พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 270 **อยู่เหนือความประณีต**
+ +
ในเช้าของวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงตัวอย่างดวงจิตผู้มีปัญญาธรรม.. เจ้าค่ะ
บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น..
เขาจะอยู่กับลาภ ยศ สิ่งที่ละเอียดประณีต สิ่งล่อตาล่อใจทั้งหลายบนโลกนี้ แบบไหน ยังไงล่ะเจ้าคะ ?
เขาจะจัดสรรสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น แบบไหน ยังไง ?
เขาจะสามารถอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น โดยที่ไม่ติดในสิ่งเหล่านั้นอีก น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปพิจารณา ประพฤติ ปฏิบัติตาม และเผยแผ่ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็นั่งให้เรียบร้อย แล้วตั้งใจฟังให้ดี จะได้เข้าใจนะลูก
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น - เขาย่อมรู้ ย่อมเข้าใจ
ย่อมเห็นสิ่งทั้งหลาย.. ที่มันผ่านไป - ผ่านมา
ที่มันมีขึ้นมา หรือว่ามันดับไป
... เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. ได้อย่างชัดเจน
เขาย่อมรู้และเข้าใจว่า.. สรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิด ที่มันดับในวัฏสงสารนี้...
- ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตามเหตุของมัน ที่ดีบ้าง / ที่ไม่ดีบ้าง..
แต่ดี กับไม่ดี - มันก็เหมือนกัน
เพราะมันมีความลุ่มหลง - ทำให้ดวงจิตทั้งหลาย.. คล้อยตามดี และไม่ดีนั้น…
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่สมมุติว่าดี เช่น สิ่งละเอียดประณีต
สิ่งที่มันเป็นสิ่งที่ดี หรือสมมุติว่าดี เช่น คำสรรเสริญ- ยศ ที่มี หรือว่าเงินทอง- ข้าวของ ที่มี
... สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ บนโลกนั้น.. สมมุติว่าเป็นสิ่งที่ดี..
แต่บุคคลผู้มีปัญญาธรรม - เขาจะมองเห็นว่า.. มันไม่ต่างอะไรกันกับดอกไม้ - ที่ดูสวยงาม
และดอกไม้ - ที่เหี่ยวแล้ว
เพราะดอกไม้ทั้ง 2 อย่าง มันเป็นดอกไม้ที่มี “ยาพิษ”
พิษของมัน ทำให้ดวงจิตทั้งหลาย ลุ่มหลง เคลิ้มตาม พัวพันมัวเมา - จมอยู่ในวัฏสงสารนี้
ฉะนั้น..
เขาจะไม่สนใจ ไม่มีความยึดติด พัวพัน และมัวเมา กับสิ่งละเอียดประณีต ยศ
หรือว่า เป็นสิ่งที่ละเอียดประณีตภายนอก
ยึดติดในรูปแบบภายนอก.. ว่าต้องเป็นอย่างนั้น หรือไม่ต้องเป็นอย่างนี้
เขาจะไม่สนใจสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเลย.. ลูกเอ๋ย
เขาจะสักแต่ว่า มองเห็นมัน คือ “ยาพิษ” เหมือนกัน
จิตของเขาจะสว่างไสว
จิตของเขาจะไม่มีทาง ที่จะเอาความ
/ อยากได้ยศ
/ อยากได้สรรเสริญ
/ อยากได้สิ่งสวยงามละเอียดประณีต.. มาทำให้จิตของเขาต้องปนเปื้อน เศร้าหมอง อีกเลย…
ถึงแม้ว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันจะผ่านไปผ่านมา / มันจะเข้ามาอยู่ในชีวิต
... เขาก็จะแค่จัดสรรสิ่งเหล่านั้น ตามเหตุตามปัจจัย..
เขาได้ลาภมา.. เขาก็แค่ดูว่า มันควรจะจัดสรรยังไง ให้มันเกิดประโยชน์แก่โลก
เช่น ถ้าเกิดว่า มีเงินสักก้อนหนึ่ง ที่มีศรัทธามาถวายให้วัด
เขาจะไม่มีทางเอามายึดติด เป็นของตน
เขาจะต้องเอาเงินก้อนนั้น.. จัดสรรให้มันเป็นประโยชน์กับวัด กับสังคม
กับศาสนา หรือการเผยแผ่ธรรม บำรุงพระพุทธศาสนา
- โดยไม่ได้รู้สึกดีใจ เสียใจ - กับสิ่งที่ได้มา
- ไม่ได้รู้สึกเสียดาย
เพราะเห็นเงินทองเหล่านั้น.. มันก็เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง
และมันก็มีอำนาจ ที่จะควบคุมครอบงำดวงจิตทั้งหลาย..
ให้ทุกข์ ให้สับสน ให้วุ่นวาย
ให้สร้างเวรสร้างกรรม ให้ตกระกำลำบาก
... เพราะสิ่งเหล่านี้...
จิตของเขาอยู่เหนืออำนาจแห่งเงิน เขาจึงแค่จัดสรรไป ตามเหตุที่เขาควรจะทำ เท่านั้น !
จะไม่มีทาง..
/ สุข หรือทุกข์
/ เสียดาย หรือว่ายินดีที่ได้มา หรือว่าจะต้องสละออกไป
/ เขาจะไม่หวังครอบครองอะไรสักสิ่งหนึ่ง ถ้ามีหน้าที่ต้องจัดสรร.. ก็แค่จัดสรรไป
อย่างนี้ละ.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม
เขาจะเห็นเงินทอง ลาภ สักการะต่างๆ.. เป็นที่เพียงสิ่งภายนอก ที่เขาควรจัดสรรตามเหตุ
และก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไว้บนโลก ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น..
เมื่อเขาสมมุติว่า มียศ- ยศนั้น ยศนี้ มีคนแต่งตั้งให้
ในยศต่างๆ คือ ยศของพระอริยบุคคล ขั้นที่ 1, ที่ 2, ที่ 3 หรือว่า ที่ 4
คือยศ คือตำแหน่ง คือระดับของการประพฤติ ปฏิบัติ ของนักบวชทั้งหลาย…
เขาก็แค่สักว่ารู้ว่า เราปฏิบัติถึงตรงนี้.. แล้วเราต้องปฏิบัติต่อไป
เขาจะไม่เอายศที่ได้มา คือ ยศแห่งพระอริยบุคคล - เขาจะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย
เขาจะรู้ดีว่า นั่นคือความลุ่มหลง หลงในสิ่งที่คิดว่า “ดีแล้ว”
เขาจะไม่สนใจ สิ่งที่ได้แล้ว เป็นแล้ว มีแล้ว
เขาจะตั้งใจประพฤติ ปฏิบัติไป / ฝึกฝนจิตของตนไป..
แม้ใครจะชื่นชมว่า เขาดีแล้ว ดีมากแล้ว เก่งมากแล้ว แตกฉานในธรรมมากแล้ว
คำชื่นชมต่างๆเหล่านี้ - เขาก็ไม่ได้หยิบเอามาใส่ใจ !
สิ่งที่เขาใส่ใจ คือใส่ใจว่า..
บัดนี้ ตอนนี้.. ตนนั้นมีความสุข หรือว่ามีความทุกข์ ?
สุขนั้น.. ปราศจากกิเลสตัณหาแล้วหรือยัง คือ ความสุขอันบริสุทธิ์ในนิพพาน หรือเปล่า ?
หรือเป็นความสุข ที่เจือปนไปด้วยกิเลสตัณหา ?
ถ้าเป็นความสุข ที่สุขไปด้วยการเจือปนในกิเลสตัณหานั้น.. เขาย่อมไม่เอา ไม่สนใจว่าเขาดีแล้ว
.. เขาเอาตนเป็นที่ตั้ง..
- ดูกิเลสตัณหาในตน
- ดูสุข ที่สุขอย่างแท้จริง คือ ความสุขที่เขานั้น ใกล้พระนิพพานเข้าทุกวันแล้ว
เขาจะดูสิ่งที่ทำให้เขายังปนเปื้อน และเป็นทุกข์อยู่ คือ เชื้อแห่งกิเลสตัณหา ที่ทำให้เขานั้นเป็นทุกข์
เวียนว่าย เวียนวน
-- เขาก็จะต้องชำระขัดเกลาไปเรื่อยๆ
... โดยที่เขาจะไม่สนใจคำสรรเสริญของบุคคลผู้อื่น หรือสิ่งภายนอกเลย
จะมาดีขนาดไหน / จะมาไม่ดีขนาดไหน - เขาจะไม่สนใจเลย.. ลูกเอ๋ย !
... เพราะว่าเขา “เอาตนเป็นที่ตั้ง” แห่งการพิจารณาความดี - ความชั่ว
ลูกเอ๋ย..
ตัวเรานั่นแล จะเป็นผู้รู้ดีที่สุด ว่า..เราดับเชื้อแห่งความรัก โลภ โกรธ หลง / ความอยาก และความไม่อยากเหล่านั้น.. ได้แล้วหรือยัง ?
ตัวเรานั่นแล - จะเป็นผู้รู้ดีที่สุด ว่า..เราได้ว่ายน้ำข้ามทะเลทุกข์
...จนถึงฝั่งแห่งพระนิพพานแล้วหรือยัง ?
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น..
- เขาจะเอาตนเป็นที่ตั้ง พิจารณาเช่นนี้ละลูก
- เขาจะไม่สนใจกับคำสรรเสริญ สิ่งภายนอกเลย…
จิตของเขาจะดูแลตัวของเขา ให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี.. ดีต่อไป.. ดีเสมอ
ตั้งแต่ต้นจรดปลาย และต้องทำให้ดี.. ดีขึ้นเรื่อยๆ
+ ไม่ไปติดในคำสรรเสริญ !
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าเขานั้น.. จะได้รับสิ่งที่ดี ที่ละเอียดประณีตมา
-- จิตใจของเขา ก็ย่อมสงบและสว่าง
... รู้ดีว่า สิ่งละเอียดประณีตเหล่านี้ ท้ายที่สุด.. มันก็จะคืนสู่ “ความไม่สวยไม่งามW
ฉะนั้น.. มันจึงมีค่าเท่ากัน
ผ้าจีวรผืนเก่า - เมื่อก่อนมันก็ เคยใหม่ !
และผ้าจีวรผืนใหม่ - อีกหน่อย มันก็เก่า !
สิ่งที่ดี ที่สวย ที่ดูว่ามันดี เหล่านั้น..
ในความเป็นจริงแล้ว.. มันก็คือ “อันเดียวกัน”
อันเดียวกัน เพราะว่า.. มันไม่ต่างกัน ++
มันแค่มี.. เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - แล้วก็จะดับไป อยู่ในตัวของมัน
ไม่ว่า ต้น กลาง หรือว่าปลาย - มันก็เหมือนกัน นั่นละ
มันก็สิ้นสุด ตรงที่เก่า.. แล้วก็พัง
ฉะนั้น.. จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บสั่งสมเอาไว้ ให้ก่อความโลภ ความยึดติด
ความหลงในความสวยงาม ละเอียดประณีต เหล่านี้..
ไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องสวมใส่เฉพาะแต่ ผ้าจีวรที่ดีๆ
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย.. !
ใส่ไป ก็เพราะว่า.. ดูตามเหตุปัจจัยแล้วว่า.. ใส่เพื่อที่จะคลุมกายเอาไว้เท่านั้น
ให้ดูเหมาะสม กับโลก กับสิ่งที่เราควรให้มันประกอบ.. และเป็นไปตามเหตุเท่านั้น
แต่จิตใจของเรา ไม่ได้ยึดติด หรือสนใจกับมัน
วันนี้มันใหม่ ใส่ไปอีกเดือนหนึ่ง.. มันเก่า
- เก่าก็ช่างมัน.. ไม่ได้สนใจ !
เขาก็จะไม่หนีไปจากสิ่งละเอียด ประณีต เหล่านั้น..
- แต่เขาก็ไม่ได้ติดอยู่กับสิ่งละเอียด ประณีตเหล่านั้น..
เขาก็เห็นแค่ว่า.. เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป
ดอกไม้ที่มันเหี่ยว กับดอกไม้ที่มันกำลังเบ่งบาน - มันก็คือ อันเดียวกัน **
เก็บดอกไม้ที่เบ่งบาน สวยงาม
.. แป๊บเดียว มันก็เหี่ยวเหมือนกัน
จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บ ต้องสั่งสมข้าวของ - ให้ก่อความโลภ
... ช่างมันเถิด !
จิตของเขา.. ก็จะไม่ปนเปื้อนกับความโลภ ความหลงเลย
เขาก็จะอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง.. อยู่อย่างสบาย อยู่ตามเหตุตามปัจจัย
จิตใจ..
ไม่เศร้าหมอง
ไม่ยึดติด พัวพัน มัวเมา
ไม่แบกเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.. มาเป็นตัวตน เป็นของตน
ไม่สนใจสิ่งใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น..ว่ามันดี / ว่ามันไม่ดี
สนใจอย่างเดียว ก็คือ “หน้าที่ชำระกิเลสตัณหา”
จงชำระไป.. ถ้ามันยังไม่หมด !
หน้าที่ของเรา คือ การสานต่อ สืบทอดพระพุทธศาสนา
สอน บอกผู้อื่น ที่เขาเข้ามาศึกษา บำเพ็ญด้วย
ให้รู้ละ *กิเลสตัณหา*
ให้รู้วิธีดับทุกข์ในตน ตามเหตุ ตามปัจจัยที่พอจะทำได้ สอนได้ บอกได้
... โดยก็ไม่ได้ยึดติด ลุ่มหลง - ไปกับสิ่งที่ทำ !
ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้สุข - ไปกับสิ่งที่ทำ
อย่างนั้นละ พระยาธรรม.. คือ บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้ว ที่อยู่กับสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ อย่างไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีก
จิตของเขาสว่างไสว รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งทั้งหลาย
ความยึดดี ถือดี ความยึดมั่นถือมั่น
/ การลุ่มหลงในสิ่งละเอียดประณีต ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ - จึงไม่มีอีก
เขาจึงใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อ..
* เกิดประโยชน์ ให้กับสังคม
* เกิดประโยชน์ ให้กับผู้อื่น
... แล้วก็ดูที่จิตของเขาอย่างเดียวว่า.. เขาจะต้องชำระอะไรเพิ่มอีก !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ ผู้มีปัญญาธรรม..
ที่อยู่เหนือสิ่งละเอียดประณีต อยู่เหนือคำสรรเสริญ นินทา
ที่อยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้.. โดยไม่ยึดติด ไม่พัวพัน มัวเมา
... เพราะมีปัญญารู้แจ้ง เห็นดี - กับไม่ดี.. เหมือนกัน เพราะมันคือ*สิ่งสมมุติ*
** สิ่งที่เขาจะทำคือ เอาตนให้ออกจากสิ่งสมมุติเหล่านี้ ให้ได้ ++
อย่างนี้ละ ลูกเอ๋ย.. จึงเป็น *ผู้มีปัญญาธรรม*
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
นำไปพิจารณา ฝึกฝนตนเอง เจ้าค่ะ
วันนี้ลูกกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า.. เจ้าค่ะ
สาธุ