การจะเห็นว่าสิ่งทั้งปวง
เป็นอย่างที่มันเป็น หรือ เห็นเป็นเช่นนั้นเอง ทำไม่ได้
ด้วยการคิดๆนึกๆเอา แต่ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น ซึ่งเกิดจากการฝึกฝน
เจริญสติรู้สึกตัว คอยเรียนรู้ปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นที่กายที่ใจ
และอารมณ์ต่างๆมากมาย
เมื่อฝึกบ่อยๆขึ้น จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น
มีความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน บังคับไม่ได้
เห็นว่าเมื่อจิตเข้าไปเสพรับแล้วจะนำทุกข์มาให้
เห็นอารมณ์ต่างๆนั้นเป็นตัวทุกข์ จิตที่มีปัญญานั้น จิตจะไม่เข้าไป
ให้ค่าความหมายใดๆ เป็นเพียงสักว่ารู้
ตรงสักว่ารู้นี้จะเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดและสิ่งใดสิ่งหนึ่งดับไป
เห็นไม่กี่ขณะ เกิดการทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ หลังจากนั้น เราก็จะเข้าใจธรรมะ
(ที่เรียกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพราะจิตไม่เข้าไปหมายไม่ได้ปรุงแต่งว่า คืออะไร)
เพราะงั้นให้เราตั้งใจไว้ เป็นมนุษย์ ยังได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่
คำสอนของพระองค์ยังสมบูรณ์อยู่ มีโอกาสทุกคน
อยู่ที่ว่าเราจะสวนกระแสแห่งตัณหา ได้มากน้อยเท่าใด
นรชนผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย ถูกกิเลสเป็นอันมากปกปิดไว้แล้ว
ดำรงอยู่ด้วยอำนาจกิเลสมีราคะเป็นต้น หยั่งลงในกามคุณ
เครื่องทำจิตให้ลุ่มหลง นรชนผู้เห็นปานนั้นแล เป็นผู้ไกลจากวิเวก
เพราะว่ากามคุณทั้งหลายในโลก ไม่ใช่ละได้โดยง่ายเลย
กามคุณทั้งหลายมีความปรารถนาเป็นเหตุ เนื่องด้วยความยินดี
ในภพ เปลื้องออกได้โดยยาก คนอื่นจะเปลื้องออกให้ไม่ได้เลย
นรชนทั้งหลายมุ่งหวังกามในอนาคตบ้างในอดีตบ้าง
คร่ำครวญถึงกามเหล่านี้ที่เคยมีแล้วบ้าง อันตนเปลื้องเองได้ยาก
และคนอื่นก็เปลื้องให้ไม่ได้ สัตว์เหล่านั้นยินดี ขวนขวาย ลุ่มหลง
อยู่ในกามทั้งหลาย ไม่เชื่อถือถ้อยคำของบัณฑิตมีพระพุทธเจ้า
เป็นต้น ตั้งอยู่แล้วในธรรมอันไม่สงบ ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว
ย่อมรำพันอยู่ว่า เราจุติจากโลกนี้แล้ว จักเป็นอย่างไรหนอ
เพราะเหตุนั้นแล สัตว์พึงศึกษาไตรสิกขาในศาสนานี้แหละ
พึงรู้ว่าสิ่งอะไรๆ ในโลกไม่เป็นความสงบ ไม่พึงประพฤติ
ความไม่สงบเพราะเหตุแห่งสิ่งนั้น
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นว่าเป็นของน้อยนัก
เราเห็นหมู่สัตว์นี้ ผู้เป็นไปในอำนาจความอยากในภพทั้งหลาย
กำลังดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายผู้เลวทรามย่อมบ่นเพ้อ
อยู่ในปากมัจจุราช นรชนเหล่านั้น ยังไม่ปราศจากความอยาก
ในภพและมิใช่ภพทั้งหลายเลย
ท่านทั้งหลายจงดูชนทั้งหลายผู้ถือว่าสิ่งนั้นๆ เป็นของเรา
กำลังดิ้นรนอยู่ เหมือนปลาในแอ่งน้ำน้อยมีกระแสขาดสิ้นแล้ว
ดิ้นรนอยู่ ฉะนั้น นรชนเห็นโทษแม้นั้นแล้ว ไม่พึงประพฤติ
เป็นคนถือว่าสิ่งนั้นๆ เป็นของเรา ไม่กระทำความติดข้องอยู่
ในภพทั้งหลาย พึงกำจัดความพอใจในที่สุดทั้ง ๒ (มีผัสสะและ
เหตุเกิดแห่งสัมผัสสะเป็นต้น) กำหนดรู้ผัสสะแล้วไม่กำหนัด
ตามในธรรมทั้งปวงมีรูปเป็นต้น ติเตียนตนเองเพราะข้อใด
อย่าทำข้อนั้น เป็นนักปราชญ์ไม่ติดอยู่ในรูปที่ได้ เห็นและ
เสียงที่ได้ฟังเป็นต้น กำหนดรู้สัญญาแล้วพึงข้ามโอฆะ
เป็นมุนีไม่ติดอยู่ในอารมณ์ที่ควรหวงแหน ถอนลูกศร
คือ กิเลสออกเสีย ไม่ประมาทเที่ยวไปอยู่ ย่อมไม่ปรารถนา
โลกนี้และโลกหน้า ฉะนี้แล ฯ
คุหัฏฐกสูตร
เราอยู่กับความเป็นจริงไหม
หรือมัวจมอยู่กับความคิดฝัน
เผลอๆ เพลินๆ คอยรู้สึกตัวไว้นะ
จะได้กลับมาอยู่กับความจริง
ความจริงนั้นไม่มีคำพูด
มีแค่บางสิ่งผ่านมาและผ่านไป
เป็นสิ่งที่ใจรับรู้ได้เพียงเท่านั้น
จำเอาไว้ว่าไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงในโลกนี้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะนำมาซึ่งความทุกข์แค่ไหน
ขอเพียงมีความอดทน มีความเข้าใจว่า
มันต้องแปรไปเป็นธรรมดา
อาจจะแปรไปเร็วบ้าง ช้าบ้าง อยู่ที่มีเรา
เข้าไปเป็นมากน้อยแค่ไหนไม่มีสิ่งใดได้ดั่งหวังเสมอไป
ถ้าไม่รู้จักยอมรับความจริงย่อมก่อทุกข์ขึ้นมาไม่จบสิ้น
แม้เรายังต้องมีทุกข์ทางกาย จากโรคภัยไข้เจ็บ
จากสิ่งกระทบต่างๆ ที่เข้ามาทางอายตนะ
แต่เราสามารถ ที่จะไม่มีทุกข์ทางใจได้
เพียงแต่ว่า ในขั้นแรกๆ ก็อาจจะทุกข์อยู่
แต่เป็นความทุกข์ที่ควรเรียนรู้
นำจิตให้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นตัวทุกข์...
ไม่ควรเข้าไปจับไปยึดอีก
ถ้าจิตฉลาดพอ จิตจะเป็นอิสระ
จาก การกระทบเหล่านั้น
ไม่ถูกผูกมัดด้วยชอบใจไม่ชอบใจ
สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว
เป็นสิ่งที่นำไปสู่ภาวะเหล่านั้นได้
เป็นอิสระเพราะไม่มีเรา
มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้นและดับไป
ความสงบที่เรารู้จักกันเป็นส่วนมากนั้น
มาจากการปรุงแต่งให้สงบ
หรือความสงบที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ทั้งสองนั้นเป็นเพียงแค่อาการเท่านั้น
ถ้าเรารู้สึกสงบอยู่ เราก็ต้องรู้เท่าด้วยว่า
ความสงบนี้ถูกรู้อยู่ไม่ใช่เรา ใจจึงไม่ติดความสงบ
... แต่ความสงบถึงที่สุดที่พ้นจากการปรุงแต่งนั้น
คาดเดาไม่ได้เพราะพ้นไปจากสำนึกความเข้าใจใดๆ
เป็นความสมบูรณ์ถึงที่สุด เต็มเปี่ยมไม่มีพร่อง
.....สงบเพราะพ้นจากสงบที่คู่กับวุ่น จึงเรียกว่าสงบแท้.....
มิใช่ว่าต้องไร้ความคิด
แต่ไร้ซึ่งการให้ค่าในความคิด
มิใช่ว่าต้องไร้การกระทำ
แต่ไร้ซึ่งการกระทำทางใจ
มิใช่ว่าไร้การเคลื่อนไหว
แต่ไร้ซึ่งการจมอยู่กับการเคลื่อนไหว
ลอยตัวอยู่เหนือการเคลื่อนไหวทั้งมวล
ไม่หยุดอยู่ เป็นเพียงรู้ในความไหว
เป็นว่าสงบท่ามกลางความเคลื่อนไหว....
ถ้าเราชอบนั่งสมาธิ ขอให้ได้ทำไปเพื่อมีจิตที่ตั้งมั่น
อย่าไปอยากสงบ หรือไม่อยากรับรู้อะไร
ถ้าเอาแค่สงบ มันก็จะเป็นสงบ แล้วก็ฟุ้งซ่าน แล้วก็สงบ
วนไปๆ มาๆ อยู่อย่างนั้น แต่ถ้าสามารถมีจิตตั้งมั่น
จะสงบเราก็ไม่เพลินไป จะไม่สงบเราก็ไม่ได้เสียใจขัดใจ
เพราะจิตที่ตั้งมั่นนั้นจะเห็น สิ่งทั้งมวลทุกอย่าง
เป็นเพียงแค่อาการ มีความเกิดดับ เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา
จิตตั้งมั่นนั้น ใช้การสังเกตนิดเดียวในขณะภาวนา
คือเห็น รู้สึกได้ว่าอารมณ์กรรมฐานที่เราใช้นั้น
เป็นสิ่งที่ถูกรู้สึก เป็นอาการ ไม่ใช่จิต รู้อยู่ตรงนั้น
ไม่ต้องย้อนหาว่าจิตอยู่ตรงไหน จิตนั้นอยู่ตรงที่รู้นั่นแหละนะ
ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่องเป็นสายไปแล้ว อารมณ์ที่เรารู้นั้น
จะละเอียดลงไป ไม่เด่นชัด แต่จะชัดเจนที่จิตรู้ที่ตั้งมั่นนั้นนั่นเอง
การที่เราจะหลุดออกมาจากภาวะใดภาวะหนึ่ง
ที่จิตไปจมแช่อยู่ ทำไม่ได้ด้วยความอยากหรอกนะ
แต่เป็นการตระหนักรู้ถึงภาวะนั้นๆ แล้วยอมรับตามจริง
โดยรู้เท่าความไม่ชอบใจที่จะอยากหลุด อยากผลักไสนั้น
เพียงยอมรับตามเป็นจริง โดยไม่แทรกแซง
เมื่อไม่มีความอยากไปคอยหล่อเลี้ยง(ในที่นี้คือวิภาวตัณหา )
สิ่งนั้นย่อมสลาย ดับลงไปต่อหน้า จิตหลุดออกมาตั้งมั่นขึ้นทันที
จิตปรุงกิเลส คือ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ
กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้ดี ให้เลว
ให้เกิดวิบากได้ แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว
นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
กิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามา
ทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน แล้วยึดว่า
มีตัว มีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่ร่ำไป
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
การรู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลง
ทั้งดี และ ไม่ดี ที่เกิดขึ้นจาก
สิ่งภายนอก และ ที่เกิดขึ้นภายในจิต
ด้วยการรู้เท่าความชอบ ความไม่ชอบ
จิตจะดำรงอยู่ด้วยความเป็นกลาง ชีวิตจึงเบาสบาย
เพราะไม่ต้องคอยไปแบกดี ไม่ดี
ถ้าคิดแต่เพียงว่าจะให้ทุกๆ สิ่ง
ดีให้ถูกใจ ให้เป็นไปตามที่เราคิดอย่างเดียว
คงต้องทนทุกข์หาความสุขไม่ได้เลย
จิตที่จะรู้ ธรรม
ก็คือจิตรู้ ตามธรรมชาติ
ที่มันหดการกระจาย
ออกไปรู้สิ่งอื่นๆ ทางอายตนะต่างๆ
มาตั้งมั่น รู้อยู่ที่ตัวเองโดยปราศจากการจงใจ
เป็นจิตธรรมดาๆ ตามวิถีธรรมชาติจริงๆ
ไม่ถูกความหลงและความปรุงแต่งใดๆครอบงำ....
ตอนนี้ขณะนี้
เราควรหรือไม่ควรทำอะไร ต้องพิจารณานะ
กุศลแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ควรประมาท
อกุศลแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ควรประมาท
ดำรงจิตให้ตั้งมั่นในปัจจุบัน
หายใจออก ก็รู้
หายใจเข้า ก็รู้
แผ่ความปรารถนาดีออกไปให้ทั่ว
ด้วยความไม่มีเวร ไม่มีภัย
ไม่รังเกียจใครหรือสิ่งใดๆ
รักษาใจที่อ่อนโยนคล่องแคล่วว่องไวเอาไว้
พิจาราณาเห็นความเกิดขึ้นและเสื่อมไปของธรรมทั้งหลาย
ทั้งในฝ่ายรูป และ นาม ยกจิตให้พ้นจากเครื่องข้องทั้งมวล....
แม้อยู่ท่ามกลางกระแสต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา
ทั้งกระแสแห่งคน กระแสแห่งกิเลส กระแสแห่งโลก
ขอให้รู้สึกตัว รักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้
อย่าได้ถูกกระแสต่างๆ นั้น ท่วมทับ
รักษาความเป็นกลางของใจ ให้ปราศจากอคติทั้งหลาย
สติ และเจตนางดเว้นจากสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องสำคัญ
ต้องมีใจที่หนักแน่น รู้เท่าทันความหวั่นไหวทั้งหลายที่เกิดขึ้น
เห็นความกระเพื่อม และสลายไป ใจเป็นกลางอยู่ตามธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจเรา จะรู้ว่าเราไม่มีอยู่จริง
จึงเข้าใจได้ว่า เขาก็ไม่ได้มีอยู่จริง
เป็นเพียงความปรุงแต่ง ที่ตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน
แต่มิได้ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเลย มันมีแต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เป็นเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้น
และดับไปตามเหตุปัจจัย.....
รู้ซื่อ รู้จิตซื่อ ๆ อาการของจิตมันเป็นอย่างไร
ก็รู้มันตรงๆ อย่าไปอยากให้มันเป็นอย่างไร
ให้มันซื่อ ๆ อันนี้เป็นทางเดินของมรรค
รู้ซื่อ ๆ นี่แหละคือปัจจุบัน จิตมันเป็นอย่างไร
ก็รู้มันขณะนั้น นี่เป็นทางเดินของพระอรหันต์ทั้งหลาย
เราอย่าไปอยาก พอจิตมันไม่ดีก็อยากให้จิตมันดี
พอจิตมันเป็นอยากนั้น อยากให้เป็นอย่างโน้น
อันนี้ท่านว่ามันเป็นกิเลสตัณหา
ซึ่งเป็นทางตรงกันข้ามกันพระนิพพาน
ไม่ใช่ทางปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และของพระอรหันต์สาวก
หลวงปู่ทา จารุธัมโม
ความเป็นอิสระที่แท้
ไม่ใช่ว่าละสิ่งหนึ่ง เพื่อไปยึดเอาอีกสิ่งหนึ่ง
โดยเฉพาะผู้ภาวนา มักจะละความวุ่น
เพื่อไปยึดเอาความสงบ
ละความมี... เพื่อไปยึดเอาความไม่มี
สิ่งที่ควรคือ รู้ ไม่ใช่ ละ
รู้ว่าแท้จริงแล้ว กรงที่ขังที่ริดรอนอิสรภาพนั้น
มันไม่ได้มีอยู่จริงๆ แต่ความปรุงแต่ง
ที่สร้างเราขึ้นมาเองต่างหาก
กรงขังนั้นก็คือ ความเป็นเรานั่นเอง
เรื่องความคิดนี่ ในการภาวนานั้น
เราไม่ต้องไปเที่ยวคอยดับมันนะ
ใหม่ๆนั้น เวลาหัดรู้สึกตัวทีความคิดดับทีแล้วก็มาใหม่
ถ้าฝึกมากขึ้นๆไปรู้สึกตัวได้ถี่ขึ้น แบบไม่จงใจ
ความคิดก็เห็นๆอยู่ แต่อยู่ต่างหาก ไม่มีใครเข้าไปเป็น
ไม่เข้าไปดัดแปลงแก้ไขอะไร มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป
เกิด ดับไปเรื่อยๆ แต่ใจที่รู้ ไม่เข้าไปจับ เวลาจะใช้งานก็
เข้าไปใช้ แต่จะคล้ายๆกับ น้ำ กับ น้ำมัน เอามารวมกัน
เขย่าอย่างไร เดี๋ยวมันก็แยกกันเอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านกล่าวไว้ว่า
"คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดจึงจะรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด"
คือไม่ห้ามความคิด ตรงที่ว่าหยุดคิดก็คือหยุดการเข้าไปเป็นความคิด
ก็ต้องลองไปสังเกตดูนะว่าเห็นอย่างไรบางคนอาจจะเห็นไม่เหมือนอย่างนี้ก็ได้นะ....
ความคิดความเห็นนั้น คนเราทุกคนก็มีกันตลอด
แม้พระอรหันต์ท่านก็มีความเห็นในเรื่องราวต่างๆ
แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ฝ่ายหนึ่งขันธ์ทำตามธรรมชาติ
ความเคยชินของขันธ์ ไม่มีใครเข้าไปอะไรกับอะไร
อีกฝ่ายเมื่อทำหรือคิดเห็นอันใด ก็จะมีแต่ความเป็นเราเขา
อยู่ตลอด แล้วก็มักจะหวั่นไหวไปกับความเห็นของตน
จนเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งมีตน อีกฝ่ายไม่มีตน
ฝ่ายหนึ่งแบกทุกข์ อีกฝ่ายไม่แบกสิ่งใดๆ
ท ำ สิ่ ง ใ ด
ผูกมัดจิตใจกับสิ่งใดด้วยความหลง
ย่อมมีผลตอบสนองมาเสมอ พอกพูนมากขึ้นๆ
ทำสิ่งใดแต่มีใจรู้ ไม่ผูกมัดพัวพันกับสิ่งใด ก็ไม่มีผล
เพราะปราศจากเจตนา มีแต่จะปลดเปลื้อง
ความผูกมัดเดิมๆ ออกไปมากยิ่งขึ้น จนเป็นอิสระในที่สุด
ดับกิเลส ดับทุกข์ ดับผัสสะ และดับอื่นๆ
ไม่ใช่หมายว่า มีเรา ไปดับอะไรๆ
แต่เป็นการดับ ความเป็น เรา ในสิ่งเหล่านั้น
เมื่อไม่มีเราเข้าไปเป็น เป็นเพียงรู้ เพราะรู้เท่าทัน
สิ่งเหล่านั้น ย่อมดับลงไปเองตามธรรมชาติอยู่แล้ว
เราทุกคนมีกำแพงที่ปิดกั้นจิตใจ
ไม่ให้รู้เห็นความเป็นจริง ที่มันเป็นอยู่ มีอยู่
กำแพงนั้นคือกำแพงแห่งการหลงไปกับความคิดปรุงแต่ง
การที่จะทลายกำแพงนั้น
ไม่ใช่ด้วยการกดข่มบังคับจิตไม่ให้คิด
แต่เป็นรู้ทันที่จะไม่ไหลไปตามความคิด
ความคิดนั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ที่ต้องเกิดดับเปลี่ยนแปลง
เมื่อไม่มีการเหนี่ยวรั้งไว้โดย เรา
เมื่อนั้นมันก็สลายไปเอง
เมื่อความคิดปรุงแต่งต่างๆ สลายไป
จิตก็ไม่ถูกปิดกั้น จึงทำหน้าที่ คือรู้
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันได้ตรงตามที่เป็น
เราจะปฏิบัติอย่างไร อันนี้สำคัญ
ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์
มัวไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น
จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะ นี่ก็อยู่ไม่ได้
เมื่อรู้จักสุขทุกข์ ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร
เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรโดยธรรมะ นี่คือการปฏิบัติ
โดยมากคนที่ได้ของที่ไม่ชอบใจ ไม่อยากจะพิจารณา
อย่างคนนินทาว่าเรา "อย่ามาว่าฉัน มาว่าฉันทำไม"
นี่คือคนปิดตัวไว้ ตรงนั้นแหละต้องปฏิบัติ
ถ้าเขาว่าเราไม่ดี เขานินทาเรานี่ควรฟัง
"เขาว่าถูกหรือผิดอะไรหนอ" ไม่ดีตรงไหน
เราควรรับฟังไม่ต้องปิด ปล่อยเข้ามาให้ดูไว้
บางทีก็มีนะ ที่เราไม่ดีนั่นน่ะ เขาว่าถูก ยังไปโทษเขาอีก
นี่ทีนี้เรามาดูตัวเรา เราเห็นที่ไหน มันไม่ค่อยดี
เราก็เขี่ยมันออกเสีย เขี่ยโดยไม่ให้ใครรู้จักนั่นแหละ
เขี่ยสิ่งที่ไม่ดีออกเสีย มันก็ดีขึ้นมาอีก นี่คือคนมีปัญญา
หลวงพ่อชา สุภัทโท
การดับเชื้อไฟ กิเลส
ทั้งราคะ โทสะ โมหะ
และที่แยกย่อยไปอีกมากมาย
ดับให้จริงไม่ใช่เพียงกดข่มไว้
มีแค่เพียง รู้ตามจริง ยอมรับ
ไม่ดึงเข้า หรือผลักออก
เมื่อมันหมดเชื้อ มันก็ดับไปเอง
กับอีกอย่างคือ กดข่มไว้ชั่วคราว
จนเข้าถึงจิตที่สะอาดพอ
แล้วจึงมารู้ที่กาย ที่จิต
อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลส
เมื่อใดปล่อยวางต้นเหตุได้
เพราะเห็นจริง กิเลสก็หมดที่ลง
ถ้าเราจะทำความสงบ เราก็ต้องพยายามในทุกๆสถานการณ์
ที่จะทำให้จิตสงบ พยายามวางเฉยกับสิ่งกระทบทั้งหลาย
คอยมารู้อยู่ที่จิต หรือที่กาย หรือที่ว่างๆภายใน อย่างต่อเนื่อง
แต่ถ้าเป็นการเรียนความจริงของทุกๆสิ่ง เราไม่ทำอะไร
ไม่หลบ ไม่หลง ไม่รักษา ไม่จมแช่ ไม่ประคอง แต่เพียงแค่รู้
รู้มันทุกๆ อาการ เห็นความเกิดขึ้น เสื่อมไป ไม่ว่าอาการนั้น
จะน่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ ก็จะรู้ รู้แต่เพียงอย่างเดียว
รู้ด้วยใจเป็นกลาง กลางนี้ไม่ใช่เฉย แต่กลางเพราะ
รู้เท่าชอบ ไม่ชอบ จึงเรียกว่ากลาง รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็รู้
นี่กลางอย่างนี้นะ แล้วความจริงก็แสดงความจริงออกมาเอง
ขอให้อดทนนะ อดทนที่จะรู้ ไม่คอยคิดปรุงนะ
บางครั้ง...การที่เรามีเรื่องราวต่างๆมากมายที่ต้องทำ
อาจทำให้รู้สึกเหมือนลืมความทุกข์ที่เกิดไปช่วงเวลาหนึ่ง
แต่ความจริงแล้วความทุกข์นั้นยังไม่ไปไหน
แต่ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก
เมื่อเวลาที่ตะกอนแห่งทุกข์ มันก่อขึ้นมา
หรือมีสิ่งภายนอกมากระตุ้น ความทุกข์จะแสดงผลของมัน
ดึงจิตใจให้จมดิ่ง ลงสู่ห้วงแห่งความทุกข์
ทีนี้นะเมื่อมีทุกข์เมื่อใดให้รู้ รู้ด้วยใจเป็นกลางใต้องอดทนนะ
อดทนที่จะรู้ อดทนที่จะไม่ปรุงแต่งเพิ่ม
อย่าปล่อยให้มันค้างคา อย่ามัวหลอกตัวเองว่า...ฉันไม่เป็นไร
พระพุทธองค์ให้พระ สีวลีเดินนำหน้าเมื่อจะเสด็จทางไกลไปยังถิ่นกันดารเพราะอะไร
พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือ
ปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่าน
อาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ
พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร
จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข
ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไปพระนาง
ประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนาน
พระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร”
เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็น
เวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน
ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗
พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก =
กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่
สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา
และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย
พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่
แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาต
แล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอาราม
พระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้
พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่ง
เหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อ
โกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็น
พระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ
ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจ
บุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย
แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไป
ด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย
เช่น....
พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะ
ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒
แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่
อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย
ภิกขาจาร”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ
พระสีวลี นั้นด้วย”
ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก
ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผล
ให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิ
ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านใน
ตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก
นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่ง
เบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็
ดับขันธปรินิพพาน
#ผู้ทำบุญมาก่อนเมื่อยามบุญส่งผลฉันได..ผู้ทำบาปกรรมทางไม่ดีก็ส่งผลฉันนั้น
อย่าไปมัวคิดน้อยใจที่เรามีบาปมาก
อย่าไปมัวคิดน้อยใจว่าเราไม่รู้เรื่องธรรมะ
อย่าไปมัวคิดน้อยใจว่าเราบารมีน้อย
แค่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพุทธศาสนา
ก็ถือว่าเรามีโอกาสมากมายแล้ว
อยู่ที่ทางเลือกของเราเอง
ปล่อยเรื่องวิตกกังวลเหล่านั้นไปเถิดนะ
สร้างเหตุตรงปัจจุบันนี้เถิด
สิ่งที่กระทำแล้วใจเศร้าหมองให้ละเสีย
สิ่งใดที่กระทำแล้วจิตเป็นกุศลให้ทำให้มาก
ให้มุ่งมั่นให้เต็มที่ มีใจอ่อนน้อม
ต่อตนเองและคนรอบข้าง ปรับจิตใจ
จากหยาบสู่ปราณีต ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วก้าวผ่านความหมองเศร้าทั้งมวล
เราต้องตั้งเป้าไว้ว่า
เราภาวนาเพื่อเห็นตามจริง
ไม่ใช่ภาวนาเอาแต่สงบอย่างเดียว
ความสงบเป็นเพียงที่พักที่รวมกำลังของจิต
แต่จะเห็นความจริงได้นั้น ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น
คือรู้สึกตัว ไม่หลงไปกับอารมณ์ ทั้งฝ่ายรูปและนาม
รวมถึงไม่หลงเข้าไปเป็นกับความสงบนั้นด้วย
จิตที่จะรู้ตามจริงนั้นต้องสดใหม่เป็นปัจจุบันสม่ำเสมอ
ด้วยการที่เราคอยรู้สึกตัวรู้สึกถึงกาย
รู้สึกถึงความรู้สึกนึกคิดทางใจ เอาไว้เสมอๆ
เมื่อเหตุถึงพร้อม จนมีจิตตั้งมั่นได้ตามสมควรแล้ว
ย่อมเห็นตามจริงของกาย ใจได้เอง...
ถ้าจะได้บุญ
ก็ต้องรู้ว่าบุญเป็นอย่างไร
ถ้าจะละบาป
ก็ต้องรู้ว่าบาปเป็นอย่างไร
รู้ถึงคุณลักษณะของบุญและบาปตามเป็นจริง
คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจ ด้วยสติ สัมปชัญญะ
จึงรู้ว่าสิ่งใดทำให้จิตเศร้าหมอง สิ่งใดจิตอิ่มเอิบผ่องใส
เมื่อรู้แล้วจึงเจริญในส่วนที่ควร ละอันสิ่งควรละ
เมื่อไม่ติดในสิ่งทั้งสองจึงเป็นผลเป็นกำลังสู่มรรคาแห่งธรรม
การยอมรับสิ่งที่ปรากฏแก่จิตใจ
ทั้งที่นำทุกข์มาให้ ทั้งที่นำสุขมาให้นั้น
ต้องมีขันติ มีความอดทนอย่างยิ่งที่จิต
ที่จะไม่เข้าไปปรุงแต่งเพิ่มเติม
เป็นแต่เพียงรู้ รู้สึกถึงสิ่งนั้นๆ แบบไม่แทรกแซง
เห็นถึงความไม่จีรังในสภาวะธรรมทั้งหลาย
รู้เท่าทั้งความยินดี ยินร้าย แต่ไม่เข้าไปเป็น
เห็นแต่เพีบงธรรมชาติของอารมณ์ต่างๆ
ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้
เมื่อจิตสามารถยอมรับได้อย่างจริงใจ ทั้ง สุข ทั้งทุกข์
ประตูสู่อมตธรรมย่อมเปิดรอรับอยู่ในขณะนั้นนั่นเอง
ส่วนมากนักภาวนามักจะคิดว่า
ต้องเดินท่านี้ นั่งอย่างนี้ ทำอย่างนี้
ไม่งั้นไม่ถูกต้อง แต่แท้จริงแล้ว
เราภาวนาเพื่อพัฒนาที่จิต ไม่ใช่กาย
มันเห็นแจ้งที่จิตไม่ใช่ที่กาย
ถ้าเดินจงกรมอยู่ หรือนั่งหลับตาอยู่
แต่ไม่รู้สึกตัว มีสติก็แบบหลงๆจมแช่ หรือเพ่ง
นั่นไม่ชื่อว่าภาวนา แต่ถ้าเพียงรู้สึกตัว
ระลึกได้ถึงสิ่งที่ปรากฏที่กายใจ
ต่อให้นั่งกระดิก(ตีน)เท้าอยู่
ก็ชื่อว่าภาวนา อันเป็นทางสัมมาปฏิบัติ
คนเราที่แสวงหาความสงบ
อยากได้ความสงบให้กับใจ
มักจะไปตกหลุมแห่งความคิด
ที่จะไม่คิด พยายามที่จะไม่คิด
พยายามผลักดันปิดกั้นความคิด
ธรรมดาจิตมันต้องคิดนึก
ถ้าเราไปคิดที่จะไม่คิด
ก็ไปกั้นกระแสธรรมชาติ
ทำให้เกิดความอึดอัดขัดข้อง
แต่ถ้าเพียงรู้....รู้ว่าความคิดถูกรู้
เมื่อรู้ถูกไม่หลงไปกับคิด ย่อมตระหนักได้
ถึงความสงบที่มีอยู่เฉพาะหน้านั้นเอง
อันความโศก ชักนำ ให้ใจมืด
ลืมกำพืด เดิมแท้ สว่างไสว
คอยอดทน ระลึก ลงที่ใจ
ถ้าไม่ไหว ให้ระลึก ถึงพุทโธ...
ภาวนา พุทโธ เพื่อรู้ตื่น
ใจแช่มชื่น ไม่พัวพัน สิ่งเศร้าหมอง
เมื่อรู้ตื่น ย่อมไม่หลง ไปครอบครอง
สิ่งทั้งผอง ล้วนส่งคืน อนัตตา.....
บางครั้งถ้าภาวนาไป
จิตใจมีความสงบสุขสบาย
แล้วอยากรักษาความสุขสงบนั้นไว้
พอไปเจอสิ่งกระทบภายนอกที่รบกวนความสงบ
ใจจะบีบตัว กดไม่ให้ไปรับรู้ ให้สังเกตุดีๆ
จิตจะแข็งทื่ออึดอัด หาความสบายไม่ได้เลย
เพราะใจมีโทสะแฝงอยู่ ให้รู้ให้ทันนะ
ถ้าให้ดี ให้รู้ทันตั้งแต่มีความสงบนะ
ไม่ไปหวงแหนความสงบ
ไม่ไปเป็นความสงบ เห็นเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้
ถ้าเห็นได้อย่างนั้นเมื่อมีความไม่สงบเกิดขึ้น
ใจก็ไม่เดือดร้อนเพราะมีปัญญา
รู้ว่าไม่มีอาการใดๆที่เป็นเรา
เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น....
การที่มีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันในอาการของจิต
คือความรู้สึก ความนึก ความคิดได้นั้น
จิตไม่ไหลตาม ไม่กระเพื่อมไปตามอาการนั้นๆ
จิตนั้นเสมอๆอยู่ ไม่เที่ยวดิ้นไปมา จิตนั้นเป็นศีล
เป็นปกติจิต จิตนั้นเป็นสมาธิเพราะตั้งมั่น
อยู่ต่างหากจากอารมณ์ จิตนั้นพร้อมจะเจริญซึ่งปัญญา
เห็นความเกิดดับของธรรมทั้งมวล กระบวนการ
มันก็มีอยู่เท่านี้เองนะ ต้องใช้การสังเกตให้มาก
ที่ความรู้สึกนะ แต่อย่าไปคอยเพ่งจ้อง
เพื่อค้นหาจิตหรืออะไร หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
" ใช้จิต เที่ยวแสวงหาจิต อีกกัลป์หนึ่งก็ไม่เจอ "
จิตนี้ที่ไม่สามารถจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้
เพียงเพราะมันเกิดการหวั่นไหว
ทะยานออกไปตามอายตนะต่างๆ
โดยไม่รู้เท่าทัน ไม่มีฐานแห่งสติ
ให้เป็นที่ระลึก ไม่มีสัมปชัญญะ รู้ไม่หลง
แล้วทีนี้จะอย่างไรดี ก็คือเมื่อมันไหลไป
แล้วสามารถรู้ทัน โดยมีฐานแห่งสติ
จะเป็นกาย หรือความรู้สึกทางกาย
เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น
ระลึกได้บ่อยๆ จิตก็หลงสั้นลง
เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อตั้งมั่นได้ต่อเนื่อง โดยไหลออกสั้นมาก
จะเหมือนกับเราทรงสมาธิได้ตลอดเวลาเอง
การมีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ทำหน้าที่เพียงรู้จริงๆ นั้น
มันจะเห็นว่าสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้สึกอยู่นั้น เป็นอนัตตาอยู่แล้ว
เห็นในแง่ที่ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ บังคับไม่ได้
ไม่ใช่เกิดจากการคิดกล่อมตัวเองว่าไม่ใช่เราของเรา
ขณะนั้น ก็จะเห็นแต่ความสงบของนามธาตุ ของธรรมชาติ
แม้สิ่งนั้นๆ ในภาวะจิตของคนทั่วไป จะรู้สึกว่ามันวุ่นวายก็ตาม
ความทุกข์...อาจจะทำให้คนคิดมาก
แต่...ความคิดมาก...ไม่จำเป็นต้องทำให้คนทุกข์เสมอไป
เมื่อมีความคิดมากๆ เกิดขึ้นมา แต่มีสติ รู้ตัวไม่เข้าไปเป็น
คิดมากมายแค่ไหน ก็ไม่ทำให้ใจคนทุกข์ได้....
ความทุกข์มีเพราะไปยึดถือในความคิด
สำตัญว่าตนมีในความคิด ความคิดนั้นเป็นตน
เมื่อมีตนมารองรับ ก็ย่อมต้องทุกข์เป็นธรรมดา
ยิ่งพยายามจะไปหยุดใจที่มันดิ้นเท่าไร
ใจก็ยิ่งดิ้น ดิ้นไปกับความคิดปรุงแต่ง
ดิ้นไปกับความอยาก ที่จะให้มันสงบ
ยิ่งเป็นการก่อภพก่อชาติใหม่
เพราะเห็นว่าเป็นตัวตนที่สามารถไปบังคับได้
ทั้งที่ความจริงของธรรมชาติ
มันไม่เป็นตัวตนที่อยู่ในอำนาจมาแต่ไหนแต่ไร
เป็นเพราะความหลงไปยึดเป็นเราของเราต่างหาก
ความคิดความปรุงแต่งจะดับลง เพราะหมดเหตุ
หมดสิ่งหล่อเลี้ยงคือตัณหา
มันดับลงตามธรรมชาติ มิใช่มีใครไปพยายามที่จะดับ
เห็นเรื่อยๆไป เกิดๆ ดับๆ จนใจไม่หมายในความคิด
เกิดการคลายออกจิตเป็นอิสระจากความคิด
เห็นรู้ความจริงว่ามีแต่ธรรมชาติล้วน
หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เราทั้งฝ่ายรูปหรือนาม....
.. สติเป็นของสำคัญมากในการประกอบความพากเพียร
ตั้งแต่พื้น ๆ จนถึงขั้นมหาสติ-มหาปัญญา "สตินี้เป็นอาวุธ
ที่สำคัญปราบปรามกิเลสได้ทุกประเภท" ต้องมีสติติดตัว
"เมื่อสติดีความเพียรก็ดี" ฐานของจิตที่ยังไม่เคยสงบ สงบได้ละ
สงบเย็น ๆ ลงไป สติติดแนบตลอดไม่ให้เผลอ ก็ยิ่งเป็นความ
สว่างไสวขึ้นมาจากความสงบ ทีนี้เป็นความสว่างไสวภายในใจ
แล้ว เห็นความแปลกประหลาดภายในใจของตนจากจิตตภาวนา
ขึ้นไปโดยลำดับลำดา
"จนกลายเป็นสมาธิจิตแน่นหนามั่นคง" ไม่อยากคิดอยากปรุง
เรื่องราวอะไร "นั่งอยู่ยืนอยู่ เดินทั้งวันก็มีความสงบตัวอยู่อย่างนั้น"
เพราะสังขารความคิดปรุงไม่ทำลายไม่มารบกวน ทีนี้จิตก็เป็น
สมาธิได้ .. "
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ทำไมถึงต้องอยากสงบล่ะเวลาภาวนา
ยิ่งอยากสงบเท่าไร มันก็ยิ่งไม่สงบ
เพราะว่าเราไม่ชอบความไม่สงบนั่นแหละ
อยากจะผลักไสมันไปให้พ้น
แล้วรับเอาความสงบเข้ามาแทนที่
แล้วก็เฝ้ารักษามันเอาไว้อย่างดี
ทั้งๆที่ถ้าเรายอมรับอยู่ว่า
มีความไม่สงบเกิดขึ้นในใจ
ใจที่รู้จักยอมรับนั้นแหละ
จะทำให้ความไม่สงบตั้งอยู่ไม่ได้
หรืออยู่อย่างเก้อๆอย่างนั้นเอง
ใจจะตั้งมั่นขึ้นมา อยู่ต่างหากจากความไม่สงบนั้น
ตัณหาที่คอยหล่อเลี้ยงความไม่สงบมันดับ
ความไม่สงบนั้นก็ดับไปเอง ก็เกิดความสงบ ความว่างมาแทนที่
ก็หมุนเวียนไปมาอย่างนี้ แต่จริงๆแล้ว ใจที่ตั้งมั่นนั้นเอง
ก็สงบอยู่แล้ว สงบอยู่ตามธรรมชาติของใจ
คนเราทุกวันนี้เที่ยวแสวงหาสิ่งต่างๆในภายนอก
เพื่อมาเสริมความรู้สึกที่ขาดพร่องของตน
เช่นว่าแสวงหาความสุข เพราะรู้สึกว่าไม่มีความสุข
หรือ ยังรู้สึกว่าสุขไม่พอ อยากพ้นจากทุกข์
ก็เพื่อที่จะเป็นสุข แต่ว่าความรู้สึกเต็มเปี่ยมที่แท้นั้น
ไม่ได้มาจากการนำเข้ามา แต่เป็นการสละออก
สละความรู้สึกเป็นตัวตนเราเขาออกไปจากใจ
สละ ละความอยากที่จะมีความสุขเสีย
จนถึงที่สุดแม้กระทั่งใจก็ต้องสละคืน
เมื่อนั้นความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์
และความสุขอันแท้จริง
สุขที่ไม่คอยแบกในสิ่งใด
จะปรากฏให้ได้รู้เอง
เมื่อภาวนาไปจิตใจโปร่งโล่งเบาสบาย
มีความสุขดี แต่ถ้าจะก้าวต่อไป
ต้องรู้สึกตัว รู้ว่า ความโปร่งเบา
ไม่ใช่สิ่งควรยึด ไม่ใช่จิต จิตเป็นเพียง รู้
รู้ว่าความโปร่งเบา หรือความรู้สึกทั้งปวง
เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ มีความแปรปรวน
มีความเกิดดับตามเหตุปัจจัย
เมื่อสั่งสมการรู้เห็นเช่นนี้ จนจิตยอมรับความจริง
ว่าไม่มีสิ่งใดๆ น่าเอาน่าเป็น จึงเกิดการสละคืนสิ่งยึดถือ
คืนให้กับโลก" จาโคปฏินิสสัคโค มุตติอนาลโย"
จิตถึงความเป็นอิสระอย่างแท้จริง...
ขอให้ใจว่างจากความหลงเสียเถิด
อย่าไปหลงว่ามีตัวตนเราเขาเลย
เพราะหลงมันทำให้ใจเป็นทุกข์
ใจหลงว่ามีตัวตนเราเขา
ใจก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
เมื่อใจรู้แจ้งว่าเป็นธาตุ เป็นอนัตตา
ละหลงว่าเป็นอัตตาออกจากใจ
ใจก็จะหลุดพ้น วิมุตติ
เมื่อใจพ้นจากความหลง
ใจก็พ้นทุกข์
หลวงปู่บุญจันทร์ จันทวโร
วัดถ้ำผาผึ้ง
ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ให้มีสติ ให้เห็นการเกิดดับของกายและใจ
แต่อย่าให้มันมาทำให้ใจวุ่นวาย
ให้ปล่อยวางมันไป
ความรักเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป
มันมาจากไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น
ความโลภเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป ตามมันไป
ตามดูว่าอยู่ที่ไหนแล้วตามไปส่งมันให้ถึงที่
อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง........
หลวงพ่อชา สุภัทโท
โลกก็หมุนเวียน เปลี่ยนแปลงไปตามปกติธรรมดา
ทั้งภายนอกทั้งภายในจิตใจก็เป็นเช่นนั้น
จะมีก็แต่ใจที่ประกอบด้วยความไม่รู้
ที่จะไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลง
หรือไปเป็นความเปลี่ยนแปลงนั้น
มันจึงต้องทุกข์เพราะไม่รู้ตามจริง
ตามธรรมดาของโลก
เพียงแค่.....รู้
รู้ ความเปลี่ยนแปลง
รู้ถึงความไม่ใช่เรา บังคับไม่ได้จริง
เมื่อใดใจยอมรับจนสลัดความยึดถือในโลก
เมื่อนั้นจึงพบกับความไม่เปลี่ยนแปลง.....
ความสุขที่แท้ของจิตใจ
เกิดจากการฝึกฝน
เจริญสติ สัมปชัญญะ
รู้เท่าทันสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
จนถึงจุดที่ไม่ไปเป็น ไม่ไปแบก
ความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
ไม่แบกเพราะสติปัญญา
เห็นความจริงว่ามันไม่เที่ยง
ไม่ควรเข้าไปแบก ไปยึดถือเอาได้เลย
คอยรู้สึกตัวไว้เถิดนะ
เมื่อสุขก็รู้ไม่เพลิน
เมื่อทุกข์ก็รู้ไม่ผลักออก
เมื่อเฉยก็ไม่จม
รู้สึกจริงๆ
เพียงแค่รู้ ไม่เป็นผู้เป็น
ในเรื่องของ ความสุข .. ความทุกข์
เมื่อเราสามารถรู้จัก รู้ แล้ว
เรายังสามารถที่จะ รู้ความยินดีในความสุข
รู้ความยินร้ายในความทุกข์
เมื่อความยินดี ยินร้าย ถูกรู้เท่าทันแล้ว
จิตจึงตั้งมั่นเป็นกลางพอ ที่จะรู้ว่า
ทั้งสุข ทั้งทุกข์ มีค่าเสมอกัน เป็นเพียง
สภาวธรรมบางอย่างที่ถูกจิตรู้ ไม่ใช่เรา
เมื่ออยู่ในโลก ย่อมต้องพบเจอกับสิ่งเหล่านี้
คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ
สุข ทุกข์ ท่านเรียกว่า โลกธรรม๘
ถ้ายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมย่อมหลีกไม่พ้น
แต่คราวนี้อยู่ที่ว่า เราจะมีวิธีดำรงอยู่
ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
เราจะสามารถเจริญสติ รู้ทัน ความฟู แฟบของอารมณ์
ที่เกิดเพราะสิ่งเหล่านี้ได้เท่าทันหรือไม่
อยู่ที่เราจะขวนขวายเอา ถ้าประมาทย่อมประสบทุกข์
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแน่ ย่อมถูกล่อลวงให้ยึดติดกับโลกมากขึ้น
สร้างเหตุแห่งการเกิดต่อไปอีกนับไม่ได้ ให้สังวรเอานะ
จริงๆแล้วจิตคนเราไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย
เพราะมีเพียงแค่จิต กับอาการของจิตเท่านั้นเอง
แต่คนเราพลาดจากการเรียนสภาวธรรมที่เป็นอยู่จริงๆ
ไปมุ่งสู่การคิดค้นเพื่อความเป็นเลิศทางปัญญา
แต่ปัญญานั้นไม่ได้ช่วยในการถอดถอนความยึดมั่น
กลับไปสร้างกับดัก สร้างทางเข้าไปสู่จิตให้วกวนยิ่งขึ้น
ยิ่งคิดได้ลึกซึ้งละเอียดมากเท่าใด ยิ่งยึดติดเหนียวแน่นมาเท่านั้น