การปฏิบัติธรรม..
มิใช่การบังคับกายบังคับใจ
ให้อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
แต่เป็นเพียง รู้จิต รู้กาย..
ในทุกสภาวะไปอย่างธรรมชาติ
..เพราะเธอไม่รู้ว่า..
การเกิดมามีชีวิตนี้คือทุกข์
จึงหลงยึดถือทุกสิ่ง ทุกเรื่องของชีวิต
..ตัณหา..ความใคร่ ความอยาก
ความต้องการสิ่งต่างๆ
เพื่อให้มาเป็นของตน
คาดหวังอยากให้เป็นอย่างนั้น
ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้..
..เมื่อไม่สมอยากปราถนา..
จึงอึดอัดคัดข้อง รุ่มร้อน โกรธเคือง
หมองเศร้า ว้าเหว่ เงียบเหงา..
..จิตใจว้าวุ่น วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา..
นี้เรียกว่า บ้าหลง..
..องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้น
ก็เพื่อมาปราบความ..บ้าหลง..นี้
ให้หมดไปจากใจมนุษย์..
..แต่อนิจจา..มนุษย์บ้าหลง..
ส่วนมากปฏิเสธพระพุทธองค์..
และยินดีอยู่กับความบ้าหลงชั่วกัปป์ชั่วกัลล์
..คนมีลูก คิดว่าลูกเป็นของเรา..
จึงคาดหวัง อยากให้ลูกเป็นอย่างต้องการ
..อยากให้ลูกเป็น..คนดี ฉลาด เรียนเก่ง
ทำงานดีดี มีเงินทองร่ำรวย เชื่อฟังพ่อแม่ดูแลพ่อแม่..และอีกสารพัดอยากให้เป็น..
..ไม่อยากให้ลูกเป็น..คนไม่ดี เกเร โง่เง่า
ขี้เกียจ มีครอบครัวไม่ดี ไม่สนใจพ่อแม่..
และอีกสารพัดไม่อยากให้เป็น..
..เมื่อลูกไม่เป็น อย่างที่เราต้องการ.
และเป็น อย่างที่เราไม่ต้องการ..
..ก็ทุกข์ร้อน..ขึ้งเครียด..โกรธเคือง..
เศร้าหมอง..วุ่นวาย..วิตกกังวล..
เรียกว่า อกตรมขมไหม้ตลอดเวลา
..หากลูก..เป็นของเราจริง..
เราต้องควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไป
อย่างที่คิด อย่างที่คาดหวัง อย่างที่ต้องการได้ทุกสิ่งทุกอย่างสิ..ใช่ไหม??
..นี่..เธอหลงผิดแล้ว..หลงอยู่ในตัณหา
หลงอยู่ในความคิด..
..เมื่อเธอเกิดลูกมาแล้ว..
เธอก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูให้เขาเติบใหญ่
ให้ปัจจัยสี่..ให้ความรู้สติปัญญา..
ตามเหตุตามควรที่เขาจะดำรงชีวิต
อยู่ได้ในสังคมมนุษย์..ตามความสามารถ
ของเธอ..
..หน้าที่ที่สมควรของเธอเพียงนี้..
..นอกนั้นลูก..ซึ่งเป็นชีวิตของเขา..
เขาเจริญเติบโต ก้าวย่างไป..
..ด้วยจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด..ด้วยสัญชาตญาณ และสำนึก ของเขาเอง
..ถูกผิด ดีชั่ว สำเร็จ ล้มเหลว นั้น..
เราเป็นคนวัดตัดสินให้ค่า..ที่ความคิดเรา
แล้วเราก็..ดีใจ..เสียใจ..อยู่ที่ใจเรานั่น..
..ลูก..เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง..
ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเรา..
..อย่าเอามารวมกันว่า..
"ลูกคือหัวใจของพ่อแม่"
..แล้วเธอ จะทุกข์ใจไปตลอดชีวิต..
.ธาตุสี่ คงตัวอยู่ได้
ก็ด้วยการบำรุงจากธาตุสี่
..ธาตุสี่รวมตัวมีพลังได้..
ก็ด้วยการสนับสนุนพลังจากจิต
..จิตมีพลังก็ด้วยว่างจากการยึด
ในรูปธาตุและนามธาตุ..
..เป็นหนึ่งเดียว..เรียกว่า "เอกธาตุ"
..คนที่มีธรรมเป็นสรณะ กับคนทั่วไป..
มีความป่วย..ความเจ็บ..ความแปรปรวน
ความเสื่อมในทรัพย์..ความสูญเสียพลัดพรากจากคนรัก..ความชรา..ความตาย เหมือนกัน..
..แต่คนที่มีธรรมเป็นสรณะ..
ย่อมเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของธรรมดา
จึงไม่ยึด ไม่ผลัก ไม่ให้ค่า ไม่คาดหวัง
ไม่ชอบชังรังเกียจ..
..เห็นเวทนาในกายเป็นสิ่งไม่เที่ยง
รู้เวทนาในจิตเป็นความคิดปรุงเช่นนั้น
..จึงอยู่กับความเปลี่ยนแปลง..
ด้วยความโปร่งเบา..ไม่อึดอัดคัดข้อง..
..คนไม่มีธรรมเป็นสรณะ..
ย่อมทุกข์อยู่กับธรรมชาติเหล่านี้ร่ำไป
โปรดสังเกตุ!!
หากยังมี..
"ความพอใจ..ไม่พอใจ"
เมื่อสัมผัสรับรู้สิ่งที่ถูกรู้
ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
นั่นแสดงว่า..
"ยังยึดถืออยู่ในสมมุติ"
..เจริญธรรม..
"เรา..เป็นผู้นึกคิดจริงหรือ"(2)
ธรรมะแท้..
ไร้ความคิดปรุงแต่ง
ไร้ภาษาสมมุติ..ไร้เรื่องราวใดๆ
ไร้สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่มีใครสอนใคร..ไม่มีใครได้อะไร
จึงไม่มีอะไรๆจะให้พูด..
..อ.นำภาษาสมมุติมาเล่าเรื่อง
เพื่อให้ท่านได้ "โยนิโสมนสิการ"
(น้อมเข้าสู่ใจแล้วพิจารณาอย่าง
แยบคาย)
..ทบทวนจากโพสต์ที่แล้ว
ลุงสมบัติตื่นจากนอนตอนเช้า
ลืมตาเห็นนาฬิกาเป็นเวลาตีห้า
จึงหลับตานอนต่อ..เพราะวันนี้เป็น
วันหยุด..แต่ก็นอนไม่หลับเพราะหิว
และนอนคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้สารพัด..
..สรุป..ลุงสมบัติมิได้ตระหนักใน
ธรรมแท้ๆ..ที่ปรากฏให้รับรู้อยู่ทุกขณะ
..นั่นคือรู้อะไรบางอย่าง..
หากนำภาษาสมมุติมาพูดก็ว่า..
รู้สึกชาๆรู้สึกปวดเมื่อย..รู้สึกหิว..
รู้สึกได้ยินเสียงนก..เสียงนาฬิกา
..เสียงพัดลม
..เพราะหลงไปมีตัวตนในกระแส
ความคิดปรุงแต่ง..จึงไม่ตระหนัก
..ขณะที่ลุงสมบัติ นอนคิดฟุ้งอยู่นั้น
ก็มีความคิดซ้อนความคิดขึ้นมาอีกว่า
"เอ้ย!!คิดอะไรนักหนาว่ะ ไม่ต้องหลับ
กันเลย.."..แล้วก็ลุกขึ้นเดินไป
เข้าห้องน้ำ..แปรงฟันล้างหน้า..
ขณะที่แปรงฟันอยู่นั้น..ก็คิดเรื่อง
โน้นเรื่องนี้สารพัดอีก..
..โปรดสังเกตุ..
ขณะที่ลุงสมบัตินอนคิดฟุ้งอยู่นั้น
ได้หลงไหลไปในความคิด ไปรู้เรื่อง
ราวที่คิด..พอเอะใจขึ้นรู้ว่าคิด..นั่น
ตระหนักรู้ตัว..แต่ก็มีความคิดปรุง
อันใหม่ซ้อนขึ้นมาอีกว่า"เอ้ยคิดอะไร
กันนักหนาวะไม่ต้องหลับกัน"
อันนี้ก็หลงไหลไปเป็นตัวตนใน
ความคิดอีกครั้ง..
..แล้วความคิดปรุงแต่งที่เป็นความ
ไม่พอใจ ความอยาก อยู่เงียบๆ..
(ความไม่พอใจ ความอยากนี้ก็คือ
ความหลงเป็นตัวตนเรียบร้อยแล้ว)
ก็สั่งให้ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแปรงฟัน
..โปรดสังเกตุ..
ขณะแปรงฟัน นั่นก็รู้สึกอะไรๆอยู่
เงียบๆที่ไม่มีความคิดปรุงแต่ง..
*นี่คือสภาวะธรรมอันบริสุทธิ์*
แต่เมื่อมีความคิดฟุ้งขึ้นเรื่องโน้น
เรื่องนี้..ลุงสมบัติก็ไหลไปมีตัวตน
ในกระแสความคิดปรุงแต่งอีก..
..จึงมีตัวตนมีเรื่องราวเป็นตัวละคร
ในความคิดเป็นเรื่องเป็นราวมากมาย
ขณะที่ลุงสมบัติแปรงฟันล้างหน้า..
*เมื่อพูดว่าลุงสมบัติแปรงฟันล้างหน้า
..อันนี้ก็เป็นภาษาสมมุติน่ะครับ*
..ที่ทำจริงๆนั้น ไม่มีใครทำอะไรๆ
มีเพียงสภาวะธรรมชาติ..
..อันนี้ท่านคงเข้าใจยากแล้วนะครับ
..ลุงสมบัติแปรงฟันล้างหน้าเสร็จ
ก็เดินลงมาหาป้าไฉไลที่ทำอาหาร
อยู่ในครัว..
..ขณะที่เดินลงมาจากบ้านชั้นบนนั้น
ก็ได้กลิ่นแกง..ลุงสมบัติรู้ได้ทันทีว่า
เป็นแกงส้ม..ความรู้สึก"พอใจ"
และอยากกินเกิดขึ้นทันที
..เพราะลุงสมบัติชอบกินแกงส้ม..
..โปรดสังเกตุ..
*ขณะเดินลงมาจากชั้นบนและได้
กลิ่นแกง..*
..อันนี้เป็นธรรมบริสุทธิ์..คือจิตรู้
อะไรบางอย่างทางจมูก...
..แต่เมื่อ..รู้ว่าเป็นแกงส้ม..
นี่ความคิดปรุงแต่งให้ค่าเกิดขึ้นแล้ว
..และเกิดความอยาก..ความพอใจ
ขึ้นเงียบๆ..นี่ตัวตนเกิดขึ้นพร้อมกัน
ในความคิดปรุงแต่งนั้น..
..เมื่อเดินมาถึงในครัว..
ลุงสมบัติเห็นป้าไฉไลกำลังทำอาหาร
.จึงได้ถามป้าไฉไลขึ้นว่า
"แม่มึงทำอะไรกินรึวันนี้"
..ป้าไฉไล..กำลังเอาตะหลิวคนแกง
ในหม้อได้หันหน้ามา แล้วตอบว่า..
"เอ้าตื่นแล้วรึพ่อมึง..วันนี้ทำแกงส้ม
บอนปลาช่อนจ่ะ"
..โปรดสังเกตุ..
เมื่อลุงสมบัติเห็นป้าไฉไล..
ขณะแรกนั้น..จิตสัมผัสรับรู้อะไร
บางอย่างทางตา..
*นี้คือธรรมชาติรู้ธรรมชาติ..
..ไม่มีป้าไฉไล..
ขณะต่อมาเมื่อ..ความคิดปรุงแต่ง
เกิดขึ้นให้ค่าว่าเป็นป้าไฉไล..
..ป้าไฉไลจึงมีขึ้นในความคิดของ
ลุงสมบัติ...
..แต่ที่เห็นตรงหน้านั้นเป็นเพียง
สภาวะธรรม..หรือสิ่งที่ถูกจิตรู้..
..เมื่อความคิดปรุงว่าเป็นป้าไฉไล
ความคิดต่อมาจึงปรุงแต่งภาษา
สมมุติเพื่อพูด..แล้วพูดถามว่า..
"แม่มึงมำอะไรกินรึวันนี้"
..โปรดสังเกตุ..
และเมื่อป้าไฉไลได้ยิน
*ขณะได้ยินนั้น..จิตรู้อะไรบางอย่าง
ทางหู..นี้เป็นธรรมบริสุทธิ์..*
..แต่เมื่อความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น
ให้ค่าว่า..เสียงลุงสมบัติถามว่า
"แม่มึงทำอะไรกินรึวันนี้" ป้าไฉไล
เข้าใจในภาษาสมมุตินั้น..
..ความคิดปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นปรุงแต่ง
ภาษาสมมุติเพื่อตอบว่า
"เอ้าตื่นแล้วรึพ่อมึง วันนี้ทำแกงส้ม
บอนปลาช่อนจ่ะ"
..โปรดสังเกตว่า..
จังหวะนี้ความคิดป้าไฉไลเกิดขึ้น
ปรุงแต่งเป็น 2 ขบวน..
..ขบวนหนึ่ง..ขณะที่หันหน้าเห็นลุง
สมบัติ..ขณะตาปะทะสัมผัส..
..จิตรู้สัมผัสทางตาเห็นบางอย่าง
ขณะหนึ่งอันรวดเร็วนั้น..
..เป็นธรรมอันบริสุทธิ์..รู้เฉยๆ..
*แต่ขณะต่อมาอันรวดเร็ว..
เมื่อสมมุติสัญญาเกิดขึ้น..จึงให้ค่าว่า
"เป็นลุงสมบัติ"..*
..ลุงสมบัติจึงไม่มีอยู่จริง..
เป็นเพียงภาษาสมมุติ..ที่เกิดขึ้น
ในความคิดของป้าไฉไล..
แต่สิ่งที่ป้าไฉไลเห็นนั้นเป็นเพียง
สภาวะธรรม หรือ..*สิ่งที่ถูกจิตรู้*..
..ขณะต่อมาอันรวดเร็วจึงเกิดความ
คิดปรุงแต่งภาษาสมมุติพูดตอบไปว่า
"เอ้าตื่นแล้วรึ ทำแกส้มบอนปลาช่อนจ่ะ"..
..โปรดสังเกตุ..
ป้าไฉไล..พูดไปตามภาษาสมมุติ..
แต่ก็ใช้มือจับทัพพีคนแกงในหม้อ
พร้อมกันไปด้วย..
..ความรู้สึกที่ป้าไฉไลจับทัพพีคนแกง
และจมูกที่ได้กลิ่นแกง..
*อันนี้แหละเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์*
หรือ..จิตรู้เฉยๆ..รู้อะไรบางอย่าง..
แค่นั้น..
..แต่ที่คิดและพูดออกมานั้น..
คือภาษาสมมุติ..
..เมื่อป้าไฉไลพูดจบ..ลุงสมบัติก็
ชะโงกไปดูแกงในหม้อ..แล้วพูดว่า
.."โอ๊ะ!!แกงส้มปลาช่อน น่ากินมาก
กลิ่นหอมอย่างนี้คงอร่อยแน่ๆ"
..โปรดสังเกตุ..คำพูด..
"แกงส้มปลาช่อนน่ากินมาก..
กลิ่นหอมอย่างนี้คงอร่อยแน่ๆ"
*คำพูดนี้เป็นเพียงสมมุติ*
..แต่ๆๆ ที่ลุงสมบัติเห็นอยู่นั้น
มิใช่แกงส้มปลาช่อนน่ะครับ
..เป็นอะไรบางอย่าง..
..หรือจะเรียกว่า..
*ธรรมชาติที่ถูกจิตรู้*..
ฉะนั้นแกงส้มปลาช่อนมิได้มีอยู่จริง
..งงไหมครับ...
..เล่ามาถึงตรงนี้..
หากท่านมีปัญญา
พอเข้าใจและเห็นได้ว่า..
..ลุงสมบัติก็ไม่มีอยู่จริง..
..ป้าไฉไลก็ไม่มีอยู่จริง..
..แกงส้มก็ไม่มีอยู่จริง..
*เป็นเพียงสภาวะธรรมล้วนๆ*
เพียงธรรมชาติรู้ธรรมชาติ
ธรรมชาติปรุงแต่งธรรมชาติ
เมื่อตระหนักประจักษ์ในธรรมนี้
ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน..
..ไร้บุคคล ตัวตน เรา เขา..
ว่างจากทุกสรรพสิ่ง..
..บังเกิดทุกสรรพสิ่ง..
..เขียนมาทั้งหมดนั้น..
เพียงเป็นภาษาสมมุติ..
ไม่มีอะไรมีอยู่หรือไม่มีอยู่จริง
..ท่านอ่านแล้ว..
ก็เพียง..โยนิโสมนสิการ..
น้อมเข้ามาสู่ใจแล้วพิจารณา
อย่างแยบคาย..
ท่านจะตระหนัก ประจักษ์ด้วยตนเอง..
เช้าสวัสดีญาติธรรมทุกท่าน
แม้จะสนใจใฝ่ธรรม
แต่เธอยังประมาทอยู่มาก+++++
ยังปล่อยใจให้ไหลไปเสพอารมณ์ภายนอก..ที่อยู่ในสังคมออนไลน์นี้
เที่ยวไปสนใจสอดส่อง ติดตาม
อ่านโพสต์ แชร์ คอมเม้นท์ เรื่อง
สัพเพเหระ เรื่องการบ้านการเมือง
ซึ่งไม่ใช่หน้าที่เรา ไม่เกี่ยวกับเรา..
ทำให้"จิตจรจัด"ไหลไปเรื่อยเปื่อย
ไร้ประโยชน์ทางธรรม..
เราเป็นฆราวาสผู้เรียนรู้ ใฝ่ธรรม
เพียงแค่หน้าที่การงานหาเงินเลี้ยงตัว
ดูแลครอบครัว ก็เสียเวลาไปมากแล้ว
ที่จิตต้องไปหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่อง
ครอบครัว การทำงานหาเงิน
การเป็นมนุษย์นั้น ชีวิตแสนสั้น
หากเทียบกับโลกอื่น เช่นเทวะโลก
เทวดาเดินจากวิมานด้านในยังไม่ถึง
ด้านนอก..เรามนุษย์เกิดแก่ตายไปแล้ว
หากเธอปราถนาจะไม่เกิดไม่ตาย
อีกต่อไป..พ้นเกิดตายในปัจจุบัน
ก็จงใช้เวลาที่เหลืออยู่เป็นมนุษย์
ให้เป็นประโยชน์ทางธรรมให้มาก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง
ความตายไม่เกี่ยวกับความหนุ่มหรือ
ความแก่..ไม่ว่ายังเด็ก ยังหนุ่มสาว
หรือเริ่มแก่ชรา..ก็ตายได้ทั้งนั้น..
การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ในธรรม
"ควรตระหนักรู้ทุกๆขณะ"
..รู้..ทุกๆความคิดที่ผุดขึ้นสั่งการ
ให้เราทำโน้น นี่ นั่น..ทุกการกระทำ
..รู้..ทุกๆความคิด ที่ตีความ ให้ความหมาย..ให้ค่าให้ชอบให้ชัง..ให้อยาก..
อย่าเพิ่งเชื่อ..อย่าไหลตามความคิด..
..ในทุกลมหายใจเข้าออก..
"ควรทำตามความคิดเฉพาะหน้าที่
ที่เป็นโยชน์จำเป็นต่อชีวิตเท่านั้น"
..ในทุกๆลมหายใจเข้าออก..
ไม่ควรให้ความคิดปรุงแต่ง ชักจูงไป
ในเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ จนเกิด
อารมณ์ต่างๆ แล้วมัวเพลินเสพ
อารมณ์เหล่านั้นไปเรื่อยๆ ทำให้เกิด
ภพเกิดชาติสืบต่อความเป็นชีวิตใน
จิตอยู่ทุกขณะ ทุกขณะ..
..นั่นจะไม่พ้นเกิดพ้นตายในสามโลก
แล้วคิดหรือว่า..!!!
ตายไปแล้วจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก
แม้เธอจะทำบุญ ปฏิบัติธรรมมามากมายขนาดไหน..หาก อุปาทาน..
ยังไม่ขาดสะบั้นลงถาวร..
ก็ยังมีสิทธิ์ไปเกิดในรกได้ทุกเมื่อ..
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
หากแยกภาษาสมมุติออกเสีย
สรรพสิ่งเป็นเพียงธาตุธรรมชาติ
ที่ปรากฏรับรู้ด้วยจิตผ่านอายตนะ
มิได้มีตัวตนคนสัตว์บุคคลเราเขาใดๆ
ดั่งที่ความคิดปรุงแต่งให้ค่าเรียกชื่อ
เธอผู้หลง..
จะยึดถืออยู่ในภาษาสมมุติ
จะอึดอัดคัดข้อง โกรธเกลียดทันที
เมื่อได้ยินเสียงใครพูดอะไร
ที่คิดว่าเราไม่ชอบคำนั้น..
ภาษาพูด เป็นเพียงคลื่นเสียง
ภาษาเขียนเป็นเพียงรูปสัญลักษณ์
เพียงเพื่อใช้งานสื่อสารกันให้เข้าใจ
ในความหมายของภาษานั้น
มิได้มีเป็นอะไรอย่างที่เธอคิดให้ค่า
และเป็นคนละเรื่องกันกับสิ่งที่สัมผัส
ทางอายตนะ
หากเธอรู้ความจริงนี้
เธอจะพ้นจากการยินดียินร้าย
ในภาษาสมมุติ ที่สื่อสารกัน
..เจริญธรรม..
"เรา..เป็นผู้นึกคิดจริงหรือ"(1)
ขอนำภาษาสมมุติมาแต่งเล่าเรื่อง
ให้ท่านได้อ่าน "เพื่อโยนิโสมนสิการ"
(น้อมเข้าสู่ใจและพิจารณาอย่างแยบคาย)
..ลุงสมบัติ รู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนเช้า
หลังจากหลับมาทั้งคืน..
..ขณะตื่น ลุงสมบัตินอนอยู่ในท่า
ตะแคงด้านซ้ายและรู้สึกชาแขนซ้าย
และปวดเมื่อยตัว..จึงพลิกมา
นอนหงาย..พร้อมลืมตาขึ้น..
..โปรดสังเกตุ..
*ขณะลุงสมบัติ.."รู้สึกชาที่แขน
และปวดเมื่อยตัว"
ขณะนั้นไม่มีความคิดปรุงแต่ง
*มีแต่ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น*
เมื่อนำภาษามาอธิบายให้เข้าใจกัน
ก็ต้องพูดว่ารู้สึกชาที่แขนรู้สึกเมื่อยตัว
..แต่การรู้สึกนั้นรู้สึกเพียวๆ..
นี่คืออาการของจิตหรือธรรมชาติ
บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นให้รับรู้..
..ซึ่งลุงสมบัติไม่ได้ตระหนัก..
..และขณะอันรวดเร็ว..
*เมื่อความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้น*
ลุงสมบัติรู้สึกไม่ยินดีในท่านอน
ตะแคงซ้าย และอยากพลิกตัวใน
ท่านนอนหงาย..จึงได้พลิกตัวใน
ท่านนอนหงายพร้อมลืมตา
*กระบวนการนี้คือความคิดปรุงแต่ง
ที่เกิดขึ้นแล้วสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหว..*
..ในกระบวนการนี้มีความไม่ชอบ
ความอยาก..ความชอบ..เกิดขึ้นแล้ว
..เมื่อความไม่ชอบ ความอยาก
ความชอบเกิดขึ้น..นั่นหละความเป็น
ตัวตนได้เกิดขึ้นพร้อมแล้ว..
(นี่เอาภาษาสมมุติมาอธิบายเพื่อ
ให้เข้าใจนะครับ)
แต่ความจริงที่รู้สึกนั้นเป็นอะไรๆ
ที่รู้สึกอยู่เงียบๆ..เป็นนามธรรม
อันละเอียด ที่รู้เห็นได้อยาก..
..เมื่อพลิกตัวลืมตาตื่นมองเห็น
*นาฬิกาเป็นเวลาตีห้า*..
..ลุงสมบัติ คิดว่า*นอนต่ออีกหน่อย
วันนี้เป็นวันหยุดไม่ต้องไปทำงาน*
..โปรดสังเกตุ..
*มองเห็นนาฬิกาเป็นเวลาตีห้า*
และ
*นอนต่ออีกหน่อยวันนี้เป็นวันหยุด
ไม่ต้องไปทำงาน*
..นี่คือความคิดปรุงแต่งเป็นสมมุติ
ภาษาเงียบๆ..ให้ค่าสิ่งที่สัมผัสรับรู้
แต่ไม่ได้พูดออกมา..
..เมื่อคิดว่าจะนอนต่อ..ลุงสมบัติ
ก็หลับตานอน..แต่พอหลับตา..
..รู้สึกว่าหิว..ท้องโคล๊กคล๊าก..
และนึกขึ้นว่า..
"ป้าไฉไลทำอะไรกินนะเช้านี้"..
..โปรดสังเกตุ..
*รู้สึกหิว..รู้สึกท้องโคล๊กคล๊าก..
นี้คือธรรมชาติเพียวๆไร้ความคิด
ปรุงแต่ง..
..แต่การนึกขึ้นพร้อมกันว่า
"ป้าไฉไลทำอะไรกินนะเช้านี้"
นี้คือความคิดปรุงแต่งเป็นภาษา
สมมุติเงียบๆไม่ได้พูดออกมา..
..หลังจากลุงสมบัติหลับตารู้สึกหิว
และนึกถึงป้าไฉไล..หลังจากนั้นก็
นอนคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อีกมากมาย
สารพัด..จนไม่สามารถหลับต่อได้..
*นั่นความคิดปรุงแต่งทำงานเกิดดับ
อยู่ทุกขณะ*..แต่ด้วยลุงสมบัติหลง
ไปในกระแสความคิดปรุงแต่ง..จึง
มีเรื่องราวต่างๆในความคิดเกิดขึ้น
มากมาย..
..และไม่ตระหนักถึงความรู้สึก
ที่เป็นธรรมชาติเพียวๆ ที่เกิดขึ้น
ให้รับรู้..เช่นได้ยินเสียงนกร้อง
ได้ยินเสียงนาฬิกาในห้อง..
หรือรู้สึกตึงๆเมื่อยๆที่ตัว
ท่านที่เจริญสติ อยู่กับรู้สึกตัว
แม้ไม่หลงไปในความคิดแล้ว
*แต่ก็ไม่เจอจิต*
เพราะรู้สึก นั้น..
วิญญาณยังเกิดดับรับรู้อยู่ที่ทวารทั้งห้า..
ยังยึดวิญญาณ..จึงยังไม่เด็ดขาด..
..ต่อเมื่อ"รู้"มาอยู่ที่"จิต.."
..สังขารดับ..วิญญาณดับ
สัญญาดับ..เวทนาดับ..พร้อมกัน
"..รู้" กับ "จิต" เป็นหนึ่งเดียวกัน..
*นั่นหล่ะเจอ"จิต"*
..เจอเหมือนไม่เจอ....มีเหมือนไม่มี..
..จิต..คือธรรมชาติรู้อารมณ์
..อารมณ์..คือธรรมชาติที่ถูกจิตรู้
..งงไม๊???..
..จิตอันเนื่องด้วยตัณหา..
ย่อมวิ่งพล่านไป..อยากได้ให้เป็น
ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด..
..หากรู้ไม่เท่าทัน ก็นำเจ้าของ
ไปหลงยึด ชอบชัง สร้างเรื่องวุ่นวาย
ให้ทุกข์ยากลำบากในจิตใจไม่ว่างเว้น..
..ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดสถานการณ์ใด
..วิถีฆราวาส ผู้สนใจใฝ่ธรรม
หน้าที่การงานประจำวันนั้นแหละ
คือการปฏิบัติธรรม..
..เพียงมีสติรลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน
ในการกระทำใดๆ..
ด้วยใจไม่ยึดถือชอบชัง
จิตสังขาร(จิตคิดปรุงแต่ง)
..นั้นละเอียดซับซ้อน รวดเร็วมาก..
เพียงมองไปเห็นอะไร
แล้วรู้ว่านั่นคืออะไร
ขณะนั้นจิตคิดปรุงแต่งสำเร็จแล้ว
เพียงฟังเสียงอะไร
แล้วรู้ความหมาย
ขณะนั้นจิตคิดปรุงแต่งสำเร็จแล้ว
..โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรากำลังคิด..
..ใจ ใหลไปในคิด..จึงติดทุกข์..
รู้ตัวอยู่กับการงานปัจจุบัน..
..นั่นจึงไม่ทุกข์...
.สุขสงบปกติไม่มีกาล..
โลก..หน้าที่..ปรุงแต่งผ่านๆไป
ใจ..ไม่มีในโลก..ไม่มีในธรรม..
...ไม่มีในคำ...
..ชีวิตใดประสบความทุกข์ยาก
..เจ็บป่วย..วิกฤต..ติดขัด..
ขอให้ผ่านพ้นไป..ให้ใจเบิกบาน..
ก้าวผ่านพ้นอุปสรรคขวากหนาม
ชนะหมู่มารทั้งปวง
..ชนะกิเลสมาร
..ชนะขันธมาร
..ชนะอภิสังขารมาร
..ชนะเทวปุตตมาร
..ชนะมัจจุมาร
**ด้วยความอาจหาญแห่ง"สัทธรรม"**
จง "ดีใจ" เมื่อมีการป่วยไข้..
จงเบิกบานสำราญเมื่อไปรพ.
จงเฝ้ามองเพ่งพิจารณา..
..อาการของกาย..
..อาการของเวทนา..
..อาการของจิต..
ให้เห็นความเป็นธรรมดา
อย่าไปฝืนธรรมชาติของกาย
อย่าไปเสพอาการของเวทนา
จงรู้ทันอารมณ์ของจิต..
จงดีใจเมื่อมีการป่วยไข้
อย่าเศร้าหมองทุรนทุรายไม่ว่าหนักเบา
ทำได้เยี่ยงนี้..จะมีกำไรมหาศาล
หน้าที่การงานนั้นทำไปให้เต็มที่
..แต่ใจมี..เพียงรู้ว่ายังหายใจอยู่..
"..วิมุตติธรรม.."
ไม่เกี่ยวกับ เสื้อผ้า หน้าผม
..เครื่องหุ้มห่มร่างกาย
วิถีบรรพชิต หรือ วิถีคฤหัสถ์
..ก็เข้าถึงสภาวะวิมุตติได้..
"สรรพชีวิตดับไม่เหลือ"
..แม้พระมหาจักพรรดิ..
..พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..
..เธออย่าประมาทในชีวิต..
อย่ามัว คิด ทำ ในสิ่งชั่ว มัวเมา
หลงเพลิน เอร็ดอร่อย กับชีวิต
ละชั่ว..ทำดี..ทำใจให้ผ่องแผ้ว..
ทำหน้าที่ ที่สมควร ตามเหตุตามปัจจัย
ในเวลานาฬิกาชีวิตที่ยังเดินอยู่..
แกนหลักของการปฏิบัติธรรมนั้น
..เพียร..
..เผ้าดูรู้ทัน..
"จิตคิดปรุงแต่ง"
..ให้ละเอียดไปเรื่อยๆ..
ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด
"มีอาการอย่างหนึ่ง ที่ญาติธรรมหลายท่าน ติดอยู่อย่างไม่รู้ตัวและเป็นการปิดกั้นการรู้แจ้งอย่างยิ่ง"
อาการนั้นเรียกตามภาษาสมมุติว่า"จินตญาณ"
"จินตญาณ" เกิดขึ้นขณะท่านได้อ่านบทธรรม
หรือฟังการแสดงธรรม**จะเกิดความนึกคิด ไปตามความหมายของ ภาษาที่เขียนหรือภาษาที่พูด**
หากมีความคิดเห็นคล้อยตาม จะมีความคิดเห็นว่าเข้าใจ แล้วจดจำเอา**ความรู้สึกใน ความหมายของภาษา**นั้น ไปตู่เอาว่าฉันได้สภาวะธรรม หรืออาจจะอุทานว่า "แจ้งแล้ว" "โพล่งแล้ว"..ว่างแล้ว"..เข้าใจแล้ว"
หรือหากมีความคิดเห็นขัดแย้ง จะมีความคิดเห็นว่าไม่ถูก และมีความคิดอยากเขียน อยากพูดโต้ตอบ
หรือหากงุนงงสงสัย ไม่เข้าใจ จะมีความคิดอยากเขียนอยาก พูดอะไรๆบ้าง หรืออยากถาม..
..ความคิดปรุงแต่งทั้งหมดนั้น ท่านไม่รู้เห็นเลย..
จึงทำให้..จินตญาณ..นี้ ปิดกั้นปัญญาญาณ
ก่อนที่จะน้อมเข้าสู่จิต เพื่อรู้สภาวะธรรมเพียวๆ
อันไร้สมมุติปรุงแต่ง
..จะด้วยความเคยชินของท่าน ที่อยู่กับการเสพภาษาสมมุติทุกขณะ แล้วมีความอยากให้สมอยาก..
อ่านแล้วฟังแล้วอยากรู้ อยากได้ธรรม อยากให้เป็น อยากไม่ให้เป็น ยิ่งท่านที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมมากๆ
และชอบพูดคุยตอบโต้ธรรม อาการจินตญาณ ยิ่งหนาแน่น..
อ.จึงย้ำเสมอว่า.. เอาภาษามาสมมุติเขียน อย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อว่า เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ตามภาษาที่เขียน.. หรือที่เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ..เพียงอ่านแล้ว"โยนิโสมนสิการ" คือน้อมเข้าสู่ใจ....เพื่อให้เกิด *สกิดใจ..สะดุ้งใจ* แล้วค่อยโล่งเบาไปทีละเปราะๆ..
หรือประจักษ์แจ้งพรึ๊บเดียวจบ หมดสิ้นสงสัย..
"ดูจิต ก่อนคิด เธอทั้งหลาย"
..เธอพึงอยู่ในความจริงแท้..
สิ่งที่เธอเห็นทางตา ได้ยินทางหู
ได้กลิ่นทางจมูก ได้รสทางลิ้น
ได้รับรู้สัมผัสทางกาย
รู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นทางใจ
..นั้นเพียง..รูป..
"เธอจงอย่าสนใจในรูป"
เห็น..สักแต่ว่าเห็น..
ได้ยิน..สักแต่ว่าได้ยิน..
ได้กลิ่น..สักแต่ว่าได้กลิ่น..
ได้รส..สักแต่ว่าได้รส..
ได้สัมผัส..สักแต่ว่าได้สัมผัส..
รู้สึกนึกคิด..สักแต่ว่ารู้สึกนึกคิด..
..เมื่อสักแต่ว่า..
ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
ไม่ตั้งอยู่ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ไม่ปรากฏ ในโลกนี้ ในโลกอื่นๆ
ไม่ปรากฏ ในระหว่างโลกทั้งสอง
จึงไร้ ซึ่งสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
และชีวิต
*ปรากฏแต่ธรรมอันบริสุทธิ์*
..ว่าง ไม่มีประมาณ..
..รู้ ไม่มีประมาณ..
..สุข ไม่มีประมาณ..
"เธอพึงรู้เฉพาะตนเอง"
..เจริญธรรม..
"เธอจงเป็นผู้กล้า"
กล้าทิ้งโลก..
แต่ทำงานทำหน้าที่ดูแลครอบครัวไปปกติ
กล้าทิ้งสมมุติ..
แต่ใช้สมมุติไปแบบสมมุติๆ
กล้าทิ้งคำภีร์ ทิ้งบัญญัติ
ทิ้งโศลกธรรม..อยู่กับสภาวะจริง
กล้าทิ้งความรู้ ทิ้งความคิดเห็น
ทิ้งความเชื่อ...อยู่กับรู้
กล้าทิ้งความอยาก..
อยากอวดภูมิรู้ ภูมิธรรม..
..อยู่กับสภาวะตน..
กล้าทิ้งรูปอรูปฌาน อภิญญา
..อยู่กับปัญญาญาณ
กล้าทิ้งรูปแบบ ทิ้งวิธีการ
..อยู่กับรู้..
กล้าทิ้งความเป็นภิกษุ ทิ้งความเป็นชี
ทิ้งเป็นพราหม ทิ้งความเป็นหญิง
ทิ้งความเป็นชาย...อยู่กับรู้..
กล้าทิ้งความคิด
ทิ้งความมั่นหมายให้ค่าใดๆ
..อยู่กับรู้..
กล้าทิ้งปัญญาญาณ
..อยู่กับจิต..
กล้าทิ้งจิต..
(จิตในที่นี้คือความมั่นหมายเห็นว่าเป็นจิต)
..อยู่กับธรรมชาติรู้หนึ่งเดียว..
*หากเธอกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว..
..เธอจะพบธรรม..*
"ทั้งหมดนั้นคือสมมุติภาษา
จงกล้าทิ้งไปด้วย"
..เจริญธรรม..
เธอจงเพียรตรวจสอบ
ความติดข้องในสัญญาอารมณ์
ทั้งขณะหลับและขณะตื่น
..ขณะหลับ..
จิตสังขาร..จะแสดงตัวเป็นความฝัน
ในเรื่องราวต่างๆ ที่ติดข้อง มั่นหมาย
อยู่ เป็นสัญญาความจำลึกๆ..เหล่านี้
คือความคิดปรุงแต่งที่ผุดขึ้นตอน
กายหลับ..ซึ่งเรียกว่าความฝัน..
จงตรวจสอบและคลายออกทั้งหมด
หากตรวจสอบขณะหลับไม่ได้
ก็ตรวจสอบขณะตื่นนอนใหม่ๆ
จะจำได้ว่าฝันเรื่องอะไรบ้าง
ไม่ยึดถือ..คลายออกทั้งหมด
ในเรื่องราวต่างๆที่จิตจำเป็นสัญญา
..ขณะตื่น..
จิตสังขาร..จะแสดงตัวเป็นความนึกคิด ในเรื่องราวต่างๆ ที่ติดข้อง
มั่นหมายอยู่..ความนึกคิดในขณะ
ปัจจุบันนั้นทุกๆความนึกคิด..
เพียงรู้..รู้แล้วไม่ยึดถือในเรื่องที่นึก
ในเรื่องที่คิด..ปล่อยผ่านทั้งหมด..
การไม่ยึดถือในเรื่องที่นึกคิด..
"ไม่ใช่ไม่นำเรื่องที่คิดมาใช้งาน"
หากเป็นความคิดที่ต้องทำหน้าที่
ทำการงานต่างๆ..ก็นำความคิดนั้น
มาใช้งานปกติ ทำหน้าที่ตามคิดนั้น
แล้วก็จบไป..ไม่ไปยึดถือทั้งเรื่อง
ที่คิด และไม่ยึดถือการกระทำทั้งหมด
จิตสังขาร หรือความคิดปรุงแต่ง
"กลางคืน เรียกว่าความฝัน"
"กลางวัน เรียกว่าความนึกคิด"
ไม่ยึดถือ ไม่ติดข้อง..
..ปล่อยทั้งหมด...
ทั้งความฝัน และความนึกคิด
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
การปฏิบัติธรรม
มิต้องไปตั้งใจทำอะไร ที่ไหน
..อยู่กับรู้..แค่รู้..
รู้อยู่ภายนอก รอบกาย กว้างๆ
โดยรวม..ไม่เจาะจง..ไม่บ่งชี้
ไม่มีความหมาย ไม่ให้ค่า..
เห็นกายและความคิด เป็นเพียงสิ่งถูกรู้
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้นอย่างไร้ความหมาย ไร้ตัวตน ตั้งทนอยู่ไม่ได้ ไม่มีราคา
อยู่กับรู้อย่างอิสระ ยิ่งใหญ่
เบิกบาน อย่างไร้ขีดจำกัด
..เจริญธรรม..
..การรับรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เป็นการรับรู้ของจิต ที่ทำงานร่วม
กับประสาทสัมผัสของกาย
..ธรรมชาติของกาย มีการเกิดดับ
อยู่ทุกขณะ..ส่วนของจิตที่ไปรับรู้
ทางประสาทสัมผัสของกาย จึงต้อง
เกิดดับพร้อมกันไปด้วย..จึงดูเหมือน
ว่า..จิตเกิดดับ..
..การรับรู้สัมผัสเพียวๆทางประสาทสัมผัสที่เป็น ตาหูจมูกลิ้นกาย
ก็เป็นความไร้การปรุงแต่งอย่างหนึ่ง
แต่ก็ยังมิใช่ จิตแท้จริง..
หากไปยึดถืออยู่ในการสัมผัสรับรู้นี้
ก็ยังไม่ถึงจิตแท้จริง..
..ความจริง..จิตรู้แท้ๆ มิได้เกิดดับ
จิตที่เป็นอิสระ คืออวิชชาดับสิ้นแล้ว
รู้จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิต..และ
ไม่เกี่ยวข้องกับอายตนะทั้งหลายเลย
..จิตรู้..จะรู้ด้วยจิตเอง..โดยไม่
ผ่านอายตนะ..รู้อย่างไร้ขอบเขต..
กว้างใหญ่มหาศาล ละเอียดทุกอญู
"รู้เห็นสัมผัสสรรพสิ่งอย่างอัตโนมัติ"
รู้เห็นทั้ง สังขาร และวิสังขาร..
..ฉะนั้นท่านที่..
อุปาทานยังไม่ขาดลงถาวร..
เพียง ว๊าปๆ เบาคลาย ไปบ้างแล้ว
หรือโพล่ง ตัวหาย กายเบา..
..ก็ให้อยู่กับรู้..แค่รู้..กว้างๆภายนอกโดยไม่สนใจความคิดปรุงแต่ง
ไม่สนใจกาย..ไม่สนใจอาการทางกาย..เพียงรับรู้แล้วผ่านทั้งหมด..
..เจริญธรรม..
คําถามในเพจ ทําไม มีสติ รู้ว่าสิ่งไม่ดี แต่ยังละไม่ได้ โมโหตัวเองที่มีสติแล้ว แต่ก็ยังละไม่ได้ ?
ตอบ เป็นปกตินะ เพราะ รู้สึกตัว มีสติ ตัวสติ เป็นตัวเข้ามารู้ มาเห็น แต่กําลังมันไม่มาก ก็เหมือน ใบมีดโกน ที่ คมมากใช้หั่นของเล็ก แต่หากเอาใบมีดโกน ไปตัดต้นไม้ใหญ่ มันตัดไม่ได้ สติมันรู้ ว่าเป็นสิ่งไม่ดีมันละไปแล้ว แต่จิตใจมันยังหลงในกิเลสอยู่ มันกลับเข้าไปยึดอีก ดังนั้น มีสติแล้วใช่ว่าจะตัดได้หมดทุกเรื่อง
คําถามแล้วต้องใช้อะไรตัด ?
ตอบ ต้องใช้ สมาธิ ปัญญา มาช่วย
สมาธิ คือ ใจที่ตั้งมั่น เรามีสติ รู้ว่าไม่ดี มันละมาแล้ว ตัวสมาธิจะมาช่วยให้ใจไม่วอกแวก มั่นคง ไม่ไหลกลับเข้าไปยึดใหม่อีก ทําให้การครํ่าครวญไหลตามไปมันน้อยลงหรือหมดไป
ปัญญา คือ เราฉลาดขึ้น ใจเราฉลาดขึ้น รู้ว่ามันไม่ดีจริง ไม่ใช่ คิดว่าไม่ดี แต่ใจยังรักชอบอดไม่ได้ แพ้กิเลสอยู่ แต่พอมีปัญญา ที่นี้เห็นว่ามันไม่ดีจริงด้วยใจ ที่นี้ไม่ต้องไปละไปวางแล้ว ใจมันไม่เอาเลย จบเรื่องไหนเรื่องนั้นก็ไม่เอา เพราะมีปัญญาเห็นถูกต้อง
คําถาม จะทํายังไงดี ให้เกิดปัญญา ?
ตอบ ปัญญาจากวิปัสสนา ไม่ใช่ปัญญาจากความคิดการอ่านฟัง
เร่ิมที่เบสิคให้แน่น หาการปฏิบัติที่ตรงกับจริตตนเอง
สติ เป็น ฐานของ สมาธิ
สติ ที่ต่อเนื่องกันคือ สมาธิ
สมาธิเป็นทางมาของปัญญา
ปัญญาที่ว่าคือ ปัญญาจากการเจริญวิปัสสนา
..สุข หลอกๆ..
..ทุกข์ หลอกๆ..
หมดเวลาโดนหลอกรึยังสาธุชน?
..การเอ่ยธรรมเป็นคำ..
เหมือนพ่นละอองสีไปในที่ว่าง
..แม้ละอองสีไม่ใช่ที่ว่าง..
แต่เป็นสื่อนำทางให้เห็นที่ว่างมีอยู่
"สังขารธรรมบทนี้..
สำหรับท่านที่ต้องการ เดินตาม
กระบวนการ หรือทำตามเสต็ป เพื่อ
การรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรม"
..เปรียบเหมือนการปอกมะพร้าวแก่
เพื่อจะเอาเนื้อมาคั้นกะทิ..
..ต้องผ่านการปอกเปลือกแข็ง
หรือกาบมะพร้าวออกก่อน..แล้วปอกใย
ที่หุ้มกะลาออก..เมื่อเจอกะลาก็ต้อง
ทุบหรือเคาะแรงๆ ด้วยสันมีดหรือ
สันขวาน ให้ตรงตำแหน่งที่กะลา
จะแตกเป็นสองซีกเท่ากัน..และต้อง
ใช้แรงที่พอเหมาะพอดี กะลาจึงจะ
แตกออก..ให้ได้กินน้ำหอมหวาน
และนำเนื้อไปคั้นกะทิได้..
..ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ..ต้องใช้มีดที่คม..
ใช้แรง..ใช้ความกล้า ความชำนาญ
..เปรียบเหมือน การใช้ปัญญาที่คมกล้า
อย่างถูกเวลาถูกจังหวะ ถูกต้องถูกทาง..
..ความเป็นจริง การรู้แจ้งในสภาวะ
ธรรม ก็มิใช่จะต้องเริ่มต้นและสิ้นสุด
เป็นชั้นๆอย่างที่ยกตัวอย่าง..
แต่อุปมาอุปมัยเพื่อให้เกิดปัญญา..
..หากปัญญามากพอ ก็สามารถจับ
บางเหลี่ยมมุมของคำสอนในแต่ละ
บทมาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง..
ภายในเวลาสั้นๆ ก็รู้แจ้งแทงตลอด
ในสภาวะธรรมได้..
..แต่สำหรับท่านที่ต้องใช้เวลาใน
การบ่มเพาะปัญญาให้เติบโต..
ก็ลองทำตามขั้นตอนกระบวนการดังนี้
1. ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
ด้วยการพิจารณาใคร่ครวญอย่าง
แยบคายลึกซึ้ง..ในเรื่อง.."สมมุติ"
ทั้งสมมุติภาษา และสมมุติบัญญัติ..
..ที่นำไปเรียกชื่อให้ค่า..
ในรูปธรรมที่เป็นสิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งมี
ชีวิต เช่น พื้นดิน ท้องฟ้า แม่น้ำ ก้อนหิน
โต๊ะ เก้าอี้...ต้นไม้ ต้นมะม่วง หญ้า..
สัตว์ หมา แมว ..มนุษย์..ชาย
หญิง..นายดำ นางแดง..ฯลฯ..
..นำไปเรียกชื่อให้ค่า..ในนามธรรม
ที่เป็นความรู้สึกนึกคิด เช่น เย็น ร้อน
อ่อนแข็ง เจ็บ ปวด..ดีใจ เสียใจ สุข
ทุกข์ พอใจ น้อยใจ เศร้าโศก เหงา
..นำไปเรียกชื่อให้ค่า ในสภาวะธรรม
เช่น อริยสัจสี่ มรรค 8 อินทรีย์ 5 ศีล
สมาธิ ปัญญา สมมุติ วิมุติ จิต เจตสิก
รูป นิพพาน..ฯลฯ...
..ทั้งหมดนี้ เหมือนกาบมะพร้าวที่เป็น
เปลือกแข็ง..ปอกออกยากมากๆ...
..ซึ่งต้องใช้ "ความคิด"..พิจารณา
ใคร่ครวญอย่างหนัก..จึงจะปอกออกไปได้
..อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆนะครับ..
และตรงที่ติดเปลือกแข็งอันที่สามนั่น
ยิ่งยากเข้าไปใหญ่..
..กลับไปอ่านเรื่อง"กลมายาสมมุติ"..
2. รู้ ให้แจ้งชัด..
"ในความคิดไปตามสมมุติ"
..ความคิดไปตามสมมุตินี้เป็น
ความคิดหยาบๆ ที่รู้ได้ง่ายแต่เร็วมาก
เช่น....เมื่อเรามองไปเห็นบางสิ่งที่ตั้งอยู่
ตรงหน้า..ความคิดจะผุดแว้ปทันที
ว่า..ทุเรียน..มะม่วง..หรือ แมว..นี่เป็น
แค่ความคิดไปตามภาษาสมมุตินะครับ
ยังไม่ได้พูดออกมา..
..ต้องรู้ทันความคิดนี้ให้ได้..
นี่แค่สิ่งเดียว..แต่เมื่อหลายสิ่งรวมกัน
เป็นเรื่องราว..ความคิดก็ยิ่งถี่ยิบ
เช่น..เราจะซื้อทุเรียน เดินไปในตลาด
หน้าแผงขายทุเรียน..ปรากฏว่าคนยืนรุม
ซื้อกันหลายคน เรายังไม่ถึงคิว แม่ค้าก็
กำลังปอกทุเรียนให้แต่ละคน
..เราก็ยืนดูทุเรียน....แล้วก็นึกว่า จะเอา
ลูกขนาดไหนดีจะเอาที่กำลังสุก
เนื้อกรอบนอกนุ่มใน
..ก็ชะเง้อดูที่ที่เขาปอก อ้อ สีอย่างนี้
จะนิ่มมากไป จะหวานเกิน เราไม่เอาแบบนี้..
"นี่เห็นไหมครับความคิดไปตามสมมุติ
ผุดขึ้นถี่ยิบตลอดเวลาที่ยืนอยู่"
..นี่ความคิดไปตามสมมุติ..
..ทีนี้พอถึงคิวเรา..ความคิดไปตามสมมุติ
จะพูดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว..แล้วพูด
บอกแม่ค้าว่า.."ฉันเอาเนื้อกรอบนอกนุ่มในน่ะค่ะ"..
.."นี่ๆเอาลูกใหญ่ๆหน่อย..นั่นหล่ะๆ"..
ก่อนจะพูดนั่น..ความคิดไปตามสมมุติ
เกิดขึ้นก่อนทุกครั้งนะครับ
..ท่านจึงควร รู้ ให้แจ้งชัด
ในความคิดไปตามสมมุตินี้..
..แค่รู้..นะครับ..ไม่ใช่คิด..
3. ตระหนักรู้ ทันทีทันใด..
"ในคิดตามสัญญชาติญาณ"
..คิดตามสัญชาติญาณ นี้ ฉับพลัน
รวดเร็ว ยิ่งยวด กว่า ความคิดไปตามสมมุติ
อย่างมาก..เช่น จะเคลื่อนไหว
ร่างกาย จะยกมือ ก้าวเท้าเดิน จะนั่ง
จะนอน..รู้สึกกลัว รู้สึกร้อน รู้สึกหิว
รู้สึกลึกตื้น ใกล้ไกล มืดสว่าง..ฯลฯ
..นี่เป็นสังขาร หรือคิดตามสัญชาติ
สั่งการทั้งสิ้น..
..คิดตามสัญชาติญาณนี้
จะเกิดควบคู่กับอาการของจิต..
..จึงควรตระหนักรู้ทันทีทันใดๆ..
4. ตระหนักรู้ อาการของจิต ทันทีทันใด
อาการของจิต คือ..รู้สึกสัมผัส..
ทางทวารต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น
กาย ทางใจ..
..แครู้สึก..อะไรบางอย่าง..
ตาก็ไม่ใช่..รูปก็ไม่ใช่..
หูก็ไม่ใช่..เสียงก็ไม่ใช่
จมูกก็ไม่ใช่..กลิ่นก็ไม่ใช่
ลิ้นก็ไม่ใช่..รสก็ไม่ใช่
กายก็ไม่ใช่..เย็นร้อนอ่อนแข็ง ก็ไม่ใช่
ใจก็ไม่ใช่..รู้สึกนึกคิด ก็ไม่ใช่
..เพียงอาการ..
..ควรตระหนักรู้ อาการของจิต
แต่อย่าไปยึดถือไว้...
..เมื่อตระหนักรู้แจ้งชัดแล้ว..
ก็ไม่ต้องสนใจอีกต่อไป..
รู้ นั้น จึงหยั่งลงที่จิต
..ซึ่งก็ไม่ใช่จิต..แค่รู้..
"แค่รู้ นั้น ปราศจากสิ่งใดๆ
ไปให้ค่าได้อีกแล้ว.."
"..เขียนมาเสียยืดยาว..
การแสดงธรรมจากสภาวะมาเป็น
สมมุติภาษานั้นมันยากมากๆ..
ต้องกลั่นกรองเรียบเรียงเพื่อให้ท่าน
เข้าใจในสิ่งที่ไม่มีภาษาสมมุติ..
..ท่านกรุณาอ่านให้ละเอียดรอบคอบ
เพื่อให้ได้ประโยชน์
และอย่านำไปเทียบเคียงกับ สังขารธรรม
ที่บัญญัติไว้ในตำรา..ไม่ได้เด็ดขาด
..จะทำให้มืดบอดทางปัญญาทันที
..ที่เขียนนี่ก็เป็นเพียงสังขารธรรม..
เพียงเพื่อให้ท่านเกิดปัญญา
ตระหนักรู้ไปเรื่อยๆ..จนกระทั่ง
รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรม
นั้นถือว่าจบกิจสิ้นสงสัย ไม่ต้อง
เวียนเกิดเวียนตายกันอีกต่อไป
..เจริญธรรม..
"ระวังโดนมายาจิตหลอก"
ท่านที่ผ่านด่าน"อวิชชา"ไปไม่ได้
เพราะตกหลุมพรางของมายาจิต
หรือจิตสังขาร
อะไรที่กลัว..อะไรที่รักชอบ..
อะไรที่เชื่อ..อะไรที่ศรัทธา..
อะไรที่ห่วงหวง..อะไรที่ค้นหาต้องการ..
มายาจิตจะแสดงเป็นสิ่งนั้นให้เธอหลงยึด..
เช่น..
แสดงเป็นมาร..เพื่อให้กลัว
แสดงเป็นพุทธ..
เพื่อให้เชื่อศรัทธา
แสดงเป็นครูบาอาจารย์..
เพื่อให้เชื่อในคำสอน
แสดงเป็นสตรีงาม บุรุษงาม
เพื่อให้หลงรักในกามโลกีย์
แสดงเป็นกุศล ความดีงาม
เพื่อให้ติดในความดี
แสดงเป็นปัญญาญาณ
เพื่อให้ติดยึดในความมีปัญญา
แสดงเป็นนิมิตจิตที่อัศจรรย์
เพื่อให้หลงติดในจิต
แสดงเป็นนิพพาน
เพื่อให้เข้าใจว่านิพพานแล้ว
"เธอจงรู้ทันมายาจิตเหล่านี้"
อะไรที่ยังมีความหมายให้ค่าได้
รู้เห็นได้ว่าเป็นอะไร....นั่นเป็นมายา..
..เจริญธรรม..
เรื่องนี้สำคัญจงฟังให้ดีนะครับ!!!
..เธอผู้ที่เดินถึงปลายทาง
แต่ยังข้ามฝั่งไม่ได้..
..คือถึงความว่าง เห็นว่าไม่มีอะไร
ไม่เป็นอะไร ไม่เหลืออะไร อารมณ์ดับแล้ว สมมุติสัญญาดับให้เห็นแล้ว
เป็นครั้งคราว..
(ใครไม่ใช่ก็อ่านผ่านๆไปนะครับ)
..แต่จริงๆแล้ว ยังมีอัตตา ตัวตนสำคัญมั่นหมายอยู่..จึงประจักษ์แจ้งพระนิพพานไม่ได้..
..เธอต้อง นอบน้อม น้อมใจลง ศิโรราบ ต่อพระรัตนตรัยภายนอกก่อน คือพระพุทธองค์ พระธรรมคำสอน และพระอริยะสงฆ์ ที่เป็นครูบาอาจารย์
..จึงจะบรรลุถึงพระรัตนตรัยภายใน
หรือประจักษ์แจ้งพระนิพพาน
เพราะทิฏฐิมานะ อัตตาได้สลายตัวไป..
..เธอบางคน เที่ยวเก็บเกี่ยวความรู้
ธรรมคำสอน จากในเฟสบ้างในยูทูปบ้าง ในตำราบ้าง แล้วนำธรรมคำสอนนั้นไป
เจริญสติเจริญปัญญา..จนอยู่กับรู้
รู้เห็นว่าง เห็นความไม่มีไม่เป็น..
จิตเบาคลายจากกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว..แต่ยังติดทิฏฐิมานะ อัตตา
ที่เธอคิดว่าต้องบรรลุด้วยตนเอง
จึงขาดความศรัทธาต่อพระรัตนตรัย
..จุดนี้สำคัญ..ทำให้โพธิปักขิยธรรม
ไม่เต็มรอบ ไม่สมบูรณ์..
..ใช่..ทุกคนต้องบรรลุด้วยตนเอง
แต่หากเธอไม่เป็นโพธิจิตหรือพุทธภูมิ
ต้องมีครูบาอาจารย์ที่เป็น"พระอริยะเจ้า"
เท่านั้น เป็นผู้ชี้ธรรม..!!
..หากเธออ่านแล้วเข้าใจ..
ก็จงนอบน้อม น้อมใจลง ศิโรราบ
ต่อพระรัตนตรัยภายนอก..ให้ครบถ้วน..
คือพระพุทธองค์ พระธรรมคำสอน
และพระอริยะสงฆ์
..หากยังไม่มีครูบาอาจารย์ที่ชัดเจนจงนอบน้อม น้อมใจศิโรราบต่อ
ครูบาอาจารย์ "ที่เป็นพระอริยเจ้า"
จะเป็นภิกษุสงฆ์ หรือฆราวาสก็ได้
(ความเป็นพระ ไม่เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม) สักท่านหนึ่ง ให้ท่านชี้ธรรม..
..นั่นหละเธอจะประจักษ์แจ้งพระนิพพาน..
..เจริญธรรม..
"นิพพานคือบ้านเดิมที่เราจากมา
บ้านที่เป็นอิสระอมตะสุขนิรันดร์"
..นานมาแล้วเมื่อเราเดินหลงเข้าไป
ในกลมายาของจิตสังขาร
จึงถูกกักขังอยู่เนิ่นนานยาวไกล
เป็นอสงไขย์ เป็นกัปป์ เป็นกัลล์
..จิตสังขารคือ
องค์ประกอบหนึ่งของจิต
หรือเรียกว่าความคิดปรุงแต่ง
ที่เป็นตัวสร้างกลมายา
สร้างภพซ้อนภพขึ้นมากมาย
สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น สร้างตัวตน
ปลอมๆที่เป็นเราซ้อนเราขึ้นมา
ทั้งแบบหยาบๆ และแบบละเอียด
ทั้งสวยงามสุขสบาย น่ารื่นรมสมใจ
และน่าหวาดหวั่น ไม่รื่นรม ไม่สมใจ
..เมื่อเราตัวจริงเข้าใจผิด..
ไปหลงยึดติดในเราตัวปลอม
จึงถูกกักขังอยู่ในข่ายของกลมายา
ที่โมเมไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่
ความคิดปรุงแต่งสร้างขึ้นในโลกนี้
และโลกอื่นๆ เป็นของจริง มีอยู่จริง..
ที่จะต้องยึดถือมั่นหมาย พึ่งพาอาศัย
จึงลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่กับของปลอมๆ
ที่มีแต่ความแปรปรวน ไม่แน่นอน หมุนเวียนแต่งเติมอยู่ พร่องอยู่เป็นนิจ
ตายเกิด เกิดตายซ้ำๆ เกินจะนับได้
นี้เรียกว่า กรงแห่งความทุกข์
..เพราะความหลงผิดไม่ยอมเปิดตา
ให้เห็นประจักษ์แจ้งในความจริง
ของกระบวนการของกลมายา
จึงถูกกักขังอยู่ในกรงที่เป็นวงจร
แห่งทุกข์อยู่ต่อไปอีกกี่กัปป์กี่กัลล์...
เหตุนี้..เราจึงกลับบ้านเดิมแท้
ที่เป็นอิสระอมตะสุขนิรันดร์ ไม่ได้
..เจริญธรรม..