พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้ากราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าทูลถามธรรม ในเรื่องของ *สมาธิ*
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้ทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถาม ถึงเรื่องของ *ฌาน4*, *ฌาน 5* ของพุทธสาวก
และของจิตที่มีความปรารถนาที่จะบำเพ็ญมาตรัสรู้ คือ จิตปรารถนาเป็นพุทธภูมิ *ฌาน 5* น่ะเจ้าคะ
ได้ศึกษาทั้งสองฌานนี้แล้ว ซึ่งอยู่ในลักษณะของฌานมีรูป ทั้ง 4 ฌาน, 5 ฌาน
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา อธิบาย ให้ลูกได้เข้าใจด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ
ว่าเมื่อเราศึกษาบำเพ็ญ จนได้*ฌาน 4* , ได้*ฌาน 5* นี้มาแล้ว
-- เราจะนำมาทำให้เกิดประโยชน์อย่างไรแก่ตัวของเรา เพื่อจะได้สำเร็จมรรคผล น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาด้วย เจ้าค่ะ “
พระยาธรรมเอ๋ย.. จงตั้งใจฟังไว้ให้ดี นะลูก
ฌาน 1-4 / ฌาน 1- 5 / ฌานมีรูป.. ที่ได้ศึกษาบำเพ็ญมาแล้วนั้น - จะมีประโยชน์แก่ผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติตาม จนสำเร็จ อย่างนี้ลูก..
เมื่อบุคคลผู้ใดก็ตาม - ที่ไม่มีสมาธิเลย..
-- ย่อมไม่สามารถทำให้จิตของตนสว่าง
-- ย่อมไม่สามารถ รู้แจ้งตามความเป็นจริงของคำว่า ชีวิต.. ลูกเอ๋ย
-- ย่อมต้องถูกกิเลสและตัณหา ปกคลุม ปิดบังความจริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราทั้งหลาย ศึกษาบำเพ็ญ ทำสมาธิ ในฌาณมีรูป ทั้ง 4 ฌาน
ในฌานมีรูป ทั้ง 1-5 ของผู้ที่มีความปรารถนาพุทธภูมิ ก็ตาม
เมื่อเราบำเพ็ญในฌานมีรูป จนสำเร็จแล้ว..
-- เราก็จะได้นำเอาผลของสมาธินั้น มาตรึกตรอง มาทบทวน หาความจริงที่ซ่อนอยู่ในชีวิต **
คำว่า ชีวิตที่เราเห็น..เห็นแต่เพียงเปลือกภายนอกว่า นี่คือ ตัวของฉัน ชื่อของฉัน ของของฉัน
เห็นด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริง
เห็นด้วยความยึดติด ลุ่มหลงในสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย
แล้วก็คิดว่า นั่นก็คือ ความจริง !
เมื่อเราได้พลังของฌานมา เราจะมาค้นหา สิ่งที่มันอยู่เบื้องหลังคำว่า “ชีวิต”
หรือว่า สิ่งที่มันซ่อนอยู่ ในคำว่า ชีวิต
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเรามีสมาธินิดนึง - เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงของชีวิตแค่นิดหนึ่ง
เมื่อเราสามารถบำเพ็ญจนถึง ฌาน 4 – กำลังของเรา ที่จะส่องสว่างให้เรามองเห็นความเป็นจริง ก็จะสว่างยิ่งขึ้น.. ลูก
ฉะนั้น.. การทำสมาธิ ในรูปแบบของสมาธิ ในรูปแบบของสมาธิมีรูป - ทุกฌาน
ก็เพื่อให้เราเอากำลังตรงนั้น มาส่องให้สว่าง
ให้รู้ การเวียนว่ายตายเกิด
ให้รู้ กฎแห่งกรรม
ให้รู้ กฎของความไม่เที่ยงแท้
ให้รู้จัก กิเลส และตัณหา คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง / ความอยาก และความไม่อยาก
ให้รู้แจ้งในสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้ ลูก
เพื่อเราเอง ก็จะได้เข้าใจตามความเป็นจริง.. ลูกเอ๋ย
ทำบาป แล้วเจอกับอะไร ?
กฎแห่งกรรมจะปรากฏชัดเจนแก่เรา “ผู้มีฌานสมาธิ”
เมื่อทำดีแล้วได้อะไร
กฎแห่งกรรมเหล่านั้น ก็จะสะท้อนให้เราเห็นได้ อย่างชัดเจน
ลูกเอ๋ย.. สมาธิ ใน 4 ฌาน 5 ฌาน ที่เป็นฌานมีรูปนี้ มีผลคือ การช่วยให้เราเป็นผู้รู้แจ้ง เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ไงลูก
เมื่อเราศึกษา บำเพ็ญ จนสำเร็จถึงฌาน 4 ก็ถือว่าเป็นผู้มีกำลังสมาธิ ที่หนักแน่น
... เราจึงเอากลับมาค้นหาความจริง..
โลกแห่งจิตวิญญาณ มีจริงหรือเปล่า ?
การเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด ในภพในชาติ มีจริงมั้ย ?
การทำบาป ต้องตกสู่อเวจี จริงหรือเปล่า ?
การสร้างความดี จะได้ขึ้นสวรรค์ จริงหรือเปล่า ?
คนที่เขาสร้างบุญ - ชีวิตเขาจึงดี
คนที่สร้างบาป - ชีวิตเขาจึงไม่ดี
.. จริงหรือเปล่า ?
ลูกเอ๋ย.. แล้วก็พิจารณาให้ลึกกว่านั้นอีกว่า..
แล้วในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ - มันเที่ยงแท้หรือเปล่า ?
ไอ้ที่มันวนไปวนมา วนไปแล้วก็วนกลับเหล่านี้ - มันได้ประโยชน์อะไร ?
มองให้เห็นความจริง ของการเวียนว่ายตายเกิด / ให้เห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ ในวัฏสงสารนั้นลูก
ไม่ว่าจะเป็นคนที่บำเพ็ญ แล้วเกิดสติปัญญา - ไม่มีความเป็นทิพย์
ก็สามารถรู้ได้ ด้วยจิตที่ถูกขัดเกลาแล้ว / ด้วยพลังของสมาธิ
** ย่อมเป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริง **
ผู้ที่บำเพ็ญแล้ว สามารถเกิด การรู้เห็นในความเป็นทิพย์
ก็จะสามารถที่จะใช้ปัญญาตรงนี้ ไปศึกษาเบื้องหลังของชีวิต ให้เราเข้าใจอย่างแท้จริง ไงลูก
กรรมฐานในฌานมีรูป จึงมีไว้ให้ทุกคน เอาไปค้นหา “สิ่งที่เป็นจริง”
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น เมื่อได้ฝึกสมาธิแล้ว - ก็จงนำไปทำให้เกิดประโยชน์เช่นนี้ เถิดลูก..
* จงนำไปพิจารณากฎแห่งกรรม เพื่อตนจะได้รักษาศีลได้ ไงลูก
เมื่อตนเข้าใจกฎแห่งกรรม - ตนก็จะรักษาศีลได้
* จงนำไปพิจารณา ให้เข้าใจว่าการรักษาศีลข้อนี้ ปรากฏสิ่งใดแก่ตน ?
จงนำไปพิจารณา
-.ให้เห็นความน่ากลัวของ การเวียนว่ายตายเกิด
- เห็นความน่าเบื่อหน่ายในภพในชาติ
- เห็นสิ่งที่สวยงาม ละเอียดประณีต อยู่ในโลกทิพย์ - เป็นของไม่เที่ยงแท้
จงพิจารณาให้รู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายเถิดลูก
แล้วลูกก็จะได้ประโยชน์อันสูงสุด จากการทำสมาธิ จนสำเร็จในฌานมีรูปทั้งหมด.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเราปฏิบัติจนเราได้ฌาน 4 จุดมุ่งหมายเดียว และที่ถูกต้อง
ก็คือ การนำเอาผลที่ได้ มาจากการฝึกสมาธิ จนเข้าถึงฌานมีรูป ทุกฌานนั้น
นำมาเพื่อที่จะได้รู้แจ้งในวัฏสงสารนี้เท่านั้น…
ถ้าเกิดว่าเราได้แล้ว เราเกิดความลุ่มหลง ว่าเราได้ฌาน มีฤทธิ์มีเดชบ้าง มีญาณรู้บ้าง
เราลุ่มหลงแบบนั้น ก็ไม่ถูกทางสิเจ้าคะ
พระยาธรรมเอย.. ก็เป็นอย่างนั้นแหละลูก ของทุกอย่าง ก็มีทั้งคุณและโทษ !
เมื่อเราเลือกที่จะนำมาทำในสิ่งที่มีคุณ - ก็ย่อมมีคุณกับเรา และมีประโยชน์มาก
เมื่อเราเลือกที่จะนำมาทำในสิ่งที่มีโทษ - ก็ย่อมเกิดโทษกับเราได้มาก ลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น ทุกคนที่ฝึกสมาธิ - ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเอาไปทำในสิ่งที่ไม่ดี..
เพราะว่า มันจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย - มีแต่โทษที่จะตามมา อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย..
* ถ้าทำถูก ก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาล
* ถ้านำไปใช้ผิด ก็ย่อมเกิดโทษได้มากมาย
การทำความผิดนะลูก ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกลูก !
-- มีแต่เสียเวลา แล้วก็ต้องมาเริ่มต้นทำใหม่อยู่ดี..
... เพราะว่า มันผิด ก็ต้องลบใหม่ ต้องเริ่มใหม่อยู่ดี
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ลูกทั้งหลาย ก็จะตั้งใจนำเอาผลของสมาธิที่ได้มาแล้ว..
นำไปพิจารณาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง ของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก
ไม่ว่าจะ..
เป็นการเวียนว่ายตายเกิด
เป็นภพเป็นภูมิ ที่อยู่เบื้องหลังชีวิต..
หรือเป็นเชื้อของรัก โลภ โกรธ หลง ที่ซ่อนอยู่ในชีวิต
เป็นกรรมวิบากที่ดี
เป็นกรรมวิบากที่ไม่ดี
หรือเป็นผลกรรมที่ดี
ลูกทั้งหลาย.. ก็จะนำไปพิจารณาให้เห็นแจ้ง ตามความเป็นจริง เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกได้เข้าใจแล้วว่า..
* ฌานมีรูป * - ฝึกเพื่อรู้แจ้งตามความเป็นจริง ของสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่ซ่อนอยู่ในคำว่า ชีวิต ให้เข้าใจโลก เข้าใจจักรวาล
เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ทีนี้ แล้วฌานที่ไม่มีรูปล่ะเจ้าคะ
เราจะใช้ฌานเหล่านั้น เพื่อทำอะไร ?
และทำไมต้องฝึกฌานเหล่านั้น ?
ฌานเหล่านั้น เกิดประโยชน์อะไรกับเราหรือเจ้าคะ ?
เราจะนำฌานเหล่านั้น มาทำประโยชน์อะไรแก่เรา ล่ะเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฌานมีรูป ก็เพื่อให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ฌานไม่มีรูป 4 ฌานนั้น ก็เพื่อให้ละความเป็นจริงนั้นเสีย.. ก็เท่านั้นแหละลูก
4 ฌาน “มีรูป” - สอนให้เรารู้แจ้ง เข้าใจ
แต่ 4 ฌาน “ไม่มีรูป” - สอนว่า เมื่อเรารู้แจ้ง และเข้าใจแล้ว ก็ให้วางความรู้ วางความเข้าใจแล้ว
...วางทุกสิ่งที่เห็น ที่ได้มาทั้งหมด เพื่อสลายสู่สิ่งที่ไม่มี
ลูกเอ๋ย.. ก็ไม่ต่างอะไรจากกรรมฐาน 2 กอง - ของ ** สัมมาสัมพุทธะ ** ที่ได้สอนไปแล้ว ไงลูก
*กองที่ 1* เพื่อให้พิสูจน์ธรรมคำสอน รู้แจ้ง ตามความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ไงลูก
ส่วน *กองที่ 2* ก็คือ การฝึกว่าง - ว่างทั้งข้างนอก / ว่างทั้งข้างใน
ว่างในทุกสิ่งและทุกอย่าง คือ ไม่มีไงลูก
ฝึกวาง - วางในสิ่งที่เห็นมา..ทำให้มัน “ไม่มี”
พระยาธรรมเอย.. ฌานไม่มีรูป ก็ไว้เพื่อสลายไงลูก สลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็เมื่อเราไม่รู้ เราก็ได้ฝึก *ฌานมีรูป* จนเรารู้
เมื่อเรารู้แล้ว เราก็ฝึก *ฌานไม่มีรูป* - เพื่อที่จะได้ดับความรู้แล้ว..
และดับทุกสิ่งทุกอย่างที่มี / ที่สมมุติว่ามีทั้งหลาย ลูก
เพราะบางทีเมื่อเราฝึกแต่สิ่งที่มี – เราอาจเกิด ตัวยึด ตัวเกาะ สำหรับในสิ่งที่มีนั้น..
เห็น - ก็ไปติดอยู่ในสิ่งที่เห็น
รู้ - ก็ไปติดอยู่ในสิ่งที่รู้
เข้าใจ - ก็ไปติดอยู่ในสิ่งที่เข้าใจ
ฉะนั้น.. การไม่มี หรือ *ฌานที่ไม่มีรูป* - จึงเป็นสมาธิ ที่ฝึกให้ทุกคน ละวาง อย่างแท้จริง **
เพื่อจะได้เข้าสู่ “ความไม่มี” ได้ลูก
ก็เมื่อเราเรียนจบ รู้แจ้งแล้ว -- เราก็ต้องเดินออกจากกรงที่เราเรียนจบนั้นด้วย จึงสำเร็จ
เมื่อเข้าใจในทุกสิ่ง - เราต้องวางทุกสิ่งนั้น.. เพื่อเดินจากไป..
*ฌานไม่มีรูป* คือ สิ่งที่จะนำพาให้จิตของเราหลุดออกไปจาก “ความมี” ทั้งหลาย
มีทั้งดี ทั้งไม่ดี - ออกจากโลกสมมุตินี้ไป…
*ฌานไม่มีรูป* - จึงเป็นสิ่งนำพาให้เรา เข้าสู่พระนิพพาน ดับการเกิดได้ ไงลูก
เพราะว่า เราได้สลายทุกสิ่ง และทุกอย่างแล้ว..
เรียนรู้ เข้าใจในวัฏสงสารนี้ ด้วย *ฌานมีรูป* แล้ว
-- ก็อาศัย *ฌานไม่มีรูป* ออกจากที่นี่ไป !
.. อย่างนั้นละ พระยาธรรมเอย..
พระยาธรรม :: อ๋อ เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่เราจะได้ฌานไม่มีรูป เราต้องได้ฌานมีรูปก่อน
อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
เราจะได้เรียนจบในสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วเราค่อยไปสลาย
เพราะถ้าเกิดว่า อยู่ๆเราไม่มีฌานมีรูปเลย แล้วเราก็จะสลายไปเลย..
.. มันจะทำได้หรือเปล่า เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. การที่เราจะเข้าถึง “ความไม่มี” -- เราต้องรู้ก่อนสิ ลูก ว่าทำไมมันต้องไม่มี ?
จิตดวงใดก็ตาม ลูกเอ๋ย.. ถ้าไม่รู้แจ้งเข้าใจใน “ความมี” อย่างชัดเจน
ก็จะหาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมต้องไม่มี ?
-- สติไม่พอ / ปัญญาไม่เกิด - ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ++
อยู่ๆ บอกว่าไม่มี แล้วมันไม่มียังไง ลูก มันก็มีอยู่ !
สติและปัญญา กำลังของปัญญาไปไม่ถึง ก็ไม่สามารถที่จะทะลุได้ถึงคำว่า “ไม่มี”
โดยธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้.. ลูก
ฉะนั้น.. คนที่จะเข้าสู่ *ฌานที่ไม่มี* ได้ -- ต้องเรียนรู้ให้จบใน *ฌานที่มี* ก่อน
และทำสิ่งที่มีนั้นให้รู้แจ้งก่อน
เมื่อรู้แจ้งแล้ว และฝึกคำว่าไม่มี จะไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย..
และจะทำได้สำเร็จด้วย
แต่ถ้าเกิดว่า ยังไม่สำเร็จในสิ่งที่มี และทำให้รู้แจ้ง ในสิ่งที่มีนั้น
อยู่ๆ บอกว่า ไม่มี..
จิตนั้นเข้าใจไม่ได้ สติและปัญญารู้ไม่ครบ เรียนไม่จบ ย่อมมีข้อลังเลสงสัย
พลังของจิต ย่อมไม่ส่งให้ตนสามารถเข้า “สู่ความไม่มี” ได้ลูก
ฉะนั้น.. จึงควรฝึก 4 ฌานมีรูปเสียก่อน ให้เรียนจบ เข้าใจเสียก่อน
แล้วจึงค่อยฝึกอีก 4 ฌานที่ไม่มีรูป ลูก
พระยาธรรม อ๋อ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
ถ้าอย่างนั้น.. เราก็ต้องฝึกฌานมีรูปเสียก่อน
ส่วนฌานไม่มีรูปนั้น เราจะมีกำลังไปจากการที่เรา รู้แจ้ง
เข้าใจในฌานมีรูป
เข้าใจในวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด
เข้าใจความเป็นจริงทุกอย่างแล้ว
จึงสามารถมีกำลังจากตรงนี้ ไปช่วยให้จิตของเรา เข้าใจ เข้าถึง
การพิจารณาในการดับทุกสิ่งทุกอย่าง
- จึงจะดับตัวตนได้
- จึงจะดับสรรพสิ่งทั้งหลายได้
- จึงจะสามารถสลายเข้าสู่ ความไม่มีได้
... เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ :: ก็ดีแล้วหละ.. พระยาธรรม
ในความเป็นจริงนะลูก * สมาธิ * อาจจะดูว่ายุ่งๆ ยากๆ
แต่จริงๆแล้ว มันไม่ยุ่งอะไรหรอกลูก ถ้าเข้าใจ..
ฌานมีรูป - ฌานไม่มีรูป -- ก็เหมือนมีโลก 2 ใบ น่ะลูก
ใบหนึ่งเป็นโลกแห่งความไม่มี / ใบหนึ่ง คือโลกแห่งความมี
และเราก็ต้องฝึกในสิ่งที่มีนั้น
.. เพื่อเรียนรู้ให้จบในโลกที่มีนั้น และไม่สงสัยในมันอีกแล้ว..
เราก็ค่อยๆอาศัยสิ่งนั้น - ทำให้เราเกิดสติปัญญา รู้ทันทุกสิ่ง
... แล้วเลื่อนเข้าสู่โลกแห่ง “ความไม่มี”
เมื่อเราเข้าสู่โลกแห่ง “ความไม่มี”
เราก็จะได้ ใกล้สู่ **พระนิพพาน** ไงลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
เราสามารถฝึกฝนตนเอง ให้เข้าถึงสิ่งที่รู้แจ้ง ด้วยฌานมีรูป
ฝึกตนเอง ให้เข้าถึงสิ่งที่รู้แจ้งนั้นแล้ว
แล้วก็เอาความรู้แจ้งนั้น - ไปสลายสิ่งที่มี
.. เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แล้วฌานที่ไม่มีรูป 4 ฌานนั้น - เราจะฝึกยากหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้ารู้วิธี / ถ้ากำลังจิตถึง -- ก็ไม่ยากหรอกลูก
แต่ถ้าไม่รู้วิธี / กำลังจิตไม่ถึง -- ก็คงต้องยากหน่อย !
ฉะนั้น.. เมื่อเราฝึก เราก็ต้องฝึก *ฌานมีรูป* ให้ได้ครบ
ให้เรามีปัญญารู้แจ้งเสียก่อน..
-- แล้วเราค่อยไปฝึก *ฌานไม่มีรูป*
เมื่อเราทำตามขั้นตอน ธรรมชาติของขั้นตอน ก็จะพาให้เราเป็นไปตามเหตุของมันเองน่ะลูก
ก็เมื่อเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งในที่ดินที่ดี และเหมาะแล้ว เราได้ดูแลมันเป็นอย่างดีแล้ว..
... การเจริญเติบโตของมัน ก็ย่อมเป็นไปตามเหตุที่ทำไว้ดี นั้นแล้ว..
และความเป็นธรรมชาติของมันนั้น ก็ต้องโตขึ้น สูงขึ้น แตกกิ่งก้านใบ
.. ก็ต้องสูงใหญ่ขึ้น ตามกาลเวลาไปเรื่อยๆ และก็เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง.. มันจะงอกออกไปเรื่อยๆ
ก็เหมือนกันกับการที่เรา ฝึกทำความดี ฝึกทำสมาธิ ที่เราทำถูกต้องแล้ว ตามขั้นตอนแล้ว ดูแลมันอย่างดีแล้ว
มันก็ต้องเริ่มจากการก่อเกิดขึ้นมา.. ตามธรรมชาติของมัน ลูก
ได้ *ฌานมีรูป* ทั้ง 4 - นำปัญญานั้นไปพิจารณา รู้แจ้งในจักรวาล วัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด..
เมื่อรู้แจ้งแล้ว - เราก็นำเอาความไม่มีรูป หรือไปฝึกสมาธิที่ไม่มีรูป
มาช่วยสลายสิ่งเหล่านั้นไป.. ทิ้งไป เข้าสู่โลกแห่ง “ความไม่มี”
มันก็จะเกิดสภาวธรรมของมันไปเองเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ ลูก
และถ้าเกิดว่า เราคิดว่ามันยาก ต้องให้ถึงฌาน 4 เมื่อไหร่จะทำได้ เราก็ไม่ต้องคิด !
เราทำให้มันได้ฌาน 1 เสียก่อน
เมื่อได้ฌาน 1 แล้ว - ธรรมชาติ ก็จะพาให้เราเข้าสู่ฌาน 2 ได้
เมื่อเข้าฌาน 2 แล้ว 3 หรือ 4 - ก็จะตามมา...
เป็นตามเหตุของธรรมชาติของมัน คือ มันก็จะก่อเกิดตามเหตุของมันเอง
ก็เมื่อเราได้ฌาน 4 แล้ว ธรรมชาติของมัน ก็จะทำให้เรารู้แจ้ง เข้าใจในทุกอย่าง
เมื่อรู้แจ้ง เข้าใจในทุกอย่าง ก็เกิดการเบื่อหน่าย
เมื่อเกิดการเบื่อหน่าย เราก็จะปรารถนา หรือว่าจะเข้าสู่สภาวธรรมของความ “ ไม่อยากมี ” “ ไม่มี ”
เราก็จะสลายทุกสิ่งทุกอย่างไป ด้วยความไม่มี / ด้วยความว่าง
.. อย่างนั้นแหละลูก
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกเข้าใจว่า ถ้าเกิดว่าเราฝึกจนเรารู้แจ้งแล้ว -- เราค่อยฝึกความว่าง
มันจะทำให้เราดับกิเลสได้อย่างแท้จริง เพราะว่า เราเข้าใจแล้วในทุกอย่าง
และเราต้องการสลาย เพราะว่าเราละกิเลสทั้งหลายทิ้งไปแล้ว
แต่ถ้าเกิดว่า เราไม่ได้ฝึกจนเรารู้แจ้ง - เราไปฝึกตัวว่าง
ก็จะทำให้หลงไปอยู่ใน *นิพพานพรหม* !
ที่มันเป็นที่ทรงฌานเฉยๆ
หรือว่า กลายเป็นคนที่หลงฌานได้ อย่างนั้นหรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระพุทธองค์ :: ถูกต้องแล้วละลูก
ถ้าเกิดว่าเรา นำเอากำลังของสมาธิ ที่ได้มาพิจารณาดับกิเลส และสลายทุกอย่างด้วยจิตมุ่งมั่นต่อ **นิพพาน**
เราจะทำด้วยความมีสติ และปัญญา ลูก
เราย่อมเข้าถึงความดี คือ *มรรคผลนิพพาน* เป็นแน่แท้
แต่ถ้าเกิดว่าเรายังมีความหลง - หลงใน *ฌาน 4* แล้วเรามีกำลังฌานมาก
เพราะว่าทำสำเร็จในฌาน 4 แล้ว -- แต่ไม่ได้นำมาตัดกิเลส ทำให้รู้แจ้ง
เราแค่เอากำลังฌาน 4 ดับสิ่งที่มี.. สลายไป โดยการหลบเข้าไปอยู่ในสิ่งที่ไม่มี
ทั้งที่ไม่ได้ตัดกิเลส ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง อยู่
เราก็จะหลงไปสู่ *นิพพานพรหม* ที่ที่เป็นที่ทรงฌานเท่านั้น แต่ไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง !
... เมื่อหมดกำลังของฌาน - ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่
พระยาธรรม :: เข้าใจแล้ว เจ้าค่ะ
ทำสมาธิ ก็ต้องทำด้วยปัญญา
เมื่อได้มาแล้ว ก็ต้องเอามาตัดกิเลส
เมื่อตัดกิเลสแล้ว ดับความไม่มี - จึงสำเร็จนิพพาน
ถ้าทำด้วยความลุ่มหลง ได้มาแล้วลุ่มหลง แล้วก็ทำไปโดยที่ไม่ได้ใช้ปัญญา
ก็จะหลงไปสู่ * นิพพานพรหม *
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่เมตตา พระพุทธเจ้าค่ะ
แล้วไว้วันพรุ่งนี้ ลูกจะมาทูลถาม ถึงการปฏิบัติให้เข้าฌานไม่มีรูป ใน 4 ฌาน เจ้าค่ะ
ว่าเราต้องแบบไหน ยังไง เราต้องเริ่มแบบไหน ?
-- เราจึงจะสามารถเข้าสู่ *ฌานไม่มีรูป* ได้ ..
วันนี้ ก็พอเข้าใจในรูปแบบของสมาธิ ทั้ง 2 รูปแล้ว
มีทั้งในสิ่งที่มีรูป 4 ฌาน
หรือว่า สิ่งที่ไม่มีรูป 4 ฌาน
ก็พอเข้าใจผลที่ได้มา และนำไปใช้
เข้าใจประโยชน์ที่จะเกิด จากสมาธิทั้ง *8 ฌาน* นี้แล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
ขอบพระคุณพระพุทธองค์เจ้าค่ะ..
สาธุ