ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอควรทำความไม่ประมาทโดยฐานะ ๔ ประการ
ฐานะ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. จงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต และอย่าประมาทในการละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริตนั้น
๒. จงละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต และอย่าประมาทในการละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริตนั้น
๓. จงละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต และอย่าประมาทในการละ มโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริตนั้น
๔. จงละมิจฉาทิฏฐิ บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิ และอย่าประมาทในการละมิจฉาทิฏฐิ บำเพ็ญสัมมาทิฏฐินั้น
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดภิกษุละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต ละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต ละมโนทุจริต บำเพ็ญมโนสุจริต ละมิจฉาทิฏฐิ บำเพ็ญสัมมาทิฏฐิ เมื่อนั้นเธอย่อมไม่กลัวความตายที่จะมาถึงในวันข้างหน้า
อัปปมาทสูตรที่ ๖ จบ
ความไม่กลัวตายที่จะมาถึงในวันหน้า
อัปปมาทสูตร
ว่าด้วยความไม่ประมาท
ความคิด คือการปรุงแต่ง.คือโลก.ภพชาติ.
เมื่อ สติคม.จะตามความคิดทัน.เห็นเกิด-ดับ.
จนอยู่เหนือความคิด อยู่เหนือโลก.
จึงแจ้งอริยสัจ ๔ พบบรมสุข
มโนธาตุ โพธิญาณ
ความคิด...เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต
ทุกชีวิตมิได้ มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง จะต้องตกอยู่ใน อิทธิพลของ ความคิด เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุดผ่องของความคิดฝ่ายสัมมาทิฐิล้วนๆ
จงทำ"ความรู้สึกตัว"อยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุกภาวะที่เกิด นี่เป็นวิถีทางที่จะ ทําให้กระแสชีวิตของเราให้เรียวบางลงจาก การห่อหุ้มของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือก และกะพี้ของชีวิต ก็จะเหลือแก่นอันบริสุทธิ์ล้วนๆ ของชีวิต
Trader Hunter พบธรรม
ไม่ต้องรู้ว่า คิดอะไร?
เพียงแต่รู้ว่า "อะไร"คิด?
"จิตเป็นนาย กายเป็นเรือ
สติเป็นหางเสือ ปัญญาเป็นคนพาย"
ถ้าพาจิตไปดีแล้ว ชีวิตเราก็ดี
ดังนั้นขึ้นกับวิธีคิดนะ
มาลองดูกันว่า เราคิดไปในทางไหน "กิเลสคิด" หรือ "สติคิด" ?
การคิด แบบ "กิเลสคิด" ...
มันจะคิดไปในทางอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ทำให้จิตใจต้องเหน็ดเหนื่อย นี่เรียกว่าจิตมีโลภะ มีความโลภเข้าครอบงำ
หรือบางที เราคิดไปในทางความไม่พอใจ หงุดหงิด รำคาญใจ
อาฆาตพยาบาต อิจฉาริษยา เหล่านี้เป็นไปในฝ่ายโทสะแล้ว ทำให้จิตต้องเร่าร้อ กระวนกระวายใจ ไม่ดี
เป็นเพราะว่า โมหะ คือความหลงขาดสติ จึงปล่อยให้ความคิดโลภ โกรธ มาปรุงแต่งจิตใจ คิดจนนอนไม่หลับ คิดยาว ข้ามวันข้ามคืน ปวดมึนศีรษะ เกิดความเครียดในจิตใจ เป็นเพราะ "กิเลสคิด"
แต่ถ้าเป็น "สติคิด" นี่ จะคิดด้วยธรรมะ สติคือธรรมะฝ่ายกุศล
ถ้า "สติคิด" เมื่อไรละก็ มันจะเป็น"ความคิดที่เบา" มีธรรมะเข้าประกอบ จะเป็นการคิดที่จะออกจากความโลภ ออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน ที่เขาเรียกว่า ดำริชอบหรือสัมมาสังกัปปะ
จะไม่เป็นไปเพื่อความโลภ โกรธ หลง
คิดแล้วจิตใจจะเบาสบาย
คิดแล้วเห็นแต่"ความไม่เที่ยง"
เห็นแต่สิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ "ไม่ใช่ตัว ใช่ตน"
คิดแล้วมีแต่"ความปล่อยวางๆ" เหลือแต่หน้าที่ที่ทำไป เป็นความคิดที่จบง่าย ไม่ยาว จิตจะไม่เครียด จะถอนความยึดติดถือมั่นไปได้ จะมีความสุข
ชีวิตเรา บางทีจะมีความสุขความทุกข์ ก็ขึ้นกับ"วิธีคิด" เหมือนกันนะ ถ้า
กิ เ ล ส คิ ด ก็ จ ะ พ า เ ร า ไ ป มี ค ว า ม ทุ ก ข์ ถ้า
ส ติ คิ ด ก็ จ ะ พ า เ ร า ไ ป มี ค ว า ม สุ ข
ต้ อ ง ร ะวั ง ใ ห้ ดี
ดังนั้นเวลาเกิดความคิดปรุงแต่งจิตขึ้นมาละก็
อย่าลืมตั้งสติ "รู้" เสียก่อน ว่ามันคิดไปในทางไหน"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
เสียเวลาที่สุด คือ "คิดเรื่อยเปื่อย"
เหนื่อยที่สุด คือ "คิดไม่จบ"
สงบที่สุด เมื่อ "หยุดคิดเป็น"
จิตใจจะเบิกบาน
เมื่อเห็นว่า..มันเป็นแค่....ถูกความคิด "หลอก"
ไม่มีใครทำร้ายเราได้มากที่สุด..เท่ากับ
"ความคิดไม่ดี" ในจิตใจเราเอง
(ก็เราเองที่โง่~หลงมโนไปเอง)
เป็นคนที่มีความสุข
และทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้อย่างไร..?
เริ่มจาก
. .
รู้จักเอาใจเรา~ไปใส่ใจเขาก่อน..
นี้เรียกว่า " ไร้อัตตา "
แล้วก็ต่อมา ..
เอาใจเขา~มาใส่ใจเรา.
นี้เรียกว่า " เมตตา "
จากนั้น . .
หัดมองให้เห็นใจเขา~ให้เหมือนเป็นใจเขาเอง
นี้.เรียกว่า " ปัญญา"
สุดท้าย . .
เห็นใจเราเหมือนกับว่า
เป็นใจเราเองตามความเป็นจริง
สิ่งนี้เรียกว่า
" อิสระภาพ " หลุดพ้นจากความหมายในใจ
อิสระ แบบฉับพลันนั้น
ก็ออกจากใจตนเอง
ไม่ใช่ทั้งผู้รู้ และสิ่งถูกรู้
เพียงกลไกมันทำงานเอง
ที่มีแต่ธรรมชาติ
ที่ทำมันทำงานของมันเอง
ไม่ว่าจะเป็นภายนอก
หรือภายในไม่มีเรา
เมื่อใดที่เราพบว่า
ธรรมชาติข้างนอกและธรรมชาติข้างใน
เป็นสิ่งเดียวกัน
วันนั้น
เราก็จะสิ้นทุกข์
เราเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้
เรามาอยู่เพื่ออะไรใครรู้บ้าง
เราจะไปแห่งไหนใครรู้ทาง
เมื่อจิตว่างจะรู้เท่า~เราไม่มี~
เมื่อจิตไหลก็ให้รู้ดูที่จิต
หลงรุ่นคิดก็ให้รู้ดูเขาไว้
เมื่อจิตเหรอก็ให้รู้ดูเข้าไป
ผลสุดท้ายมีแต่รู้~กูไม่มี~
เมื่อได้เกิดแก่เจ็บตายก็ตามติด
เพราะชีวิตหมุนวนดั่งกังหัน
เกิดแล้วตายตายแล้วเกิดสลับกัน
นิพพานนั้นยังไม่พบ~จบไม่เป็น~
"บุญใหญ่...ในพระพุทธศาสนา"
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
"ความหลงผิด "คื อ มั น นึ ก...มั น คิ ด ขึ้ น ม า
แ ล้ ว ก็ ป รุ ง ไ ป เ อ ง"
...
คนเราไปหาเงินหาทองแล้วก็มาทำบุญ
แล้วมันก็ยังละความหลงผิดไม่ได้
คือยังไม่เลิกละจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือยังเลิกไม่ได้
อันนั้นยังไม่เรียกว่าเป็น "บุญแท้"
คือเป็นบุญตามวัตถุเท่านั้น
จะมีเงินร้อยล้านพันล้าน
ไปจ้างคนอื่นมาทำให้เรา มันก็ไม่ได้
ตรงกันข้าม ไม่มีเงินแม้สตางค์แดงเดียว
ทำเอาก็ได้ รู้ได้เหมือนกัน
อันนี้เป็นวิธีปฏิบัติง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร
คือไปไหนมาไหน ...
"ต้ อ ง มี ส ติ ติ ด ต า ม ดู ค ว า ม คิ ด
ใ ห้" เ ห็ น"... ใ ห้ "รู้"...ใ ห้ "เ ข้ า ใ จ"
ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจอันน้อยๆนี้แหละ มันจะสะสมเอาไว้
เมื่อมันสะสมเอาไว้เต็มสมบูรณ์มันแล้ว
มันจะโพลงตัวขึ้นเรียกว่า "เป็นอัศจรรย์"
เมื่อมันอัศจรรย์ขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่เคยรู้ "ต้องรู้"
สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็ "ต้องเห็น"
สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจ ต้อง "เข้าใจ"
เรียกว่าอัศจรรย์เหมือนแผ่นดินไหวนั่นแหละ
...
อันบุญนั้น ไม่ต้องทำกับพระก็ได้
เราเอาของให้ใครนั้น เรียกว่า "การทำบุญ"
การทำบุญนั้น เรียกว่า "การทำดี"
การทำดี เรียกว่า "การทำบุญ"
ทำแล้วยังมีความโกรธ ความโลภ ความหลงอยู่
นั่นมันยังดีไม่มาก
...
ให้เอาสติมาดูความคิดนั่น
การที่จะไม่ให้ความโกรธเกิดขึ้นนั้น
เราต้องมาดูความคิด มาดูจิตดูใจเราสิ
ว่ามันคิดขึ้นมาปุ๊บเห็นปั๊บ
หัดบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ เหมือนกับนักมวย
นักมวยนี่พอขึ้นเวทีต้องชก ไม่มัวแต่มาไหว้ครู
ถ้ามัวมาไหว้ครู มันจะไม่ทันเหตุการณ์
การฝึกอันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ให้มันโกรธแล้วค่อยมาฝึกหัด
อันนี้มันไม่ทัน ต้องฝึกหัดเตรียมไว้ก่อน
...
เมื่อมีคู่ต่อสู้มายุให้เราโกรธ อันนี้เราไม่โกรธ
เพราะเรามีสมมุติฐานเข้าไปถึงความคิด
เรามีสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง
มันเลยมาตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ "ไม่เห็นแก่ตัว"
เมื่อมันทำลายความหลงผิดได้แล้ว นั่นคือ บุญอย่างแท้จริง
ดังนั้น เ ร า ต้ อ ง ม า ทำ ค ว า ม เ ห็ น แ จ้ ง ค ว า ม รู้ จ ริ ง ใ น "ต้ น ต อ ค ว า ม คิ ด ข อ ง เ ร า นี้"
อันนี้คือ "บุ ญ ใ ห ญ่ ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า"
...
คำสอนหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
" ถ้าเรา เห็นอันนี้ชัด
เรา ก็จะทิ้งความคิด ความรู้สึกอย่างนั้นได้
ทีนี้ ก็ไม่ต้องคิดนั่น คิดนี่อีก
คอยเเต่บอกตัวเองไว้อย่างเดียวว่า
" มัน เป็นของมันอย่างนั้นเอง "
พอเข้าใจได้ชัด เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว
ทีนี้ ก็จะปล่อยอะไร ๆ ได้ทั้งหมด
ก็ไม่ใช่ว่า...ความคิด ความรู้สึก มันจะหายไป
มัน ก็ยังอยู่นั่นแหละ แต่มันหมดอำนาจเสียแล้ว
เปรียบเหมือนกับเด็กที่ชอบซน
เล่นสนุกทำให้รำคาญ จนเราต้องดุเอา ตีเอา
แต่เรา ก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็ก
ก็เป็นอย่างนั้นเอง พอรู้อย่างนี้เราก็...ปล่อย
ให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา
ความเดือดร้อนรำคาญของเรา ก็หมดไป
มัน หมดไปได้อย่างไร ?
ก็เพราะ เรายอมรับธรรมชาติ ของเด็ก
ความรู้สึกของเราเปลี่ยน
และ เรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย
เรา ปล่อยวาง...
จิต ของเราก็มีความสงบเยือกเย็น
นี่ เรามีความเข้าใจอันถูกต้องแล้ว
เป็น...สัมมาทิฏฐิ
ถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้ จะไปอยู่ในถ้ำลึกมืด
สักเท่าใด ใจมันก็ยังยุ่งเหยิงอยู่
ใจจะสงบได้
ก็ด้วย...ความเห็นที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ เท่านั้น
ทีนี้ ก็หมดปัญหาจะต้องแก้
เพราะ ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น นี่ มันเป็นอย่างนี้
เรา ไม่ชอบมัน
เรา ปล่อยวางมัน
เมื่อใด ที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น
เรา ปล่อยวางทันที เพราะรู้แล้วว่า...
ความรู้สึกอย่างนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อจะกวนเรา
แม้ บางทีเราอาจคิดอย่างนั้น
แต่...ความเป็นจริงความรู้สึกนั้น เป็นของมัน
อย่างนั้นเอง
ถ้า เราปล่อยวางมันเสีย
รูป ก็สักแต่ว่ารูป
เสียง ก็สักแต่ว่าเสียง
กลิ่น ก็สักแต่ว่ากลิ่น
รส ก็สักแต่ว่ารส
โผฏฐัพพะ ก็สักแต่ว่าโผฏฐัพพะ
ธรรมารมณ์ ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์
เปรียบเหมือนน้ำมัน กับน้ำท่า
ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างนี้ เทใส่ขวดเดียวกัน
มันก็ไม่ ปนกัน เพราะธรรมชาติมันต่างกัน
เหมือนกับที่คนฉลาด ก็ต่างกับคนโง่
พระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่
กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
แต่พระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์
พระองค์จึงทรงเห็นสิ่งเหล่านี้
เป็นเพียงสิ่ง...สักว่า เท่านั้น."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ไม่มี "คน"
"พระพุทธศาสนามุ่งหมายที่จะบอกให้รู้ว่า "ไม่มีคน ที่เป็นตัวเราหรือของเรา"นั้น ไม่มี;
มีแต่ความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้ สิ่งที่มีอยู่ก็เพียงแต่ร่างกายกับจิตใจ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ หรือเป็นธาตุตามธรรมชาติ;
มันมีอาการเป็นกลไก mechanism ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ในตัวมันเอง.
ถ้าผิดวิธีก็เกิดความโง่ความหลงขึ้นมา จนให้รู้สึกว่า"มีตัวเรา มีของเรา"
ถ้าถูกวิธีมันก็ไม่เกิดความรู้สึกอย่างนั้น แต่จะเป็นสติปัญญาอยู่ตามเดิม รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตามเดิมว่า"ว่างจากตัวเรา หรือ ของเรา"
และมูลเหตุให้เกิดทุกข์ ก็คือ "ความหลง ความเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา มีของเรา นั่นเอง."
พุทธทาสภิกขุ
เกิดจากภายในทั้งนั้น
"กิเลส..ทั้งหลายมันเกิดจากภายใน
ทุกข์....ทั้งหลายมันเกิดจากภายใน
สุข.......ทั้งหลายมันเกิดจากภายใน"
..... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ถึงกาลสมัยของโลกอีกวาระหนึ่งแล้ว ที่จะมีการแยกธาตุขันธ์ความบริสุทธิ์, ไม่บริสุทธิ์ ออกจากกันโดยเด็ดขาด
เพื่อที่โลก แล มหาจักรวาล จักดำเนินการ จัดระเบียบ จัดการ ตามระบอบแบบของพระสัทธรรมโดยองค์รวมทั้งหมด
เพราะโลกแลจักรวาลได้สั่งสมพลังงานโดยขาดหรือบกพร่องการจัดระเบียบมานานแสนนานแล้ว
แลสำหรับโลกใบนี้ ที่มนุษยชาติเป็นสัตว์ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดเหนือสัตว์อื่นทั้งหลายในการบริหารจัดการ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่หาได้มีจิตสำนึกสูงส่ง ตระหนักดีพอ ในการจัดการอย่างถูกวิธี อย่างถูกต้องชอบธรรมไม่
แต่กลับใช้อำนาจมิจฉาทิฏฐิ อวิชชา ตัณหา อาสวะกิเลส มาทับถม หมักดอง จนกลายมาเป็นระเบิด เป็นเครื่องมือทำร้าย ทำลายล้างผลาญ รุนแรงมากขึ้น มากขึ้น เรื่อย ๆ
สาเหตุนี้เอง จึงเป็นการเร่งรัดให้พระสัทธรรมจักต้องเข้ามาจัดระเบียบโลกและจักรวาลอย่างเร่งด่วนยิ่งขึ้น
การทำความสะอาด จัดระเบียบ นี้.. อาจเป็นไปถึงขั้นกวาดล้าง ครั้งย่อม ครั้งย่อย ไปจนถึงครั้งใหญ่ ก็ย่อมได้ทั้งสิ้น
ระดับความรุนแรงของการจัดการ จะเป็นไปถึงขั้นใด ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมบุญ, บาปของมนุษย์ทั้งโลกร่วมกัน เป็นสำคัญ
เมื่อลูกหลานรู้แลเข้าใจดังนี้แล้ว จักดำรง จักดำเนินชีวิตอยู่ ด้วยระดับจิตสำนึกตามมาตรฐานเดิม ดั่งเคยเป็นมา หาได้ไม่!!!!!!
พึงต้องดำเนินการ-จัดการชีวิตตน โดยเคร่งครัด(แต่มิเคร่งเครียด) ด้วยความ รู้-ตื่น-เบิกบาน ตามหลักการแห่ง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ
1. เลิกคิด, พูด, ทำหรือเกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายทั้งหมด
2. คิด, พูด, ทำ แต่ความดี
3. ชำระล้างจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในอ้ตตาตัวตนทั้งสิ้น
พระสัทธรรมจักดำเนินการปัดกวาด หรือ ถึงขั้นกวาดล้าง ความชั่วร้าย หรือภาวะอึมครึมซึมเซา สีดำ สีเทา ให้เสื่อมสิ้นไป ครั้งใหญ่มโหฬาร อีกคราหนึ่ง (แต่หาใช่จักกวาดล้างไปทั้งหมดจนความชั่วร้ายเลวทรามสูญสิ้นไปก็หาไม่ เพราะกาลเพลานี้วงจรแห่งการเกิดและเสื่อมสูญยังไม่สิ้นวงรอบ ยังคงต้องดำเนินวัฎจักรอยู่ เพื่อเป็นเชื้อไขให้ให้กระแสวงวัฏสงสารยังคงอยู่สืบไป)
ส่วนสัตว์ที่จิตวิญญาณบำเพ็ญเพียรอยู่เพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตั้งมั่นอยู่ในธรรม คือ ความสะอาด-สว่าง-สงบ ไม่นำจิต, วาจา, กาย ตนไปเกี่ยวข้องแวะกับบาปกรรมของสัตว์อื่น.. สัตว์นั้นจึงจะรอดพ้นพิบัติภัยร้ายทั้งปวง
ผู้ฉลาดทางจิต แลเคารพอย่างสูง ในหลักพระสัทธรรม เมื่อได้สดับคำหลวงปู่ใหญ่แล้ว ขอให้บำเพ็ญเพียรยกระดับขั้นจิตวิญญาณตนเข้าสู่ยานพาหนะทางธรรมใหญ่กว่าเดิม ด้วย ศีล สมาธิ ภาวนามยปัญญา ดำรงและดำเนินจิตใจแห่งตนด้วยความไม่ประมาท ฝึกฝนจิตสำนึกให้ละเอียดลออ อย่าทะนงตน ให้ลด ให้ละ ให้เลิก ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเสีย โดยสิ้นเชิง
ความผิดบาปที่ตนมีอยู่ แม้ว่าเล็กน้อย ก็จักต้องภาวนาขัดเกลาเอาออกไป ให้มากที่สุด จนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือในจิตใจ
แล้วพึงอุทิศบุญให้กลุ่มก้อนพลังงานบาปนั้นไป อัญเชิญทุกบุญบารมีแห่งสัมมา เช่น มรรคมีองค์แปด หรือ พระโพธิสัตว์ผู้มีฐานบารมีเต็ม มาปรับภพภูมิให้กลุ่มพลังงานบาปนั้น ๆ
แล้วเชิญพลังงานบาปทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นให้พ้นไปจากตัวเรา(คำว่า "ตัวเรา" ในที่นี้ เป็นเพียงสมมุติเท่านั้น) ด้วยพลานุภาพแห่ง "อุเบกขาพรหมวิหาร" ขัันอัปมัญญา
คำเทศนาแห่งหลวงปู่นี้ ขมวดมาจากคำสอนพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
เพียงแต่เพ่งเป้าประสงค์ให้สอดคล้องกับกาละเทศะ นี้...
ซึ่งลูกหลานทั้งปวง ย่อมทราบซึ้งโดยทั่วกันแล้ว ด้วยหลวงปู่บอกกล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
ถึงเวลานี้ลูกหลานจึงได้ประจักษ์แจ้งว่า ยุคสมัยแห่งการจัดระเบียบจักรวาลได้มาถึงแล้ว
.. ด้วยธรรม พร แลอัปมัญญาพรหมวิหาร แด่ลูกหลานทุกคน..
.. นะลูกหลานเอ๊ยฯ:..
------------------------
#ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
ความคิด...เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต
ทุกชีวิตมิได้ มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง จะต้องตกอยู่ใน อิทธิพลของ ความคิด เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุดผ่องของความคิดฝ่ายสัมมาทิฐิล้วนๆ
จงทำความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุกภาวะที่เกิด นี่เป็นวิถีทางที่จะ ทําให้กระแสชีวิตของเราให้เรียวบางลงจาก การห่อหุ้มของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือก และกะพี้ของชีวิต ก็จะเหลือแก่นอันบริสุทธิ์ล้วนๆ ของชีวิต