขารมาร
คำว่า สังขารมาร มารคือสังขาร ที่ท่านให้ชื่อว่ามาร ก็คือว่ามันเป็นผู้ฆ่า ผู้ทำลาย ทำลายศีล ทำลายสมาธิ ทำลายปัญญา ทำลายวิชาความรู้หมดทุกอย่าง ถ้าใครหลงไปตามสังขารมารเหล่านั้น
ท่านจึงให้ตั้งจิตให้มั่นคงลงไปจำเพาะดวงจิตที่มีความรู้อยู่อย่างเราฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังคำสั่งสอนอยู่ในเดี๋ยวนี้ขณะนี้ เพราะมีหูจึงได้ยินเสียง เสียงนั้นไม่ว่าเทศน์เสียงธรรม เสียงอะไรๆ มันเข้าไปได้หมด
ที่รับรู้ว่าเสียงนั้นเสียงนี้นั่นแหละ ดวงจิตอยู่ตรงนี้แหละ ตรงที่รู้จักว่าเสียงกระทบเข้ามา หรือเราบริกรรมภาวนาว่า พุทโธ พุทโธ ก็ผู้ที่ได้ยินว่า พุทโธ พุทโธ
(นี้เอง)
คำว่า พุทโธ พุทโธ ที่เราได้ยินนั้น เป็นเรื่องของสังขาร หรือว่าปรุงแต่งกำหนดขึ้นมา
ส่วนดวงจิตผู้รู้ นั้น เวลานึก พุทโธ ก็รู้ รู้อะไร รู้ได้ว่านึก พุทโธ เมื่อไม่นึกพุทโธ ก็รู้ว่าไม่ได้นึกพุทโธ นั้น
ดวงจิตผู้รู้นั้น ท่านว่ามันเป็นธาตุเดิม ธาตุแท้ดั้งเดิม มีอยู่แล้วมีอยู่ เป็นอยู่ ตั้งอยู่อย่างนั้นแหละ
แต่เมื่อสังขารมารกิเลส กิเลสตัณหาต่างๆ มันเข้าไปสุมรุมอยู่ดวงจิต พาให้ดวงจิตอันนั้นหลง หลงกายหลงจิต หลงรูปหลงนาม
สิ่งทั้งหลายในโลก ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน จิตสังขาร จิตมาร จิตกิเลส อันนี้เข้าใจผิด และเอามาหลอกหลวงว่าเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน
ดูง่าย ๆ อย่างว่า รูปขันธ์ ตัวตนคนเราทุกคน ตัวเราตัวเขาจะเป็นหญิงเป็นชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ก็คือว่า ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก้อนอสุภะนั้นเอง
แต่เมื่อสังขารจิต มารจิต ตัณหาจิต อันปรุงแต่อยู่นั้นเก็บมาหลอกหลวง แล้วให้เห็นว่าเป็นของมั่นคงถาวรไปได้ ของขี้ริ้วขี้เหร่ให้เห็นว่าเป็นของสวยของงามขึ้นมาได้
นี่แหละท่านว่า สังขารมาร มารคือสังขาร มันปรุงแต่งคิดนึกอะไรขึ้นมา จิตผู้รู้มาสมาธิภาวนา จิตตั้งมั่นไม่พอ ก็หลงใหล ผู้หลงใหลก็คือว่า จิตตั้งมั่นไม่พอ
เมื่อจิตตั้งมั่นไม่พอ ปัญญาความรอบรู้ในสิ่งนั้นไม่เกิดมีขึ้น หรือเกิดมีขึ้นก็ไม่ทันท่วงที จึงได้เกิดความลุ่มหลง หลงตัวตน หลงชาติ หลงตระกูล หลงคนหลงสัตว์ หลงวัตถุธาตุทั้งหลายในโลก
เมื่อได้หลงไปตามสังขารมารกิเลส แล้วมันก็หลงไปหมด ตาเห็นรูปก็หลงในรูป หูได้ยินเสียงก็หลงในเสียง จมูกได้กลิ่นเหม็นหอมก็หลงในสิ่งที่ได้กลิ่นนั้น
เวลาลิ้นสัมผัสกับรสอาหารก็หลงใหลโลเลในรสอาหารเวลาเย็นร้อนอ่อนแข็งกระทบกระเทือนผิวกายก็หลงอีก แม้จิตใจคิดนึกปรุงแต่งอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในก็หลงไปอีก
ความหลง คือ ความไม่รู้แจ้ง ความหลงคือไม่ตั้งจิตให้มั่นคงความหลงคือว่าจิตไม่มีสัจจะความจริงใจ ไม่มีอธิษฐานลงไปในจิตในใจเป็นจิตที่เหลาะแหละ หวั่นไหว สั่นสะเทือน กลัวตาย
กลัวรูปร่างกายนี้แหละมันแตกมันตาย เพราะจิตอุปาทาน จิตที่เข้ามายึดมั่นถือมั่นในรูป ในนาม ในตัวในตน ในสัตว์บุคคล ในสมมตินิยามต่าง ๆ ว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นก้อนเป็นหน่วย
พอหลงเข้าไปแล้ว ก็เลยยึดมั่นถือมั่น สำคัญผิดคิดว่าเป็นตัวเราจริงๆ
แท้จริงมันก็เท่ากับเอาธาตุดินมาปั้น เอาธาตุน้ำมาผสม ธาตุลม ธาตุไฟ มารวมกันเข้า ก็เป็นรูปร่าง สี สัณฐาน เป็นรูปร่างมนุษย์ก็ให้ชื่อสมมติว่าเป็นมนุษย์เป็นคน
ในเรื่องที่เป็น คน นี้ ก็สมมติไปได้มากมาย นับไม่ถ้วนเหมือนกัน จิตอันนี้ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้เท่าทันสังขารมารกิเลส จึงได้หลงไปยึดมั่นไปตามอาการเหล่านั้น
จึงได้เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง อวิชชา ตัณหาขึ้นมาภายในดวงจิตดวงใจ
เพราะจิตมันยึดอยู่ที่ร่างกาย ที่ตัวตน ที่สมมตินี้แหละ
ถ้าจิตนั้นมาภาวนา เพียงเพ่งพิจารณาให้เห็นว่าธาตุแท้ของรูปขันธ์นี้ ได้เก่งอะไร ธาตุดิน สิ่งที่เป็นก้อนเป็นรูป ก็คือว่าดินนั่นเอง เอาดินมาปั้นขึ้นมา เอาน้ำมาผสมเข้า ดินกับน้ำนี้แหละปั้นขึ้นมาเป็นก้อน เป็นตัวของคนเรา
ทีนี้เวลามันแตกมันทำลาย มันไปไหน ธาตุดินจะไปไหน มันก็ลงไปแผ่นดิน จะเผาไฟ ฝังดิน มันก็ลงไปเป็นดินนั่นแหละ
ธาตุน้ำมันจะไปไหน มันก็ไปในอากาศ ไปในธาตุดิน ธาตุน้ำรวมลงไปในแผ่นดินนั่นแหละ
นี่แหละมันเป็นอยู่อย่างนี้เรื่องธาตุทั้งหลาย แล้วจิตผู้รู้เห็น ผู้อยู่ภายในนี้ ต้องตั้งจิตตั้งใจให้ดี อย่าไปอ่อนแอท้อแท้ไปตามกิเลสมาร
กิเลสนั้นมันสำคัญ มันรู้เพราะมันอยู่ในใจ สังขารมารอันนี้มันอยู่ในดวงจิตผู้รู้นั้นเอง มันเป็นผู้ปรุงผู้แต่ง ผู้คิดผู้นึก ให้จิตใจผู้อยู่นั้นหลงใหลไป
นักภาวนาทั้งหลาย ท่านจึงไม่ยอมให้จิตใจนี้หลงไปตามสังขารมารกิเลสต่างๆ ที่ว่าให้เลิกให้ละ ให้ดับเรื่องราวอดีตอนาคต ก็คือว่าจิตสังขารมารกิเลสนี้แหละมันเอาเรื่องเหล่านั้นมาหลอก มาโกหกพกลมวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง
เพราะจิตไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่มีปัญญาญาณเกิดขึ้น มักหลงใหลไปเสีย หลงไปกับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ เมื่อมันหลงใหลไปแล้ว สิ่งที่ไม่ดีนั้นมันเลยเห็นเป็นดีขึ้นมา
สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นมันเห็นเป็นของเที่ยง มั่นคง ถาวร ยั่งยืน เหมือนกับว่ามันจะไม่แก่ไม่ไข้ ไม่ตาย อย่างนั้นแหละ
ทำไมมันแก่ได้ มันเจ็บได้ มันตายได้ เพราะไม่มีความเพียรเพ่งดูให้รู้ภายในจิต เพราะจิตมันสั่นสะเทือนไปตามอารมณ์นั้นเสีย ไปตามเรื่องตามราวนั้นเสีย
อย่างสมมติว่า รูปที่ผ่านสายตา ถ้ารูปใดสวยสดงดงามตามสมมติ จิตหลงอันนี้ก็เข้าไปยึดไปถือว่ารูปนั้นเป็นรูปสวย ไม่ว่าเป็นรูปคนรูปสัตว์ รูปวัตถุข้าวของ
พอเห็นว่าสวยแล้ว มันก็ไม่ได้คิดว่าสวยน่ะมันมาจากไหน แรกมันสวยอย่างนั้นไหม เอาอะไรมาปรุงแต่งจึงสวยได้ สวยจริงอยู่อย่างนั้นตลอดไปไหม ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่แตก ไม่ทำลาย ไหม
ปัญญาความรู้เท่าทันตรงนี้ไม่เกิดมีขึ้นแล้ว ก็หลงวันยังค่ำคืนยังรุ่งอยู่นั้นเอง
นี่แหละ ท่านจึงให้มีวิธีการนั่งสมาธิภาวนา สู้จนไม่ให้จิตนี้หลงใหลไป ให้จิตผู้รู้นี้แหละมาตั้งมั่นอยู่ในจิต เรื่องใดที่จิตเห็นว่ามันเป็นของดิบของดี ของเที่ยงแท้แน่นอน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ มันเที่ยงแท้แน่นอนจริงไหม จิตผู้นี้แหละ ตั้งให้มั่น ดูความจริงให้ปรากฏ จนปรากฏในจิตในใจ จนปรากฏในรูปในนาม ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า รูป นาม ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงจริงไหม
ต้องกำหนดรู้ ให้จิตใจรู้ด้วยญาณ ด้วยปัญญา ด้วยวิชชา อันแท้จริง ไม่ใช่รูปแบบคำพูด คำเขียน ความคิด เรียกว่า ต้องรู้ด้วยแบบปัญญาญาณเพียรเพ่งดู ว่ามันเที่ยงอยู่อย่างนั้นไหม รูปมันเที่ยงหรือไม่เที่ยง
เพ่งจนเห็นว่า แรกเริ่มเดิมทีของรูปมาจากไหน มาจากธาตุน้ำ ธาตุน้ำมันเคี่ยวเข้าปรุงแต่งเข้าเป็นธาตุดิน ธาตุดินเจริญวัยใหญ่โตขึ้นมามันก็เป็นรูปร่าง สี สัณฐาน ตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม จนแก่ชรา แตกดับเป็นอยู่อย่างนี้
ถ้ามันเที่ยงแท้แน่นอน อย่างจิตหลงเข้าใจนั้น มันก็คงไม่มีใครแก่ ไม่มีเจ็บไข้ ไม่มีแตกไม่มีทำลาย ไม่มีตายด้วย แต่ทำไมเกิดเท่าไรมันก็ตายเท่านั้น ไม่มีใครเหลือ ที่เหลือให้พวกเราเห็นมันยังไม่ถึงเวลามันแตกมันตายเท่านั้น มันรอเวลาเท่านั้น
ผู้ภาวนาไม่ต้องไปรอเวลา เมื่อใดเวลาใดถ้าตั้งจิตดวงนี้ให้มั่นคงลงไปในจิต ก็จะรู้ได้เข้าใจในเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นต้นไป
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรปิดปัง นอกจากจิตใจของตัวเองนั่นแหละ สังขารมาร
กิเลสนั่นแหละมันปิดบัง มันกั้นกางไม่ให้ทำ ไม่ให้พินิจพิจารณา
อย่างว่าจะตั้งจิตลงไปในจิตในปัจจุบันนี้ เป็นต้น มันก็มัวรอช้าไม่กำหนด ไม่พิจารณา เฉื่อยชา ไม่ดูว่าดวงจิตผู้รู้มันมีอยู่ในปัจจุบันสังขารที่มันปรุงแต่งขึ้นมา มันปรุงขึ้นมาในปัจจุบัน เราก็ดับก็ละในปัจจุบันทำความเพียรอยู่ในปัจจุบัน
เพียรละกิเลสที่มันมีอยู่ให้มันหมดไป สิ้นไป เพียรระวังรักษากิเลสอันใดมันจะเกิดขึ้นมีขึ้นในจิตนั้น ไม่ให้มันนิ่งนอนใจ ตั้งให้มั่นคงที่สุด
มั่นคงขนาดไหน มั่นคงจนไม่หวั่นไหว
หรือท่านเปรียบอุปมาเหมือนอย่างว่า แผ่นดิน มั่นคงเหมือนแผ่นดิน ยิ่งกว่าแผ่นดิน แผ่นดินยังมีหวั่นไหวได้ ยังมีคนขุดขึ้นหรือการถางเคลื่อนย้ายได้
สมาธิภาวนาตั้งจิตใจมั่น เอาจนไม่มีอะไรที่จะมาเคลื่อนไหวได้
ดวงจิตผู้รู้อยู่ที่ไหน นั่งก็ดูจิตตั้งมั่นในนั้น ยืนก็ตั้งอยู่ในจิตนั้นเดินก็ตั้งอยู่ในจิตนั้น จะไปรถไปรา สบายไม่สบาย ก็ตั้งอยู่ในดวงจิตอันนั้น
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง รูปนามเป็นทุกข์ รูปนามเป็นของไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมดอยู่ในดวงจิตผู้รู้นี้ นอกจากดวงจิตผู้รู้อันนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะเที่ยงมั่นถาวรยั่งยืนอย่างโลกสมมติ
กำหนดพิจารณาให้มันเข้าถึงความจริงข้อนี้ให้ได้ ทุกขณะทุกเวลานั่งสมาธิภาวนา หรือจะนั่งจะยืนจะเดินจะไปมาธรรมดาสามัญทั่วไปก็ตามจิตใจนั้นอย่าได้เคลื่อนที่
ถ้าเคลื่อนที่แล้ว มันหลงใหลไปแล้ว มันไม่รู้ทั้งนั้น เมาไปเหมือนเราที่ล่วงมาแล้ว เมื่อมันได้โกรธขึ้นมา มันก็หลงเมาไปหมด เมื่อมันโลกขึ้นมา มันก็หลงเมาไปหมด เมื่อมันหลงแล้ว มันก็หลงหมดทั้งโลก
ถ้ารู้ มันก็รู้แจ้งทั้งโลก รู้แจ้งในจิตนี้ได้ มันก็รู้แจ้งหมด โลกครั้งโลก มันเหมือนกันหมด
โลกนี้มันธาตุดิน โลกนี้มันธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม โลกนี้มันทุกกับนาม กายกับใจอยู่ด้วยกัน
ทำไมจิตมันหลง หลงก็คือไม่ตั้งใจภาวนา ไม่ทำความเพียรกิเลส ไม่รักษาศีลภาวนาให้พร้อมมูลบริบูรณ์
ทีนี้ว่าจะรักษาศีลก็ผัดวันเวลา เมื่อนั้นเมื่อนี้ มันไม่ทัน
ให้รักษาศีล ๕ ในเวลานี้ รักษาศีล ๘ ในเวลานี้ รักษาศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ในขณะนี้เวลานี้
เมื่อศีลบริสุทธิ์ สะอาด ก็หมายถึงจิตใจที่ตั้งมั่นลงไปนี่แหละ ศีลปกติ กายวาจามีที่ไหน จิตมันก็ตั้งมั่น จิตก็เป็นปกติ จิตก็สบาย ปัญญาก็เกิด
ปัญญาก็ไม่ใช่มาจากที่ไหน ก็เกิดขึ้นที่จิตนั่นแหละ ที่จิตดวงที่รู้อยู่ในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ นั้น ไม่ได้เอามาจากที่อื่น
ท่านจึงให้รวมกำลัง พลังงาน ความสามารถ ลงไปในจิตในใจดวงนี้ ไม่ให้ไปมัวย่อท้อ กลัวเจ็บกลัวไข้กลัวตาย อย่างโน้นอย่างนี้สังขารมารกิเลสละทิ้ง จะเอาอะไรมาโกหกพกลม ไม่ต้องไปเชื่อไปหลง
เรียกว่าตามเข้ารู้อยู่ในดวงจิต ดวงที่รู้อยู่เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ตั้งลงที่นี้ที่เดียว นั่งอยู่ที่นี้รูปนั่งต่างหาก จิตนั่ง ก็คือจิตมั่นคงอยู่ในจิตนั้นนอนยังไม่หลับ ก็มั่นอยู่ในที่นี้ ตื่นขึ้นมาก็มั่นอยู่ในที่นี้
เรียกว่า ตัตถะ ตัตถะ ในที่นี้ ในที่นี้ นี่ก็จำเพราะดวงจิตที่รู้อยู่นี้ จะไปหาที่ไหน จะไปเอาที่ไหน เอาที่ไหนได้ ไม่เอาที่ดวงจิตดวงใจที่ไม่ตั้งลงไปที่ตรงนี้ไปตั้งที่ไหน
บำเพ็ญภาวนา ทำความเพียรละกิเลส ก็เพียรลงไปตรงนี้ ทุกคนหายใจเข้าออก ทุกขณะทุกเวลา ทำความเพียรอยู่อย่างนั้นตลอด
เรื่องสมมตินิยมธรรมดาโลก มันมีอยู่ในโลกนี้แหละ อย่างไปกับมันจะหมดไปสิ้นไป โลกมันไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลมันจะหมดก่อน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันไม่หมดจากโลกนี้ เกิดมาชาติใดมันก็มีอยู่อย่างนี้ ตายไปชาติใดมันก็มีอยู่ มันไม่หมดสิ้นไปที่ไหน
การทำความเพียรปฏิบัติบูชาในทางพระพุทธศาสนา ต้องตั้งในจิตตรงนี้ให้มันเต็มที่เต็มฐาน จะเอาอะไรมาหลอกลวง ความเจ็บ ทุกขเวทนา ในรูปร่างกาย ในสิ่งใดๆ ก็ตาม หรือว่า โรคภัยมันมีอยู่นิดๆหน่อยๆ ตามธรรมดาของรูปร่างกาย
ก็อย่าไปเอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นเครื่องกั้น
นั่งสมาธิภาวนา ตั้งจิตตั้งใจให้มันแน่วแน่เด็ดเดี่ยว สลัดตัดบ่วง ห่วงอาลัยกิเลสตัณหาภายในดวงจิตดวงใจ ให้มันเด็ดขาดลงไป หัวใจอย่าไปอ่อนแอท้อแท้ วิตกวิจารอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เอาทั้งนั้น
เอาดวงจิตดวงเดียวนี้ นั่งก็อยู่ในจิต นอนก็อยู่ในจิต ยืนก็อยู่ในจิต เดินไปมาที่ไหนก็อยู่ในจิต จะทำธุรการงานใดๆ ก็อยู่ในดวงจิตผู้รู้อันนั้น
ฉะนั้น ท่านจึงสอนแนะนำข้อสำคัญไว้ว่า สิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตที่รู้อยู่นี้ อย่าได้หลงใหลไปเป็นอันขาด ถ้าเลื่อนหลงใหล ทีนี้หลงไปหมด ไหลไปหมด เลื่อนไปหมด เมาไปหมด ไม่รู้ทั้งนั้น
ไปยึดมั่นถือมั่นในรูปในนาม ในตัวในตน ในเขาในเรา ในตัวของเรา ตัวของข้า ตัวกูของกู ไปหมด
ผลที่สุด จิตอันนั้นก็อ่อนแอท้อแท้ กลัวไปหมดจะทำอะไรนั่งสมาธิภาวนา จะละความโกรธ ความโลภ ความหลง ก็ไปโดนไปกระทบแต่สังขารที่มันหลอกหลวงกีดกันอยู่
จงทำลายล้างสังขารมารเหล่านี้ให้หมดสิ้น ไม่ให้มันมาปรุงหลอกต่อไปอีก เรียกว่า เวทิตัพโพ พึงรู้แจ้ง ปัจจัตตัง จำเพาะจิตที่รู้อยู่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ให้ได้ตลอดไป
แล้วผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ก็จะมีจิตใจอันเข้มแข็ง สามารถอาจหาญการประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าวันเดือนปี อายุสังขารจะผ่านไป อยู่ในไหนก็ตาม จิตใจอันนั้นจะตั้งมั่น ภาวนาได้ตลอดกาล
ดวงจิตผู้รู้อยู่ (หลวงปู่สิม)
๗ กรกฎาคม ๒๕๑๗
...ทีนี้ถ้าเรากำหนดลมหายใจ เบื้องต้นเราอาจจะกำหนดพร้อมกับการรับรู้ ต่อความรู้สึกในร่างกายก่อน เพื่อให้สติตั้งอยู่ในกาย อาตมาได้แนะนำให้ แบ่งกายออกเป็น ๔ ส่วน หรือ ๔ ท่อน หนึ่ง ศีรษะ ใบหน้า คอ สอง ไหล่ แขน มือ นิ้วมือ สาม ลำตัว สี่ กายช่วงล่าง ⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ผ่าน หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้ว ก็กำหนดกายทั้งปวง ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเท้า แล้วดูความรู้สึกพร้อมกับลมหายใจ เหมือนลมหายใจเป็นกรอบของการรับรู้ต่อความรู้สึกต่างๆ ในกาย เราไม่ได้นึกภาพของกาย รับรู้ต่อความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยฝึกเป็นผู้รับรู้อย่างเป็นกลาง ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย สักแต่ว่ารับรู้รับทราบ ถือว่าเป็นข้อมูล ธรรมชาติเสนอข้อมูลให้เรา เราก็มีหน้าที่สังเกตการณ์เท่านั้นเอง ⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
ทีนี้เราก็สามารถภาวนาอย่างนี้สักระยะหนึ่ง แล้วแต่ความต้องการของจิต แล้วแต่ความคล่องแคล่ว หายใจเข้า หายใจออก รับรู้ต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ในกาย ความรู้สึกต่างๆ ที่ปรากฏเอง พร้อมกับลมหายใจเข้า พร้อมกับลมหายใจออก ในส่วนที่หนึ่ง แล้วก็ส่วนที่สอง แล้วก็ส่วนที่สาม ส่วนที่สี่ แล้วก็กายทั้งปวง เป็นขั้นที่ห้า แล้วก็กลับมา ส่วนที่สี่ ส่วนที่สาม ที่สอง ที่หนึ่ง แล้วก็กายทั้งปวง กลับไปกลับมา แต่ละส่วนแต่ละท่อน อาจจะสัก ๑๐ ลมหายใจก็ได้ หรือว่าถ้าเป็นแค่การวอร์มอัพ (warm up) ก่อนจะกำหนดลมหายใจที่ปลายจมูก หรือจุดที่เราถนัด อาจจะ ๑ – ๒ ลมหายใจก็ได้ เหมือนกับเป็นการทักทายกายของเรา... ⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
พระอาจารย์ชยสาโร⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
นำสมาธิภาวนาช่วงเช้ามืด ในวาระปฏิบัติธรรมบ้านพอ⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀⠀
วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๒ ณ บ้านพอ แม่ริม เชียงใหม่
ในเบื้องต้น การนั่งสมาธิจะสงบหรือไม่สงบก็ช่างมันเถิด มันสำคัญที่ความเพียร บุญอยู่ที่ตัวความเพียร การชำระจิตอยู่ที่ความเพียร
ถ้าเราพยายามกำหนดลมหายใจตลอด 20 หรือ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง แล้วไม่สงบ อย่าด่วนสรุปว่าไม่ได้อะไรเลย
การปฏิบัติในเบื้องต้นคือการเปิดเผยสิ่งเศร้าหมอง ความฟุ้งซ่าน วุ่นวาย ในจิตใจ และการฝึกปล่อยวางสิ่งเศร้าหมองเหล่านั้น
เราควรจะถือว่าการฝึกจิตคือการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่สูงสุด ถึงแม้ว่าจิตจะยังไม่สงบ ให้ภาคภูมิใจว่าเราเป็นผู้ที่ตั้งใจทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ
ความยากลำบากในการชนะใจตัวเองต้องมีแน่นอนทุกคน เราจึงต้องอดทน
▪ความยากลำบากที่เกิดขึ้นเพราะการปฎิบัติมีจุดจบ
▪ส่วนความยากลำบากซึ่งเกิดขึ้นเพราะไม่ปฏิบัติธรรมไม่มีจุดจบ
พระอาจารย์ชยสาโร
"การบำเพ็ญจิตตภาวนา อย่ามุ่งแต่ให้ใจสงบ อย่าไปพอใจให้ใจสงบอย่างเดียวถ้าหากว่าพอใจ ก็ให้พอใจใน"การกระทำให้มาก" กระทำให้มากเท่าไหร่ อันนั้นคือความถูกต้อง ถ้าหากว่าไปพอใจแต่ความสงบอย่างเดียว เราจะได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ เพราะใจของเรานี่ จะสงบตลอด ตลอดกาลไปไม่มี
มันเหมือนกับการเดินทาง อย่างเนี้ย
จะเดินไปนี่ไม่ให้มีแดด เดินไปไม่ให้มีฝน
นี่ มันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเจอแดดบ้าง เจอฝนบ้าง เหมือนกับการลงเรือไปในลำน้ำอย่างนั้นน่ะ จะให้ทะเลมันเรียบอย่างที่เราต้องการเป็นไปไม่ได้
มันจะต้องมีคลื่นมีลม มีคลื่นมีลมของเขาอย่างนั้น
บางทีคลื่นลมก็มาก ลอยสูงใหญ่ บางทีคลื่นลมก็น้อย บางทีทะเลก็เรียบ นี่ ใจของเราทำเหมือนเรือ คลื่นจะเรียบ เราก็อยู่เหนือน้ำ คลื่นจะน้อย คลื่นจะใหญ่
เราก็อยู่เหนือคลื่น เหนือน้ำ นั้น ไปติดอยู่พอใจแต่ในความสงบน้ำนิ่ง
เวลาน้ำไม่นิ่งนั่นน่ะ เราจะโดนคลื่น แล้วจะต้องโดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพอใจในการอยู่เหนือน้ำอยู่เสมอ เหนือความสงบ แล้วความไม่สงบมา เราก็อยู่เหนือ เราไม่ติดความสงบ
ความไม่สงบเกิดขึ้น เราก็ไม่ไปติด
ในเมื่อเราไม่ติด แล้วเราจะไปเดือดร้อน ไปเป็นทุกข์ เพราะความไม่สงบของใจได้อย่างไร คำว่าสังขารต้องเป็นสังขาร
พระพุทธเจ้าท่านไม่แต่งสังขาร ไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้รู้สังขาร
คำว่าแต่งสังขารก็หมายความว่า ทะเลไม่ให้มีคลื่นเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า
ท่านก็ไม่สามารถที่จะไปแต่งทะเลให้เรียบได้ เพียงแต่ให้รู้ทะเล "ให้รู้สังขาร"เท่านั้น
พอใจแต่ความสงบ ก็จะเจอสิ่งที่ไม่พอใจ
สงบ ไม่สงบ ไม่สน ทำให้ยิ่งอยู่เสมอ
เราไม่ได้ทำเพื่ออะไร เราทำเพื่อละ ทำเพื่อปล่อยวาง ทำเพื่อสลัดทิ้ง ดีก็ไม่เอา จะเอาทำไม เอาแล้วหนักทั้งนั้น เป็นภาระทั้งนั้น"
หลวงปู่แบน ธนากโร
คำว่า “ภาวนา” และ “สมาธิ” คืออะไร?
ต้องเข้าใจให้ถูกตรง
.
คำว่า “ภาวนา” นั้น จะต้องแยกจากภาวนาในภาษาไทยก่อน คือไม่ใช่เป็นเพียงว่า มามุบมิบๆแต่ปาก แล้วบอกว่าเป็นภาวนา หรือ เอาถ้อยคำในภาษาพระ เอามนต์ เอาคาถา มาท่องมาบ่น แล้วว่าเป็นภาวนา ไม่ใช่อย่างนั้น
“ภาวนา” แปลว่า ทำให้เกิดให้มีขึ้น ทำให้เป็นขึ้น สิ่งที่ยังไม่เป็นก็ทำให้มันเป็น สิ่งที่ยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้น เรียกว่า ภาวน
เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติ ฝึกหัด หรือลงมือทำ
“ภาวนา” จึงแปลอีกความหมายหนึ่งว่า การฝึกอบรม ฝึกนั้น..เมื่อยังไม่เป็นก็ทำให้มันเป็น อบรมนั้น..เมื่อยังไม่มีก็ทำให้มีขึ้น ยิ่งกว่านั้น เมื่อทำให้เกิด ให้มี ให้เป็น ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องทำให้เจริญงอกงาม เพิ่มพูน พรั่งพร้อมขึ้นไปด้วย จนเต็มที่
“ภาวนา” จึงมีความหมายตรงกับคำว่า“พัฒนา”ด้วย และจึงแปลง่ายๆว่า “เจริญ”
ในภาษาไทยแต่โบราณมาก็นิยมแปล ภาวนา ว่า เจริญ เช่น เจริญสมาธิ เรียกว่าสมาธิภาวนา, เจริญเมตตา เรียกว่า เมตตาภาวนา, เจริญวิปัสสนา เรียกว่า วิปัสสนาภาวนา
ตกลงว่า “ภาวนา” แปลว่า การฝึกอบรม หรือ การเจริญ การทำให้เป็น ให้มีขึ้นมา และพัฒนาให้งอกงามบริบูรณ์
การภาวนาในระดับที่เราต้องการในที่นี้ แยกเป็น ๒ อย่าง คือ จิตตภาวนา การฝึกอบรมจิตใจ อย่างหนึ่ง และ ปัญญาภาวนา การฝึกอบรมปัญญา อีกอย่างหนึ่ง
ถ้าใช้ตามนิยมของภาษาสมัยใหม่ เจริญ แปลว่า พัฒนา เพราะฉะนั้น จิตตภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาจิต หรือ พัฒนาจิตใจ ส่วนปัญญาภาวนา ก็แปลว่า การพัฒนาปัญญา
จิตตภาวนา นั้นเรียกง่ายๆว่า “สมถะ” บางทีก็เรียกว่า“สมถภาวนา” สมถะนี้ตัวแก่นของมันแท้ๆคือสมาธิ เพราะสมถะนั้นแปลว่า“ความสงบ” ตัวแก่นของความสงบก็คือสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สมถะนั้นมุ่งที่ตัวสมาธิ จะว่าสมาธิเป็นสาระของสมถะก็ได้ ฉะนั้น ก็เลยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สมาธิภาวนา
คำว่า จิตตภาวนา ก็ดี, สมถภาวนา ก็ดี, สมาธิภาวนา ก็ดี จึงใช้แทนกันได้หมด
ต่อไปอย่างที่สอง ปัญญาภาวนา นั้นเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า วิปัสสนาภาวนา การเจริญวิปัสสนามุ่งให้เกิดปัญญา คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย ปัญญาในขั้นที่รู้จักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง เรียกว่า “วิปัสสนา” แปลว่า รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้แค่ทำมาหาเลี้ยงชีพได้เท่านั้น แต่รู้สภาวะ รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิปัสสนา ซึ่งก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาภาวนา ถ้าจะเรียกให้กว้าง เป็น ปัญญาภาวนา
ตกลง ก็แยกภาวนาเป็น ๒ อย่าง
อย่างที่หนึ่ง เรียกว่า จิตตภาวนาบ้าง, สมถภาวนาบ้าง, สมาธิภาวนาบ้าง
อย่างที่สอง เรียกว่า ปัญญาภาวนา หรือเรียกให้แคบจำกัดลงไปว่า วิปัสสนาภาวนา
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรม ให้ถูกทาง”
-------------------------------------
การทำสมาธิ สมถะ มีหลากหลายวิธี
“หลักการที่แท้” นั้นอยู่ที่่ไหน?
“ บางท่าน งง! การทำสมาธินี้
เดี๋ยวกำหนดลมหายใจ
เดี๋ยวไปเพ่งกสิณ
เดี๋ยวไปภาวนา“พุทโธ”
เดี๋ยวไปเจริญเมตตา
เดี๋ยวเจริญพรหมวิหาร
อะไรกันแน่เป็นการทำสมาธิ?
ถ้าจับหลักได้แล้ว ก็นิดเดียวเท่านั้นเอง
“สมาธิ” ไม่มีอะไร คือการที่สามารถทำให้จิตกำหนดแน่วอยู่กับสิ่งเดียวได้ตามที่ต้องการเท่านั้นเอง
การที่เรากำหนดลมหายใจเพื่ออะไร ก็เพราะว่าใจของเรามันยังไม่แน่วแน่ ยังกำหนดสิ่งเดียวไม่ได้ มันฟุ้งซ่านเลื่อนลอยเรื่อยไป เราก็เลยพยายามหาเทคนิค หากลวิธีมาช่วยให้มันกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งเดียวให้ได้ สิ่งที่เอามาช่วยนั้นเราเรียกว่า “กรรมฐาน” (เขียน กัมมัฏฐาน ก็ได้) เป็นเครื่องมือ เป็นที่ทำงาน หรือ ที่ฝึกงานของจิตใจ
“กัมมัฏฐาน” แปลว่า ที่่ทำงาน คือที่่ทำงานหรือที่ฝึกงานของจิต เพื่อให้จิตได้รับการฝึกจนสามารถอยู่กับสิ่งเดียวได้ ฝึกให้จิตทำงานเป็น เพราะจิตทำงานไม่ได้ดี จิตยุ่งวุ่นวาย คอยจะเล่น เดี๋ยวก็ไปเที่ยวซุกซน ฟุ้งซ่าน จึงให้มันทำงาน ให้มันอยู่กับสิ่งเดียวให้ได้ เอาลมหายใจมาให้มันกำหนดบ้าง เอาเมตตามาให้มันกำหนดบ้าง เอาอสุภะมาให้มันกำหนดบ้าง เอากสิณมาให้มันเพ่งบ้าง เอามือมาเคลื่อนไหวให้มันตามให้ทันบ้าง เดินจงกรมบ้าง เอามาเป็นอุบายเป็นเทคนิคต่างๆ
แต่สิ่งที่ต้องการเมื่อเกิดผลสำเร็จแล้ว มีอันเดียว คือ “จิตกำหนดจับอยู่กับสิ่งเดียวได้”
ถ้าเมื่อใดจิตกำหนดแน่วอยู่กับสิ่งเดียวได้ นั้นคือ “สมาธิ”
ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีการอย่างไรก็ตาม ขอให้ได้ผลสำเร็จนี้ก็ใช้ได้ ไม่จำเป็นต้องเอาวิธีที่ท่านบอกไว้ก็ได้ แต่วิธีที่ท่านบอกไว้นั้น ท่านเคยได้ทดลองกันมาแล้วว่าได้ผล เป็นประสบการณ์ที่ได้บอกเล่ากันมา บันทึกกันไว้เป็น“ปริยัติ” เราก็เชื่อปริยัติในแง่ที่ว่า เป็นประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติมาแล้ว ได้ผลมาแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันอีก
เป็นอันว่าหลักการของ “สมถะ” มีอันเดียว คือ ทำให้จิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งเดียวที่ต้องการได้ แล้วก็ตามต้องการได้ด้วย
อยู่กับสิ่งเดียวที่ต้องการ บางทีทำสำเร็จแล้วแต่ไม่ตามต้องการ เช่น มันอยู่ได้สักพักเดียวก็ไปเสียอีกแล้ว อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้ตามต้องการ
ถ้าจะสำเร็จจริง ก็ต้องให้ได้ตามต้องการ จะเอาชั่วโมงก็ได้ชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงก็ได้ครึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงก็ได้สองชั่วโมง ถ้าอย่างนั้น เรียกว่า “สมาธิ” จริง แน่วแน่ ต้องการให้อยู่กับอะไร นานเท่าไหร่ ก็อยู่กับอันนั้น นานเท่านั้น ใจไม่วอกแวกไปอื่นเลย”
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
สมาธิมี ๒ ชนิด ความตั้งมั่นมี ๓ ระดับ
หลวงพ่อปราโมทย์ : จุดที่แตกหักจุดแรกเลย ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานหรือไม่ ถ้าจิตมีแต่ความสงบนะ ไม่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง มรรคผลนิพพานนะเป็นเรื่องฝันเอาเลย ไม่มีทาง อันนี้ครูบาอาจารย์แต่ก่อนก็สอนไว้ แต่คนลืมไป
หลวงปู่เทสก์ ท่านสอนสมาธิ ๒ ชนิด หลวงปู่เทสก์สมัยที่ท่านภาวนา ท่านเคยติดสมาธิอยู่สิบกว่าปี สิบสองสิบสามปี ใครก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ขนาดท่านอาจารย์สิงห์ก็แก้ให้ท่านไม่ได้ ต้องไปหาหลวงปู่มั่น ตามไปทางเหนือ หลวงปู่มั่นแก้ให้ได้ การที่ท่านติดสมาธิอยู่นาน ทำให้ท่านแตกฉานเรื่องสมาธิมากเลย ท่านสามารถแยกสมาธิออกเป็น ๒ ส่วนได้ สมมติบัญญัติของท่าน ท่านเรียกว่าฌานอันนึง เรียกว่าสมาธิอันนึง
"ฌาน"เนี่ยเป็นการเพ่งอารมณ์ ให้จิตนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว นิ่งๆ
"สมาธิ"เป็นความตั้งมั่นของจิต ให้้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ถ้าตั้งมั่นก็มี ๓ ระดับ ระดับตั้งมั่นชั่วขณะเป็น”ขณิกสมาธิ” ตั้งมั่นยาวหน่อยเป็น”อุปจารสมาธิ” ตั้งมั่นลึกเลยก็ยังตั้งมั่นอยู่ในฌานเป็น”อัปปนาสมาธิ”
ท่านอธิบายตัวสัมมาสมาธิตัวสมาธิที่ถูกต้องเนี่ย ท่านแยกเป็น “ขณิกสมาธิ” “อุปจารสมาธิ” “อัปปนาสมาธิ”
ส่วนการเพ่งให้จิตหลบในนิ่งๆอยู่ท่านแยก ๓ ส่วน มีอย่างละ ๓ เหมือนกัน
ไม่มีใครสอนนะเรื่องเหล่านี้ แต่ท่านไปยืมศัพท์ของทางอภิธรรมมาใช้ ว่าการเพ่งแบบนึงเนี่ย ท่านเรียกภวังคุบาท จิตรวมลงไปวูบเดียวแล้วก็ถอนขึ้นมาเลย วูบนึงหมดสติไปงั้น วูบลงไปแล้วถอนขึ้นมา อันนึงท่านเรียกภวังคจารณะ มันไหลลงไปแล้วมันไปเคลื่อนๆอยู่ข้างใน สติอ่อนจิตอ่อน มันเคลื่อนอยู่ข้างในจิตไม่ตั้งมั่น ท่านเรียกภวังคจารณะ อีกอันนึงท่านเรียกภวังคุบาท ดับไปเลย อันนี้ท่านไปยืมศัพท์ทางอภิธรรมมาใช้นะ คือเจ้าของศัพท์เค้าจะยอมรับไม่ได้เพราะว่าเค้าแปลไม่ตรงกับท่าน แต่ว่ามันเห็นเลยว่า ความแตกฉานของท่านมีมากในเรื่องสมาธิเนี่ย เก่งจริงๆ
แล้วท่านก็พบว่าจิตก็มี ๒ แบบ
จิตอันนึงเป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง
จิตอันนึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ท่านก็มีศัพท์เฉพาะ ยืมศัพท์มาใช้อีกแล้ว จิตที่เป็นผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ท่านเรียกว่า”จิต” อันนี้เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านเรียกว่า”ใจ” ท่านบอกว่าจิตอันใดใจอันนั้น ก็เป็นตัวรู้เหมือนกัน แต่ตัวรู้นึงมันเข้าไปคลุกอารมณ์ ไปหลงอารมณ์ ตัวรู้อันนึงที่เป็นใจ ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทรงสมาธิอยู่
นี่ท่านสอนมาก่อนหลวงพ่อนะ แต่ว่าภาษาท่านคนรุ่นโน้นก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก เพราะท่านพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในท่ามกลางวงกรรมฐาน ซึ่งมีแต่เรื่องพุทโธพิจารณากาย คนก็นึกว่าท่านภาวนาไม่เป็นซะด้วยซ้ำไป ที่จริงท่านก็ภาวนาเก่ง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
โอวาทของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต
โดย กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์
บทที่3.
(ผู้สูงสุดฯ)เพราะฉะนั้น เจ้าอยากได้อะไรล่ะ อยากได้แก่นใช่ไหม? เพราะฉะนั้น #การบรรลุธรรม #มันไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเชี่ยวชาญจึงจะบรรลุได้ อันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
แต่สิ่งที่บรรลุกันนั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดนั้น ก็คือ #การใช้ปัญญาไตร่ตรอง และปฏิบัติตามปัญญาที่ไตร่ตรองนั้น ปฏิบัติจริงนั้นก็จะเห็นผลได้ในไม่ช้า
เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นบรรลุได้ ...คือการบรรลุได้ด้วยปัญญาใช่ไหม? เพราะมีปัญญารู้ว่า เออว่า....นี้มันไม่ใช่ลูกของเรา สามีไม่ใช่ของเรา #ตัวเราไม่ใช่ของเรา จึงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์
..... ถ้าบุคคลฝึกสมาธิ เข้าฌาณแล้วไปอยู่พรหมโลก #พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าก็เคยอยู่พรหมโลกกันมาก่อน ก่อนจะมาเวียนว่ายตายเกิดนั้น และไปฝึกสมาธิ เข้าฌาณ บนพรหมโลก .... #ไปเท่าทุนทำไม
ข้าพเจ้าให้พวกเจ้าย้อนคิดสักนิดหนึ่งว่า พวกเจ้าจะฝึกสมาธิเพื่อความเชี่ยวชาญ และไปเท่าทุนอยู่พรหมโลกกันทำไม ...#เวียนว่ายตายเกิดลงมานี่ไม่เบื่อรึ?
เพราะฉะนั้น .... ปัญญาเท่านั้น.... ตอนนี้มีผู้ที่ชี้แนะปัญญา มีผู้รู้จริงหลายท่านมาชี้แนะปัญญา.... ปัญญาอย่างนี้มันหาไม่ได้
แต่การฝึกสมาธินั้นมันหาได้ ในศาสนาพราหมณ์ก็มี เพราะฉะนั้น การฝึกปฏิบัติตอนนี้ )#เน้นปัญญา
ในการฝึกความอดทนในการสร้างบารมีเป็นอันดับที่ 2 รองลงมา #มีปัญญาแล้วไม่มีขันติรองรับนั้น #มันก็มาไม่ถึงที่เขานี่แหละ เพราะว่ามันต้องใช้ความอดทนมาก
และการฝึกปฏิบัติจิตนั้น พวกเจ้าที่มีวาระจิตตรงกับการฝึกสมาธิแบบไหน ยุบหนอ พองหนอ หายใจเข้า หายใจออก หรือการเพ่งอะไรก็แล้วแต่
แต่การฝึกปฏิบัติสมาธินั้น ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่า สมาธิที่ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัตินี้ #เพื่อความสงบแห่งจิตใจในการที่จะได้มีใจที่สงบ #และไตร่ตรองในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า #เพื่อการบรรลุธรรม ลด ละกิเลส ให้เราคิดกันอย่างนี้นะพวกเจ้า... อย่างนั้นซิ ที่เรียกว่า..... #สมาธิที่เป็นแก่น
แต่ถ้าเจ้าฝึกสมาธิหน้าดำคร่ำเครียด เพ่งกสิณ เพ่งแล้วเพ่งอีก ไอ้พวกหมอผีละนะ มันยังถอดญาณมาคุยได้เลย มันสมาธิดีกว่าพวกเจ้าอีก
ถ้าเจ้าจะเอาสมาธิที่เป็นเป้าปลาย ๆ ออกไปนะ ไอ้พวกหมอผีนะ สมาธิมันเก่งนะ มันเพ่งเสียจนมันถอดจิตออกมาได้นะ #แต่มันขาดอะไร ? มันขาดปัญญา สมาธิของมันทำให้มันไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดเพราะอะไร ? #เพราะมีสมาธิแต่ไม่มีปัญญา
เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องเอาตัวรอดกันก่อนด้วยปัญญา ประกอบด้วยกันกับสมาธิ จึงจะเป็นสมาธิที่เป็นแก่น
< สมถะ VS วิปัสสนา >
สมถะ และ วิปัสสนา เป็นคำ 2 คำที่สำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความสับสน ความสงสัย หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
"สมถะ" นั้นคือ "การเจริญสมาธิ" ส่วน
"วิปัสสนา" นั้นคือ "การเจริญปัญญา"
แต่ทั้ง การเจริญสมาธิ และ การเจริญปัญญา ต่างต้องมีฐานเริ่มต้นที่ "การเจริญสติ"
การเริ่มฝึกปฎิบัติธรรมด้วยการฝึกเจริญสติ จึงเป็นกลวิธีหรืออุบายที่ลัดสั้นตรง และเป็นธรรมชาติมากที่สุดวิธีหนึ่ง
การเจริญสมาธิ หรือการฝึกทำสมาธิ เป็นการฝึกกำหนดสติ ฝึกให้มีเจตนา มีความตั้งใจกับการกระทำ หรืออารมณ์ที่เป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มีสติ มีเจตนาที่จะประคับประคองให้จิตมีความสนใจ รับรู้อารมณ์เดียวนั้นๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกัน
ปัญหาหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับการฝึกทำสมาธิคือ ระดับของการกำหนดบังคับ เพื่อประคับประคองจิตให้สนใจอยู่ในอารมณ์เดียวนั้นผู้ปฏิบัติอาจจะค้นหาหรือทำให้เกิดขึ้นได้ยาก ถ้าบังคับมากไปก็จะกลายเป็นความอยาก ถ้าบังคับน้อยไป จิตก็จะฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อยซึ่งตามจริงแล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่อันนี้คือ ตัวสติ และเจตนา
ต้องไม่ลืมว่า โดยแท้จริงนั้น จิตเป็นของที่เราบังคับไม่ได้ แต่จิตนั้นสามารถฝึกได้ ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีความคุ้นเคยกับกุศลหรือสภาวะธรรมที่ดีงาม ฝึกจนจิตนั้นเกิดอารมณ์ที่ละเอียด จนเขาเกิดความสนใจ สืบต่อความสนใจให้ติดต่อเนื่องกันไปได้
ในกรณีของผู้ปฏิบัติที่ผ่านขั้นตอนของการเจริญสติมาดีแล้ว สมาธิแบบสั้นๆ จะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เพราะสติที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดสมาธิขึ้นมาเอง
กล่าวกันตามจริงนั้น สมาธิจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าจิตใจของเรายังไม่มีคุณภาพของการมีสติที่ดีเพียงพอ
การเริ่มฝึกปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกทำสมาธิ จึงเป็นการฝึกการเจริญสติไปพร้อมๆกับการเจริญสมาธินั่นเอง
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมมือใหม่ที่สติยังไม่พร้อม ย่อมไม่อาจจะฝึกสมาธิให้ได้ผลที่ดีได้เลย นอกเสียจากจะได้สิ่งแวดล้อมปัจจัยที่ดีมากๆ เช่น จิตเข้าไปรับเอาอารมณ์ของความสงบสุขระงับ ความปิติ ความปลื้มใจ อันเนื่องด้วยผลวิบากจากการทำความดี การทำบุญกุศลต่างๆ (อย่างถูกต้อง)
"ฌาน และ สมาธิ นี้จิตรวมเหมือนกัน ถ้าจิตไม่รวมก็ไม่เรียกว่า สมาธิ และ ฌาน มีแปลกต่างกันที่ ฌาน นั้น เมื่อจิตรวมเข้าแล้วจะลืมสติ เพ่งพิจารณาแต่อารมณ์อันเดียว หรือมีสติอยู่ แต่ไป เพลินหลงอยู่กับภาพนิมิตและความสุขอันนั้นเสีย
#ไม่พิจารณาพระไตรลักษณญาณต่อไป #หรือที่เรียกว่าความเห็นไปหน้าเดียว
ส่วน สมาธิ นั้น เมื่อจิตรวมหรือไม่รวม ก็มีสติรักษาจิตอยู่ ตลอดเวลา รู้ตัวอยู่ว่าเราอยู่ในสภาพเช่นไร พิจารณาอะไร หยาบหรือละเอียดแค่ไหน เรียกว่า สมาธิ
#บางทีเมื่อจิตถอนออกมาจากฌานแล้ว
#มาพิจารณาองค์ฌานนั้น
#หรือพิจารณาอารมณ์อันใดก็ตามจนจิตแน่วแน่อยู่เฉพาะอารมณ์อันนั้น
#หรือเพ่งอารมณ์ของฌานอยู่แต่กลับไปพิจารณาพระไตรลักษณญาณเสีย
#จิตไม่รวมลงเป็นภวังค์
#เรียกว่าฌานกลับมาเป็นสมาธิ
เมื่อพิจารณาอารมณ์ของสมาธิอยู่ หรือออกจากสมาธิแล้วก็ตาม จิตไปยินดีน้อมเข้าไปสู่ ความสงบสุข เลยไม่พิจารณาอารมณ์ของสมาธินั้น จิตรวมเข้าไปเป็น ภวังค์ เรียกว่า สมาธิกลับมาเป็นฌาน
#ฌานและสมาธินี้กลับเปลี่ยนกันไปกันมาอยู่อย่างนี้
เป็นธรรมดาของผู้ปฏิบัติ ไม่เป็นการเสีย หายอะไร ขอแต่ให้รู้เรื่องของมันว่า อันนี้เป็น ฌาน อันนี้เป็น สมาธิ อย่าไปติดในอารมณ์นั้น ๆ ก็แล้วกัน ทำให้ชำนิชำนาญคล่องแคล่ว แล้วจะอยู่ในอารมณ์อันใดก็ได้
พระบรมศาสดาเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ หรือพระสาวกทั้งหลายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องเพ่งพิจารณา ฌาน นี้เป็น วิหารธรรม เครื่องอยู่ของท่าน ธรรมดาจิตจำเป็นจะต้องมีความคิดความนึกอยู่เสมอ ท่านเห็นโทษในอารมณ์นั้น ๆ ว่าเป็นไปเพื่อ วัฏฏะ เพราะฉะนั้นท่านจึงน้อมเอาจิตมาพิจารณาให้เป็น ฌาน เสีย เพื่อเป็นเครื่องอยู่ใน ทิฏฐธรรม ของท่าน
ฌาน และ สมาธิ นี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน พระองค์จึงตรัสว่า ผู้ไม่มีฌานก็ไม่มีสมาธิ ผู้ไม่มี สมาธิก็ไม่มีฌาน ดังนี้ เอวํ ฯ"
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย