พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 4 กันยายน 2560
ตอนที่ 166 **พุทธานุสติ แบบที่ ๒**
+ +
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเย็นของวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับพระเมตตา จากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน
เพื่อขึ้นเข้าเฝ้าฟังธรรมและจะได้นำธรรมนั้น มาเผยแผ่ให้กับญาติธรรมทั้งหลาย ได้ฟังกัน
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้น้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น
จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถามถึงกรรมฐานกองที่ 21 แบบที่ 2* หน่ะเจ้าค่ะ
ว่าเรานั้น จะมีการตามระลึกนึกถึง *องค์พระพุทธเจ้า* อย่างไรบ้างหล่ะเจ้าคะ ? เราจะได้เข้าถึงฌานได้ หน่ะเจ้าค่ะ”
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงนั่งให้สงบ ตั้งใจฟัง แล้วพิจารณาตามนะลูก
นั่งให้กายนั้นสบาย แล้วมาสมมุติกันว่า..
กายนี้ เขาก็คือโครงสร้าง ที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปธรรม
เรียกว่า “กาย” เรียกว่า “คน”
คือ มาสมมุติเป็นตัวเป็นตนของเรา
จิตของเรา ก็คือ ผู้มาครองกายนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรจากบ้าน ที่มีคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น..
กาย เปรียบเสมือน บ้านหลังหนึ่ง
จิต เปรียบเสมือน คนที่อาศัยอยู่ในบ้าน
ซึ่งบ้านหลังนั้น ก็สามารถที่จะปิดประตู ล็อคเอาไว้ ทิ้งเอาไว้.. โดยที่เจ้าของนั้นไม่อยู่
ไปทำธุระในที่อื่น
เจ้าของบ้านสามารถที่จะอยู่บ้านก็ได้.. ไม่อยู่บ้านก็ได้
พระยาธรรมเอย.. ให้ทำความเข้าใจ เรื่องของจิต กับกาย.. เช่นนี้แหละลูก
เราทำความเข้าใจว่า..
กายนี้ ก็เหมือน บ้านหลังหนึ่ง
จิต ก็เหมือน ผู้อาศัยอยู่ในบ้าน
ฉะนั้น.. ธรรมชาติของจิต จึงสามารถออกนอกกายได้
และจิตนั้น สามารถที่จะเดินทางไปในที่ใดก็ได้.. ตามความนึกคิดของเรา ได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว
จิตสามารถที่จะไปในที่นั้นๆได้ อย่างแท้จริง .. โดยเดินทางทางจิต ที่ไม่เกี่ยวกับกายนี้
เราจะพิสูจน์ ในเรื่องของ * จิต กับกาย *
สมมุติง่ายๆ ก็คือ..
ถ้ามีภพชาติ การเวียนว่ายตายเกิด แปลว่า จิตออกจากกายได้
แปลว่า กายนี้ เขาก็เหมือนคนๆหนึ่ง ที่สร้างบ้านไว้ 10 หลัง
อยากจะอยู่หลังนี้ก็ได้ ไปอยู่หลังนั้นก็ได้
หรือสมมุติว่า.. หลังนี้พังไปแล้ว ก็ไปอยู่ในหลังใหม่ อย่างนั้นไงลูก
กายของเรา.. เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับไป
จิตของเราครอบครองกายแล้ว กายเล่า
- ตามกำลังบุญ กำลังบารมีของเรา.. ที่สร้าง ที่สั่งสม หรือทำมา
กายกับจิต ไม่ติดกัน.. ลูกเอ๋ย
เมื่อเราทำความเข้าใจเช่นนี้แล้ว.. เราก็มารู้ตามอีกว่า
คุณสมบัติของจิตนั้น เมื่อออกเดินทางจากกายแล้ว.. ก็จะสามารถพุ่งไปในที่นั้น ที่นี้ ได้อย่างรวดเร็ว
การทำสมาธิ โดยการที่เรานั้น ส่งจิตขึ้นสู่ที่ที่สงบ
เหมือนกันกับการที่เราออกไป.. เพื่อที่จะหาสิ่งที่ดี เจอสิ่งที่ดี
... และนำสิ่งเหล่านั้น กลับเข้ามาสู่ที่บ้านไงลูก..
ฉะนั้น.. จิตของเราจึงควรส่งออกไป ในที่ที่ดีๆ เพื่อหากำไร หาสิ่งที่ดีกลับคืนสู่ร่างกาย
หากว่าเรานั้น นั่งสมาธิเฉยๆ ทำจิตให้อยู่กับกาย จิตของเราให้อยู่ตรงนี้
ถามว่าทำได้มั้ย ?
ก็ทำได้ - แต่อาจจะยากหน่อย !
เพราะว่า เรา..
- อยู่ในที่ที่หนัก ที่เจ็บ ที่ปวด
- อยู่ในที่ที่มีแต่คลื่นกระแสของความทุกข์ร้อน เร่าร้อน
- คลื่นพลังงานที่บวกนั้น ไม่มี !
อยู่ในบ้าน สามารถสบายได้มั้ย ?
ก็สบายได้.. แต่เราก็คงไม่มีตัวช่วย ที่จะมาช่วยให้เรา รู้สึกว่า
* ชีวิตนั้น มีพลังได้อย่างรวดเร็ว
* มีความสุข ได้อย่างว่องไว
ถ้าเกิดว่าเราออกไปข้างนอก
ไปเห็นสิ่งนั้นเห็นสิ่งนี้ ไปได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ที่ดี.. ก็คงจะดีกว่า !
ทีนี้ พระยาธรรมเอย.. เมื่อทำความเข้าใจเช่นนี้แล้ว...
ก็ให้ทุกคนน้อมจิต.. ตามเสียงที่ได้ยินได้ฟัง นะลูกนะ
- เพื่อที่จะได้พาจิตของลูก ไปในที่นั้นๆ
- เพื่อที่ลูกนั้น จะได้ไปน้อมพลังที่เย็น คลื่นที่สงบสุข.. ในที่เหล่านั้น กลับคืนสู่กาย ลูก
เอาละนะ เมื่อพร้อมแล้ว.. เราก็พิจารณา ไม่ยึดติดในกายนี้
กายนี้ จอดทิ้งเอาไว้.. ไม่สนใจกับมัน
เรื่องที่ดี.. เรื่องที่ไม่ดี ช่างมันไปก่อน ช่างมันเถิดนะ
ตอนนี้.. เป็นเรื่องของจิต เรานี้จะให้จิตของเรา ออกจากกายนี้ไป
เพื่อแสวงหา“สิ่งที่ดีที่สุด” สำหรับจิตของเรา
เราก็ปล่อยกายว่างๆ โล่งๆ ทิ้งไป..
แล้วมาสมมุติว่า..
สูงขึ้นไปข้างบนนั้น.. มีสะพานสีขาว ผ่านหมู่เมฆ ผ่านขึ้นไป สูงขึ้นไป
เป็นอากาศที่กว้างขวาง หาที่สิ้นสุดมิได้เลย
เราก็เข้าไปในที่ ที่เป็นแสงอากาศระยิบระยับ
จิตของเราก็ตั้งมั่นไว้ว่า..
ข้าพระพุทธเจ้า จะขอน้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้า ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หากแม้พระองค์ท่าน ทรงประทับอยู่ในที่ใด ขอดวงจิตของข้าพระพุทธเจ้า ได้ไปยังสถานที่แห่งนั้นด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ในขณะที่เราออกจากกายแล้ว.. ให้จิตของเราระลึกนึกเช่นนี้ นะลูก
จิตของเรา ก็จะล่องไป.. อยู่ในสถานที่ ที่สวยงาม สว่างไสว
มีแสงสีขาว พุ่งตรงมาที่ตัวของเรา
เราก็เดินทางมุ่งหน้า สู่ที่ที่มีแสงสว่างนั้น
จนไปถึงแล้ว เห็นคล้ายคลึงกันกับว่า.. เป็นประตูที่มีแสงสว่าง ส่องประกายลงมา
เราก็ไม่กลัวอะไร.. เพราะว่าเราตั้งจิตไว้ว่า
จะขึ้นเข้าเฝ้าต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน
เราเข้าไปในที่แห่งนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว.. แสงที่สว่างนั้น ก็ดับวูบไป
เหลือเพียงแต่สภาวธรรม ที่เป็นแก้ว
คือ สว่างแบบธรรมดา ไม่ได้สว่างไสวจนจ้า.. สว่างแค่พอประมาณ
เหมือนคล้ายคลึงกับตอนกลางวัน
ที่เราเห็นแก้ว ก็เป็นแก้ว เห็นกระจก ก็เป็นกระจก.. อย่างนั้นแหละนะ
คือ แสงสว่างหายไป.. เราก็มองเห็นพื้นตรงนั้นว่า.. ที่นี่เป็นกระจกใส
จะว่าเป็นกระจก ก็คล้ายแก้ว
จะว่าเป็นแก้ว ก็คล้ายกระจก.. อย่างนั้นหละ
เราก็ค่อยๆย่อง ค่อยๆ เดินไปๆ อาจจะถึงในที่ที่หนึ่ง ที่เราไม่รู้จักคุ้นเคย
แต่ที่ตรงนั้น.. เมื่อเราเอามือไปแตะ จับดูแล้ว ก็นุ่มนิ่ม น่านั่งน่านอน
เราก็ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งในที่ตรงนั้น อย่างสำรวม
เรารู้แล้วว่า.. ว่าตอนนี้ เราให้จิตของเราทิ้งกาย.. ส่งจิตขึ้นมา ตามสภาวธรรมที่เกิดขึ้น
เมื่อเราอธิษฐานว่า.. จะขอเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธเจ้า
จิตของเรา.. ก็เลยมาถึงแล้ว ในดินแดนความสงบสุขแห่งนี้
เมื่อเราไปถึง ในที่นั้นแล้ว.. เราก็น้อมพลังที่เย็น
จิตเราย่อมสัมผัสกับความสงบ ความสุขเหล่านั้นได้
เมื่อเรา น้อมพลังๆ.. พลังในกายภายในที่คุมจิตของเราไว้ ก็จะสว่างไสว เป็นแก้ว.. ใส
เมื่อเป็นแก้วใสแล้ว.. เราก็จะเห็นองค์พระพุทธรูป เป็นแก้วใส นั่งเรียงกันเป็นพันๆพระองค์
แล้วก็มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นองค์ใหญ่ที่สุด
หมายถึง มีรูปลักษณ์ของกายแก้ว ที่ทรงพลังและใหญ่กว่าองค์อื่นๆ
ที่เป็นองค์พระอรหันต์ หนะลูก
.. แต่ก็เป็นคล้ายคลึงกันกับพระพุทธรูป ทุกองค์เลย
เราไปนั่งท่ามกลางตรงนั้น.. เราจำภาพนั้นให้ดี ให้ติดตาติดใจ
เราเอาจิตของเรามาที่นี่แล้ว จิตของเราตั้งมั่นอยู่กับองค์พระพุทธเจ้าแล้ว..
เราก็ท่องไป.. * องค์พระพุทธเจ้า.. องค์พระพุทธเจ้า *
หรือจะท่องว่า * สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ *
ก็คือ การน้อมนึกถึงองค์พระพุทธเจ้า เหมือนกัน
หรือจะท่องว่า.. “สติ จงระลึกอยู่กับพระพุทธเจ้า”
.. อย่างนั้นก็ได้..
หรือที่ท่องกันสั้นๆว่า * พุทโธ * แล้วแต่ที่เราสะดวก.. ลูกเอ๋ย
หรือจะท่อง * องค์พระพุทธรูป.. องค์พระพุทธเจ้า *
อย่างนี้ก็ได้.. แล้วแต่ที่เราสะดวก นะลูกนะ
แต่ให้เราจำภาพแห่งองค์พระที่สวยงาม หลายพระองค์ ที่อยู่ตรงหน้าของเรานั้น เอาไว้ให้ดี
กายของเราก็ใสเป็นแก้ว
แก้วใส..ส่องพลังสว่างไสว จากตัวของเรา
เราก็ตั้งอารมณ์ไว้ตรงนั้นหละ.. น้อมนึกถึงองค์พระ
ทรงอารมณ์ไว้อย่างนั้น
เมื่อเราได้รับพลังในจิตมากๆ พลังแห่งจิต.. ก็เชื่อมโยงมาสู่กายด้วย
เราก็จะรู้สึกว่า ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ ที่กายนี้เป็นอยู่ ทรงสภาวธรรมอยู่.. ใสเป็นแก้ว
พื้นนั้นไม่มี ไม่ใช่พื้นที่เรานั่งอยู่ แต่เป็นที่ว่างโล่ง เบาสบาย
และกายหยาบของเรา.. ก็อยู่ในดินแดนความสงบสุข ที่เรานั้นมองเห็นด้วย
ทำเช่นนั้นอย่างนั้นหละ พระยาธรรม.. การที่เราจะตามระลึกนึกถึงองค์พระพุทธรูป
หรือองค์พระพุทธเจ้า - เราก็ทำได้หลายรูปแบบ.. ลูกเอ๋ย
อย่างในรูปแบบที่แนะนำนี้ ก็คือ แนะนำให้โยกจิตออกจากกาย
ให้จิตนั้นไปเข้าเฝ้าองค์พระพุทธเจ้าองค์จริง
ด้วยสภาวะของจิต ที่น้อมนึกถึง
เมื่อจิตเข้าถึง.. และจิตนั้นก็สงบ มีพลังแล้ว
ก็จะเห็นองค์พระพุทธรูป หรือองค์พระพุทธเจ้า ขึ้นมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทรงพลังไว้เช่นนั้นแล้ว
ย่อมได้เข้าสู่ฌาน เข้าถึงความสุข ความสงบได้.. ลูกเอ๋ย
อย่ามัวแต่ลังเลสงสัย คิดว่า.. เป็นการนึกไปเอง คิดไปเอง จินตนาการไปเอง !
จงทำความเข้าใจเสียใหม่เถิดลูก
“ กายนี้เหมือนบ้าน ”
จิตสามารถที่จะออกไปท่องเที่ยวที่ไหนก็ได้
ฉะนั้น.. การนึก คิด คือการตั้งใจ หรือว่าตั้งจุดมุ่งหมาย ที่จะให้จิตไปในที่นั้น
ฉะนั้น.. ถึงแม้ว่าจะคิด จะนึก.. มันก็ไม่ได้ผิดอะไร.. ลูกเอ๋ย
เพราะว่าเรา นึก คิด.. เพื่อเปิดทางให้จิตไปในที่นั้นให้ได้ เท่านั้นเอง !
และคำตอบที่เราจะได้กลับคืนมา คือ การไปแล้ว พิสูจน์ได้ว่า.
มันไม่ได้เหมือน ตอนที่เราคิดเอาไว้แล้ว..
มีการเปลี่ยนแปลงและมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เรานั้น ไม่เคยแม้แต่รู้หรือเห็น
เราไม่ได้คิด ไม่ได้นึกเลย.. แต่สิ่งเหล่านั้นปรากฏชัดเจนแก่เราได้ !
คำตอบที่จะตอบความลังเลสงสัยของเรา มันจะอยู่ข้างหน้า
เมื่อเรากล้าฟันฝ่าความลังเลสงสัย เข้าไปให้ถึง
ถ้าเรามัวแต่ลังเลสงสัย คิดว่า.. มันคือความคิด คือการจินตนาการ
. เราก็เลยสงสัยอยู่ตรงนั้น..
นั่นก็เท่ากับว่า ตนปิดการพิสูจน์แห่งตน- ด้วยความสงสัย
ทุกอย่างจบลง ที่ความสงสัยของเรา
ลูกเอ๋ย.. ก็แล้วจะสงสัยทำไมเล่า !
ในเมื่อเรารู้อยู่แล้ว ว่า.. เราส่งจิตนึกคิดไปในสถานที่นั้นๆ
เพื่อให้จิตของเรา จะได้ไปถึงที่นั่น
แต่เมื่อจิตไปถึงแล้ว.. อาจจะรู้ อาจจะเห็น อาจจะสัมผัส
หรือว่าได้รับบางอย่าง.. ที่เราไม่นึกไม่ฝันเลยว่า จะเป็นเช่นนั้น !
เช่นเดียวกัน กับการที่เรา ..นึกว่าจะออกจากบ้าน เพื่อที่จะไปยังสถานที่ใดที่หนึ่ง
เรารู้ ว่าเราคิดไว้อย่างนั้น..
แต่เราจะรู้มั้ยหล่ะลูก ว่า..
เราไปแล้ว.. เราจะเจอกับอะไรบ้าง ?
จะมีอากาศในที่ที่เราไปนั้น.. ร้อน หรือหนาว จะฝนตก หรือว่าแดดออก
ต้นไม้ ภูเขา มันมีรูปร่างรูปลักษณ์ หน้าตาเป็นแบบไหน ?
บ้านเมืองที่เราเคยไป เมื่อ 10 ปีก่อน มันจะยังเหมือนเดิมอยู่มั้ย ?
มันไม่มีทางเลยลูก.. ที่เราจะรู้ในสิ่งที่เราจะไป
แต่เรามีหน้าที่ คือรู้ว่า.. เราจะไปในที่นั่น.. แค่นั้นเอง
ความคิด การจินตนาการ ก็เหมือนกัน
มันคือ แค่พลังส่ง หรือตัวส่งให้เรา.. ไปยังสถานที่นั้น
สิ่งที่จะพิสูจน์แก่เราได้ คือ.. การ
ไปรู้ไปเห็น สิ่งที่มันเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ไปรู้ ไปเห็น ไปได้ยิน ได้ฟังธรรมคำสอนสั่ง ที่ไพเราะ ที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย
ไปได้รับคำตอบในบางคำถาม ที่เรานั้น ไม่สามารถตอบได้เอง !
ทำเช่นนั้น อย่างนั้นหละ.. ก็จะตอบเราได้ว่า.. คิดเอง จินตนาการเอง
อย่าไปติดกับเรื่องคิด จินตนาการ
เพราะมันคือ จุดมุ่งหมายที่เราจะไป
มันไม่ใช่ความผิด ความถูก.. ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
มันคือ.. เหตุที่นึกขึ้นมา เพื่อที่จะส่งให้จิตของเรา..ไปรู้ผล เมื่อไปแล้ว
ฉะนั้น ต่อจากนี้ไป.. ให้พากันจำเอาไว้นะลูก
นักปฏิบัติ ไม่ควรคิดว่า เป็นภาพแห่งการมโนภาพขึ้นมา คิดขึ้นมา จินตนาการขึ้นมา
ไม่ควรคิดอีกต่อไปแล้ว..
ให้จงตั้งมั่น น้อมนึกถึงที่ที่ดี ส่งจิตของตน ไปในที่ที่ดี
แล้วให้เกิดในสิ่งที่เป็นความจริง ที่พิสูจน์ได้ชัดเจน แก่ตัวของเราเอง
พิสูจน์ด้วยตัวของเราเอง นั่นแหละ ดีแล้ว !
อย่าพากันเข้าใจ ตามคำพูดลอยๆ ของคนที่เขานั้นก็แค่สงสัยเหมือนกัน
และก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน
ก็เลยเอามาคิด มาพูดไป
เราสามารถ ที่จะส่งจิตออกจากกายได้ลูก
** นี่คือ ความจริง
ความคิด คือ สิ่งที่จะส่งให้เราไปในที่นั้น ที่นี้
ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้น มันจะเกิดขึ้น ตามสภาวะความเป็นจริง.. ลูกเอ๋ย
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ นี่หละ.. พระยาธรรม
ในแบบที่ 2* ก็ให้ระลึกนึกถึง ในที่ที่องค์พระพุทธเจ้าอยู่ ก็แล้วกัน
แล้วให้น้อมจิตออกจากกาย ไปในที่นั่น..
/ เพื่อไปรับพลังพุทธบารมี
/ เพื่อไปเฝ้าองค์พระพุทธเจ้า ในดินแดนความสงบสุข
แล้วฌานสมาธิ ก็จะก่อเกิดแก่ลูกนั้นเอง !
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาอธิบายธรรมนี้ให้ลูกได้เข้าใจ
ลูกเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วหละเจ้าค่ะ
ไว้วันพรุ่งนี้.. ลูกจะมาทูลถามใหม่ นะเจ้าคะ
วันนี้ คงต้องขอลากลับไปก่อน.. ละเจ้าค่ะ
สาธุ