ครั้งนั้น พระอนุรุทธะเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ได้
สนทนาปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร
พอเป็นที่บันเทิงใจพอเป็นที่ระลึกถึงกัน
แล้วนั่ง ณ ที่สมควร..
•ได้ถาม,ท่านพระสารีบุตรว่า..
ท่านสารีบุตร ขอโอกาส ผมตรวจดูทั่วโลก ๑,๐๐๐ โลกด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ ก็ผมเองบำเพ็ญเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายก็สงบระงับ
ไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง
#แต่เพราะเหตุไรเล่า จิตของผม
จึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น?
🍃ท่านพระสารีบุตร ตอบว่า : ท่านอนุรุทธะ
~การที่ท่านคิดเห็น..อย่างนี้ว่า
‘เราตรวจดูโลก ๑,๐๐๐ โลกด้วยตาทิพย์
อันบริสุทธิ์,เหนือมนุษย์’ นี้
•เป็นเพราะ "มานะ"ของท่านเอง
~ การที่ท่านคิดเห็น..อย่างนี้ว่า
‘ก็เราบำเพ็ญเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายก็สงบระงับ ไม่ระสำระสาย จิตตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นหนึ่ง’ นี้
•เป็นเพราะ "ความฟุ้งซ่าน"ของท่านเอง
~การที่ท่านคิดเห็นอย่างนี้ว่า
“เพราะเหตุไรเล่า จิตของเราจึงยังไม่พ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น” นี้
•เป็นเพราะความ "รำคาญ"ของท่านเอง
🍃ท่านอนุรุทธะ เอาเถอะ
ท่านจงละธรรม ๓ ประการนี้
ไม่มนสิการถึงธรรม ๓ ประการนี้
แล้วน้อมจิตไปใน "อมตธาตุ”
🔸 ครั้นต่อมา ท่านพระอนุรุทธะ
ละธรรม ๓ ประการนี้ ไม่มนสิการถึงธรรม ๓
ประการนี้ น้อมจิตไปในอมตธาตุ
หลีกออกไปอยู่คนเดียว
ไม่ประมาทมีความเพียรอุทิศกายและใจอยู่
ไม่นานนักได้ทำให้แจ้งที่สุดซึ่งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่กุลบุตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน
#รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว
ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป
ท่านพระอนุรุทธะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
ทุติยอนุรุทธสูตรที่ ๘ จบ
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
............
[329] สังโยชน์ 10๑ (กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล — fetters; bondage)
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ — lower fetters)
1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น — personality-view of individuality)
2. วิจิกิจฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ — doubt; uncertainty)
3. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร — adherence to rules and rituals)
4. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ — sensual lust)
5. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง — repulsion; irritation)
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง — higher fetters)
6. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ — greed for fine-material existence; attachment to realms of form)
7. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ — greed for immaterial existence; attachment to formless realms)
8. มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ — conceit; pride)
9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน — restlessness; distraction)
10. อวิชชา (ความไม่รู้จริง, ความหลง — ignorance)
สังโยชน์ 10 ในหมวดนี้ เป็นแนวพระสูตร
หรือ สุตตันตนัย แต่ในบาลีแห่งพระสูตรนั้นๆ
มีแปลกจากที่นี้เล็กน้อย คือ
~ข้อ 4 เป็น กามฉันท์
(ความพอใจในกาม — desire)
~ข้อ 5 เป็น พยาบาท
(ความขัดเคือง, ความคิดร้าย — illwill) ใจความเหมือนกัน
ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
ที่มาภาพ : www.shantideva.net
" ถอน...ไส้ตะเกียงออก
แสงสว่างก็ ดับแล้ว
ถ้าถอนตัวเราออกจากสมมุติ อันนั้นเสียแล้ว
มันก็เหมือน ถอนไส้ตะเกียงออก
แสงสว่างก็ ดับหมด
เราถอนตัว ออกมา
สำคัญว่า เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา
กูดี กูชั่ว กูโง่ กูฉลาด ถอนมันทิ้งเลย
อย่า...ให้มีในที่นั้น
อาการต่าง ๆ ก็ดับไป
เหมือนกันกับ ไส้ตะเกียง
ถอนออก...ดู
ความสว่าง ก็หายหมด
ข้างนอก มันอาศัยไส้ตะเกียง กับไฟเป็นอยู่
มันอาศัยตัวเราว่า ตัวกู ของกูนี้แหละ
ตัวเขา ตัวเรานี้แหละ เข้าไปหมายไว้
ถ้าสุข ก็ว่าเราสุข
ถ้าทุกข์ ก็ว่าเราทุกข์
เป็นอะไร ก็ว่าเราเป็นอันนั้นแหละ
เอาเรา ไปใส่ไว้ที่นั้น นี้แหละ
มันจึงเป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ไปรอบด้าน
เพราะ...ธรรมนั้นเป็น อนัตตา
ไม่ใช่...เรา
เราเอา เราเข้าไปใส่ ขืนดื้อเข้าไปใส่นี้
เรียกว่า...ประมาท
จะไปถอน ที่ไหนล่ะ ? ถอนไม่ได้
เพราะ...ไปหมายมั่นเข้าไป
ให้รู้...ตามเป็นจริง
ก็ถอนความเห็นนั้น ออกมาเสีย
ถอนความเห็นผิด ออกซะ
เอาความเห็นถูก เข้าไปใส่ไว้
สงบ...
ท่านหมายถึง...ว่าง ว่างจึงว่า ความสงบ
สงบจาก สุข หรือทุกข์ อันนั้น
ที่นั้น...ว่าง
จากสุข ทุกข์ ที่สงบหมด
เรื่องแก้ไข ไม่มี ที่แก้ไขมันอีก
ถึงความสงบแล้ว
หมดสังขาร ที่จะเข้าปรุง เข้าแต่งมัน
จะปรุงแต่งได้เพราะ....มีตัว มีตน มีเรา มีเขา
มีสุข มีทุกข์ เท่านั้น
ถ้า...ถึงที่นั้นแล้ว
ไม่มี ที่แก้ไขแล้ว หมดที่แก้ไข
ดังนั้น ธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่เป็น ปัจจัตตัง
เวทิตัพ โพ วิญญูหิ วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน
เหมือนกัน กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือสาวกของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้
เข้าไปเห็นแล้ว
เป็นของรู้เฉพาะตนเอง
ธรรมนั้น ประกาศไม่ได้
ธรรมนั้น แสดงไม่ได้ เอาให้ไม่ได้
ธรรมนั้น เป็นปัจจัตตัง
ใครเข้าถึงก็...เห็นเอง รู้เอง."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
พราก "จิต" ออกมาเสีย จากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
“ไม่มีอะไรนอกไปจาก“จิต”
ในบรรดาสิ่งที่เรียกว่า“โลก”นี้
เพราะ“จิต”เท่านั้น ที่จะรู้สึกต่อสิ่งนั้น
แล้วสิ่งนั้น มันรู้สึกทาง“จิต”
ไม่มีอะไรที่จะรู้สึกได้นอกจากทาง“จิต”
เขาจึงพูดอย่างรวบรัดทั้งหมดโดยสิ้นเชิงว่า
“ไม่มีอะไรในโลกนี้ นอกจากสิ่งที่“จิต”รู้
ถ้าไม่มี“จิต”เสียอย่างเดียว “โลก”นี้ก็ไม่มี.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย“สติปัฏฐาน ๔ ประยุกต์” เมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๙
"จิต"นั่นเอง ! กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม
จงพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี"ตัวเรา" คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี"ตัวเรา"สำหรับจะเอานั่นเอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า"ตัวตน"เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่ "จิต นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม" ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป. ไม่ต้องมี"ตัวเรา"อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์....การทำอย่างนี้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็ว อาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้....
ความมุ่งหมายของพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้น "เหนือโลก" หรือหลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอื่น อันมีความสูงเพียงขั้นศีลธรรม
ฉะนั้น ความปรารถนาในการ "พรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง" จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา....
การตัดลัดเพ่งตรงไปยังภาวะที่ "ปราศจากความยึดถือของจิต" เช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โต ตั้งต้นไล่กันไปตั้งแต่ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด....
...พุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆในโลก
ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่า ทำอย่างไรความยึดถือว่า"ตัวตน"(ตัวกู-ของกู)จะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือ...วิธีลัดสั้นที่สุด"
พุทธทาสภิกขุ
ปาฐกถาธรรม "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม"
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑
ที่ "พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย"
๓. อดีตก็รู้เท่า อนาคตก็รู้ทัน ปัจจุบันก็ไม่ยึดติด
๔. สิ่งที่เราได้ สิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นนั้น จิตเป็นผู้สร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้น ด้วยอำนาจของกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญหรือบาป จึงมีผลเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
๕. หัวใจเป็นมงคลนี่ขลังมาก เป็นที่สุดของมงคล วัตถุเป็นมงคลนั้น ทำให้คนหลงลืมเนื้อลืมตัว
๖. ทุกอย่างเกิดที่จิต และดับที่จิต ไม่มีอะไรจริงเท่ากับจิต ไม่มีอะไรปลอมยิ่งกว่าจิต ไม่มีอะไรดีเท่ากับจิต ไม่มีอะไรเลวยิ่งกว่าจิต ไม่มีอะไรละเอียดเท่ากับจิต ไม่มีอะไรร้อนเท่ากับจิต และไม่มีอะไรเย็นยิ่งกว่าจิต ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารเท่ากับจิต
๗. ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง เมื่อมีฐานแห่งธรรมเป็นเครื่องรองรับภายในใจอยู่แล้ว
" อาการบังคับ
ตัวเองให้ กำหนดลมหายใจ
ข้อนี้เป็น ศีล
การกำหนดลมหายใจได้
และ ติดต่อกันไปจนจิตสงบ
ข้อนี้เรียกว่า สมาธิ
การพิจารณา
กำหนดรู้ลมหายใจว่า
ไม่เที่ยง ทนได้ยาก มิใช่ตัวตน
แล้วรู้......การปล่อยวาง
ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา
การทำอานาปานสติภาวนา
จึงกล่าวได้ว่า เป็นการบำเพ็ญ
ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน
และ เมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบ
ก็ชื่อว่า ได้เดินทางตามมรรค มีองค์แปด
ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า...
เป็นทางสายเอก ประเสริฐกว่าทาง ทั้งหมด
เพราะ...
จะเป็นการเดินเข้าถึง พระนิพพาน
เมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้
ชื่อว่า เป็นการเข้าถึง...
พุทธธรรม อย่างถูกต้องที่สุด."
______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
คติธรรม ... หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑. สมาธิเป็นเครื่องสงบใจ ส่วนเรื่องการปล่อยวาง เป็นเรื่องของปัญญา
๒. การพิจารณาปฎิจจสมุปบาทเป็นอุบายให้เกิดปัญญา เห็นสังขารปรุงแต่ง เพราะอวิชชาความไม่รู้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบล้อมตัวเรา เมื่อรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริงแล้ว(คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ก็หยุดการคิดปรุงแต่ง(สังขาร) จิตก็ว่าง ... เพราะหมดงานทำแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไป (ไม่มีกิจอื่นต้องทำอีก).....