พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 272 **การวางเฉยที่ถูกต้อง**
+ +
ในเช้าของวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาจะพิจารณาการอุเบกขา- วางเฉยนั้น แบบไหนล่ะเจ้าคะ จึงจะเป็นการอุเบกขาวางเฉย ที่ถูกต้อง ที่ดี ที่แท้จริง ?
เพราะว่าบางครั้ง.. ถ้ามีความเมตตามากไป ก็จะทำให้วางอุเบกขาไม่ลง น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปพิจารณา ประพฤติ ปฏิบัติตาม และนำไปเผยแผ่ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดีแล้วละลูก ที่รู้จักตรึกตรอง แสวงหาคำถามต่างๆขึ้นมา
ถามเรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง.. เพื่อเป็นองค์ความรู้ให้กับตน และทุกคน
พระยาธรรมเอ๋ย.. นั่งลงที่ตรงนี้ ขยับเข้ามานั่งตรงนี้
เมื่อนั่งแล้ว ก็อย่าทำจิตทำใจให้มันวุ่นวาย..
นั่งแล้ว.. ก็นั่งให้สงบ ปรับจิตปรับใจให้นิ่งๆเสียก่อนนะลูก
เมื่อจิตใจของเรานิ่งแล้ว.. เราก็ใช้ความนิ่งนั่นละลูก - ส่องดูความเป็นจริง
ที่มันเป็นอยู่.. เห็นอยู่.. รู้อยู่..
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาทำกันเช่นนี้ละลูก
ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น- ตั้งอยู่.. หรือว่าดับไป
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ที่เกิด- ที่ดับ ที่กระทบผ่านหูผ่านตา
ที่มันหมุนวนเข้ามา.. แล้วก็หมุนวนออกไป
เขาก็จะใช้ความนิ่งนั่นละลูก.. เฝ้าดูอย่างมีสติ ใช้ปัญญาตรึกตรองให้เห็นเหตุและผล ในสิ่งที่มันเกิด และมันดับเหล่านั้น…
พระยาธรรมเอ๋ย.. มันก็เลยเป็นสิ่งที่ถ้าเรานี้.. ยังไม่มีความสงบพอ / ยังไม่มีความนิ่งพอ
เราก็ยังคงต้องฝึกฝน “ความสงบ” ให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกว่าเรานี้ จะ..
- มีกำลังของสติปัญญา ที่นิ่ง.. รู้เท่าทัน
สิ่งที่เกิดที่ดับ / สิ่งที่ผ่านมา และผ่านไปเหล่านั้น.. เป็นธรรมดา
- เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อย่างชัดเจน
เมื่อเราเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อย่างชัดเจนแล้ว - ความจริงมันก็แค่ปรากฏขึ้น กระจ่างแจ้งกับเรา
โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่ตนเจอ หรือว่าผ่านมา ผ่านไปเหล่านั้นเลย
เพราะว่า00 เห็นเป็นธรรมดา
และการที่จะช่วยใครคนหนึ่ง ก็เห็นทางมาของเขาแล้ว.. ก็แค่เขี่ยลูกไปตามเหตุตามปัจจัย
ที่ควรจะทำ ให้มันเป็นไปตามรอบ- ตามเหตุที่ดี
... เสร็จแล้ว ก็เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา..
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม เป็นการวางเฉยของ *บุคคลผู้มีปัญญาธรรม*
ลูกเอ๋ย.. ก็ง่ายๆ แค่ ฝึกฝนจิตของตน ให้นิ่ง ให้สงบ
ความนิ่ง ความสงบนั้น.. จะช่วยให้ลูก ส่องเห็นความเป็นจริงที่ซ้อนอยู่ ซ่อนอยู่
ในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป / ในสิ่งที่มันวนไปวนมา เหล่านั้น..
-- แล้วลูกก็แค่จัดสรรสิ่งเหล่านั้น.. ให้มันเป็นไปตามเหตุอันสมควร ++
ลูกก็เป็นผู้ที่มีหน้าที่จัดสรรทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันผ่านเข้ามาใกล้ตัวของลูก..
... ให้มันเป็นไปอย่างถูกต้อง ตามเหตุตามปัจจัย
โดยปราศจาก “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
สักแต่ว่า รู้อยู่ ดูอยู่ และเห็นอยู่...
สิ่งที่ทำไป - ก็เพราะว่า มันมีเหตุของมันอยู่
ทำไป จัดสรรไป - โดยไม่มีตัวตนแห่งตน เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือเจือปนอยู่ในการจัดสรรนั้น
... เพียงแต่ดูตามเหตุ ทำตามเหตุ ++
อย่างนี้ละ..พระยาธรรม ก็คือ การวางเฉยของผู้ที่มีปัญญาธรรม
ทำตนให้รู้แจ้ง ให้สงบเสียก่อน
... แล้วลูกจะสามารถจัดสรรทุกอย่าง.. อย่างถูกต้อง
จงเอาตนเป็นที่ตั้ง ตั้งอยู่ในความสงบ สิ่งกระทบภายนอก
.. ลูกนั้นจะใช้ความสงบ มองเห็นอย่างทะลุ ชัดเจน
มันไม่ได้ยากอะไรหรอก พระยาธรรม.. ถ้าเราเอาตนเป็นที่ตั้งแห่งความดี ความสงบทั้งหลาย
เพราะธรรมชาติของความสงบ ความนิ่ง..
-- ย่อมทำให้ทุกดวงจิต เห็นความจริงที่ซ่อนที่ซ้อนอยู่ ได้อยู่แล้ว ++
การวางเฉย มันก็จะก่อเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเอง เพราะว่าทุกอย่าง มันก็มีการก่อเกิดไปตามลำดับ / เป็นไปตามเหตุของมัน
เรามีศีล มีธรรม เรามีสมาธิ เรามีปัญญา
*ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา* จะทำให้เรา..
/ มีเกราะแก้วคุ้มกันภัย
/ มีแสงสว่าง ที่สว่างไสว
/ มีดวงปัญญาที่รู้เท่าทัน - เหตุที่เกิด และเหตุที่ดับต่างๆทั้งหลาย
แล้วเราก็จะสามารถพิจารณาสิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ไปตามเหตุตามปัจจัย อย่างไม่สุข -ไม่ทุกข์
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. การวางเฉยของผู้ที่มีปัญญาธรรมแล้ว.. เขาเกิดขึ้นเพราะว่า
รู้แจ้งในสิ่งที่เกิด ในสิ่งที่ดับ ในสิ่งที่กระทบเข้ามา.. และจัดสรรไป
เขาจึงไม่สุข - แม้ว่าได้ทำในสิ่งที่ดีไป
เขาจึงไม่ทุกข์ - แม้บางครั้งต้องจัดสรรสิ่งที่ไม่ดี
หมายถึง อาจจะคิดว่าไม่ดี.. แต่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ต้องทำไป เพื่อให้สิ่งต่างๆที่มันไม่ดีจริงๆ - ปรับให้มันดีขึ้น อย่างนี้
เขาก็จะรู้เหตุว่า.. สมมุติทำ สมมุติจัดสรรไปตามเหตุ - เพื่อปรับสิ่งไม่ดี..ให้ดีขึ้น
เจตนา ก็คือ ดี
ดีและทำตามเหตุ
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ไม่มีอะไรยากหรอกลูก
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง - มันไม่ได้มาจากการฝึกฝนอย่างเดียว
แต่มันจะเกิดขึ้น เมื่อเรานั้น เติมพลังแห่ง *ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา* จนเต็ม
ความรู้แจ้ง จะเกิดขึ้น
+ เมื่อความรู้แจ้งเกิดขึ้น.. เราก็จะวางเฉยได้เอง + นั่นละ
แต่เริ่มแรก เราอาจจะต้องฝึกตัวหน่อย
ฝึกลองผิดลองถูก ค่อยๆฝึกไป
แต่ถ้าคนที่มีปัญญาธรรม อย่างแท้จริงแล้วนั้น.. เขาไม่ต้องฝึกแล้วลูก
-- เขามองเห็นความเป็นจริงที่ซ่อนที่ซ้อนอยู่ และจัดสรรตามเหตุของมัน เท่านั้นเอง !
ยังไงล่ะ พระยาธรรม มีข้อสงสัยอะไรอีกหรือเปล่าลูก ?
พอจะเข้าใจในการวางอุเบกขา - ของผู้มีปัญญาธรรม แล้วหรือยัง ?
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ บอกว่า.. การที่บุคคลผู้มีปัญญาธรรม เขาจะวางเฉยได้นั้น..
อยู่ที่การฝึกจิตของเขา ให้มีศีล มีธรรม มีสมาธิ และปัญญา
สมาธิ ปัญญา และศีล ธรรม เหล่านั้น.. ก็จะช่วยให้ดวงจิตนั้น มีแสงสว่าง มีพลังของจิต
ที่รู้แจ้ง รู้เท่าทัน
/ สิ่งที่มันเกิดขึ้น- ตั้งอยู่- ดับไป
/ สิ่งที่ควรจะจัดสรร ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น
- ให้มันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ที่มันควรจะเป็น +
... ก็เลยเป็นการจัดสรรตามเหตุ เลยไม่เชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เข้าไปเจือปนในมัน.. ก็เลยเป็นการวางเฉย แบบถูกต้อง ++
แม้ทำในสิ่งที่ดี - ก็จะไม่ลุ่มหลง
ทำในสิ่งที่ดูผิวเผิน เหมือนไม่ดี แต่ทำ/ จัดสรรไป.. เพื่อให้ดี
ก็ทำไปเฉยๆ เพื่อปรับ ตามเหตุตามปัจจัยที่มันควรจะเป็นไป
... เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ลูกฟังแล้ว ก็ทำให้ลูกนึกถึงเรื่องหนึ่ง คือว่า
ทุกวันนี้ เวลามีคนเข้ามา เราก็จะมองเห็นว่า.. คนนี้เขามีรอบมาเพื่อสิ่งนี้
เราก็จะชี้ทาง บอกทางเขาไป ตามเหตุที่เราบอกนั้น..
คนโน้นเขาเข้ามา -เพื่อเหตุของเขา คือเราจะเห็นทุกคนวนรอบตามเหตุตามปัจจัย ที่ควรจะจัดสรรไปน่ะเจ้าค่ะ หนูก็เห็นแบบนี้บ้างแล้วละเจ้าค่ะ
แต่หนูคิดว่า พลังของสมาธิยังไม่มากพอ..
เรารู้ เราเห็นอยู่ แต่ว่า บางทีตัวเมตตา มันอาจจะเยอะไปหน่อย
.. จิตใจก็เลยอ่อนแอ เมื่อรู้เมื่อเห็น..
แต่ถ้ามันมีเหตุที่มันไม่ค่อยจะดี เพื่อที่จะจัดสรรให้ดี นั่นน่ะเจ้าค่ะ
แต่ถ้ามีเหตุกระทบไม่ค่อยดี.. เราก็ยังรู้สึกว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ก็ยังต้องไปทบทวนใหม่อีก อย่างนั้นน่ะเจ้าค่ะ
เราไม่สามารถสลัดและวางได้เลย น่ะเจ้าค่ะ
... เรามีสมาธิ ไม่มากพอ อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้น ยังต้องนำไปตรึกตรอง ทบทวน ก็เป็นสิ่งที่ดีละลูก
เราจะได้ฝึกฝนตน ให้มีเหตุมีผล มีปัญญาในสิ่งที่ทำ
เราจะได้ฝึกฝนตนให้รู้ ให้เข้าใจ -ในทุกรายละเอียด
พระยาธรรมเอย.. เมื่อเรายังต้องฝึกฝนอยู่ - เราก็ยังคงต้องฝึกความละเอียดอ่อน เล็กๆน้อยๆเหล่านี้
เพื่อหาความเป็นจริงลูก..
สมาธิ ก็ทำต่อไป - ตามเหตุที่ลูกนั้นพอจะทำได้
สิ่งใดๆที่ก่อเกิดขึ้น - จงใช้ปัญญาพิจารณาให้มาก..เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่
ลูกเอ๋ย.. เพราะว่าลูกนั้น เป็นผู้ที่เกิดขึ้นมา *เพื่อชี้ทางแทนธรรมทั้งปวง*
ฉะนั้น.. ลูกจึงต้องตรึกตรอง ทบทวนทุกเหตุการณ์ / ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้แจ้งในตัวของลูก
นั่นเป็นเรื่องธรรมดา
และก็ไม่ได้แปลว่า.. ทำดีแล้ว หรือยังไม่ดี
จงตั้งใจศึกษา สิ่งที่มันกระทบผ่านหูผ่านตา สิ่งที่ฝึกจัดสรรมา
หมุนรอบแต่ละบุคคล - แต่ละสถานการณ์.. ให้มันลงรอบ ลงตัว - ตามเหตุตามปัจจัย
จงฝึกฝนจิตใจของตน ให้เข้มแข็ง !
ลูกเอ๋ย.. เส้นทางที่ลูกกำลังเดินอยู่นั้น ยังต้องเจอกับสิ่งกระทบมากมายเลยทีเดียว ++
- เพราะเป็นการเผยแผ่ธรรม แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกึ่งศาสนา **
และ
/ ไม่มีใคร ที่เขาจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดย - ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำให้เกิดขึ้น ได้โดยง่ายดาย
/ ไม่มีใครจะยอมรับใครว่าดีกว่ากัน ได้โดยง่ายดาย
/ ไม่มีใครยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้โดยง่ายดาย
ฉะนั้น.. ลูกต้องอาศัย สติและปัญญา ที่เข้มแข็ง ที่รู้แจ้ง กระจ่าง อย่างแท้จริง
-- เพื่อที่จะยืนหยัดในความถูกต้อง เพื่อประกาศธรรมให้สำเร็จ **
ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ดับไป ผ่านไปมา.. จงมองให้เห็นที่อยู่ในนั้น
แล้วจึงฝึกฝนจิตให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ.. ตามเหตุตามปัจจัย
ทำไปเถิดพระยาธรรม..
ดีแล้วละลูก ที่รู้จักหยิบมาพิจารณา หาความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ ในสิ่งที่มันจะต้องเกิด
คือจะทำไป
และเมื่อขณะทำ - ก็รู้เหตุที่ทำอยู่
เมื่อทำจบแล้ว - ก็รู้เหตุที่มันจะต้องเป็นไปต่อ
นั่นเป็นเรื่องธรรมดา.. ลูกเอ๋ย
ดีแล้วละ ค่อยๆฝึกไป
รู้ว่าตนยังบกพร่องตรงไหน - ก็ฝึกไป
รู้ว่าตรงไหน ที่มันดี /ที่มันเกิดประโยชน์ - ก็ฝึกไป
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ หนูเข้าใจแล้วละ เจ้าค่ะ
เพราะว่าหนูคิดว่า.. มันคือการคิดมาก คือการวางเฉยไม่ลง
แบบนี้ละเจ้าค่ะ ที่เราต้องคิด
แต่พอพระพุทธองค์พูดอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้หนูเข้าใจว่า..
เราต้องแบ่งแยกระหว่าง การวางเฉยไม่ลง กับการตรึกตรองให้มันเห็นความเป็นจริง
เราต้องแบ่งแยกไปอีกระดับหนึ่ง - ให้มันละเอียดขึ้นอีก เจ้าค่ะ
... หนูก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
วันนี้ หนูกราบขอนมัสการลาก่อนนะเจ้าคะ
หนูจะนำธรรมนี้ไปเผยแผ่
หนูคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอน หรือว่ารูปแบบความรู้สึกของหนู
.. ก็คงจะเป็นประโยชน์ ให้กับผู้ที่เขากำลังฝึกฝนการวางเฉยอยู่ น่ะเจ้าค่ะ
-- เขาจะได้ทำถูกต้องตามวิธี ที่ถูกตามหลักธรรม อย่างแท้จริง.. เจ้าค่ะ
ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
สาธุ