พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 13 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 339 **สายการปฏิบัติของพระอรหันต์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงเรื่องขององค์พระอรหันต์ในแต่ละสาย น่ะเจ้าค่ะ
ลูกก็พอจะได้ศึกษาถึงแนวทางที่จะทำให้แต่ละดวงจิต ที่ตั้งใจจะเป็นองค์พระอรหันต์นั้นได้รู้แนวทางแล้ว เคล็ดลับที่จะฝึกฝนตนเอง ให้เป็นองค์พระอรหันต์ได้ง่ายขึ้น ไวขึ้น ก็ได้เรียนรู้ศึกษาแล้ว..
ทีนี้ลูกก็เลยสงสัยในเรื่องของสายแต่ละสาย ของการเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน ขององค์พระอรหันต์แต่ละสาย น่ะเจ้าค่ะ
องค์พระอรหันต์นั้น ท่านมีกี่สายในการเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงตั้งใจฟังไว้ให้ดี ทำจิตใจของตนนั้น ให้สงบ ให้ว่างเสียก่อนนะลูก
วางมือทั้ง 2 ข้าง เอาไว้ที่หัวเข่า
น้อมพลังพุทธบารมีที่สว่างไสว ที่เย็น เข้าไปสู่ฝ่ามือซ้าย และฝ่ามือขวา
น้อมพลังเย็น เติมที่ศูนย์กลางกาย
น้อมพลังเย็นผ่านที่ศีรษะ ลงไปสู่ศูนย์กลางกาย
ให้ตัวของลูกนั้น มีพลังของสมาธิสักเล็กน้อยก็ยังดี..
การฟังธรรม เราต้องฟังด้วยสมาธิ ต้องฟังด้วยสติ
จิตใจของเรา จะได้มีปัญญาพิจารณาตาม รู้ตาม จะได้ไม่มีคลื่นรบกวน
พระยาธรรมเอ๋ย.. การฟังธรรมนะลูก คือการค้นหาสิ่งที่มันซ่อนอยู่ในตัวของเรา ซึ่งตัวของเรานี่นะลูก มันมีเยอะแยะมากมายเลยที่ซ่อนอยู่ในนี้ หลายเรื่องหลายราว มีสิ่งมากมายที่รุมล้อมรุมเร้ากันอยู่ในร่างกายของเรา อยู่ในจิตใจของเรา อยู่ในสภาวธรรมในตัวเราเนี่ยลูก มันมีมากมายซับซ้อนสับสนวุ่นวาย
ถ้าเกิดว่าเราจะฟังธรรม เพื่อที่จะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในนี้ เราจึงควรที่จะทำให้ความวุ่นวายต่างๆเหล่านั้น สงบลงเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆมาแบ่งแยก ทีละสิ่งทีละอย่างในตัวเรา แยกมันออกตามเสียงธรรมที่ได้ยิน
... ลูกจึงจะสามารถทำความเข้าใจในตัวในตนของลูกได้..
หากมิฉะนั้นแล้ว.. กิเลสก็จะป่วน ทิฐิก็จะป่วน ก็จะปิดกั้น
ความฟุ้งซ่านก็จะวุ่นวาย จิตใจก็จะร้อนรุ่ม ร่างกายก็จะเจ็บปวด
มันมีแต่สิ่งตัดรอน เหตุตัดรอน..
ความจริงที่มันมีอยู่ในตัวของลูกนั้น..ก็จะไม่ปรากฏ ฟังธรรมไปก็จะไม่เข้าใจ
ต่อให้จะเป็นธรรมดีขนาดไหน ก็เข้าไม่ถึงจิตใจหรอกลูก
-- เพราะทิฐิความวุ่นวายความฟุ้งซ่าน สิ่งเหล่านี้มันปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว มันมีแต่ความเจ็บความปวดในร่างกาย มีแต่ความรุ่มร้อน เร่าร้อน วุ่นวาย กระแสแห่งวิบากกรรม กิเลสเหล่านั้นครอบงำ --
... มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไรเลย ในการฟังธรรม..
เอาละนะ พระยาธรรม.. ไม่ต้องเร่งรีบในการฟัง ปรับจิตปรับใจของตน ให้มันสงบเสียก่อนเถิดลูก
การฟังธรรมน่ะ พระยาธรรม.. ต้องไม่เร่งรีบ ต้องไม่ได้อยากรู้หรือไม่อยากรู้
แต่ต้องปล่อยจิตปล่อยใจให้ว่าง แล้วมีสติกับเสียงธรรมว่า ตอนนี้ฟังธรรมเรื่องนี้อยู่
และมีหน้าที่ก็คือ น้อมเอาธรรมนั้นไปพิจารณาตาม
ไม่ต้องคิดว่าเมื่อไหร่จะจบ ไม่ต้องคิดว่า ทำไมแสดงนานจังเลย
...ไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น..
ทำเอาแบบว่า มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระธรรมที่ได้ยินนี้แล้ว มันจะนาน หรือว่าจะเป็นแบบไหน ก็จะพิจารณาให้ลึกเข้าไปเรื่อยๆตามเสียงธรรมที่ได้ยิน.. เพื่อเห็นแจ้งตามความเป็นจริง
-- บุคคลที่ฟังธรรม โดยทำเช่นที่กล่าวมานี้ - ย่อมได้ประโยชน์ในการฟัง ++
บุคคลผู้ที่ไม่ตั้งใจฟัง หรือมีแต่ความเร่งรีบ
สักแต่ว่าฟังไปให้มันผ่านไป ให้มันจบไป เหมือนลมผ่านหู เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ลมที่มันพัดผ่านไปมาเท่านั้น ไม่เก็บไม่จำ ไม่รู้จักเอาไปตรึกตรอง ค้นหาความเป็นจริง - มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร !
ต่อให้มีผู้ประเสริฐขนาดไหนลงมานั่งอยู่ตรงหน้า เทศน์ธรรมะให้ฟัง ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ! เพราะตนนั้นปิดฝาแห่งตน เพราะตนนั้นดื้อ ไม่ยอมรับ
- ด้วยกิเลส ด้วยกรรมวิบาก ด้วยทิฐิ ด้วยความฟุ้งซ่าน -
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ลูกจงจำธรรมนี้ไว้เถิด.. แล้วนำธรรมนี้ไปเผยแผ่ เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนที่ตั้งใจว่าจะฟังธรรมนั้น ได้ทำความเข้าใจในวิธีของการฟังธรรม ให้มันได้เรื่อง ฟังธรรมให้มันเข้าใจ
เอาละนะ พระยาธรรม.. เมื่อจิตใจสงบแล้ว ก็จงฟังธรรมที่เธอถามมา
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์นั้น มีรูปแบบของการประพฤติปฏิบัติมากมาย ตามจริตของแต่ละคน ตามดวงจิตแต่ละดวง ที่เขานั้นมีกิเลสมาแบบไหน มีกรรมมาแบบไหน / ที่เขานั้นมีความเหมาะสม หรือสะดวกกับการประพฤติปฏิบัติ ในรูปแบบไหน..
หนทางที่จะไปสู่พระนิพพานนั้น มันไม่ได้จำกัดว่า จะต้องมีทางใดทางหนึ่งเท่านั้น
แต่จงทำความเข้าใจว่า..
* การไปสู่พระนิพพาน ก็คือการทำกิเลสของตนให้ดับให้สิ้น ทำกรรมของตนให้หมดให้สลายไป - ตนก็จะสามารถเข้าถึงพระนิพพาน *
ฉะนั้น.. แต่ละบุคคลย่อมมีเส้นทางชีวิตของตนเอง ที่ตนนั้นเวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏสงสารนี้ คิดต่าง ทำต่าง
อาจจะเหมือน แต่มันก็มีความไม่เหมือนซ่อนอยู่ในความเหมือน
อาจจะไม่เหมือน แต่ก็มีความเหมือนซ่อนอยู่ในความไม่เหมือนอีก
.. เพราะเชื้อกิเลสก็คล้ายกัน
จิตก็เหมือนกัน เกิดแล้วก็ตายเหมือนกัน คิดแล้วก็ทำเหมือนกัน ทำดีทำชั่ว
แต่ความละเอียดที่ซ่อนอยู่ในการกระทำ ความนึกคิดนั้น - มันก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกันไป..
ซึ่งก็เป็นเหตุของแนวทาง ชีวิตแต่ละดวงจิต ที่มันมีเหตุที่แตกต่างกันซ่อนอยู่ในความไม่แตกต่าง แล้วก็มีสิ่งที่ไม่แตกต่าง ซ่อนอยู่ในความแตกต่าง
- จึงกลายเป็นเส้นทางชีวิตของแต่ละคน...
เอาง่ายๆนะ พระยาธรรม..
เมื่อเราวนอยู่ในวัฏสงสารนี้ เราก็เดินตามเส้นทางที่เราสร้างเราทำมา แต่ละคนมีเส้นทางแต่ละเส้น
-- เมื่อจะไปสู่พระนิพพานก็แค่ทวนกลับตามเส้นทางที่ตนมา หันกลับคืน ++
การไปสู่พระนิพพานนั้น คือ การดับเส้นทางที่ตนมา
การไปในวัฏสงสาร คือ การที่ชักใยแมงมุมของตนเองไปเรื่อยๆ ยาวออกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไรที่จิตดวงใด คิดว่าจะไปสู่พระนิพพาน ก็ต้องทวนกลับตามใยแมงมุมที่ตนได้ชักเอาไว้นั้น ทวนกลับไปเรื่อยๆ กลับไปจนไม่เหลืออะไร
-- จนมันดับสูญสลายไปจากใยแมงมุมที่ได้สร้างได้ทำ คือกรรม ผลของกรรม เหตุของการสร้างกรรม คือกิเลสตัณหา สิ่งเหล่านั้นดับสิ้นเมื่อไหร่.. ก็ถึงซึ่งพระนิพพาน ++
ฉะนั้น.. จะจำกัดให้มันแน่นอนเลยทีเดียว ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนี้ซะทีเดียว อย่างนั้นก็ไม่ได้.. เพราะเส้นทางของชีวิตแต่ละคน แต่ละดวงจิตที่ทำมาที่ดำเนินมามันแตกต่างกัน !
ฉะนั้น.. เราฟังพิจารณาแล้ว เราก็ควรที่จะตรึกตรองดู ค้นหาดู เส้นทางแห่งตนว่า ตนนั้นได้ชักใยแมงมุมมาแบบไหน และต้องกลับไปยังไง
โดยรวมก็คือหมายความว่า.. จิตทุกดวงอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนกัน ในทุกๆคน โดยความละเอียดอ่อนของแต่ละคน.. ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเลยซะทีเดียว
แต่ทีนี้.. ก็ได้แบ่งเอาไว้ เป็นสายหลักๆไว้ 4 สาย คือหมายถึงว่า ต่อให้ลูกจะฟังเรื่องของพระอรหันต์ 4 สายนี้ - ลูกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเหมือนสายใดสายหนึ่ง อย่างตรงเป๊ะ หรือว่าเหมือนอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเหมือนกับสายนั้น สายนี้
มันก็อาจจะมีความละเอียดอ่อนเฉพาะตัวของลูกเอง - ที่ลูกนั้นต้อง
ดับกิเลสที่ตัวลูก
ดับอัตตา
ดับกรรม
ดับการเกิดของตัวลูกเอง
... ที่อาจจะมีความละเอียดอ่อนที่แตกต่างนอกเหนือจากนี้บ้างเล็กน้อย ตามเหตุปัจจัยอันสมควร..
ซึ่งการที่เราจะดับกิเลสแห่งตน เพื่อเข้าสู่พระนิพพานนั้น ย่อมแน่นอนว่า.. เราต้องทำที่ตนทำที่เส้นทางของตน
แต่ที่หยิบยกมา 4 สายนี้ ก็เพื่อที่จะเป็นตัวอย่าง เป็นรูปแบบที่จะนำมายึดถือ หรือว่าเป็นแบบอย่างหลักในการฝึกฝนตน หรือทำความเข้าใจตน จำแนกแยกออกมาเป็น 4 สาย เพื่อที่จะง่ายต่อการพิจารณาจิตของลูกทั้งหลายมากขึ้น กว่าการที่ไม่ได้จำแนกแยกออกมา เพราะการที่ไม่จำแนกแยกออกมา อาจจะกว้างเกินไป กว้างเกิน..จนลูกนั้น จะเกิดการสับสนวุ่นวาย
จึงแยกออกมาเป็น 4 สาย
ซึ่งแต่ละสายนั้นก็อาจจะมีสิ่งที่มันเป็นปลีกย่อย หรือว่าเป็นความละเอียดอ่อนที่ย่อยไปอีกตามดวงจิตแต่ละดวง ตามเส้นทางของแต่ละเส้นแต่ละสายที่ได้สร้าง ได้ทำกรรมดีและกรรมไม่ดี ที่เชื้อกิเลสเหล่านั้นส่งผลมาให้เป็นไป เดินกลับไปตามทางที่ตนทำเอาไว้..
มีขยะไว้มาก ก็เก็บทิ้งเสีย ให้ออกจากชีวิตแห่งตน ลบล้างมันไปเสีย
มีสิ่งที่ดี ก็ให้ระลึกรู้ว่า สิ่งที่ดีที่ละเอียดประณีตเหล่านี้ มันมีเพียงแค่หลอกให้เราติดอยู่ในนี้ ก็โยนมันทิ้งไป
ลบทุกสิ่ง ล้างทุกอย่างตามทางที่ตนมา เพื่อไปสู่พระนิพพาน
พระยาธรรมเอย.. และที่แยกเอาไว้เป็น4 สายนี้ ก็เพื่อที่จะได้ตรงตามกับเส้นทางของแต่ละเส้นที่เป็นเส้นหลัก เราอาจจะเดินข้างๆเส้นหลัก หรือวนเข้ามาในเส้นหลักทั้ง 4 เส้นนี้ วนออกไปเพราะออกไปเพราะว่ามันตามกรรมของตน วนออกนอกทางเล็กน้อยแล้ววนกลับเข้ามาก็ได้ อย่างน้อยก็มีทาง 4 เส้นนี้เป็นหลัก ให้เรายึดตาม เดินตาม ให้เรานั้นใช้เป็นหลัก ในการที่จะเดินต่อไป..
อย่างทางสายกลาง ทางสายกลางก็คือ ใช้เป็นหลักโดยไม่ยึดติด ตึงเป๊ะเกินไป จนตนสับสน เมื่อมีบางสิ่งไม่ค่อยจะเหมือนตน
หย่อนเกินไป ก็คือ อาจจะไม่มีแนวทางให้ดูเลย เราต้องขวนขวายหาเอง
.. จนมันเป็นทุกข์จนมันกลายเป็นสิ่งที่วุ่นวายเกินไปจนทำไม่ถึง เข้าไม่ถึง
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จึงแยกออกมา เป็น 4 สายนี้เอาไว้
และการแยกออกมาเป็นสายหลักแต่ละสายนี้ ก็เพื่อที่จะให้ดวงจิตทั้งหลาย ได้พิจารณาตรึกตรองดู ตามเชื้อกิเลสแห่งตน ที่ได้สร้างได้ทำเอาไว้ / ตามกรรมของตนที่ได้สั่งสมเอาไว้ ในรูปแบบต่างๆ
เพราะการทำความดี ก็มีความดีหลายอย่างให้ทำ
การทำความชั่ว ก็เช่นเดียวกัน ก็มีมากมายในการทำเหมือนกัน
ฉะนั้น.. องค์พระอรหันต์ อาจจะได้
สร้างความดีมาก โดยการทำสมาธิ
สร้างความดีมาก ด้วยการทำกรรมฐานในแต่ละกองที่แตกต่างกันไป
ได้สร้างความดี ด้วยการเติมสติ เติมปัญญามากโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆ
.. อย่างนี้เป็นต้น
กรรมทั้งหลาย การกระทำทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายที่เล็กๆน้อยๆเหล่านั้น.. มันจะสั่งสมมา เป็นเส้นทางของดวงจิตแต่ละกลุ่ม ซึ่งรูปแบบอาจคล้ายกัน แบ่งออกมาเป็น 4 กลุ่ม
แต่ว่าความละเอียดมันก็จะแตกต่างกันไปอีก
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ที่เป็นเหตุแห่งการแยกสายมาเป็น 4 สาย
แยกก็เพื่อให้ลูกทั้งหลายนั้น.. ได้มีเส้นทางหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติ
และถ้าเกิดว่ามีความแปลกแตกจากเส้นทางนี้เล็กน้อย ก็ไม่ต้องคิดอะไร ขอเพียงแค่ดูที่จิตที่ใจของตนว่า.. ตนนั้นดับกิเลสได้หรือเปล่า ดับกรรมได้หรือเปล่า
สามารถยกจิตแห่งตนให้พ้นจากความทุกข์ได้หรือเปล่าเท่านั้นละ.. พระยาธรรม
พอจะเข้าใจบ้างแล้วหรือยัง ธรรมที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น..
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
องค์พระอรหันต์นั้น ท่านก็คือมีหน้าที่ ทำให้กิเลสของท่านสิ้นไป ดับการเกิดของตัวท่านเอง ซึ่งคนเรานั้นมันก็จะมีการสร้างกรรมที่ดี และชั่วมาแตกต่างกัน เรียกว่าเป็นหนทางของแต่ละคน การวนอยู่ในวัฏสงสาร คือการสร้างเส้นทางให้ทอดยาวออกไปเรื่อยๆ จนวกวนสับสนวุ่นวาย จนว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด
การที่เราจะเป็นองค์พระอรหันต์ หรือไปสู่พระนิพพาน ก็คือทวนกลับตามทางเส้นนั้น และลบล้างทางเส้นนั้นให้มันหายไป - ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกัน
แต่พระพุทธองค์ได้จำแนกออกมาเป็น 4 สาย เพราะว่ามันจะได้เป็นหลักในการยึด แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าจิตของเราจะต้องเหมือนสายนี้ หรือสายนั้นตรงเป๊ะ ตามที่พระองค์ได้แสดงเอาไว้ อาจจะแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องผิด
.. ขอเพียงแค่ เรานั้นดับกิเลสในตัวเราได้ก็พอ และเราก็เอาลักษณะคล้ายกันก็พอ - ไม่จำเป็นต้องเหมือนทั้งหมด..
ที่แบ่งแยกไว้ ก็เพื่อให้พวกลูกทั้งหลาย ไม่สับสน เพราะมองในมุมที่กว้างเกินไป กว้างจนไม่อาจยึดสิ่งใดเป็นหลักได้ จึงไม่สามารถเข้าใจ
ท่านจึงแยกไว้ให้เป็น 4 สาย ของการเดินเข้าสู่พระนิพพานที่เป็นสายหลัก
แต่เราก็สามารถที่จะเทียบว่าเราอยู่ประมาณสายไหน.. แล้วเราก็สามารถปฏิบัติตามแนวทางคล้ายคลึงกับสายนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องเหมือนทั้งหมดก็ได้ +
ที่จำแนกแยกไว้ก็เพราะว่า ดวงจิตทั้งหลาย มีเชื้อแห่งกิเลส และกรรมที่แตกต่างกัน เมื่อจะทวนกลับมันก็เลยต้องมีหนทางที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
.. เข้าใจอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ลูกเข้าใจแล้วว่า พระอรหันต์มีกี่แบบ มีกี่สาย
แยกเพราะอะไร ทำไมต้องแบ่งแยก
และเราจะต้องประพฤติปฏิบัติตามแบบไหน จึงจะถูกต้องตามหลักธรรมที่แท้จริง
ไม่ยึดหลักจนตึงเกินไป ไม่อ่อนจนเกินไป จนว่าเรานั้นน่ะไม่มีหลัก จนสับสนวุ่นวาย
.. เข้าใจอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ
ไว้วันพรุ่งนี้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมเรื่องของพระอรหันต์แบบที่ 1 หรือสายที่ 1 ในสายต่างๆ ไล่ไปจนครบ 4 สาย ตามที่พระองค์ทรงเมตตาชี้ทางมา นะเจ้าคะ
.. ลูกจะได้รู้ว่า มันมีทาง 4 ทาง แต่ทาง 4 ทางนั้น มันเป็นยังไงบ้าง น่ะเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคงต้องขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้จะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ