ในวาระะดิถี. ส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๑. ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๒.
ขอให้ทุกท่านมี “จิตที่สงบนิ่ง” เป็น “หนึ่ง” เป็น "เอกัคตาจิต" มันก็ถึงที่สุดแล้ว.
ส่วน “อุบายปัญญา” เป็น “เฉพาะบุคคล”.
“แก่นสาร” คือ “จิตที่เป็นหนึ่ง” แล้ว. “รักษา” เอาไว้ให้มั่น.
ไม่ต้องเอาอื่นใดอีก. เอา “อันเดียว” เท่านั้นเป็นพอแล้ว.
ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นทุกประการ. ตลอดปี ๒๕๖๒.เทอญ. สาธุ สาธุ สาธุครับ.
(สู่แดนพระนิพพาน)
* เจโต *
อุปมาหงายกะลาที่คว้ำอยู่. พลิกจิตออกจากกาย.
พลิกจิตออกจากผู้รู้.
ออกสู่ความว่างของจักรวาลเดิม.
รวดเดียวจบ.
ข่าวดี. ส่งท้ายปีเก่า. ต้อนรับปีใหม่. "คณะเขาพริกที่ย้ายสถานที่จากเขาพริกไปขอนแก่น". มีบัวพ้นน้ำทั้ง ๓ ท่าน.
ท่านแรก. จิตรวมเป็นหนึ่งใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที. จิตเป็นหนึ่งชัดเจน. อยู่แต่เพียงผู้เดียว. กายกับจิตแยกกันอยู่. เหมือนน้ำกลิ้งอยู่ในใบบัว. เรียบร้อยไป ๑ ท่าน. เป็นชาวชัยภูมิ.
ท่านที่ ๒. ท่านเป็นชาวขอนแก่น. จิตรวมเป็นหนึ่งชัดเจน. แต่ยังไม่เด่นดวง. จิตสัมผัสความเป็นหนึ่งได้แล้ว.
ท่านที่ ๓. จิตรวมเป็นหนึ่ง. สภาวะของผู้รู้. ปรากฎให้รู้แล้ว. ความเป็นหนึ่งสัมผัสได้แล้ว. แต่ยังไม่ต่อเนื่อง. ต้องตั้งใจเพียรอีก. ให้ความเป็นหนึ่งมันต่อเนื่อง. จนกว่ามันจะเป็นหนึ่งของมันเอง. เมื่อมันเป็นหนึ่งของมันเองแล้ว. ไม่ต้องรักษา. ท่านเป็นชาวชัยภูมิ.
อนุโมทนาบุญกับท่านทั้ง ๓. สาธุ สาธุ สาธุครับ...
เจริญธรรม สาธุครับ.
(สู่แดนพระนิพพาน)
ศีล 5. 8, 10. 227. ดับทุกข์ได้ชั่วคราว.
ได้เกิดเป็นมนุษย์ชาติต่อชาติ. เท่านั้น. ไม่เป็นอนันต์กาล.. ยังข้ามสามแดนโลกธาตุไม่ได้. ต้องรวมศีล. สมาธิ. ปัญญา. ให้เป็น "หนึ่ง". เส้นทางอื่นไม่มี. สิ้นสุดของการเดินทางของโลกมายา.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"กระทบตัวกระทบสำคัญมาก."
เกิดสงครามใหญ่ในลังกา. ระหว่างสิงหล - ทมิฬ. พุทธกับพราหมณ์. เมื่อบ้านเมืองเป็นปรกติ. จึงมีการสังคายนาครั้งที่ ๔. ในลังกา.
จารึกคำสอนเป็นภาษาบาลีใน "ใบลาน". เมื่อพุทธศาสนาแผ่จากลังกา มามอญ เขมร มาถึงไทย. มาถึงยุคของเราสมัย ร.๕.
หลวงปู่มั่น. จึงบังเกิดขึ้น. ในยุคเดียวกัน. พม่ามีมหาสียาดอ. เป็นชาวนา. ทีแรกไม่สนใจพุทธ. ไปฟังเทศน์เรื่อง สติปัฏฐาน ๔.
กลับบ้านพิจารณาแต่ "สติ" ตัวกระทบผัสสะ. กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ดูตัวที่มากระทบนั้น. ได้ยินเดี๋ยวนี้. เห็นเดี๋ยวนี้. รู้เดี๋ยวนี้. กระทบตัวกระทบสำคัญมาก. เหลือบเห็นกระทบตา. อยากแล้ว. ได้ยินกระทบ. ดูตัวนี้.
ธรรมชาติของตัวกระทบ. รู้. กระทบรู้สึก. สติดูตัวเกิดดับ. สำเร็จเป็น "โสดาบัน" ตั้งแต่เป็นชาวนา.
ก็เลยบวชภาวนามาเๆ. พระสององค์นี้มาบวชค้ำจุนศาสนา. ถึงได้มีการตื่นภาวนากันขึ้น. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปรเทศไทย.
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
"โลกุตตระจิต"
อาการของ "อริยะมรรคทั้ง ๘" รวมกัน. เรียกว่า "มัคคสมังคี" เป็นสภาวะ. เหมือนฟ้าแลบในตอนกลางคืน. มีเสียงเหมือนไฟช็อต เกิดขึ้นที่จิต. จากนั้นจิตจะระเบิด. มันเป็นของมันเอง. เสียงดังมาก. "จิตจะรวมเป็นหนึ่ง" ผู้รู้เกิด. จิตเดิมแท้เกิด. มีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" เกิดขึ้นภายในจิต.
บางท่านจะไม่มีอาการดังกล่าว. แต่จะมีความรู้สึกว่า "ภายในจิต" นั้น. มีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" เป็นปัจจัตตัง.
ถ้าไม่มีสภาวะดังกล่าว. ตามที่กล่าวมาแล้วน้้น. เป็น "โลกีย์จิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การปล่อยวาง"ที่แท้จริงต้องมีตัว"วิมุติ"ปรากฎเด่นชัดอยู่
แต่ถ้าไม่มี เป็นการปล่อยวางเข้าสู่ภพแล้ว อย่าปล่อยให้เป็นจิตอนาถา.
* วิถีจิต สู่แดนพระนิพพาน.*
แยกจิตออกจากกาย. ด้วยสมถะหน้าเดียว. ตกแต่งเอาเองได้. ไม่ต้องเดินปัญญา. ดูลมเกิดดับในจุดรู้. แค่นั้นพอ. เพ่งเข้าสู่จุดรู้ที่เดียว. เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษาจิตหนึ่งไว้. จนมันเป็นหนึ่งของมันเอง.
จากนั้น. ให้ดับกาม. ต่อด้วยดับพยาบาท. สองอย่างนี้ดับให้หมดจากจิตเลย.. อย่าให้มีเชื้ออยู่แม้แต่เพียงนิดเดียว.
ธรรมใดดับได้ด้วยปัญญาแล้ว. ธรรมนั้นจะไม่เกิดอีก. อย่าวนอยู่ในธรรมตัวเดิม. ให้ก้าวเดินดับตัวต่อไป.
จากนั้น. ให้ดับผู้รู้. อย่าส่งจิตออกนอก. เพ่งจิตดิ่งเข้าสู่ความว่าง. สงบลึกลงไปอีก. ให้จิตอยู่เหนือ "ความตั้งมั่น". ถ้ามันยังตั้งมั่นอยู่. ก็ยังติดตั้งมั่นอยู่. ยังเข้าสู่ความว่างที่ไม่ใช่ความว่างยังไม่ได้.
เมื่อเข้าสู่ความว่างได้แล้ว. ให้ออกจากความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. ให้ปล่อยว่างความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. ณ จุดนี้. เขาจะเป็นของเขาเอง. ตกแต่งเอาเองไม่ได้. ปรารถนาเอาเองก็ไม่ได้.
เมื่อออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งได้แล้ว. เราจะเห็นความเป็นหนึ่งของจิตหนึ่ง. *ชัดเจน* ไม่ต้องไปถามใคร. เป็นสันทิฎฐิโก.
นิโรธครั้งแรก. ตกแต่งเอาเองได้. นิโรธครั้งทึ่สองเขาจะเป็นของเขาเอง. คราวนี้จะเอาอะไรเป็นวิหารธรรมก็เลือกเอา.
(สู่แดนพระนิพพาน)
*วิญญาณ*
"สัญญา. สังขาร. วิญญาณ". มันเป็นอาการของจิต. เป็นกิริยาจิต. ธรรมชาติของมัน. มันเกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น.
"วิญญาณ". เกิดจาก "อายตนะ" ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. "ผัสสะ" กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และธรรมารมณ์ในจิต.
"ตาผัสสะกับรูป". เวทนาเกิด. วิญญาณเกิด. วิญญาณตัวนี้. เป็นวิญญาณของขันธ์ ๕. วิญญาณตัวนี้. ยังไม่ใช่กิเลส.
ทีนี้. จิตที่ออกไปรู้นอกจิต. คือจิตส่งนอก. เรียกจิตตัวนี้ก็เรียกว่า "วิญญาณ" เหมือนกัน. วิญญาณตัวที่ออกมารู้นอกจิตนี้. ออกมาผัสสะกับวิญญาณของขันธ์ ๕. ออกไปผัสสะกับสังขารที่อยู่นอกกายออกไปอีก. ออกไปผัสสะกับสังขารที่มีวิญญาณครองสิง และสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองสิง.
"วิญญาณผัสสะกับวิญญาณ". *วิญญาณเกิด* วิญญาณตัวนี้เป็น *กิเลส*. วิญญาณตัวนี้. เป็น "คูหา" ให้จิตอาศัยอยู่. เรียกว่า "จิตวิญญาณ" เป็น "กรรม" เป็น "วิญญาณปฏิสนธิ" เป็น "วัฏฏะ".
นั่นคือนอกจิต. ทีนี้ภายในจิต. ตัวจิตที่อยู่ภายใน. ผัสสะกับอารมณ์ในปัจจุบัน. เวทนาเกิด. วิญญาณเกิด. เป็น "จิตวิญญาณ" เป็น "วิญญาณปฏิสนธิ" เป็น "วัฏฏะ".
"วิถีของวิญญาณ". มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนี้. มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว.
อายตนะใดก็ตาม. "ผัสสะ" กับสิ่งที่เข้ามาให้รู้. "วิญญาณของสิ่งนั้น" เกิดทันที. แม้จิตจะหลุดพ้นไปแล้วก็ตาม. วิญญาณมันก็ยังเกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น. เพราะ ธรรมชาติของมัน. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. เราไม่สามารถที่จะไปเพิ่ม ไปดับ ไปเปลี่ยนแปลงมันได้.
*** ให้พลิกจิตออกจากมันไป***.
(สู่แดนพระนิพพาน)
จิตหนึ่ง.
จิตหนึ่ง เป็นสภาวะธรรมแห่งความดับสิ้นของกิเลส โลภ โกรธ หลง. ดับสิ้นแห่งอาการของจิตทั้งหลายทั้งปวง. ทั้งในอดีต. อนาคตและปัจจุบัน. ดับสิ้นแห่งสัญญาความจำ. ดับสิ้นแห่งเวทนาทุกข์สุข. ดับสิ้นแห่งความคิดความปรุงแต่ง. ดับสิ้นแห่งวิญญาณความรู้แจ้งและความไม่รู้แจ้ง. ดับสิ้นแห่งความรู้สึก (ผู้รู้). ดับสิ้นแห่งสังโยชน์ทั้ง ๑๐.
จิตหนึ่งไม่อาจถูกทำลายได้. ไม่สูญ.
"มีสติพุทโธลม". รวมลงที่จุดรู้. ให้ต่อเนื่องอย่าให้ขาดสาย. "จิตหนึ่ง" จะปรากฏให้เรารู้เองเห็นเอง ที่จุดรู้ แล้วให้รักษามันไว้.
(สู่แดนพระนิพพาน)
**อย่าสงสัย !!**
มันจะเป็นอะไร ? อย่างไร ? คืออะไร ?. อย่าไปสงสัยว่ามันคืออะไร ?. หน้าที่ของเราคือ. "ให้มีสติรวมลงให้เป็นหนึ่ง". รวมไว้ที่ "จุดรู้กลางอก" ที่เดียวเท่านั้น. อะไรคือ สมาธิ. อะไรคือปัญญา. ไม่ต้องรู้. ไม่ต้องไปสงสัย. มีหน้าทำอย่างเดียว. ให้รักษาความรู้สึกให้มันเป็น "หนึ่ง". ที่จุดรู้กลางหน้าอกอย่างเดียว.
"ทุกอิริยาบถ". ไม่มีกาลนั้นกาลนี้. ไม่มีสถานที่. ทำได้ทุกเพศทุกวัย. ทำได้ทุกชั้นวรรณะ. ฝึกดึงลมเข้าสู่จุดรู้. แล้วจำความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่งที่จุดรู้". เมื่อสังเกตุว่าความรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษามันไว้.
ให้รักษามันไว้. ต้องทำนะ !! เราทำเราได้ !!. คนอื่นทำแทนไม่ได้. เราต้องทำเอง. สภาวะนี้เป็นสภาวะของมรรคทั้ง ๘. รวมกันเป็นหนึ่ง. เมื่อมันเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษาหนึ่งไว้.
**อย่าสงสัย !!. **
(สู่แดนพระนิพพาน)
"เห็นแสงสว่างครอบโลกธาตุ". เป็นนิมิตแสง. เป็นรูปนิมิต. เป็นอาการของจิต. พวกนี่พวกหมาตาเหลือง.
"แสงสว่าง". เป็นอาการของจิต. อย่าไปหลงยึดเอา "อาการของจิต". ว่าเป็นตัวจิต. ว่าเป็นตัวพระนิพพาน. เทียนไข. เปลวไฟจากเทียนไข. แสงสว่างจากเปลวไฟ. เป็นคนละตัวกัน.
*** สิ่งนั้น. ไม่ใช่เทียนไข. สิ่งนั้นไม่ใช่ไฟ. สิ่งนั้นไม่ใช่แสงสว่าง. ***
พวกเหาะเหิรเดินอากาศ. เดินบนฟ้า. ตีลังกา. เดินจงกลม. เห็นเทวบุตรเห็นเทวดา. เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. ทั้งจักรวาล" ก็เหมือนกัน. มันเป็นอาการของจิต. !! เป็นนิมิตทั้งนั้น.
สิ่งเหล่านี้มันเป็น "อุปจาระฌาน". เป็น "อุปจาระภาวนา". เป็น "ภวังคจลนะ". อันเดียวกัน. เรียกชื่อต่างกัน. !!
"แสงสว่าง". ไม่ใช่จิตเดิมแท้. ไม่ใช่เอกัคตาจิต. ไม่ใช่จิตหนึ่ง. ไม่ใช่สัมมาสมาธิ.
*** พวกนี้ตายไปหมดบุญ ก็ต้องตกนรก. ยังเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร. ยังไม่พ้นทะเลหลง. ***
"ความว่างที่แท้จริง". ไม่ใช่แสงสว่าง และไม่ใช่ความมืด.
ที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน. พระอรหันต์เจ้า. ที่ท่านให้โอวาทธรรมว่า. มันจ้า ครั้งที่สองนั้น มันมากกว่าเดิมนั้น. ท่านพูดถึง "อาการของจิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
เมื่อสิ่งนั้นออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว.
คอขาดแล้วสิ่งนั้นไม่กบถ.กลับคืนมาอีกเป็นอนันต์กาล. ให้ปล่อยวางสิ่งนั้น. อยู่กับอานาปานสติ หรือจะอยู่กับจิตหนึ่ง. อย่างใดอย่างหนึ่ง. ก็ได้.
พระสารีบุตร. เอาความว่างของจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรม. พระองค์เอาอานาปานสติ. เป็นวิหารธรรม.
จากนี้ไปมันจะเป็นของมันเอง.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. ทั้งจักรวาล" นี่กะคือกัน อย่าติดมัน !!
เห็นแสงเม้าๆ กะแล่นใส่ !! เห็นแส่งดาวแสงเดือนกะคือกัน พวกเหาะเหิรเดินอากาศ" เดินบนฟ้า" ตีลังกา" เดินจงกลม" เห็นเทวบุตรเห็นเทวดา" เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก" ทั้งจักรวาล" นี่กะคือกัน" อย่าติดมัน !!
"พวกนี่พวกหมาตาเหลือง"
ได้ยินเสียงคนคุยกะดี !! เห็นแสงสว่างกะดี !!. สิ่งเหล่านี้มันเป็น "อุปจาระฌาน" เป็น "อุปจาระภาวนา" เป็น "ภวังคจลนะ" กะอันเดียวกัน !!
"คันสิเอาแสงสว่างเป็นความบริสุทธิ์" !! กะเอาแสงสว่างของ "พระอาทิตย์ ของดวงจันทร์" เป็นความบริสุทธิ์คือกัน !!
*** บ่อเห็นมันบริสุทธิ์หยังเลย !! กิเลสกะมีคือเก่า !!.***
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)บ้านแวง อ.หนองสูงใต้ จ.มุกดาหาร
"นิพพาน. ไม่ใช่นิมิต"
นิพพานพ้นจากกองนามรูปไปแล้ว.
(หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
"ต้องมีญาณ" จึงจะไปถึงฝั่งพระนิพพานได้.
"ญาณ". เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทร. ใช้ในการเดินทาง. ท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร. มานานนับภพนับชาติมาเป็นอจินไตยแล้ว. "กายกับจิต" มันปิดบัง "ญาณลำนี้ไว้" ต้องหามันให้พบ.
"ญาณลำนี้" มันมีชื่อว่า. "จิตเดิมแท้"
"จิตเดิมแท้. หรือ ญาณลำนี้". มันมีลมเป็นคูหาให้มันอาศัยอยู่. ตัวลมตัวนี้ตัวเดียว. ที่บังญาณลำนี้ไว้. เอามหาสติเพ่งเข้าไปที่ลมที่เดียวที่เรากำหนดไว้. ที่จุดเดียว. จะเป็นที่ปลายจมูก หรือที่ กลางหน้าอก. ก็ได้. จุดใดจุดหนึ่ง. ให้ต่อเนื่อง.
"ญาณแท้ลำนี้". จะโผล่พรวดขึ้นมาให้เรารู้เราเห็นทันที. ล็อกคอมันไว้เลย. ให้รักษามันไว้. เมื่อมันยอมแล้ว. คราวนี้สอนมัน. มันเหมือนมีตัวมีตนจริง ๆนะ. แปลกนะ !! ญาณลำนี้ไม่มีอะไรทำลายมันได้เลย. ไม่มีเสื่อมสลาย. ไม่เกิด. ไม่แก่. ไม่เจ็บ. ไม่ตาย.ไม่สูญ !!. เป็นอนันต์กาล.
เมื่อถึงฝั่งพระนิพพานได้ดังใจหมายแล้ว. นายทวารแห่งแดนพระนิพพาน. กระซิบเบา ๆ. ให้ "วางญาณ" ไว้ก่อน. จึงจะเข้าไป "เสวยอมตสุข" ได้. เอวัง...
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ความจริงที่เราต้องรู้แจ้ง"
ถ้าเราไม่รู้แจ้งในสัจจะความจริงทั้ง ๔. นี้แล้ว. เราจะขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้เลย. ได้แก่.
จริงสัจจะ : สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง. เป็นทุกข์. ไม่มีตัวตน. ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์.
จริงอริยสัจ : เป็นเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์. เป็นเส้นทางแห่งความหลุดพ้น. ทาน. ศีล.ภาวนา. ดับทุกข์ได้ชั่วคราว. สติ.สมาธิ.ปัญญา. ดับทุกข์ได้เป็นอนันต์กาล. ตัวที่แจ้งในจริงอริยสัจ.คือ จิตต้องเป็น "หนึ่ง" ก็คือ. "ตัวปัจจัตตัง". ถ้ายังไม่เห็น "จิตหนึ่ง" เราจะไม่แจ้งในอริยสัจ.
จริงสมมุติ : จริงตัวนี้ถ้าเรายังไม่แจ้ง. ยังไม่เห็นใน "จิตเดิมแท้" ด้วย "จิต" แล้วเราจะไม่เห็นสมมติ. เราจะรู้สมมติได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง. ก็ต่อเมื่อออกไปอยู่นอกสมมติ. คือ. ออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง".
จริงบัญญัติ : ทั้งสมมติ. และ วิมุติ. ไม่มึตัวตนเราเขา. สมมติเพื่อสื่อสาร. เพื่อความเข้าใจ. เมื่อแจ้งแล้วก็ปล่อยวาง.
สัจจะทั้ง ๔. เราจะตัดโซ่ข้อใดก็ได้. ถึงที่หมายเดียวกัน
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** วัดพระบาทเขาพริก. ต.คลองไผ่. อ.สีคิ้ว. จ.นครราชสีมา.***
29 ธันวาคม. 2561. รวมพล.
30. ธันวาคม 2561.
แลกเปลี่ยน. ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมแห่งความพ้นทุกข์. ธรรมที่มองไม่เห็นตัว. แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยจิต. เป็น "สมถะลืมตา". รู้แจ้งเห็นจริงใน "สิ่งนั้น" ด้วย "ปัญญาอริยมรรค"
31. ธันวาคม. 2561.
เจริญวสี ๕. การเข้าไป. ตั้งอยู่. รักษาความเป็นหนึ่งของจิต. ได้ตามความประสงค์. เข้าออกได้ตามความปรารถนา. การถอยออกมาของจิต. อยู่ในอารมณ์ "อุปจารสมาธิ." ดูการดับของกิเลส. ด้วยมัคคปหาน. แล้วอยู่กับ "อานาปานสติ" เอาสติลม. เป็นวิหารธรรม. เห็นลมก็จะเห็นจิตหนึ่ง. เห็นจิตหนึ่งก็จะเห็นลม. มันอยู่ในที่เดียวกัน. ต่างคนต่างอยู่.
แลกเปลี่ยนความรู้ของสภาวธรรม. ระหว่างน้อง ๆที่ได้จิตหนึ่งแล้ว. จะได้หายสงสัย. ว่า. พระนิพพานมีจริง.
31 ธันวาคม. 2561.
กลับภูมิลำเนา. บ้านเคยอยู่. อู่เคยนอน. ด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว. ถึงที่หมายแน่นอน.
จึงเรียนมาเพื่อทราบ.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
“สัมมาทิฐิ. ไม่ใช่ตัวจริงของพระพุทธศาสนา”
"สัมมาทิฐิ". คือ ความเห็นชอบ. เป็นองค์มรรคข้อที่ ๑. ในมรรคทั้ง ๘. "สัมมาทิฐิ" ยังไม่ใช่ตัวจริงของพุทธศาสนา.!!.
"สัมมาทิฐิ" เป็นเส้นทางเข้าสู่ "อริยมรรค". เป็นเส้นทางเข้าสู่ "พุทธศาสนา".อย่าว่าแต่ "สัมมาทิฐิ" ข้อเดียวเลย. "มรรคทั้ง ๘". ถ้ายังไม่รวมกันเป็น "หนึ่งเดียว" แล้ว. มรรคทั้ง ๘. นั้น. ก็ยังเป็น "โลกีย์มรรค" อยู่เลย. ยังห่างไกลแก่นแท้ของศาสนา. ยังไม่ถึงตัวศาสนาที่แท้จริง.
"พุทธศาสนา". เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน. "จิตหนึ่ง" คือแก่นแท้ของพุทธศาสนา. "จิตหนึ่ง" เป็นตัวศาสนาที่แท้จริง.
"สติ. สมาธิ. ปัญญา". รวมกันเป็นหนึ่ง. เป็น "จิตหนึ่ง" สติ. สมาธิ. ปัญญา. ไม่ใช่พระนิพพาน. แต่เป็นทางเดินเข้าสู่พระนิพพาน.
การออกมากล่าวว่า. "อะไรเป็นตัวจริงของพระพุทธศาสนา ?" แล้วตอบว่า. “สัมมาทิฏฐิ" คือ "ตัวจริงของพระพุทธศาสนา”
ถ้าอริยมรรคยังไม่เกิดขึ้น. มีขึ้นภายในจิต. ในทางปฏิบัติแล้ว. ถือว่า. ภูมิจิตภูมิธรรม. ท่านยังเป็นคนนอกศาสนาอยู่. !!!
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** โลกีย์มรรค. กับ อริยมรรค.*** ต่างกันอย่างไร ?.
คำว่าจิต. มี ๒ สภาวะ. คือ. จิตผู้รู้. กับ จิตผู้หลง. ในที่นี่คำว่า. จุดรู้. กับ จิตผู้รู้. เป็นตัวเดียวกัน. ทีนี้.ตามความเป็นจริงในทางปฏิบัตินั้น. ต้องปฏิบัติให้เห็น "จิตผู้รู้" ก่อน. จึงจะเห็น "จิตผู้หลง." ต้องรวมมรรคทั้ง ๘. ให้เป็น "หนึ่งเดียว" เสียก่อน..
"มรรคมีองค์ ๘". ถ้ายังไม่รวมเป็น "หนึ่ง" เป็น "ปุถุชนมรรค" เรียกว่า "โลกีย์มรรค". ตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่ขาด. แต่ถ้ามันรวมกันเป็น "หนึ่งเดียว" แล้ว. เราเรียก "มรรคที่รวมกันเป็นหนึ่ง" นั้นว่า "อริยมรรค" เป็นมรรคของพระอริยะ.
"โลกีย์มรรค" เป็น "สัญญามรรค". จำเอาท่องเอา. มรรคข้อนั้นเป็นอย่างนี้. มรรคข้อนี้เป็นอย่างนี้. "ดับกิเลสได้ชั่วคราว" ไม่เป็นอนันต์กาล. เพราะมันเป็น "สัญญา".
"อริยมรรค" เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นที่จิต. ไม่ต้องท่องจำ. ไม่ได้เป็นตำรา. ไม่ได้เป็นตัวหนังสือ. ไม่ใด้เป็นใบลาน. มันเป็น "ความรู้สึก" รู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับอารมณ์ใด ๆ. ที่จรเข้ามา. ไม่เกี่ยวกับลมกับกาย. ความเป็นหนึ่งของมรรคที่รวมกัน. เกิดขึ้นภายในจิต. เรียกว่า "ผู้รู้"
*** ตัวผู้รู้. ตัวนี้แหละคือตัว "จิตเดิมแท้" ***
กำลังของ "สติ. สมาธิ. ปัญญา". หรือเราจะเรียกว่า "พลังจิต" ก็ได้. มันออกมาจาก "จิตผู้รู้". ตัดสังโยชน์ ๑๐. ขาดไปตามลำดับ. ดับทุกข็เป็นอนันต์กาล. ไม่กบถกลับคืนมาอีก.
สติ ก็ออกมาจากผู้รู้.
สมาธิ ก็ออกมาจากผู้รู้.
ปัญญา ที่ใช้ตัดสังโยชน์ ๑๐. มันก็ออกมาจากผู้รู้.
รักษาความเป็น "หนึ่ง". หรือรักษา "จิตผู้รู้" ไว้. ฝึกจิตให้รักษาความเป็นหนึ่งไว้. ให้มีความชำนาญใน "วสี ๕" ให้ยิ่ง. จนมันเป็น "หนึ่ง" ของมันเองโดย "ไม่ต้องรักษา". มีสติก็เป็นหนึ่ง. ไม่มีสติก็เป็นหนึ่ง.
*** ความเป็นหนึ่งของจิต. หรือ "จิตหนึ่ง" ตัวนี้แหละ. เป็นสักขีพยาน. เป็น "ญาณ" ที่จะพาเราเข้าสู่พระนิพพาน. ***
"รักษาจิต" คือให้รักษา "จิตผู้รู้ตัวนี้" พวกตาบอดทั้งหลาย. ผู้รู้ยังไม่เกิดเลย. ออกมาค้านธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว. พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้. ออกมาสอนธรรมมาแจกธรรม. ทำให้...
*** ทำให้พระสัทธรรม" ทำให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเพี้ยนหมด. นำไปปฎิบัติแล้วไม่ได้ผล. พวกนี้ "กรรมหนัก". พวกนี้ออกมาทำลายศรัทธาต่อศาสนา. เพราะปฏิบัติแล้วไม่เกิดผล.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ตัวโลกุตตรธรรม" เหมือนไฟฟ้าแลบ แปล๊บเดียว มันก็เห็นหมดแล้ว. แลบหนเดียวไม่แลบมาก.... กับ "จิตหนึ่ง" เป็นคนละสภาวะกัน.
โลกุตตระ. มีหลายระดับ. โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์.
คำว่าแลบ. หรือ แวบ. เป็นสภาวะของอาการของ "มัคคปหาน" ที่มันเกิดขึ้นภายใน "จิตผู้รู้" เกิดขึ้นมาแว๊บเดียว. แล้วก็ดับไป. กับ "จิตหนึ่ง" เป็นคนละสภาวะกัน.
แต่ "จิตหนึ่ง" ตัวปัจจัตตังตัวนี้ "ยังตั้งอยู่" เป็นปัจจัตตัง. ในวสี ๕. มีความชำนาญ เข้าไป. ตั้งอยู่. และถอยออก. คือตัวนี้.
"แว๊บ". ตัวนี้ มันเป็น "มัคคปหาน". ยกตัวอย่าง จิตผู้รู้มันจะดับปฏิฆะภายในจิต. อาการ แว๊บ !! จะเกิดขึ้นที่จิตผู้รู้. ความอยากในกามทั้งหลาย. กามทั้งหลายดับทั้งหมดเลย. อาการที่เกิดขึ้น มันจะ แว๊บ. เกิดขึ้นที่จิตผู้รู้. รู้เองเห็นเอง. อาการแว๊บ. มันจะเป็นของมันเอง. กำหนดให้มันเป็นไม่ได้...
"อาการแว๊บ" ที่ "สิ่งนั้น" มันออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง". เป็น "อาการของมัคคปหาน". อาการของมัคคปหาน. มันจะเกิดขึ้นภายในจิต. เราจะรู้เองเห็นเอง.
อาการแว๊บ มันหายไป แต่จิตหนึ่งมันยังมีอยู่. มันเป็นคนละสภาวะกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** เห็นเป็นปัจจัตตังชัดเจน. เหมือนดั่งตาเห็นรูป. ว่า...***
"ตัวไม่เที่ยง. มันออกมาจาก "ตัวเที่ยง". เนื่องด้วยมันมีตัวไม่เที่ยงอยูในตัวเที่ยง. นี้เอง. ในทางปฏิบัตินั้นถือว่า. สภาวะของจิตดวงนี้ เป็นจิตที่ "สะอาด" แต่ยัง "ไม่บริสุทธิ์"
"จิตดวงนี้" เรียกว่า "จิตเดิมแท้" หรือ "ผู้รู้".
"ตัวไม่เที่ยง" มันเป็น "อาการ" มีอะไร ?บ้าง. มีรูปนิมิต. เวทนา. สัญญา. สังขาร. วิญญาณ.
"ทั้งสองตัวนี้" มันอยู่ในที่เดียวกัน. ต่างคนต่างอยู่. เราจะสัมผัสตัว "จิตเดิมแท้" ดวงนี้ได้ด้วย "จิตผู้รู้" ได้อย่างชัดเจน. ในทุกอิริยาบถ. ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา. ไม่มีกลางวันกลางคืน. สภาวะนี้เรียกว่า "จิตเห็นจิต". ชัดเจน !!!
*** เหมือนดั่งตาเห็นรูป. ***
เจรอญธรรม สาธุครับ....
(สู่แดรพระนิพพาน)
"นรก" : เอาไว้ดักพวกละเมิดศีล. พวกไม่ถือไตรสรณคม. พวกมี ๒ คติ. "หลุมดำ" : เอาไว้ดักพวกมีฌานสมาบัติ. แต่ไม่เดินปัญญา.
ในทางปฏิบัติแล้ว.
ถ้าผู้รู้ยังไม่เกิด. ถือว่า. เป็นคนตาบอด. ยังเป็นคนนอกศาสนา. แต่ยังเป็นผู้ถือ "ไตรสรณคมณ์. เป็นพุทธมามกะ.
ปุถุชน. จิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง.
ผู้รู้ยังไม่เกิด.
พระอริยะ. ผู้รู้ในอริยมรรคเกิด.
มีจิตหนึ่ง. เป็นสักขีพยาน.
"ผู้รู้" หรือ "จิตหนึ่ง" ธรรมชาตินี้ "รู้เองเห็นเอง" มันเป็น "ปัจจัตตัง"
ธรรมชาติ หรือ "จิตหนึ่ง" นี้อยู่ได้ตัวของมันเอง
"ธรรมชาติ" หรือ "จิตหนึ่ง" นั้น "ไม่ใช่สมมุติ" มันอยู่แต่เพียง "ผู้เดียว"
ไม่มีอะไรเข้ามา “ทำลาย” เข้ามา “เกี่ยวข้อง” เข้ามา “ลบล้าง” ได้
เพราะ “พ้นวิสัยของสมมุติ” มี "ใจ" เท่านั้นที่ "สัมผัสสัมพันธ์" (จิตเห็นจิต) ได้
อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กาย "ไม่ใช่วิสัย" แห่งการรับทราบ “ธรรมนั้น” (ชัดเจน)
ทางขึ้นเขามีหลายทางก็จริง.
เมื่อถึงยอดเขา.
จะเป็นเส้นทางไหนก็ตาม.
จิตต้องรวมเป็นหนึ่ง.เท่านั้น.
ถ้าจิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง.
"จิตเดิมแท้" ยังไม่เกิด. ท่านคือ "ผู้หลง"
ยังไม่แจ้ง. (ตาบอด).
ต้องทำให้ "ผู้รู้" เกิดก่อน.จึงจะพ้นทุกข์.
เพ่งอยู่กับผู้รู้. ในปัจจุบัน.
แล้วฟังผู้รู้เขาบอก. ทุกสภาวะในปัจจุบัน.
ที่ผู้รู้บอก. นั่นคือความรู้แจ้งเห็นจริง.
ผู้รู้. ดู จิตผู้รู้.
ผู้รู้. ตัวแรกคือ นิพพาน. อยู่นอกจิตหนึ่ง. ผู้รู้อีกตัวคือ.จิตผู้รู้. เกิดจากมรรค ๘. รวมกัน.เป็น "หนึ่ง".
"อาการที่มันเต้นตุ๊บ ๆ" อยู่ที่ "จุดรู้" นั้น. ตัวนั้นแหละคือ "จิตเดิมแท้".
ไอ้ที่มันเต้นตุ๊บ ๆ. อยู่ที่ จุดรู้นั้น. มันเป็นอาการของกาย. มันอยู่นอกอำนาจจิต. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. ลมที่เข้าออกที่จุดรู้ก็เช่นเดียวกัน. ลมเข้าออกก็อยู่นอกอำนาจจิตเหมือนกัน.
สุดท้ายอาการที่เต้นตุ๊บ. และ ลมจะหายไป. เหลือแต่จุดรู้เด่นดวง. เป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว.
ให้เอา "หนึ่ง" เท่านั้นก็พอ. ให้รักษาจุดรู้. ให้รักษาความเป็น "หนึ่ง" ไว้. อาการที่เต้นตุ๊บ ๆ. กับลมเข้าออก. เป็นของไม่เที่ยง. ไม่เอา. วางอย่างเดียว. เข้าใจไหม ?
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ผู้รู้"
มีสติจี้ลงไปที่จุดรู้. จุดรู้อยู่ที่ไหน เพ่งมันลงไปที่จุดนั้น. เมื่อจุดรู้เป็นหนึ่ง. เด่นเป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว. ไม่ต้องเอาผู้รู้ไปตามรู้สิ่งใดๆ ทั้งสิ้น. อยู่กับผู้รู้อย่าส่งนอก. จะอารมณ์ใดก็ตามที่เข้ามากระทบกับผู้รู้. อารมณ์เหล่านั้นดับหมด.
"อารมณ์เกิด. ผู้รู้เกิด". ผู้รู้เกิดเพื่อมารับรู้อารมณ์. อารมณ์ดับ. ผู้รู้ก็ดับด้วย.ทั้ง ๒ สภาวะ. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันเป็นความว่างที่หุ้มความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง (จิตหนึ่ง). อารมณ์ก็ว่าง. ผู้รู้ก็ว่าง. จิตหนึ่งมันความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. เป็นหนึ่งของมันอยู่แต่เพียงผู้เดียว. เป็นหนึ่งของมันอยู่อย่างนั้น. เป็นสภาวะของ "จิตเห็นจิต". เป็นสภาวะของ "ผู้รู้รู้แจ้งในผู้รู้". จุดนี้. !! หลุดพ้นด้วยปัญญา.
สายเจโต. เมื่อผู้รู้เด่นชัด. ผู้รู้จะพลิกตัวออกจากผู้รู้. ไม่ต้องเดินปัญญา. เป็นเสรีอยู่แต่เพียงผู้เดียว.
(สู่แดนพระนิพพาน)
* ราตรีเดียว *
"อย่าอุปาทานในความมีกลางวันกลางคืน". จงเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน". กลางวันกลางคืน. มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น. อย่าไปยึดมั่นว่าความเป็นกลางวันกลางคืน. เป็นตัวเราของเรา. ให้ปล่อยวางความมีกลางวันกลางคืน. แล้วอยู่กับ "ความว่าง" คือให้อยู่กับ "จิตที่เป็นหนึ่ง" หรือ "จิตหนึ่ง".
ให้มี "สติ" อยู่กับ "พุทโธ. ลม". รวมลงที่ "จุดรู้". จนมันรวมเป็น "จิตหนึ่ง" แล้วอยู่กับมัน ไม่มีกลางวันกลางคืน. ** มีราตรีเดียว **. พักกายในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง. อย่าหลับนะ !!
"จงเป็นผู้มีราตรีเดียว". ความต่อเนื่องของสติ. จิตจะรวมเป็น "หนึ่ง". เข้าสู่ความสงบหน้าเดียว. ดูความเกิดดับของลม. ลมมันจะเกิดดับของมันเอง. (เป็นปัญญา). ไม่ต้องวิตกวิจารณ์. เมื่อมันเป็น "หนึ่ง" แล้ว. ก็ให้อยู่กับ "หนึ่ง" ใน "ราตรีเดียว" เป็นสภาวะของ "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ที่แท้จริง.
ฝึกใหม่. ให้มีราตรีเดียวเอาแค่ ๑ ราตรีก่อน. ต่อไป. ค่อย ๆเพิ่มไปเรื่อย ๆ. ๓ คืน. ๗ คืน. ตามกำลังของสติ.
*** พระนิพพาน. อยู่ไม่ไกลแล้ว. ***
เจริญธรรม. (สู่แดนพระนิพพาน)
.อย่าเล่นกับไฟนรก.!!
"จิตเมื่อมันออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งได้แล้ว". มันจะตีกลับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบ. ปรารถนาดีก็จะสะท้อนความดีกลับคืน. ถ้าปรารถนาร้ายอาจจะถึงตายถึงคอขาด. มันเป็นของมันเองอยู่อย่างนั้น.
จิตหนึ่ง. ให้รักษามันไว้. เมื่อมันเป็นหนึ่งของมันเองแล้ว. มันจะรักษาเรา. อย่าไปสงสัย.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ธรรมแท้ ๆ. มีอยู่นิดเดียว".
มี "หนึ่งเดียว" เท่านั้น.
ที่มีมากเพื่อพูดให้คนเข้าใจ.
ให้ "แยกจิตออกจากเวทนา" เวทนาอย่าไปดับมัน. ดับมันไม่ได้ดอก.
เวทนามันอยู่ที่ไหน ?. เวทนามันอยู่ที่กาย. อะไรคือเวทนาที่กาย ?. รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส. คือเวทนาที่กาย. !! (เวทนาเกิดที่กาย. อารมณ์เกิดที่จิต. เป็นคนละตัวกัน)
"เวทนา" มันเกิดที่กาย. ทุกข์เวทนามันเกิดที่กาย. สุขเวทนามันเกิดที่กาย. ไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนามันก็เกิดที่กาย.
** สิ่งใดเกิดที่กาย สิ่งนั้นดับมันไม่ได้. ห้ามไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ **.
มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. เวทนามันเป็น "ทุกข์สัจจะ" ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ทุกข์ที่กายดับ. มันยิ่งจะทุกข์หนักเข้าไปอีก.
"เวทนาที่กาย" ท่านให้ปล่อยวาง หรือท่านให้ข้าม. อย่าไปดับมัน. เวทนาที่กายดับมันไม่ได้ดอก. ปฏิบัติให้อริยมรรคเกิดขึ้นที่จิต. ให้เป็น "หนึ่ง" เส้นทางอื่นไม่มี. เมื่อ "จิตเป็นหนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว. เวทนาก็อยู่ส่วนเวทนา. จิตหนึ่งก็อยู่ส่วนจิตหนึ่ง. ต่างคนต่างอยู่.
เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว. เวทนามันก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม. เวทนาไม่ได้หายไปไหนนะ. มันยังคงมีอยู่เหมือนเดิม.
(สู่แดนพระนิพพาน)
*ดู. ลม.ก็จะ. เห็น. ผู้รู้.*
*ดู*...ตัวนี้ค้นไม่ถึง.
*ลม* คือกาย.
*เห็น* เป็นอายตนะนิพพาน.
*ผู้รู้* มันหุ้ม *จิตหนึ่ง*ชัดเจน !!.
จิตหนึ่งมันถึงที่หมายแล้ว. อย่าพากันหลงทาง.
ได้หนึ่งแล้วให้รักษาไว้. อย่าทิ้งอย่าปล่อยวาง.
เอาจิตหนึ่งตัวเดียวก็พอแล้ว.
เมื่อชำนาญในวสีแล้ว. มันจะเป็นหนึ่งของมันทุกอิริยาบถ.
*** อย่าส่งนอกออกไปสัมปยุตกับมัน ***
ตาเห็นรูป. หูได้ยินเสียง. อารมณ์เกิด.
ดูซิ !!. ดู. "มีหนึ่งไหม ?".
ถ้ามี "หนึ่ง" ตั้งอยู่เป็นสักขีพยาน.
ไม่ต้องวิตกวิจาณ์อะไรเลย. ปัญญาเกิดเอง.
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์.
อยู่นอกจิตหนึ่ง. ทั้งนั้น. ชัดเจน !!.
เหมือนน้ำกลิ้งอยู่บนใบบัว.
อยู่กับ "จิตหนึ่ง" อย่าส่งนอก.
ดูความเกิดดับของ. วิญญาณ ของขันธ์ ๕.
ดูความเกิดดับของอารมณ์. ดูความเกิดดับของความรู้สึก. อย่าส่งนอกออกไปสัมปยุตกับมัน.
ไม่ต้องส่งจิตออกไปวิตกวิจารณ์กับมัน.
ถ้าส่งจิตออกไปสัมปยุตกับมัน. นั่นคือ "ส่งนอก".
เสร็จมัน.!!
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"จิตเดิมแท้". เป็นเหมือนความว่าง.
ตัวที่เป็นเหมือนความว่าง. สัมผัสไม่ได้ด้วยอายตนะใด ๆ ทั้งสิ้น. ที่จิตสัมผัสได้นั้นมันเป็น "ความรู้สึก". ความรู้สึกมันหุ้มตัวที่เป็นเหมือนความว่างอยู่.
"ความรู้สึกที่เป็นหนึ่ง". ตัวนั้นคือตัว "ผู้รู้". ตัวที่เป็นเหมือนความว่างนั้น. เมื่อผู้รู้. รู้แจ้งด้วย "ปัญญาของอริยมรรค". ผู้รู้จะเปลี่ยนรูปเป็นตัวที่เหมือนความว่าง.
"ผู้รู้". ถ้ามันเคลื่อนไหว. มันก็เป็น "อาการ" เป็น "กิริยาจิต". ถ้ามันหยุดนิ่ง. มันก็เป็น "อกิริยาจิต" เมื่อจิตเห็นจิต. ผู้รู้เห็นผู้รู้. ผู้รู้เปลี่ยนรูปเป็น "ตัวเหมือนความว่าง". หรือ "ตัวเที่ยง". เป็นตัวเดียวกัน.
ที่นั้มันมี "สิ่งหนึ่ง". ที่ซ้อนอยู่ในตัวเที่ยง. เมื่อมันเต็มรอบแล้ว. มันจะระเบิดตัวมันเอง. ออกจากตัวเที่ยง ไปอยู่นอกตัวเหมือนความว่าง. จุดนี้มันจะเป็นของมันเอง.
เมื่อสิ่งนั้น. เมื่อมันเป็นเสรีแล้ว. ผู้รู้ก็ยังมีอยู่. อาการของผู้รู้. ได้แก่ เวทนา. สัญญา. สังขาร. มันก็ยังมีอยู่. มันไม่ได้หลงตามไปด้วย. รูปกายธาตุ ๔. ขันธ์ ๕. อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. เวทนานอก. ก็ยังมีอยู่. เหมือนเดิมทุกอย่าง.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"วันพระมีทุกวัน"
ไม่มีกาล. ไม่มีเวลา. ไม่มีกลางวันกลางคืน. ไม่มีข้างขึ้น. ไม่มีข้างแรม. ทุกลมหายใจเข้าออก. ไม่มีอดีต. อนาคต. ไม่มีปัจจุบัน.
"มีสติลม. รวมลงที่ จุดรู้." ศีลบริสุทธิ์.
คำว่า. ศีลบริสุทธิ์. คือมันว่าง. จุดนี้มันเป็น "ความว่าง" ความว่างตัวนี้. มันอยู่เหนือศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. คือมันบริสุทธิ. มันว่างไม่มีอะไรเลย.
ทีนี้. ถ้าสติอ่อน. หรือขาดการต่อเนื่อง. คือไม่ทรงอยู่ในจุดรู้. ความบริสุทธิ์ของศีล. จะลงมาค้างอยู่ที่ศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. อุปมาขับรถขึ้นยอดเขา. มีสติรู้เท่าทันในสติอ่อน. ขาดการต่อเนื่อง. ไม่อยู่ในจุดรู้. ส่งนอก. ดึงมันกลับมา. มีสติอยู่กับลม. รวมลงที่จุดรู้. เหยียบคันเร่ง. ให้สม่ำเสมอ. รักษาสติให้อยู่กับลม. รวมไว้ที่จุดรู้.
รักษาจุดรู้ไว้. ถ้าจุดรู้หาย. ฝึกดึงลม. ดึงลมทีเดียวเข้าหาจุดรู้ได้เลย. รักษาจุดรู้ไว้. ความเพียรอยู่ตรงจุดนี้. หนักความเพียรหนักตรงจุดนี้.
มีสติลมรวมลงที่จุดรู้. ไม่ใช่ศีลบริสุทธิอย่างเดียว. ความบริสุทธิก็คือความว่าง. ความหมายเดียวกัน. ศีลว่าง. สติว่าง. สมาธิว่าง. ปัญญาว่าง. ๔ ว่างรวมกันเป็น "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง".
เป็นสภาวธรรม. ที่มรรคทั้ง ๘. รวมกันเป็น "หนึ่ง". มันจะรวมแบบไหน. ทำไม ? มันจึงเป็นหนึ่ง. มันเป็นอย่างไร ?. อย่าไปสนใจมัน. ได้ "จิตเป็นหนึ่ง" พอใจแล้ว. ถึง "จิตเดิมแท้" ได้แล้วพอใจแล้ว. ข้ามโลกีย์เข้าสู่โลกุตตระ" ได้แล้วพอใจแล้ว. ปิดอบายได้แล้วพอใจแล้ว. จิตตกกระแสพระนิพพานแล้ว พอใจแล้ว. ถึงแน่นอนพระนิพพาน พอใจแล้ว.
*** อย่าสงสัย.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"โพธิญาณของพระพุทธเจ้า"
คำว่า โพธิ. คือการตรัสรู้. ญาณ. เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ
หรือเรียกว่า วิชา ๓ คือ
๑. ปุเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพพจักขุญาณ คือ ตาทิพย์
๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ.
ความรู้ที่สำคัญที่สุด คือ "อาสวักขยาญาณ" ได้แก่ "การรู้อริยสัจ ๔" อย่างถ่องแท้ตามความเป็นจริง. จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะ คือ กามสวะ ภวาสวะ และอวิชชสวะ. ได้แก่ การพิจรณาปฏิจจสมุปบาททั้งขบวนการเกิด(สมุทัย)และขบวนการดับ(นิโรธ) จนเห็นชัดแจ้งตามความจริง.
บุคคลผู้มุ่งหมายที่จะบรรลุโพธิญาณ หรือตรัสรู้ หรือผู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์ บางทีก็เรียกว่า พระมหาสัตว์ หรือพระมหาบุรุษ ซึ่งหมายถึง บุคคลที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น หรือเป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์อื่น(ในการบำเพ็ญบารมี) หรือ หมายถึงบุคคล ผู้ตักเตือน เหล่าอื่น หรือผู้ต้องการช่วยเหลือสัตว์อื่นออกจากทุกข์
เวลาที่ใช้บำเพ็ญบารมีที่จะรู้เองเองเห็นเอง. ต้องใช้เวลาสร้างบารมรรู้เองเห็นเองถึง.
1. ปัญญาธิกะพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
2. ศรัทธาธิกะพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
3. วิริยาธิกะพุทธเจ้า
คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป.
คำว่ารู้เองเห็นเอง. หมาย ผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั่นเอง. สรุป คิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง. จึงออกมาประกาศว่าตัวเองรู้เองเห็นเอง. เป็น "มานะ" ตีตัวเสมอพระุทธเจ้า...
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน) รวบรวมและเรียบเรียง.
ใครที่มาบอกว่า "รู้ด้วยตนเอง. คนนั้นบ้า".
ตราบใดที่พระพุทธเจ้ายังอยู่. ใครที่จะมารู้ธรรมด้วยตนเองเป็นไปไม่ได้. ต้องรอพุทธกาลหมดเสียก่อน. บางคนก็บอกว่า. ศาสนาอื่นเขาก็รู้ "อริยสัจ ๔ เหมือนกัน. ไม่ใช่เรื่องแล้ว. !!
ความสงสัยในทุกข์. เป็นอย่างไร ?.
เหตุของทุกข์. เป็นอย่างไร ?.
รู้แจ้งในปัจจุบัน. คำว่า "รู้แจ้งแล้ว". อันนี้ตัวสำคัญ !!.
*** ต้องอาศัย "โพธิญาณของพระพุทธเจ้า" จึงจะรู้.***
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
"การปล่อยวาง"
พระพุทธเจ้าท่านให้ทำทาน. พระองค์ให้รักษาศีล. แล้วให้ปล่อยวางทาน. วางศีล. ด้วยสมาธิภาวนา.
ทาน. เป็นการสะสมเสบียง. สำหรับการเดินทางในระหว่าการเดินทาง.
การรักษาศีล. เป็นการทำความดี. ละเว้นความชั่ว. ถ้าศีลไม่บริสุทธิ. เราจะสร้างความดีไม่ได้. ความเป็นมนุษย์สิ้นสุด..
ภาวนาเป็นการปล่อยวาง. ทั้งความดีและความชั่ว. ภาวนา. เป็นการปล่อยวางทั้งกรรมดีกรรมชั่วในทางจิต. ผลของทาน. การรักษาศีล. ยังให้ผลตามเหตุตามปัจจัย. ไม่ได้สูญหายไปไหน.
ถ้าเราไม่เข้าใจในทาน. ศีล. ภาวนาแล้ว. จิตจะไม่ยอมปล่อยวาง. ถ้าจิตไม่ยอมปล่อยวางทาน. ไม่ยอมปล่อยวางศีลแล้ว. จิตจะหนีโลกไม่ได้เลย. เพราะ. ทานกับศีล. เป็นสมบัติของความเกิดเป็นมนุษย์. ติดต่อกัน. ภพต่อภพ. ชาติต่อชาติ. เท่านั้น. ยังไม่เป็นอนันต์กาล.
ภาวนา. เป็นการปล่อยวางทางจิต. ไม่ใช่ไม่ให้ทาน. ไม่ให้รักษาศีล. ทานศีล. ดับทุกข์ได้ชั่วคราวเท่านั้น.
ภาวนาเป็นรอยต่อของความดับทุกข์ได้ชั่วคราว. เข้าสู่ความดับทุกข์ได้เป็นอนันต์กาล. เป็นเส้นทางเข้าสู่อริยมรรค. คือ. ความเป็นหนึ่งของจิต. ความเป็นหนึ่งของจิต. เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
*** ให้เชื่อพระพุทธเจ้า.***
อานาปานสติ. มีสติอยู่กับลม. ศีลบริสุทธิ์. เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว. ให้วางศีล. แล้วรักษาความเป็นหนึ่งของจิต. ให้รักษาจิตหนึ่ง. แทนการรักษาศีล.
เจริญธรรม. สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ขันธ์"
ปถุชนกับพระอริยะ. มีขันธ์เหมือนกัน. แต่ต่างกัน.
ขันธ์ ๑. มีจิตดวงเดียว. เป็นอกิริยาจิต. ไม่มีอาการ. ไม่มีกายที่เป็นนามรูป.. ไม่มีรูปกายหยาบ. เป็น นามอรูป.
ขันธ์ ๑. มันซ้อนอยู่ในขันธ์ ๔. สัมผัสไม่ได้อายตนะ. รู้ได้ด้วยปัญญาของอริยมรรคเท่านั้น. พวกตาบอดมองไม่เห็น.
ขันธ์ ๔. เป็นขันธ์ที่สัมผัสอาการได้ด้วยจิต. มีรูปนิมิต. (ไม่มีรูปกายหยาบ.) มีสัญญา. มีเวทนา. มีสังขาร. มีวิญญาณ.
ขันธ์ ๕. มีรูปกายหยาบ. มีเวทนา. มีสัญญา. มีสังขาร. มีวิญญาณ.
"ทีนี้. ขันธ์ของปุถุชน กับ ขันธ์ของพระอริยะ. ต่างกันอย่างไร ?."
ขันธ์ ๑. ของพระอริยะ. เรียกว่า "จิตหนึ่ง". ของปุถุชน. เรียกว่า "วิญญาณ".
ขันธ์ ๔. ของพระอริยะ. เรียกว่า "ผู้รู้". ของปุถุชน. เรียกว่า "ผู้หลง"
ขันธ์ ๕. ของพระอริยะ. เรียกว่า "รูป เวทนา สัญญา สังขาร. "ผู้รู้". ไม่เรียกว่าวิญญาณ. ส่วนของปุถุขน. เรียกว่า. รูป เวทนา สัญญา สังขาร. "วิญญาณ". พระอริยะเรียก "วิญญาณ" ว่า "ผู้รู้".
เจริญธรรม สาธุครับ....
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** ทุกข์ *** มีทุกข์ในกาย. กับทุกข์ในจิต.
"ทุกข์ในจิต". ดับได้ด้วยอริยมรรค. เมื่อใดก็ตามที่ มรรคทั้ง ๘. รวมตัวกันเป็นหนึ่ง. แค่ครั้งเดียวเท่านั้น. จิตจะพลิกตัวออกจากทุกข์. เสวยสุขทันที. พระพุทธเจ้าชี้ทางให้ออกจากทุกข์. มีทางเดียวคือ "เอโกมัคโค" เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก ๆ.
"ทุกข์ในกาย". ไม่มีอะไรดับได้เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม. มันเป็น "ทุกขสัจ" ปฏิสังขาโย ๔. ดับได้ชั่วคราว. เอกัคตารมณ์ ก็ดับได้ชั่วคราว. มันทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น. ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย. ไม่เคยได้รับสุขเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว. เพราะในสามแดนโลกธาตุนี้. เป็นกรงขังของทะเลเพลิงแห่งความทุกข์.
*** เมื่อทุกข์ในกายดับไม่ได้. ก็แยกจิตออกจากกายไปซะ !!***
แค่นี้ก็พ้นทุกข์. เป็นอนันต์กาล. จิตไม่กบถกลับคืนมาอีกด้วย.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"มัคคปหาน"
สภาวะของความเป็น "หนึ่งของจิต" ที่ปรากฎให้รู้ทุกขณะจิต. ทุกลมหายใจเข้าออก. ไม่มีกลางวันกลางคืน. ทุกอิริยาบถ. เป็นตัวปัจจัตตัง. รู้ด้วยตนเอง. เป็นสภาวะของ "มัคคปหาน".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
พระพุทธเจ้ามิได้ "ทรงปฏิเสธ" ในการรักษา "ผู้รู้. หรือ จิตหนึ่ง.
"พระองค์ก็ยัง ทรงรักษา" และ "ทรงใช้". ศีล สมาธิ ปัญญา. อยู่ทุกประการ. จนถึงวัน. "เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน".
พระองค์ทรง "รักษา" และ "ใช้" ในขณะที่พระองค์เสด็จสู่ปรินิพพาน. ในระหว่าง "รูปฌาน และอรูปฌาน".
"เพราะฉะนั้น" นักปฏิบัติทั้งหลาย. ก็ไม่น่าที่จะ "ปฏิเสธ" หรือ "ไม่รักษา" กันเสียเลย.
*** ถ้าอริยมรรคยังไม่เกิด. ก็ให้รักษาศีล. เมื่อผู้รู้เกิดแล้ว. ให้รักษาจิต. ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
สภาวะจิตที่อยู่ระหว่าง "รูปฌาน กับ อรูปฌาน" เป็นอย่างไร ?.
"สภาวะการวางอรูปฌาณ" คือ การออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. สภาวะนี้. เราจะปรารถนาเอาไม่ได้. ทำเอาเองก็ไม่ได้. การออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. การออกไปอยู่นอกห้อง. การออกจากถ้ำ. มันจะเป็นของมันเอง. กำหนดให้มันเป็นตามความปารถนาไม่ได้. สภาวะนี้เรียกว่า "นิพพานเป็น" เป็นสภาวะของ "จิตหลุดพ้น". ธาตุขันธ์ยังไม่ตาย.
"นิพพานแท้" หรือ "นิพพานตาย" เป็นอย่างไร ?. ให้ปล่อยวางนิพพานเป็น. คือ. ปล่อยวางสิ่งนั้น. คือ. ตัวที่มันออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งตัวนั้นแหละ. แล้วกลับลงมาอยู่ กับธาตุกับขันธ์เยี่ยงสามัญชน. ในสภาวะ "สักแต่ว่า" อย่าส่งนอก. สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น. เรียกว่า "โลกวิทู" ไม่ต้องออกไปสัมปยุต์ กันธาตุขันธ์ แต่อย่างใด. มันเป็นอย่างใดก็ให้มันอยู่ของมันอย่างนั้น. อย่าไปเติม. อย่าไปตัด. อย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน. มันจะสิ้นลมปราณ หรือไม่สิ้นลมปราณ. ก็ไม่ต้องรอมัน. ไม่ต้องไปกำหนดมัน. มันจะเป็นของมันเอง. ทำแค่นี้พอ.
พระองค์ได้เสด็จปรินิพพานแท้. ในระหว่าง "รูปฌาน และอรูปฌาน". สำหรับพวกเรา. เอาว่า. เวลาจะสิ้นลมหายใจ. ให้มี "สติ" คือตายให้มีสติก็แล้วกัน. มันจะอยู่ระหว่าง "รูปฌาน" หรือ "อรูปฌาน" หรือไม่. ขอให้ตายอย่างมี "สติ" ก็แล้วกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"กิเลสนิพพาน. อยู่เหนือเวร. อยู่เหนือกรรม". เวรกรรมตามไม่ถึง. "ขันธ์นิพพาน". ไปไม่รอด. ทั้งเวร.ทั้งกรรม. หนีไม่พ้น. !! ต้องชดใช้, จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.
"ขันธ์นิพพาน" เป็นเรื่องของการ "เสวยกรรมทางกาย" ล้วน ๆ. รูปกายหยาบ. เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้. หนีกรรมไม่ได้. ต้องชดใช้.
"กิเลสนิพพาน" เมื่อผู้รู้รู้แจ้งความความเป็นจริง. ของกายกับจิตแล้ว. ผู้รู้จะปล่อยวาง. พลิกตัวออกจากกิเลส. เปลี่ยนรูปจากผู้รู้เป็น "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง".
การที่กล่าวว่า "จิตนั้นมิใช่จิต" หมายความว่า. ในความว่างที่ไม่ใช่ความว่างนั้น. หมายถึง. มี "สิ่งบางสิ่ง" ซึ่งมีอยู่จริง. ที่มันซ้อนอยู่ใน "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง". นั้นอีกตัวหนึ่ง. "สิ่งนั้น" มันอยู่เหนือคำพูด.
สิ่งนั้นเมื่อบารมีเต็มแล้ว. มันจะระเบิดตัวมันเอง. ออกไปอยู่นอกตัวที่เป็น "ความว่าที่ไม่ใช่ความว่าง".
*** สภาวธรรม. นี้ไปมันจะเป็นของมันเอง.***
เมื่อ"สิ่งน้่น" ออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง" ได้แล้ว. สุดท้ายของการปล่อยวาง. คือ. *** วางกิเลสนิพพาน. *** ด้วยการเข้าสู "โลกวิทู" เพื่อปล่อยวาง "ขันธ์นิพพาน" บนเส้นทาง "โลกวิทู" ต่อไป.
"โลกวิทู" ต้องเชื่อเรื่อง "กรรม" เท่านั้น. มันจะเป็นมาอย่างไร. จะเป็นกรรมใหม่. กรรมเก่า. "อโหสิกรรม" อย่างเดียว. กรรมทั้งหลาย. ล้วนแต่เราสร้างไว้ทั้งนั้น. อย่าสงสัย. ถ้าสงสัยก็ติดบ่วงของมารทันที.
*** อย่าออกไปสัมปยุติกับกรรมที่กำลังเกิดกับตัวเรา. ***
ต้องยอมรับ" ไม่มีใครหนีกรรมได้. ตามได้ก็เจอแต่บ้านร้าง. ไม่มีใครหนีพ้น. แม้แต่พระพุทธองค์. ก็ต้องยอมรับและชดใช่กรรม. จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"มีจิตหนึ่งตัวเดียวเท่านั้น".
ดับสามแดนโลกธาตุ. ข้ามสังโยชน์ ๑๐. สู่แดนอมตธรรม.นิพพานังปรมังสุขัง. นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง.