พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 279 **ธรรมะเป็นสิ่งละเอียดอ่อน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าธรรมแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงบุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว เขานั้น จะมีการเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ เพราะเท่าที่หนูฝึกฝน เรียนรู้ ปฏิบัติมานั้น..
คำสอนของพระองค์ที่สอน ชี้บอก ให้เราทั้งหลายรู้ตามความเป็นจริงนั้น..มันค่อนข้างซับซ้อนละเอียดอ่อนมากนัก
หากว่าเราไม่มีปัญญาธรรมมากพอ เราก็คงไม่มีทางเข้าใจ เพราะว่าหนูปฏิบัติมาแล้วหลายปี.. มันก็ยังมีสิ่งที่ซับซ้อน ลึกลับ ละเอียดอ่อนเข้าไปเรื่อยๆ อีกนน่ะเจ้าค่ะ
หนูก็เลยอยากจะถามพระพุทธองค์ถึงเรื่องนี้ น่ะเจ้าค่ะ เพื่อหนูจะได้นำไปเป็นแนวทางในการ
ประพฤติ ปฏิบัติตาม น่ะเจ้าคะ ? “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังธรรมให้ดี
นั่งทำจิตใจให้สงบเสียก่อน ปรับจิตปรับใจให้พร้อม นะลูก
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่บุคคลผู้หนึ่ง เขาจะเข้าใจในธรรมได้นั้นย่อมแน่นอนว่า.. เขาต้องประพฤติ ปฏิบัติ จนเขานั้นค่อยๆเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของเขา อย่างชัดเจน
เขาต้องดูตัวของเขา แล้วก็ฝึกฝน ปฏิบัติ ตามหลักของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
... ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เขาก็จะมองได้เห็นแจ้ง ชัดเจน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเขา ลูก ++
เปรียบเสมือน ถ้ามีบ้านหลังหนึ่ง รกมาก สกปรกมาก
แล้วก็มีคนๆหนึ่ง เขาก็ลงมือทำความสะอาด ปัดกวาด เช็ดถู ทำทุกซอกทุกมุม
... แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ จนบ้านหลังนั้น สะอาด สวยงาม น่าอยู่น่าอาศัย
บุคคลผู้นั้น.. เขาย่อมรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ของการก่อนกวาด - กับหลังกวาด
ก่อนทำความสะอาด กับหลังทำความสะอาด ของบ้านหลังนั้น
และมันมีอะไรสกปรกบ้าง มีขยะอะไรบ้าง เขาต้องทำความสะอาดแบบไหน
ต้องใช้อุปกรณ์อะไร - จึงช่วยให้เขาทำความสะอาด จนบ้านหลังนั้น สะอาดขนาดนั้นได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ข้อสมมุตินี้ ก็เหมือนกันกับการที่ใครคนใดคนหนึ่ง
ที่ตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติ
รักษาศีล ฟังธรรม ทำสมาธิ และเติมปัญญา
ชำระกิเลสตัณหาในใจของตน
... เขาก็จะรู้ได้ เข้าใจได้ สัมผัสได้ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของเขา ด้วยตัวของเขาเอง
อย่างนั้น นั่นแหละลูก..
แล้วบุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม หรือฝึกฝนดูความเปลี่ยนแปลงของตน - จากการประพฤติ ปฏิบัติ
เขานั้น.. ก็ย่อมรู้ได้แค่เฉพาะตน / เฉพาะสิ่งที่ตัวของเขา -ทำความสะอาดจิต ในรูปแบบของเขา
แล้วก็สะอาด น่าอยู่น่าอาศัย - แบบของเขา
ส่วนบ้างหลังอื่น ที่เขานั้น.. ไม่ใช่คนทำความสะอาด
เขาไม่เห็นบ้านหลังอื่นๆ ตอนที่รก
เขาไม่ได้ลงมือทำความสะอาดเอง
... เขานั้น ก็จะไม่รู้ถึงความแตกต่าง ว่ามันแตกต่างยังไง ก่อนทำ และหลังทำ -
ถึงว่าจะรู้ว่าแตกต่าง - เขาก็จะไม่เข้าใจรายละเอียด
- ทุกความรู้สึก
- ทุกสิ่ง ทุกขั้นทุกตอน อย่างละเอียดได้ !
ฉะนั้น.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาก็ย่อมที่จะเข้าใจได้อีกอย่างหนึ่ง.. อย่างนี้ว่า
การที่เขานั้น ประพฤติ ปฏิบัติ ดับกิเลสตัณหา ในตัวของเขาได้ - มันก็
- เป็นเพียงรูปแบบของเขา
- เป็นเพียงเส้นทางการสร้างกรรม และเชื้อกิเลสตัณหา / วิธีการปฏิบัติในแบบของเขา
... แต่ของคนอื่นๆ- เขาก็อาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ที่ละเอียด
แต่ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “การชำระล้างจิตของตน”
.. ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ - ปราศจากกิเลสตัณหา
แล้วย่อมแน่นอนว่า.. การทำความสะอาดนั้น..
ต้องใช้ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
-- เหมือนกันกับการปัดกวาดเช็ดถูบ้าน - ก็คงต้องใช้อุปกรณ์คล้ายคลึงกัน เหมือนกัน ++
เพียงแต่ว่า สิ่งสกปรกที่รกอยู่ในบ้าน อาจแตกต่างกัน แต่มันก็
คือ ขยะเหมือนกัน
คือ ฝุ่นเหมือนกัน
บ้านจะหลังสวย ไม่สวย จุดมุ่งหมาย ก็คือ การทำให้บ้านหลังนั้น สะอาด.. ถือว่าใช้ได้ ++
เช่น จิตของคนเรา อาจจะมีดวงจิตที่สร้างสั่งสมบุญบารมีมา.. แตกต่างกัน
บางคนรวย - บางคนจน
บางคนดูสวยงาม - บางคนดูไม่สวยไม่งาม
บางคนมียศ มีตำแหน่งที่ใหญ่โต
บางคน ก็เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
มันจะมีความแตกต่างในรูปลักษณ์ภายนอก /ในรูปแบบของการดำรงชีวิต
มีความแตกต่างกัน.. เหมือนบ้านในโลกนี้ละลูก
บ้านมีเยอะแยะมากมาย มีทั้งบ้านที่สวยงาม / มีทั้งบ้านที่ไม่สวยงาม
มีทุกสิ่งละลูก
แต่จุดมุ่งหมาย ก็คือ ทำให้บ้านหลังนั้น สะอาด ปราศจากสิ่งสกปรก
น่าอยู่น่าอาศัย
ให้ผู้พัก ผู้อาศัยรู้สึกสบายตา สะอาดใจ
... อยู่แล้ว มีความสุขเท่านั้นก็พอ ++
ร่างกายของมนุษย์เรา
จิตใจของมนุษย์เรา
กรรมของมนุษย์เรา ที่ก่อที่ทำมา
เชื้อกิเลสตัณหา ที่เกาะกินจิตใจของมนุษย์เรา
มันก็มีความเหมือน เหมือนเพราะว่า.. มัน
/ เป็นร่างกายเหมือนกัน
/ เชื้อกิเลสเหมือนกัน
/ ทุกข์เหมือนกัน
เหมือนเพราะว่า ต้องใช้ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
... ขจัดปัดเป่ากิเลสตัณหา ดับเชื้อเหล่านี้เหมือนกัน
แต่ระหว่างที่ทำนั้น.. อาจแตกต่างกัน
บางคน มีบ้านหลังใหญ่.. ต้องทำความสะอาดนาน
บางคน มีบ้านหลังเล็ก.. ทำได้ไวหน่อย
ความแตกต่างในรายละเอียด.. อาจมีสิ่งที่แตกต่างกันไป - เป็นธรรมดา
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม.. เขาจะเข้าใจสภาวธรรมของจิตทั้งหลาย.. เช่นนี้ละลูก
เราทุกคนเกิดมา - มีความเกิด ที่แตกต่างกัน..
คือ เหตุแห่งการเกิด
คือ กรรมที่ส่งผลมา.. แตกต่างกัน
ฉะนั้น.. เมื่อเราจะประพฤติ ปฏิบัติ ชำระกรรม ชำระกิเลสตัณหา
.. ให้ดวงจิตของเรา เข้าถึงความบริสุทธิ์ / เข้าถึงพระนิพพานได้นั้น..
เราก็ต้อง..
ดูที่เรา
ชำระที่เรา
ทำความสะอาด ในจิตในใจของเรา
... และเรานั่นแหละ จะเป็นผู้รู้ดีที่สุด ละเอียดที่สุด ในทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้ว..
... เขาก็จะรู้แจ้งในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เช่นนี้ละลูก
* เขาจะยึดหลักแค่ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
* แล้วก็ยึดหลักแค่ ประพฤติ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ด้วยตัวของเราเอง
* เขาจะยึดหลักการไม่สนใจบุคคลผู้อื่น ว่าเขาจะเป็นแบบไหน ยังไง..
- เอาตนให้รอดก่อน !
เมื่อเขาทำเช่นนี้.. เขาก็จะเข้าใจอีกว่า.. ดวงจิตบนโลกนี้ มีมากมาย
จุดมุ่งหมาย คือ การดับกิเลสตัณหา
และทุกคน ต้องดับกรรม - ดับกิเลสตัณหาของตน
กรรม และกิเลสตัณหา ของแต่ละคน.. มีความละเอียดอ่อน - ที่แตกต่างกัน
และก็มีความเหมือนกัน.. คือ ต้องดับกิเลสตัณหา ให้ได้ !
ฉะนั้น.. ในรูปแบบ ที่เขาประพฤติ ปฏิบัติ - เพื่อดับกิเลสตัณหาของเขา
นั่นไม่ได้แสดงว่า ทุกคน..
- ต้องเจอแบบเขา
- ต้องทำแบบเขา
- ต้องมีรายละเอียดอย่างเขา
แต่ละคนอาจจะมีความละเอียดอ่อน ในการชำระกิเลสที่แตกต่างกันไป
ขอเพียงอาวุธในการชำระกิเลส ไม่อยู่นอกกรอบของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา*
-- ย่อมสามารถชำระได้ ไม่ผิด !
ขอเพียงแค่ให้ การชำระวิบากกรรม - กิเลสตัณหา นั้น คือ การทำไปเพื่อมุ่งสู่นิพพาน **
เขามีจุดมุ่งหมาย คือ “ดับกิเลส - ดับเชื้อแห่งการเกิด” ให้ได้
แค่นั้นถือว่า ไม่ผิดอะไร..
ถึงแม้ว่าการลงรายละเอียด สิ่งที่เผชิญของแต่ละคน - อาจจะไม่เหมือนกันทั้งหมด
- แต่จุดมุ่งหมาย คือ ดับกิเลสตัณหาได้ -
... นั่นถือว่า ใช้ได้ !
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม..
เขาก็จะดูเฉพาะมุมของตน ทำเฉพาะตน
เขาทำตน ดูตน จนเข้าใจตนเมื่อไหร่..
เขาเป็นผู้มีปัญญา รู้ตื่น รู้แจ้งแล้ว..
... เขาก็จะไม่มีจิต ที่จะไปโทษผู้อื่น โทษว่าผิด / หรือชมว่าถูก..
เขาจะมองเห็นความผิด กับความถูกนั้น - เป็นสิ่งที่เป็น”ทิฐิ เป็นอัตตา”
เขาจะมองเห็นแค่ว่า..
คนนั้น คนโน้น.. เขามีสภาวธรรม เป็นอย่างนั้นเอง !
-- แต่เขา ต่างก็ตั้งใจทำความดีกันอยู่…
สิ่งที่เขาทำ - ก็อยู่ในหลักของ *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* ย่อมไม่ผิดอะไร
ปล่อยให้เขาทำไป..
ทุกคน จะต้องได้เรียนรู้ ฝึกฝน ในรูปแบบของตนเอง ++
-- เพื่อขัดเกลาเชื้อกิเลสตัณหาในตัวของเรานั่นเอง --
พระยาธรรมเอ๋ย.. จิตผู้ที่เข้าถึงธรรมอันสูงสุดแล้ว *.. เขาย่อมรู้เช่นนี้ละลูก
ฉะนั้น.. ไม่ว่า “ธรรมของพระพุทธเจ้า” ที่ชี้บอกไป.. มันจะดูละเอียดอ่อนเพียงใด
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม.. เขาก็สามารถรู้ และเข้าถึงได้ อย่างละเอียดอ่อน
ด้วยตัวของเขา ด้วยจิตของเขา ด้วยการสัมผัส - ในการชำระกิเลสของเขา
-- ทุกสิ่งทุกอย่าง.. จะปรากฏชัดเจนแก่เขา --
เพราะเขาจะมองดูแต่เฉพาะเขา.. ไม่ตัดสินผู้หนึ่งผู้ใด ว่าผิด ว่าถูก
และเมื่อเขา ทำเขาจนสะอาด.. เขาก็จะมองสิ่งต่างๆทั้งหลาย เป็นธรรมดา.. อย่างนั้นเอง
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม.. เขาทำเช่นนี้ละลูก
รู้ละเอียดอ่อน รู้ซึ้งในธรรม เช่นนี้ละลูก
รู้ว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า สอนให้ตนเป็นที่ตั้ง ดับปัญหาแห่งตนให้ได้
คือ การชำระกรรม และกิเลสตัณหาของตน
จิตนั้นหลุดพ้นเมื่อไหร่ ตนนั้นถือว่า “จบกิจ”
ทุกคน มีหน้าที่ชำระ- เฉพาะจิตตน
เมื่อเข้าใจตน.. ก็จะเข้าใจผู้อื่น ++
เมื่อตนนั้น.. ก็ยังไม่เข้าใจตน.. จะไม่มีทางเข้าใจผู้อื่นเลย !
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. หากใคร ที่ปรารถนาจะเดินรอยขององค์พระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง
ก็ต้อง..
- เอาตนเป็นที่ตั้ง.. เรียนรู้ในรูปแบบของตน
- แล้วก็ดับตน..ดับให้ได้ในการเป็นตน
... แล้วก็จะเข้าใจผู้อื่นเอง..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จงตั้งใจพากันประพฤติ ปฏิบัติ
รักษาศีล - ให้เห็นชัดในการรักษาศีลของตน อย่างละเอียด
ฟังธรรม.. ก็ให้เห็นชัดในการฟังธรรมของตน
ว่ามีปัญญา ฟังธรรมในระดับไหนได้บ้าง ?
พอรู้ พอเข้าใจหรือเปล่า ?
หรือว่า ฟังธรรมแบบที่..
ใช้ทิฐิ ใช้อัตตาตัวตน ในการฟัง
ใช้ความถูกใจ - ไม่ถูกใจ ในการฟัง
- แต่ไม่ได้ใช้ความถูกต้อง.. อย่างนั้นหรือเปล่า ?
ดูที่ตน.. สมาธิมีบ้างมั้ย ?
นั่งสมาธิ ได้หรือเปล่า
เดินสมาธิ ได้หรือเปล่า
ยืนสมาธิ ได้หรือเปล่า
นอนสมาธิ ได้หรือเปล่า
ทุกอิริยาบถแห่งตน มีสมาธิบ้างมั้ย ?
ดูที่ตนลูก.. ว่าตนมีความสงบแล้วหรือยัง ?
หรือว่าจิตของตน มัวแต่วุ่นวาย
ไปโทษคนโน้น.. ไปเพ่งคนนั้น
ไปว่าเขา.. ว่าอย่างนั้น
ไปว่าเขา.. ว่าผิดอย่างนี้..
ดูที่ตนเถิดลูก
ดูสมาธิแห่งตน.. ว่ามันได้เรื่องบ้างแล้ว หรือยัง
ดูที่ปัญญาแห่งตน ลูก.. มีปัญญาธรรม บ้างมั้ย
*ปัญญาธรรม *
คือ การรู้แจ้งตามความเป็นจริง
คือ การเห็นตามความเป็นจริง
ตัวมีปัญญาธรรม ที่จะเห็นแจ้ง รู้ตามความเป็นจริง
- ในความเป็นตัวเป็นตน ของตนหรือยัง ?
สิ่งเหล่านี้ละลูก คือ สิ่งที่ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะทำ
... นั่นจึงจะเป็นการประพฤติ ปฏิบัติ ที่ถูกต้อง ++
และเป็นการปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง..
-- โดยไม่มีผิดเพี้ยนไปจาก แนวการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเลย..
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. การรักษาศีล ไม่ใช่สักแต่ว่า ได้ยิน ได้อ่าน ได้ฟัง หรือว่าจดจำ
.. แล้วจะเข้าใจการรักษาศีลได้ !
การฟังธรรม ก็เช่นเดียวกัน.. ไม่ใช่ว่า สักแต่ได้อ่าน ได้ฟัง ได้ยิน ผ่านหูผ่านตา
จำเอาไว้ แต่เป็นการประพฤติ ปฏิบัติ
ทำให้มันเข้าถึงคำสอนคำนั้นต่างหาก
... จึงจะสามารถ เข้าถึงความละเอียดอ่อนแห่งธรรม อย่างแท้จริง ++
สมาธิ ก็เหมือนกัน.. ไม่ใช่อ่าน ไม่ใช่จำ ไม่ใช่ว่า มันเคยผ่านหูผ่านตา..
แล้วลูกจะอาศัยสิ่งเหล่านี้.. เข้าใจสมาธิ ได้ละเอียดอ่อน
.. อย่างนั้นไม่ถูกต้อง !
การที่จะเข้าถึงสมาธิ เข้าใจอย่างแท้จริง.. ลูกต้องประพฤติ ปฏิบัติเอง ++
จนเข้าถึงความละเอียดอ่อน..ในสมาธิ
... และก็อย่าลืมว่า.. แม้แต่สมาธิ - ก็ยังมีถึง 40 วิธี ในการทำ
การที่ลูกนั้น จะมีปัญญาธรรมอย่างแท้จริง.. ลูกต้อง
มี *ศีล ธรรม สมาธิ* ก่อน..
มีอย่างประพฤติ ปฏิบัติ น่ะลูก
ไม่ใช่มีอย่างท่องมา จำมา
เคยได้ยิน เคยได้ฟัง
… ต้องมีอย่างประพฤติ ปฏิบัติ **
แล้ว*ศีล ธรรม สมาธิ* ก็จะช่วยส่องสว่างให้กับดวงจิตของลูก.. ให้รู้ตามความเป็นจริง
นั่นจึงเป็น “ปัญญาธรรม”
ปัญญาธรรม ไม่ใช่การคิด ไม่ใช่การนึก..
.. นั่นคือ การปรุงแต่งของจิต คือ เรื่องแห่งกิเลสตัณหา ++
ปัญญาธรรม คือ การเห็นว่า.. มันเป็นอย่างนั้นเอง
ปัญญาธรรม คือ การรู้เท่ารู้ทัน เห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ / ที่โดนปกปิดอยู่
-- นั่นจึงเป็นปัญญาธรรม ที่แท้จริง ++
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จงพากันทำความเข้าใจอย่างนี้..
แล้วจะไม่พากันหลงทางเลย
... จะสามารถเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้าได้ **
ไม่ว่าลูก..
จะเป็นใคร
จะมีชนชั้นวรรณะแบบไหน
จะมีเพศหญิง หรือชาย
ลูกนั้น.. จะเคยเรียน เคยศึกษาพระคัมภีร์มา
หรือจะไม่เคยเรียน ไม่เคยศึกษามา ก็ตาม..
หากยึดหลัก คือ..
รู้แค่ *ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา*
รู้แค่ว่า ดับ “หลง รัก โลภ โกรธ / ความอยาก และความไม่อยาก”
รู้แค่ว่า ดับเพื่อไปนิพพาน
... แล้วน้อมเอาไปประพฤติ ปฏิบัติตาม.. แค่นั้นละลูก
ก็ถือว่า.. ถูกต้องตามหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา.. ลูกเอ๋ย ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม.. เขาเอาตนเป็นที่ตั้ง
จนแยกแยะความแตกต่าง - และความเหมือนของจิตทั้งหลายได้..
เขาเข้าใจ และมองเห็นทุกอย่าง.. เป็นธรรมดา
ไม่มีจิตเพ่งโทษ คิดผิด คิดถูก
และเขาก็เอาตน จนถึงความสำเร็จ
รักษาศาสนา เผยแพร่ศาสนา ด้วยความสำเร็จในการเป็นพระอรหันต์ของเขา นั่นแหละลูก
จะเป็นการสืบทอด รักษาศาสนาที่ดี ถูกต้องอย่างแท้จริง **
-- ศาสนาจะไม่เสื่อมไปเลย…
เช่นนี้ละลูก.. น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติ อบรมจิตของตน
หาตัว หาตน ให้เจอ
ตัวตนที่ก่อที่เกิดขึ้นมา.. ก่อเกิดมาจากไหน ?
ต้องทำยังไง.. เพื่อสลาย “การก่อเกิด” ของตนนั้น ?
-- รู้หนทางแห่งตน.. ทำให้แจ้งในหนทางแห่งตนเถิด.. พระยาธรรม --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกเข้าแล้วใจเจ้าค่ะ
เข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้ง ในธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วเจ้าค่ะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่
ตามความรู้ความสามารถ / ตามสติปัญญา / กำลังของลูก
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อน.. นะเจ้าคะ
สาธุ