"ที่ว่าน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ นั้นไม่ใช่จิต (แต่)เป็น"สังขาร" แท้จริงจิตนี้ไม่เคยเศร้าหมอง เพราะจิตนี้คือ ความว่าง..
ความว่าง ไม่เคย เสียใจ ไม่เคยน้อยใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ ไม่เคยโกรธใคร เพราะเรามีความว่าง..
รู้อยู่ แต่ปรุงแต่งไม่ได้ กิเลสจะตัดหรือไม่ตัด ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไปหาธรรม...
ถ้าเราระลึกรู้ตรงนี้ เราก็จะรู้ได้ จะรู้ ไม่รู้ ก็ขึ้นอยู่กับ สติของเรา สติของเราเข้าใน รู้ว่าสติเราอยู่กับตัวหรือเปล่า
หยุดตรงนี้ กลางกายของเรา ถ้าน้อมเข้ามาแล้วความวุ่นวายทั้งหลาย กิเลสที่เราอยากตัด มันจะจบทันทีเลย มันจะตัดเองไม่ต้องไปตัดมัน ถ้าเราอยู่ตรงนี้สังขารไม่มา หากเราไปอยู่กับสังขารมันก็ใช้เราตลอด
ถ้าเราหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของสังขาร เพราะมันปรุงแต่งให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในสังขาร ทั้งนั้น
"สติ" ตรงนี้ ไม่มีอดีต อนาคต เหลืออยู่แต่ปัจจุบันธรรม ถ้าไม่น้อมเข้ามาก็ไม่เป็น"สมาธิ"
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อยากเห็นพระพุทธเจ้าก็น้อมเข้ามาที่ตัวเรา เรียกว่า ปัจจุบันจิต เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง นั่นคือธรรมะ แต่ถ้าปรุงแต่งก็เป็นธรรมะ แต่เป็นสังขารธรรม
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าไปหากิเลส มันเป็นเรื่องของมัน เราอย่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นกองบัญชาการ มันทำให้เรามีแต่ความทุกข์ มีแต่ความร้อน เป็น"ธรรมที่เกิด" เกิดเพราะโลภะ โทสะ โมหะ
พระองค์จึงให้ไปหา"ธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยู่ที่ตัวของเรา
"ตั้งสติไว้ปกติ" ไม่มีอดีต อนาคต ก็เกิด "ความว่าง"..ทันที ถ้ารู้อยู่ตรงนี้จะไม่รู้อย่างอื่น รู้..แค่..รู้
เหมือนที่หลวงปู่ดุลย์ท่านว่า การปฎิบัติ ถ้าเราไป"หาจิตเจอ สังขารก็ตายเอง" ไม่ต้องไปฆ่ามัน แต่ถ้าหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของมัน เพราะทิฎฐิที่ทำให้เราไม่รู้ธรรม ก็เพราะมี อดีต อนาคต”
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล
"อตัมมยตา" ธรรมะ 9 ตา "พุทธทาสภิกขุ"
1.อนิจจตา คือ ความที่ทุกๆสิ่งไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
2.ทุกขตา คือสภาพ ที่ อยู่คงที่ทนต่อสภาพ เดิมไม่ได้. ต้องแตกสลาย ดับไป
3.อนัตตา สภาพที่บังคับไม่ได้ ว่างเปล่าจากความหมาย แห่งตัวตน ของตน
4.ธัมมัฏฐิตตา คือ ความเป็นกฎตายตายตัวแห่งธรรมดา ของธรรมชาติ
5.ธรรมะนิยามตา คือ จะไม่เป็นไปโดยประการอื่น คือ มันจะต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น
6.อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น
7.ตถตา คือ มันเป็น ของมัน อย่างนั้นเอง
8.สูญญตา คือ ความว่าง (ว่างจากความปรุงแต่งของ สังขารทั้งหลาย)
9. อตัมมยตา ความไม่อาศัยการปรุงแต่งของสิ่งนั้นอีกต่อไป, ความอยู่เหนืออำนาจ ความไม่ถูกปรุงโดยสิ่งนั้นอีกต่อไป
ภาษาชาวบ้าน "กูไม่ยุ่งเกี่ยวกะมึงอีกต่อไป"
แปลตามฝรั่งหรืออรรถกถาว่า ไม่มี ไม่อาศัย ตัณหา มานะ ทิฐิ
ความไม่ตกอยู่ใต้อำนาจการปรุงแต่งผูกพัน ของปัจจัย สังขารนั้นๆ อีกต่อไป
ความไม่ต้องให้มันปรุงแต่งสร้างสรรค์อีกต่อไป
ดูยังไงก็ฟังยากอยู่นั้นเอง ท่านจึงบัญญัติคำแปลชนิดที่ฟังแล้วสะดุดใจ (ดังอีกหลายๆ คำที่ท่านประดิษฐ์ขึ้น) ว่า "กูไม่ยุ่งเกี่ยวกะมึงอีกต่อไป, กูไม่เอากะมึงอีกต่อไป" ไม่เอากะมึงอย่างไร ลองอ่าน อตัมมยตาประยุกต์เป็นตัวอย่างสักเล็กน้อย
"ปัญหาอันเลวร้ายในชีวิตประจำวันนั้นมันคืออะไร อันแรกสุด ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความหวง ความหึง
ความรักนี่ยุ่งยากที่สุด เพราะมันมีหลายรัก รักด้วยความโง่ก็มี รักด้วยสติปัญญาก็มี รักมีกิเลสตัณหาก็มี รักไม่มีกิเลสตัณหาก็มี แต่ความรักโดยทั่วไปของปุถุชนก็รักด้วยความโง่ รักด้วยกิเลสตัณหาทั้งนั้น เป็นความรักที่กัดเจ้าของ เพราะมันรักด้วยความโง่ ถ้ามีความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปถึงอตัมมยตาแล้วมันก็สลัดความรักออกไปได้......"
อธิบายธรรมะ 9 ตา พอสังเขป
อนิจจตา “ความไม่เที่ยง” หมายถึงการเปลี่ยนแปลงแห่งสังขาร (สิ่งผสมทั้งหลาย) ทุกขตา “ความเป็นทุกข์” หมายถึงความคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ จำต้องเปลี่ยนไปในที่สุด หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจตา สาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงเป็น ทุกขตา อนัตตา ความไม่มีตัวตนถาวรหรือภาวะที่มิใช่ตัวตนของใคร
ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา คือกฎธรรมชาติ กฎธรรมดาของสิ่งทั้งหลายว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดมามีการเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงและดับสลายเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีการยกเว้น อิทัปปัจจยตา คือความเป็นปัจจัยอิงอาศัยกันของสิ่งทั้งหลาย ตถตา คือความเป็นเช่นนั้นเอง สุญญตา คือความว่างหรือจิตว่าง อตัมมยตา คือความไม่มีตัณหามานะและทิฏฐิ เป็นภาวะของพระอรหันต์.
มารที่น่ากลัว ๕ ตน
.
“ มาร ที่น่ากลัว ๕ ตน สิ่งที่เรียกว่าเป็น “ มาร ๕ ตัว” คือ
.
“กิเลสมาร” เป็นมารตัวหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ทำลายหมด
.
“ขันธมาร” คือ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มีภาระต้องบริหาร มันทำให้เกิดการยึดถือติดอยู่ที่นั่น มันก็มีอาการเหมือนกับว่ามารขัดขวางความก้าวหน้า หรือบางทีถ้าทำผิดมากไป ก็ทำให้คนนั้นถึงกับตาย คือสูญเสียหมด เสียชีวิต เสียความดี เสียอะไรหมด เพราะทำผิดต่อสิ่งที่เรียกว่า “ขันธ์ ๕”
.
ทีนี้ “มัจจุมาร” คือ ความตาย มาถึงเมื่อไหร่ มันก็คือตัด ตัดรอนหมด เรียกว่าเป็นมารเหมือนกัน
.
ทีนี้ “อภิสังขารมาร” การปรุงแต่ง นี้เป็นมาร เพราะการปรุงแต่งทำให้ไม่หยุด บางคนจะอธิบายคำว่ากรรมก็ได้ แต่กรรมก็คือการปรุงแต่ง หรือการไม่ยอมให้หยุดเหมือนกัน แปลตามตัวดีกว่าว่า สัง-ขา-ระ แปลว่า “การปรุงแต่ง” การปรุงแต่งมันเป็นมาร มันทำให้ไปเรื่อยไป ไปเรื่อยไป ไม่รู้จักจบ ถ้าหยุดสังขารเสียได้นั่นแหละก็จะเป็นสุข เตสํ วูปสโม สุโข พระบังสุกุลว่า เตสํ วูปสโม สุโข แปลว่า สงบรำงับสังขารนั้นเสียได้ก็เป็นสุข
.
มารสุดท้าย “เทวปุตตมาร” เทวดาเป็นมาร เขาชอบอธิบายกันว่าเทวดาบนสวรรค์ บางคราวลงมาขัดคอมนุษย์ พวกเทวดาเทวบุตรเหล่านั้นมาเป็นมาร เราว่าอธิบายอย่างนั้นมันน่าหัวเราะ ความอยากเป็นเทวดานั่นแหละ ความอยากสำรวยสำอางนั่นแหละ มันเป็นมาร หลงใหลใน “ความเป็นอยู่ท่ามกลางกามารมณ์” นั่นแหละ มันเป็นมาร เพราะว่า คำว่า เทวดา ในที่นี้หมายถึง ความสุขทางกามารมณ์ มันเป็นมาร นี่เรียกว่า “มารน่ากลัว ๕ ตน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย “ฟ้าสางทางธรรมโฆษณ์” บรรยายเมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๒๖ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม
---------------------------------
.
พระผู้มีพระภาคทรงตรัส…
.
“เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง
ทั้งที่เป็นของทิพย์
ทั้งที่เป็นของมนุษย์
เราได้พ้นแล้ว
จากเครื่องพันธนาการมากมาย
.
แน่ะ! มารผู้กระทำซึ่งที่สุด
เราได้กำจัดท่านเสียแล้ว
เราปราศจากความพอใจในอารมณ์เหล่านี้
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นที่รื่นรมย์ใจ
แน่ะ! มารผู้กระทำซึ่งที่สุด
เราได้กำจัดท่านเสียแล้ว”
.
พระไตรปิฎกภาษาไทย
วิ. ม. ๔/๓๓/๔๑
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวมรวม. ##
เจตสิกคืออะไร?
เจตสิก คือ คุณธรรมอันเป็นส่วนประกอบอยู่ในจิต
เช่น เราภาวนาแล้ว เกิดศรัทธา เกิดวิริยะ เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ...
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นเจตสิก ประกอบอยู่ในจิต
คุณธรรมอันใดเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของจิต อันนั้นคือเจตสิก
ว่าอีกอย่างหนึ่ง สมมติจิตกับพุทโธสัมผัสกัน พุทโธเป็นธรรมารมณ์ จิตเป็นมโน ทั้งสองอย่างนี้มาผสมกันเข้า ก็เรียกว่าการสัมผัส และความรู้สึกว่าสัมผัสนั้นเป็นวิญญาณ
เมื่อภาวนาพุทโธแล้ว เกิดสมาธิขึ้นมานั่นคือเจตสิก แล้วเกิดปัญญาขึ้นมา นั่นก็คือเจตสิก เกิดสติขึ้นมา นั่นก็คือเจตสิก เกิดศรัทธาเชื่อมั่นขึ้นมา นั่นก็คือเจตสิก
ท่านเขียนไว้ในตำราว่าเจตสิกคือสิ่งที่ประกอบกับจิต บางท่านอาจจะเข้าใจว่าจิตนึกถึงรูปแล้วก็เป็นเจตสิก
ทีนี้จิตนึกถึงรูป มันเกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา อันเป็นตัวกิเลสอันนี้เรียกว่า "อกุศลเจตสิก"
แต่การสัมผัสรู้ก็สักแต่ว่ารู้ เช่น ตาเห็นรูปก็รู้ว่ารูป นี่คือวิญญาณ ความยินดียินร้าย พอใจไม่พอใจในรูปนั้น เป็นอาการของกิเลส นั่นคือเจตสิก อันนี้อีกประเภทหนึ่ง
ถ้าเป็นคุณธรรมก็คือ นักปฏิบัติสามารถสร้างพละ ๕ ขึ้นมาในจิตได้ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา หรือสามารถรวมอริยมรรคลงเป็นหนึ่ง เรียกว่า "เอกายโน มัคโค" มีสติเป็นตัวการ สามารถปฏิวัติจิตไปสู่ภูมิจิตภูมิธรรมได้ อันนั้นคือเจตสิก
+++++
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
อยู่กับความรู้สึกตัว จะลมหายใจ หรือ การขยับกายก็ได้ แล้วเมื่อชิน ความรู้สึกตัวจะปรากฏขึ้นมาเอง เวลามีสิ่งใดมามากระทบกายใจ ก็ให้แค่รู้ รู้สักว่ารู้ ไม่ไหลตามไปปรุงแต่ง โดยเฉพาะอารมณ์ความคิดต่างๆที่ปรากฏ ก็แค่รู้ ไม่ตามไป อยู่กับความรู้สึกตัว
เมื่อการปฏิบัติทําถูกทําตรง ความอยากต่างๆจะค่อยๆลดลง ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆได้มากขึ้น การปรุงแต่งในสังขารจะค่อยๆหมดไป แต่งตัวตามความเหมาะสมเท่านั้น ไม่ปรุงแต่งมาก เดินอยู่บนเส้นทางแห่ง มรรค8
Trader Hunter พบธรรม
" กุญแจภาวนา"
การศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้น เราศึกษา
ไปเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพื่อความสงบสุขเป็นจุดสําคัญ
จะศึกษเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องจิต เรื่องเจตสิกก็ตาม
ก็เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้น จึงจะถูกทาง มืใช่
เพื่ออย่างอื่น เพราะทุกข์มันมีเหตุเกิด และมีที่ของมัน
อยู่แล้ว
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจเสียว่า มันจะเป็นจิตก็
ช่างมันเถอะ เมื่อมันนิ่งอยู่อย่างนี้ ก็คือปกติของมัน
ถ้าว่ามันเคลื่อนปุ๊บก็ป็นสังขาร แล้ว มันจะเกิดยินดีก็
เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายก็เป็นสังขาร มันอยาก
จะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร ถ้าไม่รู้เท่าสังขาร ก็วิ่ง
ตามมันไป เป็นไปตามมัน เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใดก็เป็น
สมมุติสังขารเมื่อนั้น ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ
จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง
เมื่อมันเคลื่อนออกไป ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านให้พิจารณาอันนี้ ท่านจึงให้รับทราบสิ่งเหล่านั้น
ไว้ ให้พิจารณาสังขารเหล่านี้ ปฏิจจสมุปปาทธรรม
ก็เหมือนกัน อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขาร
เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด
นามรูป ฯลฯ เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามา ก็เป็นจริง
คือ ท่านแยกเป็นส่วน ๆ ไปเพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อ
มันเกิดมาจริง ๆ แลัวนับไม่ทันหรอก
อุปมาเหมือนเราตกจากต้นไม้ ก็ตุ๊บถึงดินโน่น ไม่รู้ว่า
มันผ่านถึงไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมาถึงชอบ
ใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้ มันไปตามที่
ปริยัติรู้นั่นเอง แต่มันก็ไปนอกปริยัติด้วย มันไม่บอกว่า
ตรงนี้เป็นอวิชชา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ
ตรงนี้เป็นนามรูป มันไม่ได้ให้ท่านมหาอ่าน อย่างนั้น
หรอก เหมือนกับการตกจากต้นไม้ ท่านพูดถึงขณะจิต
อย่างเต็มที่ของมันจริง ๆ อาตมาจึงมีหลักเทียบว่า
เหมือนกับการตกจากต้นไม้ เมื่อมันพลาดจากต้นไม้
ไปปุ๊บ มิได้คณาว่ามันกี่นิ้วกี่ฟุต เห็นแต่มันตูมถึงดิน
เจ็บแล้ว
ทางนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมันเป็นขึ้นมา เห็นแต่ทุกข์
โสกะปริเทวะ ทุกข์โน่นเลย มันเกิดมาจากไหน
มันไม่ได้อ่านหรอก มันไม่มีปริยัติที่ท่านเอาสื่งละเอียด
นี้ขึ้นมาพูด แต่ก็ผ่านไปทางเส้นเดียวกัน
แต่นักปริยัติเอาไม่ทัน
ฉะนั้น ท่านจึงให้ยืนตัวว่า อะไรที่เกิดขึ้นมาจากผู้รู้
อันนี้ เมื่อผู้รู้รู้ตามความเป็นจริง ของจิตหรือ เจตสิก
เหล่านี้ จิตก็ไม่ใช่เรา สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้งทั้งหมด
ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่นทั้งนั้น.
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ละชั่วให้หมดทําความดีให้ถึงพร้อม ก็ยังอยู่แค่กรรมเท่านั้น ยังไม่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
สังขารมีแต่ความเสื่อมเป็นธรรมดา ทําปัญญาให้ถึงพร้อมเถิด ใช้ปัญญาประหารกิเลส
เห็นเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล
เจริญสติเป็นมรรค
ทําจิตให้บริสุทธิ์ ทําความดีให้ถึงพร้อม
เรายังเป็นผู้เดินทาง
ดูอาการปรากฏทางกาย ที่ชัดที่สุดในบัจจุบันๆเป็นสติเป็นพุทธะ ให้ปัญญาทํางาน
ศีล สมาธิ ปัญญา
วิปัสนาตัดทอนภพชาติได้ เอากิเลส ตัณหา มาตอน
ศีลเป็นสะพาน ทานเป็นเสบียง ภาวนาไม่ให้หลงทาง
เพื่อประหารกิเลสตัณหา กิเลสตัณหาทําให้เกิดภพชาติ
กิเลสตัณหามี 3 ระดับคือ หยาบ กลาง ละเอียด
รบด้วย ศีล รบกิเลสตัณหาอย่าง หยาบ
สมาธิ รบกิเลสตัณหาอย่าง กลาง
ปัญญา รบกิเลสตัณหาอย่าง ละเอียด
เอาสติไปปลูกให้ตื่น เป็นพุทธะ
มีสติระลึกรู้ตน
โยม :ความรู้สึกตัว เป็นสังขารปรุงแต่งหรือไม่ เจ้าค่ะ?
หลวงตา :ความรู้สึกตัว สติ สัมปชัญญะ และปัญญา ก็เป็นสังขารปรุงแต่ง
แต่พระพุทธเจ้าให้อาศัยสังขาร คือ ความรู้สึกตัว (สติ-สัมปชัญญะ) สมาธิและ ปัญญา คือ ความสังเกตเห็นว่ามี แต่สังขารทั้งนั้น ที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ไม่มีอะไรเป็นตัวตนจริง ๆ จัง ๆ (สมมติ)
ก็จะทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเข้าใจจากการรู้เห็นความจริงด้วยใจของตัวเอง
ก็จะสิ้นความหลง (สิ้นอวิชชา) เอง
เป็นวิมุติ หายสงสัย ไม่ต้องถามใคร
เรียกได้ว่า" อาศัยสังขาร เพื่อละสังขาร "
เสียงติ เสียงชม
ใครยึดก็เท่ากับโง่...
กินลมปากน้ำลายของเขา
ทำถูก เขาว่าถูกก็มี ผิดก็มี
ทำผิด เขาว่าถูกก็มี ผิดก็มี
ดี หรือ ชั่ว เป็น "สังขาร" ทั้งสิ้น
ความแก่ เจ็บ ตาย
เป็น "ดอกไม้ของพญามาร"
ที่นำมาบูชาพระศาสนา
ความสุข เป็นความหลอกลวง...
#ท่านพ่อลี ธัมมธโร
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือ เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ ล้วนเป็น "สังขารปรุงแต่ง"
ไม่ใช่ของจริงของแท้ มีแต่ความแปรปรวนไม่แน่นอน
ถ้าเราเข้าไปติดไปยึดว่าเป็นจริงจังแล้ว
ก็ย่อมเป็นเหตุนำความทุกข์เดือดร้อนมาให้แก่ตัวเราเอง
"ความดี-ความชั่ว" ก็เช่นเดียวกัน
เขาจะว่าเราดี-ไม่ดีก็อย่าไปยินดี-ยินร้าย
ให้ถือเอาความจริงที่ตัวของเราทำเอง
ผู้ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจิตใจสูง
เจริญขึ้นสู่ธรรมอย่างเต็มที่
ความดีของเขาก็ย่อมขยายตัวออกเอง
เหมือนกับดอกบัวที่บานเต็มที่อยู่ในสระ
ดอกก็ใหญ่ กลีบก็ขยายบาน ส่งกลิ่นหอม
คือความเย็นกระจายไปทั่ว
"ความเย็น" นี้คือ "ความสุข"
ตา-เราเห็นรูปที่ดีก็เป็นสุข รูปไม่ดีก็เป็นสุข
หู-จะได้ยินเสียงดีก็เป็นสุข เสียงไม่ดีก็เป็นสุข
ลิ้น-จะรับรสดีก็อร่อย รสไม่ดีก็กลืนอร่อย ฯลฯ
อารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมากระทบทั้งดีทั้งชั่ว
ต้อง "ทำใจให้เป็นกลาง" วางเฉยเป็น "ฉฬงฺคุเปกขา"
จัดเข้าอยู่ใน "มรรค" เป็นองค์โพชฌงค์
พระพุทธเจ้าท่านไม่ติดดีติดชั่ว
ไม่ข้องอยู่ในอารมณ์ภายนอกทั้งดี ชั่ว
อดีต อนาคต ปัจจุบัน ก็เป็นจิตที่หลุดพ้นจากอาสวะ
เป็นจิตที่ตกอยู่ในกระแสของธรรม
มีความสุขเย็นเป็น "วิหารธรรม" เป็น "วิชาวิมุติ"
ผู้ใดปฏิบัติได้ขณะใดก็ย่อมได้รับผลเย็นในขณะนั้น
ไม่จำกัดกาลเวลา เป็น "อกาลิโก"
เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพากันศึกษา
ให้รู้แจ้งชัดในเรื่องของ "โลก" และของ "ธรรม"
ให้เข้าใจส่วนใดเป็น "โลก" ก็ปัดทิ้งเสีย
ส่วนใดเป็น "ธรรม" ก็น้อมนำเข้ามาประพฤติปฏิบัติ
ผู้นั้นจักได้รับผล คือ "ความสงบ" เป็นความสุขเย็น
จะอยู่ที่ใดก็เป็นสุข จะไปไหนก็เป็นสุข
ปราศจากความเดือดร้อนทั้งปวง
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
คำว่า “สังขาร” ใน “ไตรลักษณ์” และใน “ขันธ์๕” ต่างกันอย่างไร?
มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติ ว่าดังนี้...
“ตถาคต(พระพุทธเจ้า)ทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ(หลัก)นั้นก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ว่า
(๑) สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
(๒) สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
(๓) ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่าย ว่าสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์...ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา...”
( องฺ. ติก. ๒๐/๕๗๖/๓๖๘ )
คำว่า “สังขาร” ในไตรลักษณ์นี้ ต้องเข้าใจว่าต่างกับ “สังขาร” ในขันธ์ ๕ ( ขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) คือ
ในขันธ์ ๕ “สังขาร” = ความดีความชั่วที่ปรุงแต่งจิตใจ "เป็นนามธรรม"อย่างเดียว
ในไตรลักษณ์ “สังขาร” = สิ่งทั้งปวงที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง หรือที่เกิดจากส่วนประกอบต่างๆประชุมกันเข้า จะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม คือเท่ากับขันธ์ ๕ ทั้งหมด
คำว่า “ธรรมทั้งปวง” แยกได้เป็น ๒ อย่าง คือ
๑.สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัยหรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฎและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สังขาร' ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึงสภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ทั้งที่ดีที่ชั่วและที่เป็นกลางๆทั้งหมด เว้นแต่ นิพพาน
๒.อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยหรือสภาวะไม่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า'วิสังขาร' ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน นั่นเอง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ไตรลักษณ์”
ปรมัตถธรรม ชั้นโลกุตตระ อยู่เหนือสิ่งปรุงแต่ง
“ถ้าใครอยากรู้ปรมัตถธรรมชั้นสูงสุด ชั้นโลกุตตระ ชั้นมรรค ผล นิพพาน แล้ว ให้สนใจในคำคู่ๆ เหล่านี้ คำว่า..ดี-ชั่ว, ผิด-ถูก, สุข-ทุกข์, ได้-เสีย, บุญ-บาป คำคู่ๆเหล่านี้ เป็นคำหลอกลวงทั้งนั้น ถ้ายังเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยังปรุงแต่งเป็น“สังขาร”ทั้งนั้น ล่ะก็ เป็นสังขารปรุงแต่งให้เวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ทั้งนั้น
.
ต่อเมื่อ ไม่พ่ายแพ้แก่ความหมายเหล่านี้ คือว่า ไม่เห็นว่ามันดี-ชั่ว, บาป-บุญ, สุข-ทุกข์ ที่น่า“ยึดมั่นถือมั่น”อะไรเหล่านี้ คือ ได้หรือเสียก็ไม่มีปัญหา อย่างนี้จึงจะ “ว่าง” หรือ“หลุดพ้น” หรือว่าดับสนิท หรือว่า “นิพพาน” หรือว่าหยุด แล้วแต่จะเรียก
.
มันจึงเป็นการยากอย่างยิ่ง สำหรับมนุษย์ที่หลงทางมาไกล จนไม่รู้ว่า อยู่อย่างไร เป็นอย่างไร ไปทางไหน มนุษย์หลงทางมาไกลมากเหลือที่จะกลับไปหา“ความว่าง”ตามธรรมชาติ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย อยู่เหนือได้ เหนือเสีย
ครั้นเมื่อ อยู่เหนือได้ เหนือเสีย เมื่อใด ก็อยู่เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เมื่อนั้นก็เป็น มรรค ผล นิพพาน เมื่อนั้น”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง "เรื่องได้-เสีย" เมื่อ ๙ ธันวาคม ๒๕๑๐ จากหนังสือธรรมโฆษณ์ เล่ม “ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม ๑”
" กุญแจภาวนา "
ผู้ใดตามดูจิต
ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร
การศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนานั้น
เราศึกษาไปเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพื่อความ
สงบสุข เป็นจุดสําคัญ จะศึกษาเรื่องรูป
เรื่องนาม เรื่องจิต เรื่องเจตสิกก็ตาม ก็เพื่อ
ความหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้นจึงจะถูกทาง
มิใช่เพื่ออย่างอื่น เพราะทุกข์มันมีเหตุเกิด และ
มีที่ของมันอยู่แล้ว
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจเสียว่า มันจะเป็น
จิตก็ช่างมันเถอะ เมื่อมันนิ่งอยูอย่างนี้ก็คือปกติ
ของมัน ถ้าว่ามันเคลื่อนปุ๊บก็เป็นสังขาร " แล้ว
มันจะเกิดยินดีก็เป็นสังขาร มันจะเกิดยินร้ายก็
เป็นสังขาร มันอยากจะไปโน่นไปนี่ก็เป็นสังขาร
ถ้าไม่รู้เท่าสังขาร ก็วิ่งตามมันไป เป็นไปตามมัน
เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมุติสังขารเมื่อนั้น
ท่านจึงให้พิจารณาสังขาร คือ
"จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
หลวงตา : แม้แต่ผู้สังเกต ผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ก็เป็น "สังขาร" ปรุงแต่ง
สิ่งใดปรุงแต่ง สิ่งนั้นย่อมมีความเกิด
สิ่งใดมีความเกิด สิ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วคราว เป็นเพียงสมมติ
แต่ก็ต้องปรุงแต่งผู้สังเกต ผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น เพื่อให้รู้ ให้เห็น ให้เข้าใจ ด้วยใจของเจ้าของเอง
ว่ามีแต่ "สังขาร" ปรุงแต่งทั้งนั้น ทั้งสิ่งที่ถูกดูและผู้ดูซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ต้องดับไปหายไปทั้งหมด
จึงไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นเอามาเป็นตัวเราหรือของเราได้
เพราะแม้แต่ผู้ยึดถือและผู้ปล่อยวาง ก็เป็น "สังขาร" ปรุงแต่ง ต้องดับไปทั้งหมด จึงสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น
อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และความทุกข์
จึงดับเสียทั้งหมด
ก็จะพบเห็นความจริงอีกด้านหนึ่ง คือ
"สังขาร" ปรุงแต่งทั้งหมด เกิด-ดับ ในความไม่เกิดดับ
แท้ที่จริงเราคือความไม่เกิดดับ หรือความไม่เกิดดับคือ"เรา"
แต่ไม่ใช่หลงปรุงแต่งเอาตัวเรา ไปยึดความไม่เกิดดับ
เพราะความปรุงเป็นตัวเรา เป็น "สังขาร" เป็นสิ่งเกิดดับ
ส่วนความไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีอะไรที่จะให้ยึดมั่นถือมั่นได้
สมจริงดังคำกล่าวที่ว่า ;
พระโสดาบัน - เห็นสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ
พระอรหันต์ - เห็นสิ่งใดไม่เกิด สิ่งนั้นไม่ดับ
************
หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย
ที่มา : https://m.facebook.com/story.php...
“สังขาร” ใน ขันธ์ ๕ กับใน ไตรลักษณ์
มีความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
.
…. “ไตรลักษณ์” มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติ ดังนี้
…. “ตถาคต(พระพุทธเจ้า)ทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ(หลัก)นั้นก็ดํารงอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า
๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง ... ๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ .. ๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทําให้เข้าใจง่ายว่า “สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา” ( องฺ. ติก. ๒๐/๕๗๖/๓๖๘ )
…. ไตรลักษณ์นี้ ในอรรถกถาบางที่เรียกว่า “สามัญลักษณะ” ในฐานะเป็นลักษณะร่วม ที่มีแก่สิ่งทั้งหลาย เป็นสามัญเสมอเหมือนกัน คือ ทุกอย่างที่เป็นสังขตะ เป็นสังขาร ล้วนไม่เที่ยง คงทนอยู่มิได้ เสมอเหมือนกันทั้งหมด ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่ว่าสังขตะคือสังขาร หรืออสังขตะคือวิสังขาร ก็ล้วนมิใช่ตน ไม่เป็นอัตตา เสมอกันทั้งสิ้น
.
…. คําว่า “สังขาร” นั้น มีที่ใช้ในความหมายต่างๆกันไม่น้อยกว่า ๔ นัย แต่เฉพาะที่ต้องการให้เข้าใจในที่นี้ มี ๒ นัย คือ สังขารที่เป็นข้อหนึ่งในขันธ์ ๕ กับสังขารที่กล่าวถึงในไตรลักษณ์ เพราะสังขาร ๒ นัยนี้มาในหลักธรรมสําคัญ กล่าวอ้างกันบ่อย และมีความหมายคล้ายจะซ้อนกันอยู่ ทําให้ผู้ศึกษาสับสนได้ง่าย อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมที่กําลังอธิบายอยู่โดยตรงเบื้องแรก ขอยกคํามาดูให้เห็นชัด
… ๑. สังขาร ใน ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
… ๒. สังขาร ใน ไตรลักษณ์ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
…. ขอนําความหมายทั้ง ๒ นัยนั้นมาทบทวน โดยเข้าคู่เทียบให้เปรียบกันดู ดังนี้
.
๑. สังขาร ซึ่งเป็นข้อที่ ๔ ใน ขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะที่ปรุงแต่งจิต ให้ดี ให้ชั่ว ให้เป็นกลาง ได้แก่ คุณสมบัติต่างๆของจิต มีเจตนาเป็นตัวนํา ที่ปรุงแปรการตริตรึกนึกคิดในใจ และการแสดงออกทางกาย วาจา ให้เป็นไปต่างๆ เป็นตัวการของการทํากรรม เรียกง่ายๆว่า เครื่องปรุงของจิต เช่น ศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ เมตตา กรุณา ปัญญา โมหะ โลภะ โทสะ เป็นต้น (คัมภีร์อภิธรรมจําแนกไว้ ๕๐ อย่าง เรียกว่า เจตสิก ๕๐ ในจํานวนทั้งหมด ๕๒) ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นนามธรรม มีอยู่ในใจทั้งสิ้น นอกเหนือจาก เวทนา สัญญา และ วิญญาณ
.
๒. สังขาร ที่กล่าวถึงใน ไตรลักษณ์ หมายถึง สภาวะที่ถูกปรุงแต่ง คือ สภาวะที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ทุกอย่างประดามี ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรมก็ตาม เป็นด้านร่างกายหรือจิตใจก็ตาม มีชีวิตหรือไร้ชีวิตก็ตาม อยู่ในจิตใจหรือเป็นวัตถุภายนอกก็ตาม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขตธรรม” คือทุกสิ่งทุกอย่าง เว้นแต่ นิพพาน
.
จะเห็นว่า “สังขาร” ในขันธ์ ๕ มีความหมายแคบกว่า “สังขาร" ในไตรลักษณ์ หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังขารในไตรลักษณ์นั่นเอง ความต่างกันและแคบกว่ากันนี้ เห็นได้ชัดทั้งโดยความหมายของศัพท์ (สัททัตถะ) และ โดยองค์ธรรม
… ก. โดยความหมายของศัพท์: “สังขาร” ในขันธ์ ๕ หมายถึง สภาวะที่ปรุงแต่งจิต ตัวปรุงแต่งจิตใจ และการกระทํา ให้มีคุณภาพต่างๆ เครื่องปรุงของจิต หรือแปลกันง่ายๆ ว่า ความคิดปรุงแต่ง ส่วน “สังขาร” ในไตรลักษณ์ หมายถึงสภาวะที่ถูกปรุงแต่ง คือ ถูกปัจจัยของมันปรุงแต่งขึ้นมา แปลง่ายๆว่า สิ่งที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งปรุงแต่งหรือของปรุงแต่ง นอกจากความหมายจะต่างกันอย่างที่พอสังเกตเห็นได้อย่างนี้แล้ว ความหมายนั้นยังแคบกว่ากันด้วย กล่าวคือ สภาวะที่ปรุงแต่งจิต เครื่องปรุงของจิต หรือความคิดปรุงแต่ง (สังขารในขันธ์ ๕) นั้น ตัวของมันเองก็เป็นสภาวะที่ถูกปรุงแต่ง เป็นสิ่งปรุงแต่ง หรือเป็นของปรุงแต่ง เพราะเกิดจากปัจจัยอย่างอื่นปรุงแต่งขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง ทยอยกันไปเป็นทอดๆ จึงไม่พ้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังขารในความหมายอย่างหลัง (ในไตรลักษณ์) คือ เป็นสภาวะที่ถูกปรุงแต่ง หรือเป็นของปรุงแต่งนั่นเอง "สังขาร” ในขันธ์ ๕ จึงกินความหมายแคบกว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ส่วน "สังขาร" ในไตรลักษณ์กินความหมายครอบคลุมทั้งหมด
.
… ข. โดยองค์ธรรม: ถ้าแบ่งธรรมหรือสิ่งต่างๆออกเป็น ๒ อย่าง คือ รูปธรรม กับ นามธรรม และแบ่งนามธรรมซอยออกไปอีกเป็น ๔ อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ จะเห็นว่า “สังขาร” ในขันธ์ ๕ เป็น นามธรรมอย่างเดียว และเป็นเพียงส่วนหนึ่งในสี่ส่วนของนามธรรมเท่านั้น แต่ “สังขาร” ในไตรลักษณ์ ครอบคลุมทั้งรูปธรรมและนามธรรม อนึ่ง รูปธรรมและนามธรรมที่กล่าวถึงนี้ เมื่อแยกออกไปก็คือ ขันธ์ ๕ นั่นเอง
…. จะเห็นว่า สังขารในขันธ์ ๕ เป็นเพียงขันธ์หนึ่งในขันธ์ ๕ (เป็นลําดับที่สี่) แต่สังขารในไตรลักษณ์ครอบคลุมขันธ์ ๕ ทั้งหมด กล่าวคือ สังขาร(ในขันธ์ ๕) เป็นสังขารอย่างหนึ่ง(ในไตรลักษณ์) เช่นเดียวกับขันธ์อื่นๆทั้งสี่ขันธ์ นอกจากนั้น ธรรมหรือสิ่งต่างๆที่นํามาแบ่งในที่นี้ ก็คือสังขตธรรม ซึ่งก็เป็นไวพจน์ คืออีกชื่อหนึ่งของสังขาร(ในไตรลักษณ์)นั่นเอง จึงเห็นชัดเจนว่า สังขาร(ในขันธ์ ๕) เป็นเพียงส่วนย่อยอย่างหนึ่งฝ่ายนามธรรมที่รวมอยู่ด้วยกันทั้งหมดภายในสังขาร(ในไตรลักษณ์) เท่านั้นเอง
.
…. ฉะนั้น คํากล่าวที่ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง กับข้อความว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง จึงมีความหมายเท่าๆกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ข้อความว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง” เมื่อจะขยายออกไปให้ละเอียด ก็พูดใหม่ได้ว่า “รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง”
…. เพื่อกันความสับสน บางทีท่านใช้คําว่า“สังขารขันธ์” สําหรับคําว่าสังขารในขันธ์ ๕ ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในนามธรรม และใช้คําว่า“สังขาร” ที่เป็นสังขตธรรมหรือ“สังขตสังขาร” หรือ“สังขาร”เดี่ยวๆ สําหรับสังขารในไตรลักษณ์ ที่มีความหมายครอบคลุมทั้งรูปธรรมและนามธรรม หรือ ขันธ์ ๕ ทั้งหมด
…. การที่ข้อธรรม ๒ อย่างนี้มาลงเป็นคําศัพท์เดียวกันว่า “สังขาร” ก็เพราะมีความหมายเหมือนกันว่า ปรุงแต่ง” แต่มาต่างกันตรงที่ว่า อย่างแรกเป็น “ความคิดปรุงแต่ง” อย่างหลังเป็น “สิ่งปรุงแต่ง หรือ ของปรุงแต่ง”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ไตรลักษณ์” (ซึ่งก็เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของหนังสือ “พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย” นั่นเอง)
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##