ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจคนเรานั้นมีทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ ถูกใจก็ทำให้ใจเผลอเพลินไปกับเรื่องนั้นๆ ไม่ถูกใจก็ทำให้เกิดการผลักดันไม่ยอมรับรวมความก็คือความชอบไม่ชอบทั้งหลายที่เกิดเพราะความคิดนั้น ให้คอยรู้เท่าทันไม่ดึงดูดรักษาสิ่งใดไว้ ไม่ผลักไสสิ่งใดออกเมื่อนั้นใจเป็นกลาง ปราศจากฉันทาคติ และอคติแล้วจึงพิจารณาด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญาให้รอบคอบใจที่เป็นกลางจึงมองทุกๆ สิ่งได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
จฉา-วิสัชนา ตอน1:
ถาม: จะปฏิบัติให้ถึงสุขอันไพบูลย์จะดำเนินทางไหนดี?
ตอบ: ก็ต้องดำเนินทางองค์มรรค 8
ถาม: องค์มรรค 8 ใครๆ ก็รู้ ทำไมถึงเดินกันไม่ใคร่จะถูก?
ตอบ: เพราะองค์มรรคทั้ง 8 ไม่มีใครเคยเดิน จึงเดินไม่ใคร่ถูก พอถูกก็เป็นพระอริยเจ้า
ถาม: ที่เดินไม่ถูกเพราะเหตุอะไร?
ตอบ; เพราะชอบเดินทางเก่าซึ่งเป็นทางชำนาญ
ถาม: ทางเก่านั้นคืออะไร?
ตอบ: ได้แก่กามสุขัลลิกานุโยคแลอัตตกิลมถานุโยค
ถาม: กามสุขัลลิกานุโยคนั้นคืออะไร?
ตอบ: ความทำตนให้เป็นผู้หมดมุ่นติดอยู่ในกามสุขนี้แล ชื่อว่ากามสุขัลลิกานุโยค
ถาม: อัตตกิลมถานุโยคได้แก่ทางไหน?
ตอบ: ได้แก่ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัดทำตนให้ลำบากสักเพียงไร ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซึ่ง มรรค, ผล, นิพพาน, นี่แหละเรียกวาอัตตกิลมถานุโยค
ถาม: ถ้าเช่นนั้นทางทั้ง 2 นี้ เห็นจะมีคนเดินมากกว่ามัชฌิมาปฏิปทาหลายร้อยเท่า ?
ตอบ: แน่ทีเดียว พระพุทธเจ้าแรกตรัสรู้ จึงได้แสดงก่อนธรรมอย่างอื่นๆ ที่มาแล้วในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เพื่อให้สาวกเข้าใจ จะได้ไม่ดำเนินในทางทั้ง 2 มาดำเนินในทางมัชฌิมาปฏิปทา
ฝึกใจให้รู้แจ้ง...
ใจเธอเป็นต้นเรื่องข้อเท็จจริงทั้งหมด
ใจเธอจึงเป็นบ่อเกิดของทุกๆสรรพสิ่ง
ใจเธอจึงรู้อยู่แก่ใจ...เป็นที่สุด
ที่เธอฝึก...ก็เพื่อฝึกใจ
ฝึกใจให้ผ่อนคลาย เบาๆเสียบ้าง...
ฝึกใจให้คลายทุรนจากสิ่งดิ้นรนหาทุกข์เข้ามาให้...
ฝึกใจให้เรียนรู้ทุกข์ ลุแก่โทษสารภาพบาปให้กับใจ
ฝึกใจให้ปกติ คงที่ หยุดนิ่ง สร้างสมดุลย์
ฝึกใจให้ตั้งมั่น เป็นกลาง สงบนิ่ง...
ฝึกใจจนมีสติระลึกรับรู้เท่าทันใจในทุกๆสภาวะ
ฝึกใจจนมีอานุภาพปราบกิเลสอาสวะ
ฝึกใจให้สัมผัสความสุขใจที่เที่ยงแท้...เข้าถึงความบริสุทธิ์ใจ
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
ปรับใจให้เบาสบายก่อน สําคัญมาก
เมื่อวางใจได้เบาสบาย ใจที่เบาสบาย รู้สึกตัว สัมผัสความจริง ที่ใจเข้าไปเห็น
ทําเพียงเท่านี้ ให้ใจเบาสบาย เข้ามาอยู่กับใจ แล้วดูใจเราเอง ดูแบบ สบายๆ (เมื่อใจเบาสบายแล้ว แค่เข้ามาเห็นใจ โดยไม่ทําอะไรอีก) จะเห็นธรรมจากใจ
รู้สึก รับรู้ด้วยใจ เชื่อมเข้าถึงใจ อยู่กับใจ สัมผัสความจริง เห็นของจริง
ปัญญาแท้ๆ ที่จะเพิกถอนความเห็นผิด
ความสำคัญผิดจนไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งธรรม
มีเพียงแค่รู้เห็นตามเป็นจริง ในความเป็นไตรลักษณ์
ของกายใจนี้เท่านั้น คือความไม่เที่ยง ทนอยู่ในภาวะเดิมไม่ได้
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จะเห็นได้รู้ได้
ก็ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
ในวิถีใจก็เห็นเท่านี้ ส่วนการอธิบายการจะเข้าไปรู้เห็น
ย่อมแตกต่างตามอัธยาศัย ตามความรู้ ความเป็นมา ของผู้อธิบาย
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ที่พึ่ง
เราควรตรวจดูใจของตัวเองอยู่เสมอว่าใจเรายังไปหาอ้อนวอนร้องขอเอาสิ่งอื่นเข้ามาเป็นที่พึ่งอาศัยอยู่หรือไม่
ถ้าหากว่าใจเรายังไปหาที่พึ่งอื่นอยู่อีกก็เชื่อได้เลยว่าใจเรายังเข้าไม่ถึงรัตนตรัยทั้ง 3 ได้เลย
ถ้าหากว่าบุคคลใดใจเข้าถึงพระรัตนตรัยได้แล้ว จะไม่ยอมเชื่อสิ่งอื่นอีกเลยแม้แต่นิดเดียว จะวางเฉยไว้ทั้งหมดไม่ยอมยึด มีแต่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยเท่านั้นแหละจะมาพากันแสวงหาที่พึ่ง
ที่พึ่งคือความว่างของใจ ที่ไม่ไปเกาะยึดนั่นแหละดีที่สุด จุดจบมันอยู่ตรงนี้เอง
ถ้าพวกเรายังยึดขันธ์ 5 อยู่
ใจเราก็ยังไม่เข้าถึงธรรม
ถ้าใจเราเข้าถึงธรรมแล้ว
ใจนั้นต้องวางขันธ์ 5 ทั้งหมด
อยู่กับธรรมธาตุของใจจริงๆ ไม่ได้อิงอันอื่น
ตื่นอยู่ รู้อยู่ เฉพาะตนจริงๆ
เวลาพูดออกมาก็ออกมาจากใจจริงๆ
ไม่ได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่ในขันธ์ 5 มาพูด
ขันธ์ 5 มีหน้าที่รับฟังอย่างเดียว ไม่ได้ปรุงได้แต่งเหมือนแต่ก่อน
ผู้รู้ธรรมก็คือใจ ผู้เห็นธรรมก็คือใจ ผู้เป็นธรรมก็คือใจเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นจะมารู้มาเห็นมาเป็นให้เลย
เพราะ"สิ่งอื่นเป็นของว่างหมด" แต่ว่าความว่างของใจไม่ใช่ความว่างของโลก มันอยู่เหนือโลกเหนือสมมุติทั้งหมดจนไม่มีที่หมาย จะรู้ได้เฉพาะตนเองเท่านั้น สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์จะรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น จะนำเอาออกมาให้คนอื่นดูไม่ได้ ถ้าหากว่าใครอยากดูก็ให้ไปดูเอาเอง แต่ต้องดูที่ใจตัวเอง อย่าไปดูของคนอื่น
ถ้าไปดูใจของคนอื่นแล้วไม่ใช่ปัจจัตตัง
***********
หลวงปู่คูณ สิริจันโท
กาย...พุทธะ
วจี...พุทธะ
มโน..พุทธะ
เธอ"มอง"โลก...ไม่ติดโลก
เธอ"ฟัง"เสียง...ไม่ติดเสียง
เธอ"ดม"กลิ่น...ไม่ติดกลิ่น
เธอ"ลิ้ม"รส...ไม่ติดรส
เธอ"รู้สัมผัส"กาย...ไม่ติดกายผัสสะ
ธรรมสู่ใจ"รับรู้"...เธอไม่ติดใจ
ฝึกตัวเองนะ อ่านใจตัวเองไปเรื่อย
ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วก็อ่านใจตัวเองไป
พุทโธๆไปใจฟุ้งซ่าน "รู้ทัน"
พุทโธไปใจสงบ "รู้ทัน"
ฟุ้งซ่านก็หนีไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ก็ "รู้ทัน"
พุทโธไปแล้วก็สงบแล้วก็มีราคะเพลิดเพลิน...
ก็ "รู้ทันมีราคะแล้ว"
พุทโธแล้วไม่สงบเลยโทสะเกิดก็ "รู้ทันว่ามีโทสะ"
ราคะเกิดก็รู้ โทสะเกิดก็รู้
กุศลเกิดก็รู้ อกุศลเกิดก็รู้ ฝึกไปเรื่อย
.
ต่อไปก็จะเห็นลึกซึ้งเข้าไปอีก
เวลามันมีกุศลเกิดขึ้นหรือมีความสุขเกิดขึ้น
จิตมันพอใจ “ให้รู้ว่าพอใจ”
เวลาอกุศลเกิดขึ้นหรือความทุกข์เกิดขึ้น
จิตไม่พอใจ “ให้รู้ว่าจิตไม่พอใจ”
เนี่ยรู้ลงไปอย่างนี้
.
หัดทีแรกก็แค่รู้ว่าโลภ โกรธ หลงเกิดขึ้น
ความดีเกิดขึ้นสุข-ทุกข์เกิดขึ้น นี่เห็นสภาวะนะ
.
พอเห็นลึกซึ้งต่อไปอีก
เวลาความสุขเกิดขึ้นใจเราชอบ รู้ว่าชอบ
ความทุกข์เกิดขึ้นใจไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ
กุศลเกิดขึ้นใจเราชอบ รู้ว่าชอบ
อกุศลเกิดขึ้นใจไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ
รู้ลงไปอีกชั้นหนึ่งว่า “ชอบหรือไม่ชอบ”
ใจมันจะเข้าสู่"ความเป็นกลาง"นะ
.
ในสติปัฏฐานเนี่ยเริ่มต้นจะ
• มีวิหารธรรม
• มีความเพียรที่จะแผดเผากิเลสเรียกว่า อาตาปี
• มีความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เรียกว่า สัมปชาโน สัมปชัญญะ
• มีสติรู้ความเปลี่ยนแปลงของกายของใจ
ของอารมณ์กรรมฐานนะ
.
“วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง”
วรรคสุดท้าย ถอดถอนความยินดียินร้ายในโลกเสียได้
คำว่าโลกก็คือ รูป นาม ไม่ใช่โลกข้างนอกนี่
โลกก็คือ รูปธรรม นามธรรม
ถอดถอนความยินดียินร้ายได้
สุขเกิดขึ้นไม่หลงยินดี ทุกข์เกิดขึ้นไม่หลงยินร้าย
พอถอดถอนความยินดียินร้ายได้แล้ว
อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป?
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ใจจะไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
.
ของเราพอมีอะไรที่ถูกใจนะใจก็ฟูใช่ไหม?
เจอของไม่ถูกใจ ใจก็แฟบ
แกว่งอยู่อย่างนี้ทั้งวัน เหนื่อยนะ
เหมือนเรือลำน้อยอยู่กลางทะเล
คลื่นซัดอย่างนี้เหนื่อย
เดี๋ยวก็อ้วกแตกอยู่กลางทะเล เครียดจัด
.
เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกนะ จนกระทั่ง
ใจมันเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญาเนี่ย
(ใจ) มันไม่กระเพื่อม
มันมีความสงบ มันมีความสุขอยู่ในตัวเองนะ
ถ้าบุญบารมีมากพออริยมรรคก็จะเกิด
ถ้ายังไม่พอก็สะสมต่อไป
เพราะฉะนั้น อย่าดูถูกการที่เราจะมีสติ
คอยอ่านใจของเราไปทุกวัน...ทุกวัน
สุดท้ายเราจะพ้นจากทุกข์ได้ สะสมไป
.
-หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช-
"ใจ คือความเป็นกลาง หัด"ใจ"ให้เข้าถึง"ความเป็นกลาง"
ใจแท้ เป็นของกลาง ผู้ภาวนายังไม่ทันถึงภวังค์ คือ จิตเป็นกลาง ก็จะไม่รู้เรื่องของใจ คือ ความเป็นกลาง
ให้เข้าใจคำว่า ใจ ให้รู้เรื่องของใจ อันเป็นของกลาง"
.... หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ดวงตา...เห็นธรรม
"ใจ".. ที่"รู้" นั่นแหละคือ "ใจ"ที่สงบ
"ใจ"...ที่"ไม่รู้" นั่นแหละคือ "ใจ"ที่หลง
อย่าไป"กลัวจะไม่สงบ"
อย่าไป"บังคับใจไม่ให้คิด"
เรื่อง"ใจ"มันเป็น"อนัตตา"
สิ่งที่หลายทั้งปวงบังคับบัญชาไม่ได้
มันจะสงบ อ๋อ! เราบังคับไม่ได้ มันสงบเอง
คนที่ภาวนาแล้ว...ไปบังคับให้สงบ ไม่ให้มันคิด
นั่นแหละ! จะไม่มีวันรู้จัก "อนัตตา" เลย
ถ้าเห็นอนัตตา...บ่อยๆ นี่ มันเข้าถึงธรรมได้นะ
จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเข้าถึงความจริงที่
กาย...จิต แสดงออกมา ยอมรับ และแก้ไข
ปรับปรุงไปตามหน้าที่ แม้ใจไม่อยากให้เป็น
ก็ อ๋อ! มันเป็นเรื่องของใจ ไม่ใช่เรื่องของเรา
ต้องเด็ดขาดลงไปอย่างนี้ ถึงจะได้ ดวงตา-เห็นธรรม
ไม่เช่นนั้นจะได้ ดวงตาหลงทาง"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
ผู้ที่ไม่ปฏิบัติย่อมไม่เห็นอวิชชา ที่เกิดที่"ใจ"
ย่อมโทษข้างนอกว่าทำให้ทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ไม่มีใครทำให้เราทุกข์
เหตุที่ทุกข์เพราะอวิชชา
"ผู้รู้"...ก็เกิดดับ "สิ่งที่ถูกรู้"...ก็เกิดดับ
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
.ยิ่งเห็นบ่อยๆ ยิ่งแจ้งแก่"ใจ" มันไร้สาระไปหมด
.
มัวแต่ ไปตาม"ดู" สิ่งเกิด..ดับ ใช้ชีวิต...กับ การเกิด...ดับ
ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารเลย สุดท้าย"สูญ"หมด
.
เห็นภายใน"ใจ" จึงแจ้งภายนอก
.
ดูกาย ดูจิตใจ ดูไปดูมา เห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกดู เกิดดับ อะไรก็เกิดดับ จะเรื่องราวสําคัญใหญ่โตเพียงใดในชีวิตก็เกิดมาเพื่อดับ สุดท้ายหมดประโยชน์ที่จะไปดู เพราะปลายทางยังไงก็ดับ
"ปัญญา" ใครแจ้งไวเห็นชัด ก็หมดเหตุที่จะตามไปดู ไปยุ่งเกี่ยว หมดค่าที่จะไปยึดถือ
ข้างในจิตใจมันว่าง ผลจากปัญญาที่เห็น หมดการเข้าไปยึดถือ สภาวะโล่งว่าง บังเกิดขึ้นชั่วขณะ เหมือนเพียงแว๊บเดียว แต่เห็นรายละเอียดมากมาย
แล้วภายนอก เรื่องราวต่างๆในชีวิต ภายในดับ ภายนอกยิ่งดับ ยิ่งไร้สาระกว่าภายในจิตใจ เห็นภายนอกเป็นคลื่นเป็นกระแสพลังงาน"กระแสแห่งใจ" หมดความยึดถือในรูป
เห็นรูป แต่เห็นเป็นกระแสจิตใจ ที่"หลง" ถูกเรื่องราวต่างๆ ที่จิตใจเราสร้างขึ้นมาเอง หลอกล่อให้ผูกพันพัวพัน เข้าไปอยู่ในเรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนทับถมกันมากมายจนไล่หาต้นหาปลายไม่เจอ
แค่เรื่องราวเดียวยังไล่ไปไม่สิ้นสุด ยิ่งหลายเรื่องราวมาพันผูกกันเป็นสังสารวัฎ จึงยิ่งยากที่จะบอกถึงความผูกพัน ถูกผิด ยุติธรรมหรืออยุติธรรม ตัดสินกันแทบไม่ได้เลย สุดท้ายดูเพลินไป ก็รู้ว่าจะไหลเข้าไปกลายเป็นตัวละครในเรื่องไม่จบไม่สิ้น
.
ละครชีวิตภายนอก ก็เหมือนสภาวะภายในจิตใจ ตามดูไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกลายเป็นโทษหากลงไปเล่นจนเกินบทบาท สุดท้ายก็ดับ ดังที่ไปตามดูจิต หมดประโยชน์ที่จะไปตามดูจิต ไปตามดูสิ่งที่มัน"ดับสูญ" เพราะสุดท้ายก็"ดับเหมือนกัน" ก็แจ้งแก่ใจว่าเรื่องราวภายนอก จะสําคัญเพียงใด สุดท้ายล้วนจบสิ้นสุดเหมือนกัน ไม่แตกต่างเลย
.
ไร้เรื่องราวภายใน ก็ไร้เรื่องราวภายนอก
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แจ้งแก่ใจตน แก่รอบขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังต้องเลือก ถ้าเลือกย่อมเอาดี ดีกว่าเลว
Trader Hunter พบธรรม
< “สักแต่ว่ารู้” >
ความว่างนี่แหละพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า...
"ปรมัง สุญญัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง"
ความสุขระดับของ พระนิพพานนี้ก็เกิดจาก...
▪การมีจิตที่ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง
▪ไม่ยึด ไม่ติด ไม่พึ่งพาอะไรต่างๆ มาเป็นเครื่องมือ ให้ความสุข
▪ไม่ยึดไม่ติดกับลาภยศ สรรเสริญ กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ
▪ไม่ยึดไม่ติดกับ รูปเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ยึด ไม่ติดกับธรรมารมณ์ต่างๆที่มีอยู่ภายในจิตคือปล่อยวางหมด
▪สลัดทิ้งไปหมด จึงทำให้ใจนี้ว่างเต็มร้อยเป็น ปรมัง สุญญัง พอใจว่างเต็มร้อยเป็นปรมัง สุญญัง ใจก็จะเป็นปรมัง สุขัง เป็นบรมสุขขึ้นมา
》การปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนานี้จึงปฏิบัติเพื่อ
▪ลด เพื่อละ เพื่อตัด เพื่อปล่อย เพื่อวาง
▪ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อที่จะสั่งสม สร้างสมสิ่งต่างๆ เช่นลาภยศ สรรเสริญ หรือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ให้มีอยู่ไปเรื่อยๆ ให้มีเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ
▪มีแต่จะสลัดทิ้งไปปล่อยวางไป
》เพราะว่าเห็นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง
▪อนิจจัง ก็คือเป็นความสุขชั่วคราว
▪อนัตตา ก็คือไม่อยู่ภายใต้คำสั่งของเรา ถ้าเราไปอยากให้เขา ไม่เสื่อมอยากให้เขาอยู่กับเราไปตลอด เราก็จะต้องเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา
▪แต่ถ้าเราปล่อยเขาไป ไม่ต้องการเขา เขาจะอยู่ก็ปล่อยเขาอยู่ไป เขาจะไปก็ปล่อยเขาไป ต่างฝ่ายต่างอยู่กัน ถ้ายังอยู่ด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันไปแบบไม่มี ความอยากให้เขาเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ใจก็จะว่างจากเขาไป ใจว่างใจก็จะเกิดความสุขขึ้นมา จะไม่ทุกข์กับการเจริญกับการเสื่อมของเขา เขาจะเจริญก็สักแต่ว่ารู้ไป เขาจะเสื่อมก็สักแต่ว่ารู้ไป
》ขอให้สักแต่ว่ารู้ กับทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น ใจก็จะว่างจากเขาไป ถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกัน เช่นร่างกายกับใจ ขันธ์กับใจยังอยู่ร่วมกันอยู่
▪แต่ถ้าใจรู้ทันว่าขันธ์ ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
▪ก็จะปล่อยวางจะสักแต่ว่ารู้ ร่างกายตอนนี้เป็นอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น แก่ก็รู้ว่าแก่
▪จะไม่มีความอยาก ให้ไม่แก่เกิดขึ้นมาในใจ
▪เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน ก็จะไม่มีความอยากให้มันไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
▪ถึงเวลาจะตายก็จะไม่มีความอยาก ที่จะให้มันไม่ตาย
▪จะรู้สักแต่ว่ารู้ไปทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออกเลย
》ขอให้สักแต่ว่ารู้เท่านั้นเอง รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ไม่ต้องไปถามว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ถามไปทำไมแล้วมันได้ประโยชน์อะไร มันจะเป็นอย่างไรมันจะมาอย่างไร มันจะเป็นอย่างไรก็ ไม่เป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าเราปล่อยวาง มันได้หรือเปล่า ถ้าเรายังถามว่ามันเป็นอย่างไรแสดงว่าเรายังอยากจะไปแก้มันอยู่ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อเราจะรู้เราจะได้ไปแก้มันไม่ให้เกิด มันเสื่อมได้อย่างไร ถ้าเรารู้ว่ามันเสื่อมได้อย่างไร เราจะได้ไปแก้ ไม่ให้มันเสื่อม อย่างนี้ก็แสดงว่าเรายังไม่ปล่อย เรายังอยากมันอยู่ แล้วของเหล่านี้ก็แก้ไม่ได้
▪พระพุทธเจ้าก็บอกว่า มันเป็นอนัตตา ของมันจะเสื่อมจะไปห้ามไม่ให้มันเสื่อม
▪มันห้ามไม่ได้ ของมันจะเกิด มันก็ไปห้ามมันไม่ได้ มันจะเกิด
▪งั้นมันจะเกิดหรือจะเสื่อมหรือจะดับก็ให้รู้ตามความจริงของมัน
▪ตราบใด ถ้ามันไม่ได้เกิด มันไม่ได้ดับด้วยการกระทำของเราก็แล้วกัน เช่นอย่าไปดับร่างกายในขณะที่มันยังไม่ดับ ถ้าเราไปทำให้มันดับนี้ ก็ถือว่าไม่ปล่อยมันอีกเหมือนกัน ถือว่าเรายังไปผูกติดกับมันอยู่ ยังมีความอยากกับมันอยู่ ใจก็ยังจะไม่ว่างอยู่นั่นเอง เช่นเวลาร่างกายเจ็บไข้ ได้ป่วยเป็นอัมพฤกษ์เป็นอัมพาตไม่สามารถ รับใช้ตัณหาของใจได้ ไม่สามารถทำตามความอยากของใจได้ก็เลยฆ่ามันเสีย เลยฆ่าตัวตาย ฆ่าร่างกาย อย่างนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นพระนิพพาน
ไม่ถือว่าเป็นสักแต่ว่ารู้ ไม่ถือว่าได้ปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางแล้วก็ปล่อยมันซิ มันจะเป็นอย่างไรก็เรื่องของมัน ถ้ายังอยู่ในวิสัยที่จะเลี้ยงดูมันได้ก็เลี้ยงดูมันไป อยู่ในวิสัยที่รักษาได้ก็รักษามันไป ก็ทำได้เท่านั้น ทำแบบปล่อยวาง คือทำแบบไม่ได้มีความอยากทำแล้วมันจะหายก็หายไม่หายก็ไม่หาย ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ถึงจะเรียกว่า "ใจว่าง" ปรมัง สุญญัง ต้องสักแต่ว่ารู้เท่านั้น รู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า จะเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือไม่สุขไม่ทุกขเวทนา มันจะเป็นแบบไหนก็ให้รู้มันไปอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่ว่าธรรมารมณ์แบบไหน ธรรมารมณ์แบสุข ธรรมารมณ์แบบทุกข์ ธรรมมารมณ์แบบไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ให้รู้กับมันไปตามความจริงของมันถ้ายังต้องอยู่ด้วยกันอยู่
ถ้ายังมีร่างกายยังมีขันธ์อยู่ มันก็จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่กับใจ มันจะหมดไปก็ต่อเมื่อไม่มีขันธ์แล้วไม่มีร่างกายแล้ว ทุกอย่างมันก็จะไม่เป็นปัญหากับใจ เพราะใจรู้ทัน รู้ด้วยปัญญา รู้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
》ถ้าไม่อยาก จะให้เกิดความทุกข์ใจ ก็ต้องสักแต่ว่ารู้ รู้ว่าเป็นอนิจจัง รู้ว่าเป็นอนัตตา แล้วจะได้ไม่เกิดตัณหาความอยาก ให้มันเป็นนิจจังหรือให้มันเป็นอัตตาขึ้นมา นี่คือปัญญาของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้ไม่มีผู้ใดสามารถรู้ ความจริงอันนี้ได้ด้วยตนเอง มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถรู้ได้ แต่พอพระองค์ทรงรู้แล้ว แล้วทรงนำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ก็ทำให้ผู้ที่ไม่รู้เหล่านี้หลากหลายบุคคลหลากหลายชาติชั้นวรรณะ เพศ สามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดาย สามารถสอนใจให้สักแต่ว่ารู้ได้ เพียงแต่สอนสั้นๆ คนที่ฉลาดฟังแล้ว ก็จะเข้าใจทันที
อย่างที่มีชาย(พาหิยะ)ได้พยายามขอกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ในขณะที่ทรงบิณฑบาตอยู่ พระพุทธองค์ก็ทรงปฏิเสธไปบอกว่าไม่ใช่เวลาที่จะแสดงธรรม แต่ชายคนนั้น ก็ยังยืนยันของเพียงสั้นๆก็ได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสอย่างสั้นๆว่า ให้สักแต่ว่ารู้ ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ให้สักแต่ว่า ได้ยิน ไม่ว่าจะเห็นอะไร ก็สักแต่ว่าเห็น คือสักแต่ว่ารู้ รู้ว่าเห็นอย่างนั้น รู้ว่าได้ยินอย่างนี้ พอไม่ได้ต้องทำอะไรทั้งนั้น พอตรัสเท่านั้นเขาก็เข้าใจ ใจเขาก็บรรลุก็ขออนุญาตไปเตรียมขอบริขารเพื่อที่จะบวชเป็นพระภิกษุต่อไป
》นี่ก็คือคำสอนที่สรุปที่สั้นๆ แต่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งที่สามารถทะลุ โมหะ อวิชชา ทำให้ใจนี้สว่างไสวขึ้นมาทำให้ใจ สามารถหลุดพ้นจากอำนาจของโมหะอวิชชาที่หลอกให้ใจต้องไปเวียนว่ายตายเกิดด้วยความอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามความอยากของตน
ผู้ที่มีปัญญาที่ฉลาดพอได้ยินได้ฟังก็จะเข้าใจและสามารถทำใจให้หลุดพ้น จากความหลงความไม่รู้ต่างๆได้
▪เพียงแต่ให้สักแต่ว่ารู้เท่านั้น
▪สักแต่ว่ารู้ก็คือให้ใจว่า ไม่มีการคิดปรุงเเต่ง ไม่มีความอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
▪ซึ่งปกติใจของปุถุชนนี้ ใจของผู้ที่ยังไม่ได้เข้าถึงธรรมขั้นสูงสุดนี้ เวลาสัมผัสรับรู้อะไรแล้วมักจะเกิดความอยากตามมา เห็นอะไรแล้วก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ได้ยินอะไรก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
▪พอเกิดความอยากแล้วก็ต้องดิ้นรนแก้ เพราะเกิดความ ไม่สบายใจขึ้นมา พอเห็นอะไรไม่เป็นไปตามความอยากก็ต้องไปแก้สิ่งนั้น ให้มันเป็นไปตามความอยากให้ได้
▪นี่แหละเป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว
▪แต่ถ้าเพียงเห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็นไป มันจะดี มันจะชั่วก็เรื่องของมัน เราเป็นผู้ดูก็ให้มันดูไปเฉยๆ ให้รู้ไปเฉยๆเท่านั้นมันก็หมดเรื่อง
▪แต่เรามันดูเฉยๆไม่ได้ ดูแล้วมือไม้มันคันขึ้นมา มันต้องไปเกาต้องไปแตะพอไปเกาไปแตะมันก็เลยเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมา เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไปไม่มีวันจบไม่มีวันสิ้น พออยากได้ให้มันเป็นอย่างนี้ พอทำให้มันเป็นอย่างนี้ ได้สักพักหนึ่ง เดี๋ยวมันเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างก็ต้องกลับมาทำใหม่อีก หรือพอมันเปลี่ยนไปแล้วก็ไม่ชอบมันอีก อยากจะให้มันเป็นไปอีกอย่าง ก็ต้องกลับมาเปลี่ยนมันอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่อย่างนั้นน่ะ เปลี่ยนยังไงมัน ก็ไม่หายคัน เปลี่ยนยังไงมันก็ยิ่งคันขึ้นไปเรื่อยๆ
▪ท่านถึงบอกว่าเกาไม่ถูกที่คัน ปุถุชนอย่างพวกเรานี้ เกาไม่ถูกที่คันกัน แทนที่จะเกาที่ใจเราไปเกาที่ลาภยศ สรรเสริญ ไปเกาที่รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปเกาที่ขันธ์ รูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันจึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา
▪ถ้าเกาที่ใจจุดเดียวนั้นจบ ให้สักแต่ว่ารู้เท่านั้น ให้หยุดความอยากทั้งหลาย.
ธรรมะบนเขา วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
“สักแต่ว่า”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
" หนทางมันมีอยู่ สวรรค์ นิพพาน
รออยู่ ขาดอยู่แต่ ผู้เอาจริง ให้รีบ
ภาวนา ดูที่ใจ อย่าส่งออกนอก
ส่องดูที่ใจอย่างเดียว
ดูอะไร ๆ ก็ไม่เหมือนดูที่ใจ
เราพอใจ ชอบไม่ชอบ
มันก็อยู่ที่ใจ กายไม่เกี่ยว
กายมันก็เป็น ของมันเช่นนั้นแหละ
เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ใจมันไม่เจ็บ
ไม่ตายด้วย ฉะนั้น ให้ดูที่ใจ
ไม่ต้องไปดูที่อื่น "
โอวาทธรรม
หลวงปู่เพียร วิริโย
********************
" ธรรมะบ่ได้อยู่ หม่องอื่น อยู่ที่ใจนั้น
การปฏิบัติธรรม ต้องปฏิบัติใจเจ้าของ
เบิ่งใจเจ้าของ ใจคิดขึ้นในทาง
ที่ดีหรือทางที่ชั่ว
ถ้าคิดขึ้นในทาง ที่ชั่วให้บังคับมัน
ถ้าคิดขึ้นในทาง ที่ดีกะส่งเสริมมัน
อย่าเอาความชั่ว มาไว้ในหัวใจ
คิดโกรธ คิดเกลียด คิดชัง อย่าให้มัน
มีในหัวใจ ให้มีสติบังคับมัน
นี่ล่ะ การปฏิบัติธรรม ถ้าเฮาคิดดี
กะเป็นบุญ ถ้าเฮาคิดชั่ว
กะเป็นบาป เผาเจ้าของ
ให้เร่าร้อน
เพราะว่าเจ้าของ บ่ฮู้จักปล่อยวาง
นี่ล่ะให้พากัน จำเอาไว้ "
โอวาทธรรม
หลวงปู่สอ พันธุโล
********************
" ... หลวงพ่อจะบอก แลนด์มาร์คที่สำคัญไว้นะ แลนด์มาร์คที่สำคัญ ก่อนที่จะเกิดอริยมรรคนี่ จิตจะเกิดปัญญาชนิดหนึ่ง เรียกว่า " สังขารุเบกขาญาณ "
สังขารุเบกขาญาณ
ญาณ แปลว่า ปัญญา
มีปัญญาที่จะเป็นอุเบกขา เป็นกลางต่อสังขาร
อะไรที่เรียกว่า สังขาร
( ความปรุงแต่งทั้งปวง ) เรียกว่า " สังขาร "
ร่างกายก็เป็นสังขารนะ
ความสุข ความทุกข์ ก็เป็นสังขาร
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เป็นสังขาร
อะไรๆ ก็เป็นสังขาร
ในขันธ์ 5 นี่แหล่ะ คือ ตัวสังขารทั้งหมด
ถ้าเราค่อยๆ ฝึกตามดูไปเรื่อย มีสติตามดูไป
เราจะเห็นเลย ร่างกายที่หายใจออกก็อยู่ชั่วคราว
ร่างกายที่หายใจเข้าก็อยู่ชั่วคราว
ความสุขก็อยู่ชั่วคราว ความทุกข์ก็อยู่ชั่วคราว
จิตที่เฉยๆ ก็ชั่วคราว
มีใครไม่สุขชั่วคราวไหม มีไหม
สุขถาวรมีไหม ไม่มีหรอก
ใครทุกข์ถาวรมีไหม ใครทุกข์ถาวร ไม่มี
นี่เรามีสติตามดูความเปลี่ยนแปลงของจิตไปนะ
เราจะเห็นเลย สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว
โลภ โกรธ หลง ก็ชั่วคราว
ดูไปเรื่อยนะ ในที่สุดปัญญามันเกิด
ก็จะรู้ว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว
พอเมื่อไหร่ที่จิตมันเห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว
จิตก็จะเริ่มเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญาแล้ว
เป็นกลางนี่เกิดได้หลายแบบ
เป็นกลางอันแรกเกิดด้วยการกดข่มไว้
เช่น ถูกเค้าด่า ก็กัดฟัน ไม่โกรธเลย ไม่โกรธเลยนะ
บอกเป็นกลางเพราะกดข่มเอาไว้
เป็นกลางอีกอันหนึ่งเรียก เป็นกลางด้วยมีสติ
เป็นกลางอีกอย่างหนึ่ง เป็นกลางด้วยปัญญา
เป็นกลางแบบมีสติ ก็คือ เช่น
เราขับรถอยู่ คนมันปาดหน้า ใจเราโมโหขึ้นมา
เราเห็นเลยใจมันโมโห พอเราเป็นนักปฏิบัตินี่
เราเห็นว่าใจเราโมโหขึ้นมาไม่ดี คุณแม่บอกให้เมตตา
โมโหไม่ดีใช่มั๊ย เราต้องรีบไปรู้ทันใจที่ไม่ชอบ
ความโกรธเกิดขึ้นแล้วใจเกิดยินร้าย
ไม่ชอบความโกรธ
หรือกุศลเกิดขึ้นใจเราหลงยินดีเราไม่รู้ว่ายินดี
อย่างนี้จิตไม่เป็นกลาง
ถ้าจิตยินดีเรารู้ทัน จิตยินร้ายเรารู้ทัน
มันจะเป็นกลางด้วยสติ
แต่ถ้าเป็นกลางด้วยปัญญา
ตรงนี้สำคัญมากเลย ก่อนที่จะเกิดอริยมรรคนี่
จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา แล้วมันจะเห็นเลยว่า
ความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว
กุศลก็ชั่วคราวนะ
โลภ โกรธ หลง อะไรต่ออะไรก็ชั่วคราว
ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว หดหู่ก็ชั่วคราว
ทุกอย่างชั่วคราวหมดเลย
ถ้าเมื่อไหร่ จิตเห็นว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว
จิตมันจะเป็นกลางด้วยปัญญาขึ้นมา
ความสุขเกิดขึ้นมันไม่หลงระเริงแล้ว
เพราะมันรู้แล้วว่าชั่วคราว
ความทุกข์เกิดขึ้นมันไม่ทุรนทุราย
เพราะมันรู้ว่าชั่วคราว
ดีใจ เสียใจ สมหวัง ผิดหวัง
มันไม่หลงระเริงเลยนะ
ไม่เสียอกเสียใจเพราะมันรู้ว่าชั่วคราว
เห็นไหมพอมันเห็นว่าทุกอย่าง เป็นของชั่วคราวนี่
ใจจะหมดความดิ้นรน
นี่เรียกว่า เป็นกลางด้วยปัญญา
ก่อนที่จะเกิดอริยมรรคนี่
จิตจะเป็นกลางด้วยปัญญา
ก่อนที่จิตจะเป็นกลาง ด้วยปัญญานี่
เราจะต้อง หัดเจริญสติ
ตามดูความเปลี่ยนแปลงของกาย ของใจ เรื่อยไป
จนปัญญามันเกิดว่าทุกอย่างชั่วคราว
สุข ทุกข์ ดี ชั่ว ชั่วคราว
หายใจออก หายใจเข้า ชั่วคราว
ยืนก็ชั่วคราว เดินก็ชั่วคราว นั่ง นอนชั่วคราว
ดูไปเรื่อยๆ นะ มีแต่ของชั่วคราวไปหมดเลย
มาเสถียรก็มาชั่วคราวใช่ไหมนะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว
นี่ทุกอย่างชั่วคราวนะ ดูไป
ทุกสิ่งในชีวิตเรานะ ถ้าเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราวนะ
ต่อไปไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจิตจะเป็นกลาง
จิตที่เป็นกลางแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น
จิตจะหมดความดิ้นรน
จิตที่ไม่เป็นกลางนะมันจะดิ้นรนไม่เลิก
พวกเรารู้สึกไหม อย่างจิตใจเราไม่มีความสุข
เราอยากให้มีความสุข เราเกลียดความทุกข์
จิตที่เกลียดความทุกข์ก็ดิ้นรนนะ
ดิ้นว่าทำอย่างไรจะมีความสุข
หรือจิตมันดิ้นรนหาความสุข
จิตดิ้นรนหนีความทุกข์
การที่จิตต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลานี่นะ
คือตัวทุกข์เลย จิตจะมีแต่ความทุกข์ล้วนๆ เลย
สร้างภพ สร้างชาติ
สร้างความปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
พวกเราเห็นไหม
ในใจของเรามีความอยากเกิดตลอดเวลา
ไปหัดดูนะ แล้วเราจะเห็นเลยใจเรา
มีความอยากตลอดเวลา เดี๋ยวอยากดู
เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากคิด
เดี๋ยวอยากหนีไปที่อื่น
อย่างตอนนี้แดดร้อนแล้วอยากหนีแล้ว
ถอยได้นะถอย ถอยไปอยู่ข้างหลัง ถอยได้
แบ่งๆ กันนะ แบ่งๆ กัน หรือจะเอาเสื่อ ขึ้นคลุมก็ไม่ว่านะ
สังเกตมั้ยตอนหัวเราะเมื่อกี้ใจฟุ้งซ่าน ดูออกมั้ย
ลืมตัวเอง นี่ฝึกนะ ฝึกรู้อย่างนี้แหละ ดูไปเรื่อยๆ นะ
ถึงจุดหนึ่งที่ปัญญามันพอนี่
จิตมันจะรวม รวมเข้าอัปปนาสมาธิ
รวมของมันเองนะ
แล้วจะเห็นสภาวะธรรมเกิดดับอยู่สองสามขณะ
แล้วถัดจากนั้นอริยะมรรคก็จะเกิดขึ้น จะล้างกิเลส
อริยมรรคเวลาล้างกิเลส
จะไม่เหมือนการล้างกิเลสด้วยสติ
ด้วยสมาธิ ด้วยศีล ด้วยการข่มไว้
อริยมรรค เวลาล้างกิเลส
ล้างตัวไหนแล้วล้างเลย ไม่ต้องล้างอีกแล้ว
ล้างทีเดียวสะอาดหมดจด ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
แล้วเราค่อยๆ ฝึกนะ วันหนึ่งเราได้เป็นพระอริยะ
อย่าวาดภาพว่าพระอริยะยากเกินไป
อย่าวาดภาพว่าพระอริยะอยู่ไกล บารมีเราน้อย
มัวแต่คิดว่าบารมีน้อยไม่ภาวนา
มันก็น้อยไปทุกชาตินั่นแหละ
ถึงบารมีน้อยก็ขยันภาวนานะ
หายใจไปก็รู้สึกตัวไป หายใจไปรู้สึกตัวไป
มีสติรู้สึกตัวไปเรื่อย อย่าให้ลืมตัวเอง
ต่อไปก็หายใจไป เห็นร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่เรา
เห็นจิตใจมันทำงานได้เองนะ นี่ขั้นเดินปัญญา
ง่ายๆ แค่นี้แหละ ลองไปทำดู ... "
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒
สาวิกาสิขาลัย เสถียรธรรม
ธรรมะจากพระผู้รู้ฉบับที่ ๗๙