พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 26 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 345 **ผู้ไม่ใช่พระอรหันต์ มีคุณวิเศษได้หรือไม่**
+ +
ในเช้าของวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ตามที่ลูกได้ฟังธรรมในรูปแบต่างๆ สายต่างๆในการประพฤติปฏิบัติ และสิ่งที่องค์พระอรหันต์แต่ละสายท่านนั้นมี ท่านนั้นมีสภาวธรรมต่างๆนั้นแล้ว..
ลูกก็พอจะเข้าในเรื่องขององค์พระอรหันต์ในแต่ละรูปแบบ น่ะเจ้าค่ะ
แต่ทีนี้ ลูกก็เกิดความสงสัยอีกว่า ถ้าเกิดว่า ดวงจิตที่ไม่ได้สำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ แต่ตั้งใจปฏิบัติและกำลังฝึกฝนทำความดี ทำความเพียรอยู่ จะสามารถเกิดสิ่งที่เรียกว่าคุณวิเศษ เช่น มีหูทิพย์ ตาทิพย์ จะสามารถเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น แก่ดวงจิตเหล่านั้น ที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้หรือเปล่า..
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. เครื่องมือที่ไว้ใช้สำหรับชำระระล้างกิเลส หรือคุณวิเศษที่ได้กล่าว
ที่มีในองค์พระอรหันต์ทั้ง 4 สายนั้น..
สามารถเกิดขึ้นได้ กับบุคคล ผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ หรือตั้งใจฝึกฝนการทำสมาธิ
เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มันเป็นเครื่องมือ
.. ย่อมต้องเกิดขึ้นได้ - ตามเหตุของบุคคลที่ฝึกจนเข้าถึงสิ่งนั้น - ที่จะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ++
ทั้งนี้ ก็เพื่อจะได้เอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - มาช่วยตนในการปฏิบัติ ชำระกิเลส **
ฉะนั้น.. จึงสามารถเกิดขึ้นได้
เพียงแต่การเกิดขึ้นนั้น มันก็มีความละเอียดอ่อน ที่ต้องแยกออกจากกัน.. ให้ละเอียดลึกเข้าไป..
และคุณวิเศษ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น -ก็จะยังไม่ชัดเจน
-- ไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแท้จริง เหมือนกับการที่เกิดกับองค์พระอรหันต์ **
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้นคำตอบ ก็คือ.. คุณวิเศษเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ *
-- แต่จะไม่ละเอียดเท่าองค์พระอรหันต์ / หรือการมีคุณวิเศษอยู่ในองค์พระอรหันต์ ++
< เพราะองค์พระอรหันต์ ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว - ท่านย่อมมีปัญญาอยู่เหนือความลุ่มหลงทั้งปวง >
การมีคุณวิเศษใดๆก็ตาม.. ท่านย่อมอยู่เหนือคุณวิเศษเหล่านั้น
/ ไม่มีความคิดที่ปรุงแต่ง
/ ไม่มีความคิดแห่งเชื้อกิเลสและตัณหา
-- เข้ามาไปเจือปนอยู่ ในญาณรู้ต่างๆ / ในสิ่งที่ได้ที่มีเหล่านั้น..
ให้เกิดความเศร้าหมอง / เกิดไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ไม่ดี เป็นอันขาด !
และจะไม่มีการเอาสิ่งทั้งหลายมีเหล่านั้น - มาใช้ในทิศทางที่ผิด ที่ไม่ถูกต้อง
-- เพราะองค์พระอรหันต์ เป็นผู้รู้แจ้งแล้ว **
ฉะนั้น.. สิ่งที่ได้ ที่มี ที่เป็นนั้น จะได้ใช้ - ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็น
และไม่ได้ไปใช้.. เพื่อโอ้อวดใคร
จะคอยระมัดระวังในสิ่งที่ตนจะใช้ เพื่อที่จะได้ เป็นเครื่องมือ เครื่องช่วยตน
- ให้ช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้าง
- ให้ได้ดูแลตนบ้าง ตามเหตุตามปัจจัยอันสมควร
สิ่งใดก็ตาม พระยาธรรม.. หากปราศจากความลุ่มหลงแล้วนั้น
- ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์
สิ่งที่เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์..
- ย่อมไม่มีสิ่งมัวหมองเข้ามาเจือปน ในสิ่งเหล่านั้น
-- การจะทำให้ตกไปสู่จุดที่ต่ำนั้น - ย่อมไม่มี **
ฉะนั้น.. ญาณรู้ หรือเครื่องมือที่ได้มา - จะชัดเจน
และเป็นสิ่งที่จะไม่มีพิษมีภัย ไม่อันตรายแก่ใคร ทั้งนั้น ++
แต่ถ้าหากว่า เป็นพระอริยบุคคล ในระดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3
- ที่ยังไม่เข้าถึง ระดับที่ 4 - เป็นองค์พระอรหันต์
คือ พระอริยบุคคล อริยเจ้าใน 3 ระดับขั้นต้นนั้น - ย่อมมีคุณวิเศษเหล่านี้ได้
.. แต่อาจไม่ชัดเจนเหมือนองค์พระอรหันต์ลูก
และอาจเกิดความลุ่มหลงได้อยู่บ้าง
.. แต่จะเป็นความลุ่มหลงที่หลงไป เพียงเพราะว่า..
-- ตนนั้นจะต้องเรียนรู้ในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ที่มี ที่ได้มา เรียกว่า ลองผิดลองถูก
** แต่จะไม่ตกไปสู่จุดที่ต่ำ
เช่น เอาคุณวิเศษที่มีเหล่านี้ ไปใช้ไปทำ ในทางที่ไม่ดี..
เพราะองค์พระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับที่ 1 ขึ้นมา..
* ย่อมเป็นผู้มีปัญญา รู้เท่าทันกิเลส
* ย่อมเป็นผู้ ไม่ตกไปสู่จุดที่ต่ำ
รวมถึง ถ้าเป็นองค์พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมาแล้ว - ย่อมมีญาณรู้
.. ที่เป็นการรู้แบบแตกฉานในธรรมเข้าช่วย เช่น
/ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
/ รู้จักข้ออรรถข้อธรรม
จนตนนั้นสามารถที่จะหยิบเอาสิ่งเหล่านี้ - ที่เป็นการแตกฉานในธรรม เข้าช่วย
- ไม่ให้ตนลุ่มหลงกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นผลเกิดมาจากสมาธิ
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้แตกฉานในธรรม ถึงแม้จะไม่แจ่มแจ้ง ไม่เหมือนองค์พระอรหันต์
แต่หากเข้าสู่การเป็นพระอริยบุคคล การเป็นพระโสดาบันขึ้นไปแล้ว..
... ย่อมมีความรู้ มีสติ ที่พอจะยับยั้งความลุ่มหลงทั้งปวง - ไม่ให้ตนตกไปสู่ในจุดที่ต่ำ **
ฉะนั้น.. ถ้าหากว่าฝึกทำสมาธิ จนเกิดความเป็นทิพย์ขึ้นมาบ้าง เช่น การ
- ได้หูทิพย์ ตาทิพย์
- แสดงฤทธิ์ได้บ้าง
- รู้เหตุเกิด - รู้เหตุดับของจิตทั้งหลาย ว่า..เกิดมาจากไหน ดับแล้วจะไปไหน
- ทายใจผู้อื่นได้
- รู้กรรมแห่งตน และผู้อื่น
คือ มีญาณรู้เกิดรู้ขึ้น ที่มันเป็นญาณรู้ที่เกิดจากผลของสมาธิเหล่านี้
.. ก็อาจจะมีสิ่งที่เป็นผลมาจากการแตกฉานในธรรมเข้าช่วย - คือ การทำอาสวะให้สิ้น บ้าง *
.. การเข้าใจในอรรถในธรรมต่างๆ แตกฉานในธรรมต่างๆ มีความรู้เหล่านี้เข้ามาช่วย
ย่อมจะทำให้จิตของพระอริยบุคคล อริยเจ้าทั้งหลาย.. ไม่ตกไปสู่ที่ต่ำ
ไม่ถูกคุณวิเศษเหล่านี้ครอบงำ จนทำให้ตนนั้นต้องกลายเป็นทุกข์
เพียงแต่จะรู้อยู่ ปฏิบัติตามอยู่ เห็นอยู่ หลงอยู่นิดหน่อย
... แต่เป็นการหลงที่เป็นการเรียนรู้
-ไม่ใช่หลงจนจม จนตนนั้นไม่สามารถเข้าความดีที่แท้จริงได้..
คือ การลองผิดลองถูก
เพื่อวันหนึ่งที่เข้าสู่การเป็นองค์พระอริยเจ้า ในระดับที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆนั้น..
... ก็จะถอดถอนความหลงในสิ่งเหล่านี้ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ..
และก็จะมีปัญญารู้ และเข้าใจว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - มันเป็นเพียงแค่เรื่องที่นำมาใช้ในการชำระล้างกิเลสตัณหา
-- ความลุ่มหลง ที่จะนำพาไปสู่จุดที่ต่ำ - ย่อมไม่มีในองค์พระอริยบุคคล อริยเจ้าทั้งหลาย.. **
พระยาธรรมเอ๋ย.. สรุปแล้วก็คือ- มี
* สามารถมีญาณรู้
* สามารถเกิดคุณวิเศษ
* สามารถที่จะมีอยู่บ้าง ตามระดับของดวงจิตนั้นๆ
- ที่ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี..
แล้วแต่ว่าจิตดวงนั้น อยู่ในภูมิจิตภูมิธรรมระดับใด
และสามารถมีญาณรู้ ในเรื่องใด - ที่โดดเด่นมากกว่าเรื่องอื่น
สามารถที่จะมีเครื่องมือ ในการช่วยชำระกิเลสแบบไหนบ้าง
เช่น ถ้าเกิดเป็นสายพระอรหันต์สายแรก คือ *สุกขวิปัสสโก*นั้น
-- ก็อาจจะมีฌานสมาธิ - ในการรู้การแตกฉานในธรรม รู้วิธีทำอาสวะให้สิ้นไป
สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดว่า เราดูให้มันดีๆ - มันก็ย่อมมีความหลงซ่อนอยู่นั้นได้ เช่นเดียวกัน
คนเราน่ะลูก.. แม้ไม่ใช่การแสดงฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศ
ขอเป็นเพียงแค่ ความดีเล็กๆน้อยๆ - ก็เกิดความหลงได้ลูก !
ฉะนั้น.. การที่องค์พระอริยเจ้าในระดับต่างๆ - ที่ไม่ได้เข้าถึงการเป็นพระอรหันต์ น่ะลูก
ก็จะต้องมีการตรึกตรอง ทบทวน ถอดถอนความหลง - ที่เกิดคุณวิเศษเล็กน้อย หรือมาก
หรือมีกี่อย่าง
หรืออยู่ในสายใดของการเป็นองค์พระอรหันต์ ทั้ง 4 สาย
-- ย่อมต้องเรียนรู้ และถอดถอนไปเรื่อยๆ …
แต่จะไม่เป็นเหตุให้อันตราย ถึงจิตนั้นตกต่ำ.. เพราะองค์พระอริยเจ้า อริยบุคคลทั้งหลาย.. ย่อม
// มีธรรมเป็นที่พึ่ง
// มีการแตกฉานเข้าใจในธรรมเป็นที่พึ่ง
- ตามระดับของภูมิจิต ภูมิธรรมของตน..
จึงถือว่า ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงอะไร และสามารถเกิดขึ้นได้ +
-- เพียงแต่ไม่ชัดเจน เท่ากับขององค์พระอรหันต์ เท่านั้นละ.. พระยาธรรม
และที่กล่าวมานี้.. ก็ใช่ว่า ทุกดวงจิตจะมีญาณรู้มากเท่ากัน เสมอกัน นะลูก
บางคน ก็มีคุณวิเศษสิ่งนั้น มีเครื่องมือสิ่งนี้ สิ่งโน้น - ตามจริตวิสัยแห่งแต่ละดวงจิตที่ปฏิบัติไว้
อย่างนี้ละพระยาธรรม.. มันละเอียดเช่นนี้ละ
ต่อไป - ส่วนปุถุชนคนธรรมดา
- ที่ยังไม่สามารถประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้า อริยบุคคลในระดับต่างๆ
- ยังเป็นดวงจิต ที่เวียนว่ายตายเกิด - ตามเหตุตามผลของการกระทำ และยังไม่เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน
-- จิตเหล่านี้ สามารถที่จะมีคุณวิเศษเหล่านี้ได้ไหม - ย่อมสามารถมีได้ ลูก +
แต่จะเป็นเฉพาะคุณวิเศษ - ที่เกิดขึ้นจากผลของการทำสมาธิเท่านั้น !
เช่น
การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้
หรือการที่จะทายใจผู้อื่นได้
การแสดงฤทธิ์ได้
การที่รู้ การเกิดของสัตว์ทั้งหลายว่ามาจากไหน และไปจากไหน
... ซึ่งสิ่งเหล่านี้ - ที่สามารถมีได้ ก็เพราะว่า มัน เป็นผลที่มาจากการทำสมาธิ อยู่ *
-- มัน ไม่ใช่ผลที่มาจากการบำเพ็ญ ปฏิบัติ จนแตกฉานในธรรม ++
ฉะนั้น.. ต่อให้จะเป็นปุถุชนคนธรรมดา - ถ้าตั้งใจทำสมาธิจนเข้าสู่ฌาน 4
- ก็ย่อมสามารถอาศัยกำลังแห่งสมาธิ ผลของสมาธิมาเล่นฤทธิ์
- มารู้ใจผู้อื่น
- มามีหูทิพย์ ตาทิพย์
- มารู้ภพชาติแห่งตน และผู้อื่น
... เหมือนหมอดู เหมือนผู้ที่มีการทำนายทายทักทั่วไป น่ะลูก
แต่บุคคลเหล่านี้ - เขาจะไม่มีญาณรู้ ที่มันเกิดจากการแตกฉานในธรรม เช่น
/ การรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
/ การขยายธรรม ที่สั้น -ให้ยาวออกไปได้ โดยพิสดาร
/ การสรุป หรือย่อธรรมที่ยาว -ให้สั้นลงได้ โดยพิสดาร
/ การเข้าใจในถ้อย ศัพท์ต่างๆ ภาษาต่างๆ และนำมาชี้แจงให้ผู้อื่นเขานั้นรู้ได้ เข้าใจตามในธรรมนั้น
/ การที่จะเห็นธรรมเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น - สามารถหยิบเอาถ้อยคำ หรือความคิดต่างๆเข้ามาประกอบกัน
เพื่อที่จะทำให้เหตุที่มันเกิดขึ้นอยู่ตรงนั้น แตกฉานขึ้นมาเป็นธรรม - ให้ผู้อื่นได้รู้ตาม เห็นตาม
.. อย่างนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเกิดขึ้น ในปุถุชนคนธรรมดา !
เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากผลของการทำสมาธิ ลูก
แต่มันเป็นสิ่งเกิดขึ้น มาจากการประพฤติปฏิบัติ ตั้งจิตมุ่งสู่พระนิพพาน
แล้วแตกฉานในธรรม - ตามความรู้ ในการรู้ทำอาสวะให้สิ้นไป **
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
ฉะนั้น.. ปุถุชนคนธรรมดา จึงสามารถมีคุณวิเศษเฉพาะในกลุ่ม - ที่ได้มาจากผลของสมาธิเท่านั้น +
และเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ในปุถุชนคนธรรมดา
- ย่อมอาจทำให้เกิดความลุ่มหลง
- เกิดนำเอาสิ่งเหล่านี้ ไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
นำพาตน และผู้อื่นจมอยู่ ตกไปสู่จุดที่ต่ำได้.. พระยาธรรมเอ๋ย
จึงเป็นสิ่งที่ ถือว่า..
เป็นญาณรู้ - ที่ยังใช้ไม่ได้
เป็นญาณรู้- ที่อันตราย
เป็นสิ่งที่ - จะพาตนลงสู่จุดที่ต่ำได้
-- จึงเป็นสิ่ง ที่ไม่น่ายกย่อง !
เปรียบเสมือนบุคคล ผู้ที่มีญาณรู้ - แต่ไม่มีสติและปัญญา ที่จะควบคุมให้ดี
ฉะนั้น.. ย่อมเกิดอันตราย กับตน และผู้อื่น
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่เป็นปุถุชน แต่เกิดญาณรู้ต่างๆ หรือว่าเกิดฤทธิ์ต่างๆ
ตามที่กำลังฌานของตนที่มีอยู่นั้น - ย่อมเป็นผู้ที่ไม่สามารถควบคุมได้
เหมือนกันกับการที่เราคุม ม้าที่มันมีแรงกล้า / ม้าที่ เป็นม้าพยศ
เช่นนั้นละ..พระยาธรรม เราย่อมไม่สามารถควบคุมได้
หรือจะเปรียบเทียบกับรถราสมัยทุกวันนี้ - ก็คงจะเป็นรถที่แรง แต่ไม่มีเบรก
... ย่อมที่จะนำพาตนเข้าไปสู่จุดที่ต่ำ หรือจุดที่อันตราย
... ย่อมเป็นสิ่งที่นำพาความเดือดร้อน เข้ามาหาตนลูก
เพราะไม่มีข้ออรรถข้อธรรม ไม่มีความรู้แจ้งในธรรมเข้าช่วย
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. มันจึงเป็นญาณรู้ ที่ไม่น่ายกย่อง เป็นคุณวิเศษที่ไม่น่าเชิดชู
เพราะมันเป็นสิ่งที่มีแล้ว - แต่ไม่สมบูรณ์
.. จึงใช้งาน ใช้การอะไรไม่ได้เลย !
-- และเป็นญาณรู้ ที่ไม่เที่ยงแท้ +
เป็นสิ่งที่ได้มา แล้วก็จะต้องดับจากไป เสื่อมไป หายไป อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
บุคคลที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา เขาก็สามารถมีได้ ในสิ่งที่เรียกว่าคุณวิเศษ เช่นที่กล่าวมานั้น
เพราะมันเป็นผลของฌานสมาธิลูก แต่ก็มีไม่ครบทุกอย่าง
เช่นที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น..
-- ในเรื่องของการแตกฉานในธรรมต่างๆ รู้ทำอาสวะให้สิ้นไป - สิ่งเหล่านี้ไม่มี ++
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. ญาณรู้ต่างๆย่อมเกิดขึ้นได้ กับดวงจิตทุกดวงที่
มีสมาธิก็ดี
มีการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเพียร จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอริยเจ้าในระดับต่างๆ
-- แต่ถ้าจะชัดเจนที่สุด และใช้ได้อย่างแท้จริง ก็คือ ญาณรู้แห่งองค์พระอรหันต์ +
ส่วนของ อริยเจ้าในระดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 นั้น.. ก็ยังพอใช้ได้อยู่บ้าง
- เพื่อที่จะช่วยเหลือตนและผู้อื่น ในการทำความดีในระดับแห่งตน
ส่วนของปุถุชน บุคคลผู้ที่ไม่ได้เข้าสู่กระแสพระนิพพาน - เป็นญาณรู้ เป็นสิ่งที่ได้มา อย่างอันตราย
ถือว่า.. ใช้ไม่ได้ ลูก !
จงจำไว้เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. นำไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตน
ให้รู้ ให้เข้าใจ ให้แจ้ง ในสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านี้..
-- แล้วนำนำธรรมนี้ไปเผยแผ่ ให้ทุกคนรู้แจ้งตามความเป็นจริงเถิด --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้รู้ เข้าใจ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ นะเจ้าคะ..
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 27 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 346 **ลุ่มหลงในคุณวิเศษ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงความลุ่มหลงในคุณวิเศษ ที่ได้ที่มี น่ะเจ้าค่ะ
คือ ถ้าเกิดว่า บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นองค์พระอรหันต์นั้น ก็สามารถมีคุณวิเศษได้
แล้วถ้าเกิดว่าเรายังไม่เป็นถึงองค์พระอรหันต์ แต่มีคุณวิเศษเกิดขึ้น ก็อาจทำให้เราลุ่มหลงในคุณวิเศษเหล่านั้นได้..
ลูกเลยจะขอเฝ้าฟังธรรมจากพระองค์ ในวิธีการป้องกันไม่ให้เราลุ่มหลงในคุณวิเศษ ต่างๆ ทั้งหลาย
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. คุณวิเศษ ในสายของการเป็นองค์พระอรหันต์แต่ละสาย ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันก็คือ เครื่องช่วยชำระกิเลส ตามจริตนิสัยแห่งจิตแต่ละดวง
และคุณวิเศษ ที่มันมากกว่าคุณวิเศษ ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ก็คือ
+ การสามารถดับการเกิดแห่งตนได้ +
คุณวิเศษต่างๆที่มันมีอยู่ ในโลก ในวัฏสงสาร - มันมีมากมายเลย ลูก
มากมาย - จนเรานั้นอาจจะลุ่มหลงในสิ่งเหล่านั้น
เพลิดเพลินไปกับ สิ่งเหล่านั้นได้ซะทุกสิ่งทุกอย่าง เลยทีเดียว
แต่พระยาธรรมเอย.. หากว่าเรา มีจิตที่รู้ตื่น ตั้งมั่นอยู่เสมอว่า..
การเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้ - ไม่ว่าจะมีสิ่งที่ดี ที่วิเศษ ประเสริฐ เพียงใด ..
สิ่งเหล่านั้น.. ก็
// เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้
// เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และมันจะดับไป
// เป็นสิ่งที่มันเป็นเพียงแค่ สิ่งหลอกล่อ ให้เราจมอยู่ ทุกข์อยู่ เท่านั้น
แม้การเข้า ที่เกือบจะถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ - ก็ยังยึดเอาถือเอาไม่ได้ !
เพราะการเป็นองค์พระอรหันต์ - ต้องสลายตัวตน สิ่งที่ตนมี ตนทำ ทั้งหมด
ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว
ฉะนั้น .. หากไปติดอยู่ ตรงเป็นพระอรหันต์ - ก็จะยังคงไม่พ้น !
ฉะนั้น.. จงระลึกรู้อยู่เสมอว่า..
สิ่งทั้งหลายในวัฏสงสารนี้ - ไม่มีอะไรวิเศษ
สิ่งที่วิเศษ มันต้องอยู่เหนือความรู้สึก - ที่รู้สึกว่า “วิเศษ”
จิตต้องอยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล - จึงจะใช้ได้ ++
เราต้องทวนอย่างนี้ ระลึกรู้อย่างนี้ ..
ดูเหตุที่มันเกิด เหตุที่มันเป็นอยู่ และดับไป
ดูให้เห็นความไม่สวยไม่งาม- ของสิ่งทั้งหลาย ที่อยู่ในวัฏสงสารนี้
มองให้เห็นแต่ สิ่งที่ไม่ดี มุมที่ไม่ดี - ของทุกสิ่ง
ใจของเรา จะต้องไม่เห็นว่าอะไรดีเลย ในวัฏสงสารนี้
-- เราจึงจะ ไม่หลงทางอีกต่อไป
-- เราจึงจะ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด อีกต่อไป..
ฉะนั้น.. การลุ่มหลงกับคุณวิเศษต่างๆที่ได้ - นั่นก็ยังไม่วิเศษ !
... เพราะยังเป็นการหลงอยู่ จมอยู่ เวียนวนอยู่ - ไม่พ้นวัฏสงสาร ลูก
หมั่นพิจารณาธรรม ให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริง
เห็นความจริง ในวัฏสงสารนี้
-- แล้วลูกนั้น ก็จะสามารถถอดถอนความลุ่มหลง - ออกจากสิ่งต่างๆทั้งหลาย..
- ที่มันเป็นสิ่งที่คิดว่า วิเศษ
- ที่ละเอียดประณีต
- ที่คิดว่า ดีงาม
พระยาธรรมเอย.. หากว่า เรายังยึดว่าดี ถือว่าดี ในสิ่งต่างๆ - ที่เป็นคุณวิเศษนั้น
- เราก็จะไม่พ้นวัฏสงสาร..
อย่างดี ก็แค่ไปเกิดอยู่ในพรหมโลก เทวโลก
เกิดอยู่ ติดอยู่ จุดใดจุดหนึ่ง ที่มันเป็นจุดที่ละเอียดประณีต - แค่นั้นละลูก
... และท้ายที่สุด การติดอยู่ เป็นอยู่ ในวัฏสงสาร - มันย่อมไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. จงพากันทำความเข้าใจ เข้าใจตามคำสอนสั่ง ขององค์พระพุทธเจ้า
.. ว่า องค์พระพุทธเจ้านั้น..
มีจุดมุ่งหมาย คือ เหตุใด ?
มีเจตนา ที่จะให้ลูกทั้งหลายนั้น ศึกษาเรียนรู้แบบไหน ?
องค์พระพุทธเจ้า สอนให้ลูกนั้น เห็นตามความเป็นจริงว่า.. วัฏสงสารนี้
/ ไม่ใช่ที่ที่เราจะอยู่
/ ไม่ใช่ที่ ของเรา
-- มันเป็นที่ แห่งทะเลทุกข์ !
เราเกิดแล้วตาย ตามเหตุต่างๆที่มันมีอยู่ และลุ่มหลง ตามเหตุเหล่านั้น
จงรู้ตื่น..รู้ตื่นถอดถอนความลุ่มหลง จากสิ่งที่ทั้งดี - และไม่ดี สลายตัวตนของเราไปสู่พระนิพพาน
จงรู้ จงทำความเข้าใจ ถึงจุดมุ่งหมาย แห่งชาวพุทธ ที่จะประพฤติปฏิบัติ เพื่อไปให้ถึง
จงรู้เจตนา แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชี้บอก ว่า..การทำความดีทั้งหลาย ทำเพื่อดับการเกิด
ให้ระมัดระวัง..
อย่าหลงดี - อย่าหลงชั่ว
อย่าหลงสิ่งใด ในวัฏสงสารนี้เลย..
เพราะว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น - มันเป็นเพียงแค่สิ่งทดสอบ ที่จะฉุดดึงเรา เอาไว้
เราต้องสลาย แม้แต่จิตของเรา - ไม่ให้มีตัวมีตน
-- เราจึงสามารถเป็นผู้วิเศษ อย่างแท้จริง.. เพราะ
- ไม่ตาย ไม่เกิด
- ไม่ต้องเป็นทาสของใคร อีกต่อไปแล้ว
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. หมั่นทบทวนให้เข้าใจเจตนา แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และจุดมุ่งหมาย แห่งชาวพุทธ ที่ควรจะไป / ควรจะทำ
-- จึงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจาก คำสอนของพระพุทธศาสนา หรือหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนา ลูก
ฉะนั้น ลูกทั้งหลาย.. จึงควรทำความเข้าใจในจุดมุ่งหมาย ให้ดี
รู้ว่า เจตนาแห่งพระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชี้บอก เพื่อให้เราทั้งหลาย..
/ ทำความดี - เพื่อถอดถอน ชำระกิเลส
/ หยุดยึดถือ ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว
/ อาศัยกรรมดี
/ เว้นกรรมชั่ว - ไม่ทำ
แล้วเมื่อถึงจุดมุ่งหมาย.. จงวางกรรมดีนั้นทิ้งเอาไว้เสีย + +
ฉะนั้น.. จึงไม่มีอะไรเลย ที่เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากมรรคผลนิพพาน เหล่านั้น
ลูกก็จะได้รู้ว่า.. หากว่าลูกนั้นไปติด ไปยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่
- เป็นคุณวิเศษก็ดี
- เป็นสิ่งที่คิดว่าวิเศษแล้ว ดีแล้ว ก็ดี
ลูกจะได้รู้ว่า.. นั่นกำลังหลงทิศหลงทางอยู่
-- เพราะว่า คำสอนขององค์พระพุทธเจ้า สอนให้ชำระ ละวางทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คิดว่าดีเหล่านั้น ++
แม้แต่การเป็นองค์พระพุทธเจ้า เป็นองค์พระอรหันต์ .. ก็ยังต้องวางความเป็นองค์พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์นั้นลงเสีย..
-- เพื่อจะได้สลายทุกสิ่ง ที่เป็นกรรมดี - ที่จะเกี่ยวตนไว้ อยู่ในวัฏสงสารนี้
-- ยังต้องวางสิ่งเหล่านั้น - เพื่อดับการเกิดแห่งตนได้
สูงสุดแล้วแห่งการบำเพ็ญ - ยังต้องสลาย
ฉะนั้น..
มันจะมีอะไรดีละลูก ?
มันจะมีคุณวิเศษอะไรดีล่ะลูก ?
-- ที่สำคัญ มันเป็นเพียงแต่สิ่งหลอกล่อ ฉุดดึง
ให้ลูกจมอยู่ ติดอยู่ เท่านั้นละ..ไม่มีประโยชน์อะไร
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. จงหมั่นทำความเข้าใจ ให้เห็นแจ้งในวัฏสงสารนี้ว่า..
/ ไม่มีสิ่งใดสวยงาม
/ ไม่มีอะไรเป็นสิ่งสำคัญ
/ ไม่มีอะไรวิเศษ
ถ้ามันวิเศษจริง องค์พระพุทธเจ้านั้นประสบพบเจอ ได้รับมาก่อนหน้าโน้นแล้ว..
ทั้งวิเศษทางโลก // ทั้งวิเศษทางธรรม
องค์พระพุทธเจ้า ก็คงอยู่ตรงที่ได้สิ่งวิเศษนั่นละ..
... คงไม่ต้องไปกันแล้วละ พระนิพพาน !
ถ้าเกิดว่า. สิ่งที่ได้มาเหล่านั้น - มันคือคุณวิเศษจริงๆ
องค์พระอรหันต์ผู้อยู่ก่อน ถึงก่อน รู้ก่อน ได้มาก่อน - คงจะอยู่ค้ำฟ้ากัน ไม่ไปไหน
คงจะไม่พากันละ สิ่งที่วิเศษ - ที่ลูกทั้งหลาย คิดว่าวิเศษเหล่านั้น ทิ้งไป - เพื่อไปนิพพาน
จงมีสติรู้ตื่นเช่นนี้เถิด พระยาธรรม..
... เพราะว่า ในความเป็นจริงนั้น คุณวิเศษทั้งหลายที่มี..
เรานั้นมีไว้ เพียงแค่เป็นเครื่องช่วยชำระกิเลส
กิเลสมันดื้อนัก - ก็เลยต้องใช้เครื่องช่วย ที่ชำระ
- ที่มีกำลังแรงกล้ามากพอ +
ที่จะชำระกิเลสนั้นไป ให้สิ้นให้ได้ ตามเหตุตามปัจจัย เท่านั้น
เหมือนบุคคลผู้ที่ผูกเชือกไว้ซะแน่น แล้วเมื่อตนมานั่งแกะปมเชือกที่ตนผูก
... เพื่อจะได้สลาย ปมที่ตนได้ทำเอาไว้..
ปมนั้นแน่นมาก จึงต้องใช้กำลังที่หนักมาก
แต่ดันมานั่งหลงว่า.. มีกำลังเยอะเหลือเกินในการแกะปม..
-- อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ ลูก
มันจะทำให้จิตของเราหลงทิศหลงทาง ไปในทิศทางที่ไม่ถูก -ไม่ดี
... หลงทิศหลงทางไป เสียเวลา !
พระยาธรรมเอ๋ย.. หากเรานั้นสามารถประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอริยเจ้าแล้ว..
- เราก็ควรที่จะพิจารณาอย่างนี้อยู่เสมอ อยู่ดีนั่นแหละลูก
เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา
จงรู้ตื่นอยู่เสมอว่า.. ตราบใดที่ยังไม่ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์
-- ย่อมมีสิ่งที่ตน จะยังคงต้องชำระล้าง และพิจารณาอยู่ตลอด ++
การลุ่มหลงในสิ่งต่างๆ คือ การแวะข้างทางให้เสียเวลา
+ เราต้องมีจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น ก็คือ พระนิพพาน **
เพียงแต่สิ่งข้างทางเหล่านั้น เราเห็น ก็เพื่อหลอกล่อเราให้แวะไป
มีอยู่.. ก็เพื่อหยิบจับขึ้นมา ทำให้เกิดประโยชน์ แก่ตัวของเรา
-- แล้วจงเร่งสร้างความดี ทำความดี...
พระยาธรรมเอ๋ย.. หากเราเป็นปุถุชนคนธรรมดา -ที่ยังไม่เป็นองค์พระอริยเจ้า
.. เราก็ควรพิจารณาเช่นนี้ เช่นเดียวกัน
พิจารณาให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริงว่า..
-- ถ้าวัฏสงสารนี้ดี - องค์พระพุทธเจ้า คงไม่สอนให้ออกจากที่นี่ไป **
เราเป็นชาวพุทธ ต้องเข้าใจคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ให้ดีว่า สอนให้ทำความดี เพื่ออะไร **
+ ทำความดี เพื่อดับกิเลสตัณหา - ไม่ให้ยึดติด ลุ่มหลงกับสิ่งใดทั้งนั้น.. +
... ต้องพิจารณาอยู่อย่างนี้.. แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนตน ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ..
ยังไม่เป็นแม้แต่ องค์พระอริยเจ้า / องค์พระอริยบุคคล.. แล้วจะถือว่าดี ได้อย่างไรเล่า !
ยังไม่พ้นนรกเลย..
จิตยังไม่พ้นจากจุด ที่จะตกต่ำเลย..
จงเห็นสิ่งไม่ดี ที่ยังมีอยู่ในเรากันเถิดลูก
แล้วจงหมั่นทำความดี
ดันตัวเองให้สูงขึ้นจาก ที่ที่ตนอยู่นั้น..
จงอย่ามัวแต่ลุ่มหลง ว่ามันดี
อย่าเอาสิ่งที่มีนั้น -ไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
... แล้วมันก็กลับกลายมาเป็นโทษเป็นกรรม - ให้เราต้องตกไปอยู่จุดที่ต่ำ และชดใช้มัน ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. ตราบใดก็ตาม ลูก.. ที่ยังไม่เป็นองค์พระอริยบุคคล พระอริยเจ้า
/ อย่าเพิ่งหลงดี ยึดดี
/ อย่าเพิ่งคิดว่าตนดีอยู่แล้ว
... นั่นคือความลุ่มหลง !
ดีแล้วยังไง.. ศีล 5 ก็ยังไม่ครบ
ดีแล้วยังไง.. ยังต้องตกนรกอยู่ดี
ดีแล้วยังไง.. ยังต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ดี
... มันดีตรงไหน ลูก !
ต้องทำความดี ดันจิตของตนให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
- เพื่อเข้าสู่การเป็นองค์พระอริยบุคคล อริยเจ้าทั้งหลาย
เมื่อถึงซึ่งการเป็นอริยบุคคล ในระดับที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แล้ว..
- ก็อย่าเพิ่งยึดดี ถือดี เพราะยังไม่จบกิจแห่งการทำดี +
เชื้อแห่งความชั่วมันยังมีอยู่ในใจ
เหตุที่จะฉุดดึงตนให้แวะข้างทาง - ยังไม่หมดสิ้น
จงตั้งใจทำความดีต่อไป
อย่าหลงในคุณวิเศษ ในสิ่งที่ละเอียดประณีต คิดว่าวิเศษเหล่านั้น..
ทั้งสิ่งที่ตนสามารถทำได้ และมองเห็น
จับต้องได้ หรือว่าไม่ได้
ดีกับใจ หรือว่าดีกับกาย ก็ตาม..
> ไม่ต้องไปสนใจมัน ลูก.. เราต้องมุ่งสู่นิพพานอย่างเดียว ++
แล้วลูกก็จะสามารถ อยู่เหนือความลุ่มหลงได้
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอ๋ย
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ละเจ้าค่ะ
ว่า เราจะต้องพิจารณาเห็นความเป็นจริง
ว่า ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่เที่ยงแท้
ไม่สวยงามอย่างที่เรารู้ เราเห็น - ไม่ได้วิเศษอย่างนั้น..
... ถ้าวิเศษ องค์พระพุทธเจ้าได้ก่อน องค์พระพุทธเจ้าคงไม่ไปนิพพาน
.. เข้าใจอย่างนี้บ้างแล้วละเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่ทรงเมตตา พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 28 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 347 **การถอดถอนความลุ่มหลงคุณวิเศษ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงเรื่อง การถอดถอนความลุ่มหลง ในวิธีต่อไป..
พอจะมีวิธีอื่น นอกเหนือจากที่พระองค์ได้กล่าวมาแล้ว คือ การรู้จุดมุ่งหมายของคำสอนของพระพุทธเจ้า และการรู้ว่าทุกสิ่งไม่สวยไม่งาม มีการพิจารณาอื่นๆอีกหรือเปล่าเจ้าคะ
เพราะว่ากิเลสของคนที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น.. มันดื้อด้าน และหนาทึบ
- คงต้องมีหลายๆอย่าง เพื่อที่จะได้นำมาพิจารณาถอดถอนให้ได้อย่างแท้จริง น่ะจ้าค่ะ ”
- - - -
ดีแล้วละพระยาธรรม.. ในความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นละลูก
ถ้ามียาแค่เม็ดเดียว ขนานเดียว แบบเดียว - ก็อาจจะช่วยกิเลสบางตัวไม่ได้
เพราะว่ากิเลสของจิต ที่ยังไม่ได้ชำระออกนั้น
มันก็มีความหนาทึบ ความดื้อด้าน ความแข็งแกร่งแห่งกิเลส..
ที่บางที ก็ต้องเปลี่ยนยา เปลี่ยนอุปกรณ์ในการทุบกิเลสให้ออก !
พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังเถิดลูก
ใน สิ่งที่ 2 - ที่เรานั้นจะพิจารณาเพื่อถอดถอนความลุ่มหลง - ก็ควรที่จะทำเช่นนี้ลูก
ควรทำความเข้าใจว่า การปฏิบัติ ย่อมทำให้เกิดสิ่งที่โลกเรียกว่า คุณวิเศษ เป็นธรรมดา
- ทำให้เห็นเป็นธรรมดา ว่า.. สิ่งเหล่านั้น มันเป็นเรื่องปรกติ ที่มันจะเกิดขึ้น
เช่น
ถ้าหากว่า เราทำสมาธิมาก - ก็ย่อมมีกำลังของฌานมาก *
เมื่อมีกำลังของฌานมาก - ย่อมอาศัยกำลังแห่งฌานสมาธินั้น มาทำในสิ่งที่ส่งผล / เป็นผลของสมาธิ
ในสิ่งที่สามารถ -
/ ระลึกชาติได้
/ มีหูทิพย์ ตาทิพย์
/ สามารถท่องในวัฏสงสารนี้ ที่ไหนก็ได้
/ สามารถที่จะรู้การเกิด - และการตาย ของผู้อื่น
/ สามารถทายใจผู้อื่นได้
/ เล่นฤทธิ์ คือ การเหาะเหินเดินอากาศ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ มันย่อมเกิดขึ้นได้ เป็นธรรมดา
เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในวัฏสงสารนี้ - เป็นปรกติ..
ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว
ปลูกอะไร- ก็ได้อย่างนั้น
และการที่มีคุณวิเศษเหล่านี้ มันก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดา - มันไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไรเลย
... เพราะสิ่งเหล่านี้ มันก็ย่อมสามารถทำได้อยู่แล้ว..
ถ้าหากว่าเราทำสมาธิให้มาก เอากำลังให้มาก
แล้วเอาผลของฌาน - มาใช้ให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่สมมุติว่าวิเศษนักหนาเหล่านั้น
- มันก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา..
แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่า มันวิเศษเมื่อไร - เอามันไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเมื่อไร
- มันก็จะวิเศษเหมือนกัน
- วิเศษตรงที่มันดึงเรา มัดเรา ทับถมเรา พาให้เราไปเป็นทาสแห่งมัน ไงลูก
มันก็จะคอยช่วยเรา - ช่วยให้เรานั้น
ตกอยู่ในวัฏสงสารนี้ วนอยู่ในวัฏสงสารนี้ - ไปไหนไม่ได้
มันจะช่วยให้เรา อยู่ในนี้ตลอดไป.. จะไม่สามารถออกไปไหนได้เลย
- มันวิเศษอย่างนั้นละ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. ฉะนั้นหากว่าเรา หมั่นทบทวนอยู่เสมอ เห็นว่าสิ่งเหล่านั้น มันเป็นเรื่องธรรมดา ก็มันเป็นปรกติ
เช่น ถ้าเกิดว่าเรา เห็นต้นมะม่วงอยู่ประจำๆ ว่า..
เมื่อถึงหน้ามะม่วง มันก็ออกดอกและออกผล เป็นธรรมดา
และเมื่อถึงเวลา ลูกมะม่วงนั้น ก็หล่นลงไปสู่พื้นดิน จนหมด
.. ต้นมะม่วง ก็ไม่มีลูกเลยสักลูกหนึ่ง ..
บางที พอผ่านไปนานๆ ก็มีคนมาตัดต้นมะม่วงทิ้งเสีย - การไม่มีก็เกิดขึ้น
เราก็เห็นเป็นธรรมดาอย่างนี้ จนเกิดความเคยชิน
ต้นมะม่วงนั้น จะวิเศษมั้ยละลูก ?
มันไม่วิเศษ - เพราะเราเห็นว่า มันเป็นธรรมดา
-- มันหายไป มันก็ไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไร - เพราะเราเห็นเป็นธรรมดา.. ใช่มั้ยลูก
ฉะนั้น.. ถ้าหากว่าเรา หมั่นทบทวน พิจารณาอยู่เสมอว่า..
การปฏิบัติ ทำสมาธิ - ย่อมมีกำลังแห่งฌาน *
ทำมาก - ก็ต้องมีมาก เป็นปรกติ
เมื่อมีฌานมาก.. ก็เล่นฤทธิ์ เล่นเดชได้
มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ทายใจผู้อื่น
เหาะเหินเดินอากาศ ระลึกชาติ
ย่อมสามารถทำในสิ่งเหล่านี้ได้อยู่แล้ว เป็นธรรมดา
- มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น..
-- ทำความเคยชินไว้เช่นนี้ จนเรามองเห็นว่ามันเป็นปรกติ --
ปลูกสมาธิ ผลแห่งสมาธิ - ก็ย่อมเกิดสิลูก
ปลูกมากก็เกิดมาก มันก็เป็นธรรมดา - ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน !
เมื่อเราอยู่เหนือความวิเศษ - ความวิเศษนั้นไม่มี
- เราก็จะไปสู่ ความไม่มีความวิเศษได้ **
ความไม่มีความวิเศษนั้นละลูก - มันจะอยู่เหนือความมีความวิเศษ
-- เพราะเมื่อไร ที่เราอยู่เหนือความวิเศษ - เราก็จะอยู่เหนือโลก เหนือจักรวาล ในวัฏสงสาร **
บุคคลผู้ที่ไปสู่การดับการเกิดได้แล้วนั้น.. ไม่มีใครหรอกลูก ที่คิดว่าตนวิเศษ หรือมีคุณวิเศษเหล่านั้น
แต่ถ้าเมื่อไรที่ลูกยังนึกว่า มันวิเศษนักหนา
เชือกวิเศษนั้นละ.. จะมัดลูกไว้ในวัฏสงสารนี้ ให้จมอยู่กับความวิเศษนั้น !
เช่นนั้นละ พระยาธรรม.. เราสามารถตรึกตรองเช่นนี้ได้
และถ้าหากว่าเรามีคุณวิเศษ คือ การได้รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป บ้าง เล็กน้อย
- ตามระดับภูมิธรรมของเรา..
ได้รู้การแสดงธรรม สั้นให้ยาว
สรุปยาวให้สั้น
มีสติ มีปัญญา รู้จักนำถ้อยคำที่ถูกต้อง มาอธิบายธรรม - ชี้แจงให้ผู้อื่นรู้ตาม
เห็นธรรมเฉพาะหน้า - สามารถหยิบขึ้นมา จับเป็นเรื่องราวขึ้นมาอธิบาย
- ให้ผู้อื่นรู้ตาม เหตุการณ์นั้น - ให้เห็นธรรม
... อย่างนี้เป็นต้น
คุณวิเศษเหล่านี้ หากว่ามันเกิดขึ้นกับเรา.. เราก็อย่าไปหลงมัน
จงทำความเข้าใจไว้เช่นนี้ว่า.. ก็การที่เราปฏิบัติ ฝึกฝนเรียนรู้ธรรม
- เราก็ต้องแตกฉานในธรรม เป็นธรรมดา
- เรียนมากเท่าไร.. ก็ต้องรู้มากเท่านั้น ++
เหมือนเด็กน่ะลูก ฝึกอ่านหนังสืออยู่ทุกวัน.. มันก็ต้องอ่านออกสิลูก
เมื่ออ่านคำนี้ออกแล้ว สะกดเป็นแล้ว รู้จักตัวอักษรต่างๆแล้ว..
คำอื่น - ก็ย่อมอ่านออก ทั้งนั้นละลูก
-- ก็มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน.. ?
มันเป็นปรกติอยู่แล้ว
เราปลูกการปฏิบัติ.. เราก็ย่อมได้รับ คือ ผลของการปฏิบัติ
เราปลูกการศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนจิต ให้เข้าใจในธรรม.. เราก็ต้องได้รับผล คือ
* รู้แจ้ง เข้าใจในธรรมต่างๆ
- มันวิเศษตรงไหนลูก ไม่เห็นจะมีอะไรวิเศษเลย…
มันก็เป็นแค่เพียงสิ่งปรกติธรรมดา
ที่เรานั้นเรียนแล้วก็ต้องรู้ ทำแล้วก็ต้องได้
ทำอะไร - ก็ต้องได้สิ่งนั้น
.. มันเป็นปรกติอย่างนี้..
แล้วเหตุใดเล่า เราจึงสรรเสริญมันว่า เป็นคุณวิเศษ ประเสริฐกว่าใครๆ
ใครเขาจะสรรเสริญ - ก็เรื่องของเขา
- เราเป็นผู้ได้รับมา.. เราก็อย่าสรรเสริญ อย่าหลงในมัน
ยิ่งใครเขาช่วยเราชมเข้า..
- เราก็ยิ่งหลงเข้าไป.. อย่างนี้หลงทาง นะลูก
เขาจะชม นั่นก็คือ การทดสอบเราดีๆ น่ะลูก
- อย่าหลงจนรู้สึก
- ไม่มีใครชม - เราก็อย่าทุกข์
... เพราะว่าเรา รู้เฉพาะตัวของเรา..
และตัวเราเองนั่นละ ควรที่จะรู้ตื่นอยู่เสมอว่า..
คุณวิเศษต่างๆเหล่านี้ - มันเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
ที่ถ้าปฏิบัติแล้ว ฟังธรรมแล้ว ศึกษาธรรมแล้ว.. ก็ย่อมแตกฉานในธรรม
มีสมาธิ เอาผลของสมาธิมาใช้.. ก็ย่อมมีญาณรู้ต่างๆ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
... มันเป็นปรกติของมันอย่างนั้นเอง..
ก็ทำความดี 2 อย่าง - ก็ย่อมได้ผล 2 อย่าง..
.. แต่ผลเหล่านั้น คืออะไร..
-- คือ เครื่องมือที่เราจะนำมาช่วยชำระกิเลส
-- คือ บททดสอบ ที่ละเอียดประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ
โดยที่เราอาจจะถูกครอบงำก็ได้.. ถ้าเราไม่รู้ตัว ไม่รู้ตื่นกับสิ่งเหล่านั้น..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. เราควรที่จะทำความเข้าใจ ว่า..
สิ่งต่างๆทั้งหลาย.. ที่มันมีขึ้น มันมีอยู่
ได้รับ ได้ประสบพบเจอ ในเส้นทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ
สร้างความดี ทำความดี หรือการฝึกฝนสมาธิต่างๆ เหล่านั้น..
-- ย่อมจะนำพาให้เรา ไปเจอกับการมีญาณรู้ต่างๆ คุณวิเศษต่างๆ - เป็นธรรมดา...
แต่สิ่งเหล่านั้น มันก็สามารถทำพิษให้เราแย่ลงได้ เช่นเดียวกัน.. หาก
/ เราไม่รู้หลบ รู้หลีก
/ เราไม่รู้ที่จะนำเอาสิ่งเหล่านั้น - มาทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เรา
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จงทบทวนดูเช่นนี้
รวมถึงต่อไป ข้อที่ 3 - หรือว่า สิ่งที่ 3 ที่เราควรจะทบทวน ก็คือ..
รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เพื่อให้เราเอาไปทำอะไร- ที่เกิดประโยชน์แก่ตน
ควรจะระลึกสิ่งนี้อีกสิ่งหนึ่ง ลูก
คือ ควรที่จะทำความเข้าใจว่า.. สิ่งทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นนั้น เราต้องทำยังไง
เช่น การระลึกชาติได้..
ก็ให้พิจารณาถึง การเวียนว่ายตายเกิด ที่มันน่าเบื่อหน่าย แต่ไม่ใช่ไปจมอยู่กับอดีตชาติ
กลับไปอยู่ในอดีตชาติ ได้มั้ยล่ะ.. คงจะไปไม่ได้สินะ !
ใครจะย้อนเวลา กลับไปอยู่ในอดีตได้
กาลเวลามีแต่ผ่านไป เปลี่ยนไป - ไม่มีวันหวนคืน..
-- ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันผ่านไปแล้ว.. ไม่มีใครเอากลับคืนมาได้ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. หากว่าเราเกิดหูทิพย์ ตาทิพย์ ก็จะได้ทำให้เรารู้ว่า..
โลกสวรรค์ โลกอื่นๆที่ซ้อนโลกเราน่ะ - มีจริง การเวียนว่ายตายเกิด - มีจริง
จะได้ไปดูเทวดา
จะได้ไปดูผี ดูสัมภเวสี สัตว์นรก เปรต อสุรกาย
จะได้ดูให้เห็น เข้าใจให้ทะลุแจ่มแจ้ง - ถึงสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นว่า มันน่ากลัวขนาดไหน
จะได้ไม่กล้าทำบาป
จะได้ไม่หลงในบุญ เห็นความไม่เที่ยงแท้ที่เกิดขึ้น
เกิดดีแค่ไหน ก็ต้องดับจากสิ่งนี้อยู่ดี
เกิดไปอยู่ในจุดที่ต่ำ ตกนรก เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็ย่อมได้ - หากว่าเราเผลอทำความชั่ว
อย่างนี้ละ พระยาธรรม..
เราต้องดู ต้องรู้ว่า คุณวิเศษต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นน่ะ - เกิดขึ้นมา เพื่อให้เราเอาไปทำอะไร
-- ไม่ใช่เกิดขึ้น เพื่อให้เรานั่งยึดติด ลุ่มหลง จมอยู่กับสิ่งเหล่านั้น..
พระยาธรรมเอ๋ย.. เช่น
การรู้การเกิดของสัตว์
การกลับไปแล้ว -ไปเกิดที่อื่นของสัตว์ / หลังการตาย และก่อนมาเกิด
เราก็ควรจะพิจารณาให้เห็นกฎแห่งกรรม อย่างชัดเจน
ไม่ใช่เอาคุณวิเศษนั้น มาทับถมตัวเอง แล้วก็ประกาศว่า รู้แล้วๆ..
รู้ยังไง - ยังหลงอยู่
รู้ยังไง - ยังยึดอยู่ ใช้ไม่ได้
ฉะนั้น.. จงรู้ อย่างรู้อย่างแท้จริง
รู้เรื่อง กฎแห่งกรรม - รู้แล้วก็เลิกทำบาป เลิกทำในสิ่งไม่ดีซะ
รู้กฎแห่งกรรม - เพื่อที่จะได้บอกต่อกับบุคคลผู้อื่นว่า - มันมีอยู่จริง
... เพื่อให้เขาเลิกทำบาป ทำกรรมซะ
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. มันวิเศษที่ตรงไหน
หากว่าเรา รู้แจ้งตามความเป็นจริง - เราก็จะรู้ถึงสิ่งที่มี สิ่งเหล่านั้น มาเพื่อทำอะไร
เราจะเอาไปทำสิ่งที่เกิดประโยชน์ กับเราได้มากลูก
ช่วยถอดถอนกิเลสตน และผู้อื่น
เช่น การมีอภิญญา คือ การเหาะเหินเดินอากาศได้ สามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆได้
- เราก็จะได้ไว้ช่วยเรา ในยามจำเป็นจริงๆ **
เพราะการเป็นนักบวช บางที ถ้าเกิดต้องอาศัยชาวบ้าน อาศัยผู้อื่นมากจนเกินไป
บางที บางกลุ่ม บางคน.. ก็ไม่สะดวก
.. เพราะไม่สามารถที่จะหลบหนีความวุ่นวายได้
.. เพราะยังต้องอยากกินข้าวของเขา ยังต้องจำเป็นกินข้าวของชาวบ้านอยู่
-- ก็เลยไม่สงบ วุ่นวายอยู่ ..
อยากจะหนีเข้าป่าเข้าดง เพื่อที่จะได้ปฏิบัติอย่างแท้จริง.. ก็เลยต้องมีสิ่งเหล่านั้น
เป็นเครื่องช่วย ในการที่จะได้ดูแลตน ในการปฏิบัติอยู่ในป่าในเขา
ปกป้องคุ้มครองภัยให้กับตน
แต่ไม่ใช่ -ให้ตนมาลุ่มหลง มายึดติด มาถือว่าดีแล้ว
มันเป็นเครื่องช่วยแห่งการปฏิบัติ เท่านั้นลูก !
มันไม่ใช่สิ่งที่จะมานั่งยึด นั่งหลง
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
เช่น ถ้ามีญาณรู้ในธรรมต่างๆ แตกฉานในอรรถในธรรม ในข้อธรรมต่างๆ
เราก็แตกฉาน - เพื่อถอดถอนกิเลสของเรา เท่านั้น
-- ไม่ใช่แตกฉาน เพื่อจะมายึดติดลุ่มหลง กับสิ่งที่แตกฉานนั้น ++
เราจึงควรทำความเข้าใจถึง สิ่งต่างๆที่ได้มาในแต่ละอย่าง ว่าได้มา เพื่อทำอะไร
จะเอาไปทำยังไงบ้าง - เพื่อเกิดประโยชน์แก่ตน และผู้อื่น
เกิดประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนา
แต่ไม่ใช่การเอามายึดมาถือ มาลุ่มหลง และจมอยู่
มาสรรเสริญว่า ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว
-- แล้วก็ติด ก็หลงอยู่ในสิ่งนั้น- ไปไหนไม่ได้ !
มีดวงจิตมากเลยทีเดียว พระยาธรรม.. ที่ไปติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้
ตนยังไม่เข้าสู่การเป็นองค์พระอริยเจ้า แต่ได้คุณวิเศษเสียก่อน - ก็เลยไปหลงอยู่ในสิ่งเหล่านั้น..
- จนต้องพากันตกนรกบ้าง
- พากันไปติดอยู่ในจุดนั้น จุดนี้ของวัฏสงสารบ้าง
... เลยไปไม่ถึงไหนกันเลย !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. สิ่งที่ลูกนั้น ควรที่จะพิจารณาฝึกฝนตนให้บ่อยๆ
ให้รู้อีก 2 สิ่ง นอกเหนือจากคลิปที่ได้กล่าวไปแล้ว
คือ ความรู้แจ้งในหลักธรรมที่องค์พระพุทธเจ้าสอน เพื่ออะไร จุดมุ่งหมาย คือ ที่ไหน ++
นอกเหนือจากข้อนั้น ก็ต้องทำตามข้อที่ 2 คือ ทำความเข้าใจในการปฏิบัติ ว่า
หากว่าเราได้ประพฤติปฏิบัติแล้ว คุณวิเศษต่างๆนั้น ย่อมปรากฏขึ้นเป็นปรกติ
- เห็นเป็นธรรมดา จะได้ไม่ต้องเห็นว่า มันวิเศษ ++
หรือจะพิจารณาในแบบที่ 3 - รู้ว่า สิ่งเหล่านั้น เกิดขึ้น
- เพื่อให้เรานำไปทำอะไร ที่มันเกิดประโยชน์แก่ตน และผู้อื่น ++
-- พิจารณาอย่างนี้ ก็จะสามารถถอดถอน ความลุ่มหลงแห่งตนได้ ลูก --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ แท้ที่จริง การที่คนเรานั้นปฏิบัติ จนได้คุณวิเศษต่างๆ
มันก็เป็นเรื่องปรกติ และเมื่อได้มาแล้ว เราควรจะนำมาทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์แก่เรา
เราก็จะไม่ลุ่มหลงในสิ่งที่ได้เหล่านั้น..
... พอจะเข้าใจ เช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา
ไว้วันพรุ่งนี้ หรือโอกาสหน้า ถ้าลูกสงสัยเรื่องใด จะขึ้นมาทูลถามใหม่
วันนี้ คงต้องกราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ..
สาธุ