"วิธีการปฏิบัติธรรม"
แต่ก่อนพระอาจารย์ได้บอก วิธีการปฏิบัติธรรม ให้แอดมินฟังว่า
พระอาจารย์ : ถ้าเราต้องการเข้าถึงความสงบที่แท้จริง เราต้องทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่สงบ ไม่ใช่ไปแสวงหาความสงบ หรือพยายามทำให้ใจมันสงบ โดยไม่ทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่สงบ
- ถ้าเราต้องการเข้าถึงความว่างที่แท้จริง เราต้องทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่ว่าง ไม่ใช่ไปสร้างความว่างขึ้นมา หรือพยายามทำใจให้ว่าง โดยไม่ได้ทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่ว่าง
- ถ้าเราต้องการพ้นทุกข์ เราต้องทิ้งสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ ไม่ใช่ไปไหว้พระสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิ ไปเดินจงกรม โดยไม่ทิ้งสิ่งที่เรารัก เราหลง เราอยาก เราวุ่นวาย
เมื่อเราทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่ว่าง ทิ้งสิ่งที่ทำให้เราไม่สงบ และทิ้งสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ได้หมดแล้ว เราก็จะพบกับความว่างและความสงบที่แท้จริง
สิ่งที่ทำให้เราไม่ว่าง ไม่สงบ และเป็นทุกข์ คือ สิ่งที่เรายึด เรารัก เราหวง เราอยาก และความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
พระอาจารย์กำชับแอดมินให้บันทึกสิ่งที่ท่านบอก และให้อ่านบทความที่บันทึกไว้บ่อยๆ ว่างเมื่อไหร่ก็ให้อ่าน โดยไม่ต้องไปอ่านธรรมะอย่างอื่นอีก
--------------------------
"สงบ" เพราะ "ทิ้ง"...สิ่งที่ตนยึด ตนบ้า ตนหลง ตนอยาก
ไม่ใช่สงบเพราะพยายามทำให้สงบ โดยไม่ได้ทิ้งสิ่งที่ตนยึด ตนบ้า ตนหลง ตนอยาก
“ทุกข์ก็อันหนึ่ง” เหตุแห่งทุกข์ก็อันหนึ่ง ”ผู้ทุกข์ก็อันหนึ่ง”
เมื่อเรารู้ว่าอะไรที่เป็นเหตุให้เราทุกข์
“เราก็ละที่เหตุแห่งทุกข์อันนั้น”
คติธรรมคำสอนขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
วิถีทางภาวนานี้
เป็นวิถีของคนที่ไม่ต้องการ ไม่หวังในสิ่งใดๆ
เพียงรับรู้ยอมรับสิ่งที่เป็นในปัจจุบัน
ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ไม่ไปหน้าไม่ไปหลัง
ความสำเร็จ ความรู้แจ้งจะปรากฏขึ้นมาเอง
แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำอะไร
แต่ทำโดยที่ไม่กระทำ...ทางใจ ด้วยความอยาก
มุ่งตรงต่อเป้าหมาย แต่ไม่คาดหวัง
เมื่อถอนความทะยานอยากได้เสียแล้ว
ย่อมหมดเรื่องจะเป็น จะมี
จะรักษาความเป็นในสิ่งใดๆ
เราเองถูกจองจำอยู่กับกองทุกข์
ก็เพราะความอยากของเราเองนะ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ธรรมที่ปฏิบัตินี้ พระพุทธเจ้าว่าให้ยึดสุข เบื้องแรก
ให้ยึดสุข ยึดเรื่อยไปเถอะสุข แต่ยึดด้วยปัญญาของ
มัน ยึดไปเรื่อยๆ แม้ว่ามันจะมีทุกข์เกิดขึ้นมา ถึงมัน
หนักเราก็ไม่ยอมปล่อยมัน ไม่ยอมวางมัน เพราะอะไร
เพราะเราคิดว่าของนี้มันดี ของนี้มันถูกอย่างนี้
ยึดเรื่อยไป ถ้าเขาว่าอันนี้ไม่ดี เราก็ไม่ทุกข์ อันนี้ไม่
ถูก เราก็ไม่ทุกข์ มันก็ตั้งมานะให้เกิดขึ้นตรงนั้น
อีกแหละ
ดังนั้น อารมณ์ที่มันกระทบอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเราพิจารณา
เข้าไปมันเป็น บุญคุณที่สุด ที่จะปลุกตัวของเราให้ตื่นขึ้นมาดูอะไรต่าง ๆ ให้มันซาบซึ้งต่อไป ให้มันรู้เรื่อง
มัน ที่เราไม่สบายก็เพราะว่าเราอยาก ให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ คําที่ว่าไม่อยาก นั่นแหละ
คืออยาก ที่ว่าไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ เราไม่ชอบนี่คือ
อยากล่ะ ไม่อยากน่ะมันกลับเป็นอยาก เป็นกิเลส
มันเป็นตัณหา อย่างเราเบื่อมัน ไม่อยากรู้มัน ไม่อยาก
เห็นมัน นี่ก็นึกว่าเราเบื่อ มันจึงเพิ่มความกําหนัดขึ้น
เพื่อความหลงขึ้นเท่าตัว มันอย่างนี้
คําว่า " ความอยาก " หรือ " ความไม่อยาก "
สองอย่างนี้มันเป็นภาษา ทําให้คนรู้สึกเท่านั้นแหละ
ถ้าพูดถึงธรรมะที่พระองค์ท่านตรัสแล้ว จริง ๆ นั้นมัน
ก็เท่า ๆ กัน ความอยากนี้มันเป็นโทษ เหมือนกันกับที่
ว่า ความไม่อยากนี้ก็เป็นโทษ ที่ว่าไม่อยากหรืออยาก
นี้ มันอยากด้วยความโง่ ไม่อยากก็ไม่อยากด้วยความ
โง่ คือมันผิดน่ะ เป็นทุกข์
เราจะไปวางของทั้งหลายเหล่านี้ ที่ปฏิบัติไปนี้
มันถึงมองไม่ออก มันไปยึดมั่นถือมั่น ถือรั้นอยู่ไม่หยุด
นั่นแหละ มันก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นมาได้ ความเป็นจริง
นั้น สิ่งที่มันถูก หรือ สิ่งที่มันผิด สิ่งที่มันสุขมันทุกข์
นั้น ไม่ใช่สิ่งที่สงบนะ.
ตลอดเวลาของการปฏิบัติ
เราไม่ต้องไปสงสัย
หรือพยายามหาความหมาย
อะไรมาก
เพียงแต่ใส่ใจการกระทำทุกขณะๆ
ให้มากเท่านั้นเอง
จะเดิน จะกิน จะนั่ง จะนอน จะหยิบ
พยายามใส่ความรู้สึกลงไปชัดๆ
แต่ถ้ามันมีอะไรมาฉุดรั้ง
จิตของเราออกจากปัจจุบันไป
ก็ให้รู้ว่ากรรมมาอีกแล้ว
กรรมมาจากยึด
ยึดมาจากอยาก
อยากมาจากเพลิน
เพลินมาจากเผลอ
เราระวังความเพลินความเผลอ
ก็ไม่ไปสร้างกรรม
เราห้ามไม่ได้ แต่ให้รู้ทัน
ยุงไปห้ามไม่ให้มันมาเกาะไม่ได้
เรารู้ทัน ก็ป้องกัน
ขโมยตามหมู่บ้านต่างๆ
เราห้ามไม่ได้ แต่รู้ทันได้
โรคภัยไข้เจ็บ เราห้ามไม่ได้
แต่เรารู้ทัน แก้ไขป้องกันมันก็ไม่เกิด
ความคิดและอารมณ์ต่างๆ
ห้ามไม่ได้ แต่รู้ทันและแก้ไขได้
ความเจ็บปวดของร่างกาย
ขณะที่เรายืน เดิน นั่ง นอน ห้ามไมได้
แต่เรารู้ทันและแก้ไขได้
การรู้ทันและแก้ไข คือตัวปัญญา
คนจะล่วงทุกข์ได้ด้วยปัญญา
ถึงที่สุดได้ด้วยความเพียร
Direk Saksith
< อนุสัย ๗ อย่าง >
อนุสัย หมายถึงกิเลสอย่างละเอียดที่ตามนอนเนื่องอยู่ในจิตตสันดานของสัตว์ทั้งหลาย
เป็นประจำ ต่อเมื่อใดได้เหตุอันสมควรแล้ว ก็ปรากฏขึ้น เมื่อนั้น
๑. กามราคานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกำหนัด ติดใจในกามคุณอารมณ์]
๒. ปฏิฆานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกระทบกระทั่งแห่งจิต (ไม่พอใจในอารมณ์)]
๓. ทิฏฐานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความเห็นผิด]
๔. วิจิกิจฉานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความสงสัยลังเลใจในสิ่งที่ควรเชื่อ]
๕. มานานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความโอ้อวด ถือตัว]
๖. ภวราคานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความกำหนัด ยึดติดในภพ]
๗. อวิชชานุสัย
[สภาพที่นอนเนื่องในสันดานคือความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง]
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๒๒๕
☀️ จบภพชาติ ☀️
จิตเดิมแท้เหมือนดั่งพระอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่ความยึดถือในปัจจุบันขณะด้วยความดิ้นรนค้นหา ความอยาก อยาก ๆ ๆ ในทางโลก หรืออยากในทางธรรม ล้วนเอาเมฆมาบังพระอาทิตย์พระจันทร์หมด
ความอยากนั้นแหละเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวล สิ้นความอยาก “เหตุ” แห่งความทุกข์ก็ดับ ให้รู้เท่าทันเหตุ ไม่ใช่ไปสร้างเหตุแห่งความทุกข์ คือความอยาก ๆ ๆ เมื่อสิ้นความอยาก ความทุกข์ทั้งหลายก็ดับไป
เราต้องทำเหตุด้วยตัวเอง เห็นว่าความอยากความยึดถือนั้นคือเมฆ เป็นของจรมา มันไม่ได้เป็นของที่อยู่ในจิตเดิมแท้ เหมือนกับเมฆ มันไม่ได้อยู่ในดวงอาทิตย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อุปกิเลส” กิเลสเป็นของจรมา เหมือนเมฆมาบังพระอาทิตย์
จิตเดิมแท้ "ปภัสสรังจิตตัง" มีความเป็นประภัสสรเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ หรือพระจันทร์วันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ แต่เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) มีความอยาก ความยึดถือ ก็เลยไปเอาเมฆมาบังใจ มันแค่บังเฉย ๆ พอรู้เท่าทันปุ๊ป! เมฆทั้งหลายก็ละลายไป จิตเดิมแท้ก็คงเป็นจิตเดิมแท้ แต่เพราะความไม่รู้มันก็ยึดเมฆไว้นั่นแหละ แต่พอรู้เท่าทันซะแล้ว เมฆนั้นก็ไม่มีความหมายต่อใจ
สิ่งใดเมื่อมันจรมาเอง มันย่อมไปของมันเอง ไม่ใช่เราเป็นคนไปขับไล่ไสส่งมัน เพราะเราไม่ได้เอามันเข้ามา แม้แต่ความยึดความอยาก "กิเลส" เราก็ไม่ได้เอาเข้ามา แต่มันเกิดขึ้นเอง เมื่อไรที่เราเห็นว่ากิเลสมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง มันจรมาเอง เมื่อมันจรมาเอง มันก็มีหน้าที่ต้องดับไปเอง
เหมือนเมฆที่ลอยมา ก็ไม่จำเป็นต้องรีบไปกวาดเมฆให้มันออกไปจากพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ เมื่อมันจรมาเอง ไม่มีใครต้องไปทำลายเมฆ ให้มันออกไปจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เมฆนั้นมันก็ต้องผ่านไปของมันเอง
ด้วยความรู้สัจธรรมอันนี้ สิ่งใดเกิดเอง จรมาเอง แม้แต่เป็นกิเลส สิ่งนั้นมันก็ย่อมดับไปของมันเอง "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ถ้าเห็นสัจธรรมอันนี้ปุ๊บ! บรรลุอรหันต์เลย
"ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ทำดับ ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้ เราก็ไม่ได้ทำเกิด และตอนเราจะตาย เราก็จะไม่จำเป็นต้องฆ่าตัวตาย เพราะตอนเราเกิดมาเราก็ไม่ได้ทำตัวเราเกิดมา
เมื่อมันเป็นธรรมชาติที่เกิดของมันเองด้วยเหตุปัจจัย สิ้นเหตุปัจจัยมันก็ดับไปของมันเอง
นี้คือ "เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมฺโณ"
"ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ"
เมื่อเหตุดับผลก็ดับ เมื่อเหตุเกิด ผลยังเกิด เมื่อเหตุมี ผลก็ยังมี เมื่อสิ้นเหตุ ผลก็ไม่มี
กิเลสทั้งหลายเมื่อเราเห็นว่า เราไม่ได้เป็นผู้ทำเกิด พอเกิดมาเราไม่ได้เป็นผู้ตามใจมัน แล้วเราก็เห็นว่า มันจรมา เกิดเอง มันก็ดับไปของมันเอง ไม่มีใครไปทำให้มันเกิด และไม่มีใครไปทำให้มันดับ
ไม่มีคำพูด ไม่มีทั้งโง่และทั้งฉลาด ไม่มีทั้งปัญญาที่รู้แจ้ง เพราะไม่เหลืออะไรไว้เลย แม้แต่ปัญญาที่รู้แจ้งมันก็หายไป แต่มันก็เกิดขึ้นครั้งเดียว แล้วมันก็นิพพานตลอดกาล มันจึงไม่ต้องใช้ปัญญากันอีก
มันเพียงแต่ฟ้าผ่าลงใจครั้งเดียว "ปัญญาวิมุตติ" ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ลงที่กลางใจครั้งเดียว ปัญญานั้นก็ดับไป แต่ใจบรรลุนิพพานไปแล้ว
ตรงที่ไม่มีคำพูด ไม่มีเหตุผล ไม่มีสมมุติและวิมุตติ ไม่มีทั้งปัญญาที่ฉลาด และไม่มีทั้งความโง่ ไม่มีโลก ไม่มีธรรม
มันเป็นความรู้ ออกมาจากใจที่ไร้คำพูด ไร้สมมติ ไร้โลก ไร้ธรรม มันไม่มีสมมติว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีทั้งผู้ยึดถือ และไม่มีทั้งผู้ปล่อยวาง
เพราะมันไม่มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ของ ๆ เรา ... อนันตกาล ...
มีแต่ความรู้ที่ถูกต้อง ความรู้อันเดียวคือรู้ว่า .....
บัดนี้สิ้นผู้เสวยแล้ว
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
*** ภพชาติใหม่ไม่มี
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 7 มกราคม 2563
“ตัณหา” เป็นเหตุแห่งทุกข์
จึงไม่หลุดพ้นไปจาก “วัฏฏสงสาร”
.
….. “ คําว่า “วัฏฏสงสาร” นั้นอย่าเพ่อไปเข้าใจว่า เป็นเรื่องการเวียนวน ชาติโน้น ชาตินี้ ชาตินั้น แต่อย่างเดียว ที่แท้จริงกว่านั้นเป็นเรื่องการวนเวียนของสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ความอยาก – การกระทําตามความอยาก – ผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่ได้มาจากการกระทํานั้น - แล้วไม่สามารถหยุดความอยากได้ เลยต้องอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป แล้วก็กระทําอีก – ได้ผลมาอีก เลยส่งเสริมความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก เป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด. ท่านเรียกว่า “วัฏฏะ” หรือ “วัฏฏสงสาร” เพราะเป็นวงกลมที่เวียนวนไม่มีที่สิ้นสุดลงได้
….. คนเราต้องทนทุกข์ทรมาน ก็เพราะติดอยู่ในวงกลมนี้เอง ถ้าใครหลุดออกไปจากวงกลมนี้ได้ ก็เป็นอันว่าพ้นไปจากความทุกข์ทุกอย่างโดยแน่นอน (นิพพาน)
….. ไม่ว่ากระยาจกเข็ญใจ เศรษฐี มหากษัตริย์ จักรพรรดิ เทวดา พรหม หรือจะเป็นอะไรก็ตามที ล้วนแต่ตกอยู่ในวงกลมนี้ทั้งนั้น จะต้องมีความทุกข์ทรมานชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับความอยากของเขา ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ในวัฏฏสงสารนี้เต็มไปด้วยความทรมานอันใหญ่หลวง. ศีลธรรมหรือจริยธรรมนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาข้อนี้ได้เลย เราจึงต้องพึ่งตัวแท้ของพุทธศาสนาที่เป็นหลักธรรมชั้นสูงให้แก้ไขในเรื่องนี้โดยเฉพาะทีเดียว ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่า ความทุกข์นั้นมาจากความอยาก สมดังที่พระพุทธเจ้าท่านจัด “ความอยาก” ไว้ในเรื่องอริยสัจจ์ข้อที่ ๒ ในฐานะเป็นมูลเหตุให้เกิดความทุกข์ต่างๆโดยตรง ( สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ความอยาก / ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ )
….. ความอยากมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างแรก เรียกว่า “กามตัณหา” อยากในสิ่งน่ารักใคร่พอใจ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อะไรก็ได้. อย่างที่สอง เรียกว่า “ภวตัณหา” คือความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่ตนอยากจะเป็น. อย่างที่สาม เรียกว่า “วิภวตัณหา” คือความอยากไม่ให้มีอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนี้ หลักเกณฑ์ข้อนี้กล้าท้าให้ใครๆพิสูจน์หรือแย้งอย่างไรก็ได้ว่า ยังมีความอยากอะไรอีกบ้างนอกเหนือไปกว่า ๓ อย่าง ที่กล่าวมานี้
….. ท่านทั้งหลายจะมองเห็นว่า เมื่อมีความอยากที่ไหน ก็มีความร้อนใจที่นั่น และเมื่อต้องกระทําตามความอยาก ก็ย่อมมีความทุกข์ตามส่วนของการกระทํา; ได้ผลมาแล้วก็หยุดอยากไม่ได้ คงอยากต่อไป ต้องมีความร้อนใจต่อไปอีก เพราะยังไม่เป็นอิสระจากความอยาก ยังต้องเป็นทาสของความอยาก ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า คนชั่วทําชั่วเพราะอยากทําชั่ว มันก็มีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว คนดีอยากทําดีตามประสาของคนดี
….. แต่ข้อนี้ อย่าเพ่อเข้าใจว่าเป็นการสั่งสอนให้เลิกละจากการทําความดี เฉพาะในที่นี้ประสงค์จะชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์นั้นมีอยู่ หลายระดับ ละเอียดจนคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยสติปัญญาของบุคคลประเภทพระพุทธเจ้าซึ่งชี้ให้เห็นว่า เราจะพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงด้วยลำพังเพียงการกระทำความดีอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ ยังจะต้องทำบางสิ่งที่ยิ่งหรือเหนือไปจากการกระทำความดี ซึ่งได้แก่ การทำจิตให้หลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของความอยากทุกชนิดนั่นเอง”
.
พุทธทาสภิกขุ
ตัณหาดับ ทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม
เสี้ยววินาทีเดียว จะไปหาเหตุหาผลกับมันให้ได้ มันก็กลายเป็นว่า
มันมี "ตัวเรา" เป็นผู้เข้าไปหาเหตุหาผล... เพื่อประโยชน์ตัวเรา
ที่เราจะไปได้อะไร จะไปเอาอะไร
จะไปบรรลุอะไร จะไปสำเร็จอะไร
มันก็เลยกลายเป็นว่าเราเดินทางอยู่ในฝ่ายกิเลสเป็น "อวิชชา ตัณหา อุปาทาน"
คือ เดินทาง "ตรงข้าม" พระนิพพาน
เราก็เลยทุกข์เลยเครียด
เราทุกข์เพราะว่าเราเป็นผู้กระทำภายในใจ
เมื่อสิ้นการแอบกระทำอะไรภายในใจ
เพื่อ "ผลประโยชน์" ตัวเรา
ใจมันก็ค่อย ๆ สรุปได้ และมันรู้ได้เห็นได้ด้วยใจของตัวเอง ด้วยเหตุผลของมันเองเลยว่า ... อ้อ ... ด้วยเหตุผลตื้น ๆ ง่าย ๆ อย่างนี้เลยว่า...
มีความ "ทุกข์" ก็เพราะมี "สมุทัย" หรือเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เพราะว่าความคิด ความดิ้นรน ความปรุงแต่ง ความดิ้นรนทะยานอยาก มันเลยเป็น "สมุทัย" เป็นทุกข์
"เหตุแห่งทุกข์" ทั้งมวลดับก็เพราะว่า "เหตุแห่งกิเลสตัณหา" มันดับ
ความดิ้นรน ความทะยานอยาก ให้มันถึงให้มันได้ให้มันเป็น ให้มันบรรลุให้มันสำเร็จ
กลัวว่าเดี๋ยวจะไม่สำเร็จ กลัวว่าจะเป็นโน่นเป็นนี่
คือ ความดิ้นรนทะยานอยากในใจน่ะ มันหายไป
ความทุกข์ทั้งมวลมันก็เลยหายไป
"ทุกข์" กับ "สมุทัย"
"มรรค" กับ "นิโรธ" มันก็อยู่คู่กัน
คือ พอดิ้นรนขึ้นมาจะเอาๆ จะเป็นกิเลสตัณหาขึ้นมา ความทุกข์ก็เกิด
ความดิ้นรนกระเสือกกระสนที่เป็นกิเลสตัณหาดับไปความทุกข์ทั้งมวลก็ดับไป
ธรรมะมันก็ตรงไปตรงมา
"เหตุแห่งทุกข์" มีอยู่ "ความทุกข์" ย่อมมีอยู่
"เหตุแห่งทุกข์" ดับไป "ความทุกข์" ทั้งมวลก็ดับไป
"ตัณหา" เป็นเหตุแห่งทุกข์
ตัณหาเป็น "สมุทัย" ใหญ่
ตัณหา "ดับ" ความทุกข์ทั้งมวล ภพชาติ การเวียนว่ายตายเกิดทั้งมวลดับพร้อมหมดเลย
"... ตัณหักขะโย นิโรโธ โหติ ... "
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
< อุปมาแห่งกาม >
★1. กามเปรียบเหมือนสุนัขหิวแทะท่อนกระดูกเปื้อนเลือด
คือ ยิ่งแทะ ยิ่งเหนื่อย อร่อยแต่ไม่เต็มอิ่ม เหมือนความสุขทางเนื้อหนัง ไม่เคยอิ่มจริงๆสักที สุขแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็หิวกามอีก
★2. กามเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อที่แร้งหรือเหยี่ยวคาบบินมา
คือ ต้องถูกแย่งชิงโดยนกกาตัวอื่น ต้องต่อสู้ปกป้องตลอดเวลา
มีทรัพย์มากก็กลัวโจรแย่งชิง มีคนรักก็ต้องคอยหึงหวง ยิ่งสวย ยิ่งหล่อก็ยิ่งมีคนอยากแย่งชิง
★3. กามเปรียบเหมือนคนถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าลุกโพลงเดินทวนลมไป
คือ ถือได้ไม่นานก็ต้องทิ้งไป มิฉะนั้นจะไหม้มือ แถมถูกควันไฟรมเอาตลอดเวลาที่ถือ เหมือนยศถาบรรดาศักดิ์ มีไว้ก็เหนื่อยในการรักษา กลัวคนเลื่อยจากเก้าอี้ ต้องเอาใจเจ้านาย เอาใจประชาชน แต่สุดท้ายก็ต้องสละทิ้งหมด
★4. กามเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันร้อนแรง
คือ ที่ใดมีรัก ที่นั้นก็มีทุกข์ ใจเหมือนไฟเผาผลาญตลอดเวลา รักมากก็ทุกข์มาก
★5. กามเปรียบเหมือนความฝัน
คือ เห็นแต่ความสุข แต่ไม่เคยพบจริงๆ เหมือนชีวิตคู่ที่วาดหวังจะมีความสุขข้างเดียว แต่พอพบความจริง กลับเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยลำบากในการครองเรือน
★6. กามเปรียบเหมือนสมบัติที่ยืมเขามา
คือ กามไม่อยู่กับเราตลอด มันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา หมดบุญก็ครอบครองไม่ได้
★7. กามเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีผลดกอยู่ในป่า
คือ ใครผ่านไปมาก็เข้ามาเด็ดผลหักกิ่งตามใจชอบ ใครเป็นเจ้าของก็ต้องลำบากในการระวังรักษา
★8. กามเปรียบเหมือนเขียงสับเนื้อ
คือ ชีวิตคฤหัสถ์ต้องถูกโขกสับตลอดเวลา ลำบากในการหาทรัพย์ กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ
★9. กามเปรียบเหมือนหอกและหลาว
คือ ไปเกี่ยวข้องต้องประสบทุกข์สาหัส ใจเหมือนโดนทิ่มแทง
ทุกข์เพราะรัก ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ล้วนเจ็บปวดสาหัส
★10. กามเปรียบเหมือนหัวงูพิษ
คือ กามมีภัยมาก ไม่ระวังอาจถูกฉกกัดถึงตายได้ กามนำภัยมาสู่ตน เช่น ติดเอดส์ นำไปสู่อบาย เป็นต้น
★กาม ตรงข้ามกับ การประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งมีอานิสงส์ดังนี้
1. ทำให้ปลอดโปร่งใจ ไม่ต้องกังวล หรือระแวง
2. ทำให้เป็นอิสระเหมือนนกในอากาศ
3. ทำให้มีเวลามากในการทำความดี
4. ทำให้เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย
5. ทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญรุดหน้าไม่ถอยกลับ
6. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยง่าย
< ตัณหา 3 >
ตัณหา คือ ธรรมชาติที่มีความอยากได้และยึดติดในอารมณ์ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
1) กามตัณหา-อยากได้และยึดติดในกามคุณ5 ทางรูป, เสียง, กลิ่น,รส, สัมผัส, ธัมมารมณ์
2) ภวตัณหา- ความยินดีและยึดติดในภพ (รูปภพ/รูปฌาน, อรูปฌาน/อรูปภพ) ซึ่งประกอบด้วยความเห็นว่าเที่ยง ที่เรียกว่า "สัสสตทิฏฐิ"
3) วิภวตัณหา- ความยินดีและยึดติดในความไม่มีภพ ขาดสูญ เช่น เข้าใจว่าตายแล้วสูญ เรียกว่า "อุจเฉททิฏฐิ"
ตัณหา นี้แหละเป็นตัวสร้างภพในวัฏฏะ
พระพุทธองค์ทรงพบแล้วจึงตรัสว่า...
"เราแสวงหา นายช่างคือ" ตัณหา" ผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารสิ้นชาติมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป
ดูกรนายช่างผู้สร้างเรือน บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือนให้เราอีก
โครงสร้างเรือนของท่าน เราก็หักเสียแล้ว
ยอดเรือนคือ อวิชชา เราก็รื้อออกแล้ว
จิตเราถึง วิสังขาร คือพระนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป เพราะเราได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว "
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้ตรัสพระคาถาข้างต้น พระพุทธองค์ทรงบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหา พบนายช่างผู้สร้างภพชาติ
สำหรับพวกเรา บ้านของเราขณะนี้ ตัณหาเป็นผู้สร้างและจะสร้างต่อๆไปอีก เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับตัณหา
พระพุทธองค์ทรงบอกทางแก่พวกเราแล้ว เป็นหนทางสายเดียวเท่านั้นคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ การอบรมเจริญสติปัฏฐานซึ่งมรรคองค์แรกคือ สัมมาทิฏฐิ เริ่มจากการมีความเห็นถูกในหนทางซึ่งก็ไม่พ้นไปจากการเห็นถูกเข้าใจถูกใน (อริยสัจจ์4)สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา อบรมเจริญสติปัฏฐานจนกว่าจะดับตัณหาหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ไม่มีผู้สร้างเรือนให้อีกต่อไป (หยุดการเกิดอีกต่อไป)...
🌻🌲❤️🌳😄