10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)☘️
1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง
2. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะมีจิตที่เหมาะสมกับการเติบโตของความทุกข์เป็นปกติ คือไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ แม้ปล่อยวางได้แล้ว แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ชั่วชีวิต ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
3. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริง ว่าชีวิตตามความเป็นจริงประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้แต่นึกเอาคิดเอาว่าชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง
เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้
4. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา แม้ตั้งเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา
เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร
5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ จิตใจที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจะเป็นจิตใจที่มีความชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ หากไม่ต้องการให้จิตไหลลงต่ำ จิตก็จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป
6. ผู้ที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมมีสติในระดับที่ต่ำ มีสติอยู่ในระดับสัตว์โลก สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น
สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง
7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง
8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์
ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูณณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!
.
~ธรรมะ~ธรรมทาน~
“…คนเหล่านั้นเคยถามอาตมาว่า
ทำอย่างไรหลวงพ่อ ที่จะทำด้วยจิตใจสบาย ?
ทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีความทุกข์ ?
อาตมาก็พูดให้ฟังว่า
ความจริงแล้ว *จิตใจของเราไม่มีทุกข์
มันอยู่ของมันนิ่ง ๆ เฉย ๆ
อันนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ‘นิพพาน’
คือ จิตใจเป็นอุเบกขา*
คำว่า ‘อุเบกขา’ นี้ หมายถึง 'วางเฉย'
ทำการ-ทำงานไปตามหน้าที่
*จิตเป็นอุเบกขานี่เอง ที่เป็นเหมือนลูกตุ้มหรือสมอเรือ
หรือเบรครถ ที่จะคอยถ่วงเอาไว้
ให้ภาวะจิตของเราอยู่อย่างสมดุลตลอดเวลา
ไม่เอียง หรือหมุนไปตามกระแสของทุกข์หรือสุข
และจิตใจเช่นนี้แหละ คือ จิตใจที่อยู่เหนือทุกข์เหนือสุข
ไม่ติดอยู่กับดีหรือชั่ว*
อันนี้แหละที่เรียกว่า ‘อัพยากะตา ธัมมา’ หรือ ‘นิพพาน’
ดังนั้น *นิพพานนั้นจึงอยู่ที่จิตใจของคน*
การจะทำให้จิตใจของเราถึงความสงบในลักษณะนี้ได้นั้น
จะพึ่งใครให้ช่วยไม่ได้เลย
จะพึ่งผีหรือเทวดาก็ไม่ได้
ผีหรือเทวดาไม่ช่วยให้จิตใจของเราสงบนิ่งได้
แต่*เรานี้เองจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำเอง*
อันนี้แหละ เข้ากับหลัก ‘อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ’
หรือ 'ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน'
*การกระทำจิตใจถึงภาวะเป็นอุเบกขาได้
ก็โดยวิธีการเจริญสตินี่เอง*
จิตที่เป็นอุเบกขา จะเป็นเหมือนกับลูกตุ้มคอยถ่วงไว้
ไม่ให้คนโกรธจัดหรือโลภจัด ซึ่งทำให้ตายง่าย
และโดยนัยนี้ มันจะเป็นการทำลายโมหะไปด้วยในตัว
‘โมหะ’นี้แหละ ที่เป็นตัวปรุงโลภะและโทสะ
อันเป็นตัวการที่ทำให้คนเราไปทำผิด ๆ
พระพุทธเจ้าสอนเน้นให้คนเรามีสติ-มีสมาธิ-มีปัญญา...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
< อ ริ ย ท รั พ ย์ >
** ทรัพย์ทางโลก คือ โลกียทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์สิน เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ อำนาจ บารมี
** ทรัพย์ทางธรรม คือ อริยทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์อันประเสริฐ (อริยะมาจากคำว่า อริ + ยะ อริ แปลว่า ข้าศึก ศัตรู หมายความถึง กิเลส ยะ แปลว่า ไป ห่างไกล อริยะ รวมความคือ ห่างไกลพ้นไปจากกิเลส)
อริยทรัพย์ มี ๗ ประการ ได้แก่
๑. ศรัทธา คือ เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เป็นความเชื่อที่มีเหตุผล
๒. ศีล คือ การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม
๓. หิริ คือ ความละอายใจต่อการทำความชั่ว บาปทุจริต
๔. โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลบาปของการทำความชั่ว
๕. พาหุสัจจะ คือ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ยินได้ฟังมามาก
๖. จาคะ คือ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันสิ่งของให้แก่คนที่ควรได้
๗. ปัญญา คือ ความรอบรู้และเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล สัจธรรม บาปบุญคุณโทษ
“อริยทรัพย์” เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก (ทรัพย์ทางโลก) เพราะ
1. ทำให้เกิดความปลาบปลื้มใจอย่างแท้จริง
2. ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีหมด
3. โจรขโมยมาลักเอาไปไม่ได้
4. สามารถติดตามเราไปได้ทุกแห่งหน
5. ช่วยให้ชีวิตของเราอยู่เย็นเป็นสุข เต็มเปี่ยมไปด้วยความดี เมื่อตายแล้วยังสามารถนำทรัพย์เหล่านี้ติดตัวไปได้ และยังใช้เป็นทุนในการสร้างทรัพย์ภายนอก(ทรัพย์ทางโลก)ได้เป็นอย่างดี
... เรื่องโดย นวหัตถ์ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕
🙏🙏🙏ต้นตระกูลเรา คือ ปัทมะแปลว่า" ดอกบัว"
และ ดอกบัวนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มหรือลดอะไรอีก
ขอแค่เพียงให้เจ้าเป็น"ดอกบัว"ของพ่อก็เพียงพอแล้ว
เช่นเดียวกัน...นะลูก
มนุษย์ทุกคนก็เป็นดอกบัวของพ่อ
เขาพร้อมจะเป็น หน่อเนื้อพุทธางกูรเสมอ
เพียงแค่เขาทำหน้าที่ในการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง และมันก็เพียงพอที่จะทำให้โลกเบิกบาน ศานติ สงบเย็น
ดังนั้น...ลูกจงอย่าท้อถอยในมหาปนิธาน
จงฟื้นความเป็นดอกบัว คือ"โพธิจิต"
ให้ทุกสรรพจิต ดำรงในพรหมวิหาร4
ตั้งมั่นในความ กตัญญูกตเวที
ขึ้นตรงต่อพระรัตนตรัย และทำหน้าที่ตนให้สมบูรณ์
เชนเรซิกเอ๋ย...มนุษย์นั้น ต้องมีศีลธรรม จริยธรรมอันดีงามเป็นบาทฐานเสียก่อนจึงก้าวสู่ถนนพระโพธิญานได้
ในขณะเดียวกัน พระนิพพานนั้น ก็สำคัญ
เพราะการตระหนักถึงความจริงสูงสุดจะทำให้มนุษย์ทำหน้าที่นั้นๆอย่างไม่ทุกข์และเร่าร้อน
สิ่งที่ลูกต้องทำคือ
"ให้เขาเห็นความเชื่อมโยงทั้งโลก"(อิทัปปัจจยตา)
เพราะถ้าเขาเห็นความเชื่อมโยงทั้งโลก
เขาจะมีสติปัญญามากขึ้น
และเมื่อมีสติปัญญามากขึ้น
เขาจะไม่ถูกต้อนให้จนมุมด้วยปัญหาเล็กๆน้อยๆ
เขาจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดต่างๆได้ง่ายขึ้น
และชีวิตที่ผิดพลาดน้อย จะมีทัศนะชีวิตทีมีความสุขขึ้น ลึกซึ้งขึ้น แก้ไขปัญหาใดๆได้ดีขึ้น
นิพพานแปลว่าดับ ดับในที่นี่
คือดับสิ้น ในการคิดให้ค่าบัญญัติญัติใดๆ
ดังนั้น...ลูกจงบอกเวไนยเถิดว่า
"นิพพานไม่ใช่สภาวะที่จะบรรลุถึงเมื่อพวกเขาตาย"
ความตาย ความเกิด การเป็น การไม่เป็น การมาการไป เป็นบัญญัติโลกที่ใช้แทนสภาวะธรรมชาติ ให้แยกแยะและสื่อสารเข้าใจกันได้เท่านั้น
เมื่อความคิดในสมมุติบัญญัติใดๆ"ดับ"
(คือการรู้เท่าทัน ไม่ใช่ไม่คิด เพราะความคิดคือหน้าที่ตามธรรมชาติของสังขาร)
โดยยังทำหน้าที่สมบูรณ์
ไม่ทิ้งสมมุติและรู้เท่าทันสมมุติ
เวไนยทั้งมวล จึงสามารถเข้าถึงนิพพานได้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยการหายใจอย่างมีสติเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ในชีวิตประจำวัน
พรหมวิหาร4นั้น จักทำให้เขายิ้มและสมบูรณ์ทั้งหลับและตื่น
เพราะสำหรับพระนิพพานนั้น"เวลาและกาละไม่มี จึงไม่จำเป็นใดๆเลย ที่ดอกบัวของพ่อต้องมีการ"รอคอย"
พุทธะนั้น ไม่มา ไม่ไป ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หมองมัว
นั้นแหละ "โคตระ ปัทมะ"
หน่อเนื้อพุทธางกูรอันเป็นต้นตระกูลของเรา
#โอวาทธรรมพระอมิตภะพุทธเจ้าผ่านอาม่า#
ภาวนาทำไม?...
ทำไมภาวนา?...
ภาวนาทำไม?...
ตอบแบบสั้นๆเลย...คือเพื่อพัฒนาจิต...
ทำไมภาวนา?...
เพราะภพภูมิมนุษย์นี่หล่ะ ที่สามารถฝึกภาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ฝึกได้ในฐานตั้ง 4 ฐาน คือ ฐานกาย,ฐานเวทนา,ฐานจิตและฐานธรรม
ในภพภูมิมนุษย์นี่หล่ะ ที่เห็นทุกข์ชัดมาก อายุยืนสุดก็ไม่เกิน 100 ปี ไม่ยืดยาว เยิ่นเย้อเหมือนบางภพภูมิ...
ต้องเริ่มหล่ะ....ถ้าพลาดจากภพภูมินี้...โอ!ไม่อยากจะบรรยาย...
"ภาวนามัย"....
คือ หนึ่งใน "บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ"
"ภาวนา"....
หมายถึง การทำความดีด้วยการเจริญภาวนา
มุ่งเน้นพัฒนาจิตใจและปัญญา
ทำให้จิตใจสงบ ตลอดจนเพื่อให้เกิดปัญญา คือ เกิดปัญญาญาณ...ทำให้เห็นธรรม ตามความเป็นจริง จนสามารถละความเห็นผิดได้ในเบื้องต้น
และลดละกิเลสต่างๆภายในจิตไปได้ โดยลำดับ...
จวบจนสุดท้ายปลายทางสามารถขุดรากถอนโคนอวิชชาที่เคลือบแฝงอยู่กับจิตมานานแสนนาน
จิตจึงเป็นอิสระอย่างแท้จริง จิตและขันธ์ 5 มีความปกติต่อกัน
ทว่าเมื่อต้องละสังขาร ก็ทิ้งขันธ์ 5 ส่วนจิตอันปราศจากเชื้อฃองการเกิด จึงหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มีปกติคืนสู่ "ธรรมธาตุ" ในที่สุด
การภาวนา... จึงถือเป็นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์อย่างสูงสุด...
ควรเริ่มต้นโดย...
ฝึกการเจริญสติสัมปชัญญะ
และควรเลือกกรรมฐานที่เหมาะสมกับตัวเรา...และวิถีชีวิตของเรา
แล้วฝึกฝน....
เพียรไป.....
เพียรไป....
เพื่อความไม่ประมาท...
ควรสอบทานสภาวะ หรือความรู้ที่ได้กับครูบาอาจารย์เป็นระยะๆ
เมื่อสามารถเจริญสติสัมปชัญญะได้อย่างต่อเนื่อง.....
ต้องมีสักวันหนึ่งที่สามารถผ่านเข้าสู่ความสงบได้.....
สะสมไปหลายๆวาระ....
หลายๆวาระ....
จิตจะ "เริ่ม" ตั้งมั่น
และ "เริ่ม" มีกำลังของสัมมาสมาธิ
ฝึกตรงนี้ให้ชำนาญ
จะเป็นฐานกำลังที่มั่นคงและสำคัญ ในการเจริญภาคปัญญาต่อไป
สภาวะของการเริ่มเข้าสู่ความสงบ คือ ความคิดต่างๆ
ไม่ว่าคิดดี คิดไม่ดี ก็ตาม
จะค่อยๆน้อยลง
ค่อยๆสงบระงับลง
จนมีแต่สภาวะ "รู้เฉยๆ"
"รู้เฉยๆ"
"รู้เฉยๆ"
และ "รู้เฉยๆ" .....
คือ จิตเข้าสู่ความเป็นปกติ
หรือจิตว่างจากอารมณ์
หรือจิตว่าง(จากความคิดปรุงแต่ง)
หรือจิตอยู่ในอุเบกขาเวทนา
จะใช้คำใดก็ได้ในภาษาเขียน
แต่โดย"สภาวะ"ในขณะนั้นๆ คือ สภาวะเดียวกัน
ส่วนลักษณะของสมาธิ ที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในสายปัญญา เพื่อลดการเวียนว่ายตายเกิด คือ "สัมมาสมาธิ" หรือ ที่เรียกว่า "สมาธิในอริยมรรค"
เป็นสมาธิที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสั่งสอนเพื่อนำผู้มีนิสัยวาสนาเดินทางออกจากสังสารวัฏ
ส่วนสมาธิ อีกลักษณะ
เรียกว่า"สมาธิในฌาน"(อ่านว่า ชาน)
"สมาธิในฌาน" เป็นสมาธิที่มีมาแต่เดิมก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้
ท่านที่ฝึกสมาธิลักษณะนี้มา ควรสอบทานความรู้กับครูบาอาจารย์ ซึ่งหากท่านเป็นอริยสงฆ์ หรืออริยบุคคล ท่านมักจะสอนให้ทำการบ้านต่ออีกหนึ่งท่อน คือให้สังเกตว่าใครเป็นผู้รู้ความว่างนั้นๆขณะอยู่ในความสงบ เพื่อให้สามารถวกกลับมาเป็น "สมาธิในอริยมรรค" หรือ "สัมมาสมาธิ"
และเพื่อเดินทางต่อบน "ทางสายเอก" คือ สายอริยมรรคนี้ได้ในที่สุด.....
ขอทุกท่านเจริญใน "ภาวนามัย" นี้โดยทั่วกัน
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
อันทรัพย์ของโลก(โลกียะ)...
มีคุณค่าน้อยมีแต่ความคับแคบ
มีแต่ความคับแค้นเป็นไปในวัฎฎะ(หมุนวน)...
มีแต่ความวุ่นวาย
มีแต่ความขัดข้อง
มีแต่ความผูกยึดเป็นทุกข์อย่างยิ่งฉันใด...
อันทรัพย์ที่มีคุณค่าภายในจิตใจ
มีความเป็นไปในทางพ้นแห่งวัฎฎะสงสาร
มีสภาพไม่คับแคบ
ไม่คับแค้น มีสภาพไม่หมุนวน ไม่แลกเปลี่ยน
มีสภาพไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง ไม่สับสน
มีสภาพไม่เหือดหาย
มีสภาพที่ใครแย่งชิงไม่ได้
มีสภาพรอวันเพื่อความพร้อมสมบูรณ์
จึงเป็นทรัพย์แห่งโลกุตตระอันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามฉันนั้น.
(อริยทรัพย์๗)
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
ปัญหาที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะนำเอาธรรมมะมาให้เป็นประโยชน์สุขแก่จิตใจได้ คำตอบ คือ
๑. ให้มีศีล ๕ บริสุทธิ์ บริบูรณ์
๒. ฝึกสมาธิ ให้เกิดความมั่นใจในสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่ อันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน
๓. สร้างสติสัมปชัญญะให้รู้พร้อมในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ
ในขณะที่มีโอกาสนั่งสมาธิ ก็ให้ภาวนาพุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง ยุบหนอพองหนอบ้าง ตามที่ตนถนัด เพื่อให้จิตมีสมาธิ มีปีติ มีความสุข อุบายวิธีก็อยู่ตรงนี้ คือ
๑. ให้มีศีล ให้รักษาศีลให้ได้อย่างต่ำศีล ๕
๒. ให้มีสมาธิ ความมั่นใจในการที่จะสร้างความดีให้เกิดขึ้น
๓. ให้เจริญสติ รู้อยู่ที่การยืน เดิน นั่ง นอน รับ ประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
เป็นอุบายวิธีให้เกิดปัญญา แล้วเราจะได้มีปัญญา แก้ไข ปัญหาชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีศีลที่เรารักษาให้บริสุทธิ์แล้ว ความมั่นใจที่เราสร้างขึ้นให้สมบูรณ์ในจิตของเราแล้วปัญญาคือตัวสติสัมปชัญญะ ให้รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่อบรมแล้ว ฝึกฝนแล้ว ทั้ง ๓ อย่างนี้จะรวมพลังเป็นหนึ่ง เรียก เอกายโนมัคโค ศีล สมาธิ ปัญญา รวมเป็นหนึ่ง เรียก เอกายนมรรค เป็นหนทางที่ปฏิวัติจิตไปสู่ภูมิจิตภูมิธรรมได้เองโดยอัตโนมัติ ศีลบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น ปัญญา ความเป็นบริสุทธิ์ คือ สัมมาทิฏฐิ เมื่อเราอบรมแล้ว จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นตัวปุญญาภิสังขาร คอยปรุงแต่งจิตของเราให้ปฏิวัติมีแนวโน้มไปทางบุญทางกุศล ทางความดีความงาม ซึ่งเป็นการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้แก่
สุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี
อุชุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติตรง
ญายะปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ยิ่งเห็นจริง
สามีจิปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง
นี่คือข้องวัตรปฏิบัติอันเป็นแนวทางเพื่อให้เกิดคุณธรรม
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
จิตดั่งเดิมแท้ พุทธะอันแท้จริง
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๑
จิตเป็นของละเอียดมาก รู้สึกจะมีความละเอียดเหนือสิ่งใดๆ จนไม่ปรากฏร่องรอยที่ไปและมา แม้จะท่องเที่ยวอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ร่องรอยของจิตที่พอจะยึดได้ว่าเป็นอย่างนั้นๆ เหมือนด้านวัตถุนี้ไม่มี ท่านเปรียบไว้เหมือนกับนกบินบนอากาศ ไม่มีร่องรอยทั้งนั้น อีกตอนหนึ่งเปรียบถึงท่านผู้บริสุทธิ์ที่ได้พรากจากร่างนี้ไปแล้ว ไม่มีร่องรอยว่าจะไปเกิดหรือไปตั้งอยู่ในสถานที่ใดอย่างนี้อีกเหมือนกัน แม้จิตจะยังมีสมมุติอยู่ภายในตัวที่เรียกว่ากฎแห่งกรรมก็ตาม แต่จิตก็ไปตามธรรมชาติของจิตที่มีความละเอียดประจำตัวอยู่แล้ว แม้จะไปสู่สถานที่ใดหรือไปเกิดในที่ใดๆ การไปของจิตนั้นก็ไม่มีใครสามารถจะทราบได้ นอกจากท่านผู้มีญาณซึ่งควรจะรู้ได้เท่านั้น
ตามธรรมชาติของจิตแล้วมีความละเอียดประจำตนอยู่เสมอเช่นนี้ จึงยากที่จะพิสูจน์ให้ทราบได้ การปฏิบัติบำเพ็ญมีการภาวนาเป็นต้น นี้แลท่านว่าเป็นทางพิสูจน์เรื่องความรู้คือใจของตัวเอง และความเคลื่อนไหวของใจว่าจะกระเพื่อมไปสู่วัตถุหรืออารมณ์ใด ไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อดีตอนาคต หรือกำลังปรากฏตัวอยู่ในปัจจุบันคือขณะนี้ จิตที่ตั้งความรู้สึกไว้จำเพาะสถานที่เกิดอารมณ์คือใจของตัวเองนี้ มีทางที่จะทราบได้ในความเคลื่อนไหวของตน
ในเบื้องต้นก็ทันบ้างไม่ทันบ้าง เพราะสติหรือปัญญาเราก็เพิ่งเริ่มฝึกหัด เริ่มตั้งหลักตั้งฐานขึ้นด้วยการพยายามคือการภาวนา ฉะนั้นท่านจึงสอนให้มีสติคอยรับทราบอยู่กับความรู้คือใจดวงนี้ ก่อนจะปรากฏภาพต่างๆ จะเป็นภาพที่มีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม จะต้องมีความกระเพื่อมจากความรู้นี้ก่อน ถ้ายังไม่กระเพื่อมภาพก็ยังไม่ปรากฏ ขณะที่จิตกระเพื่อม ก็เป็นขณะเดียวที่จิตจะออกแสดงภาพให้ตัวรู้ตัวเห็น จะเป็นภาพที่น่าเพลิดเพลิน ภาพที่น่าเสียใจหรือภาพที่น่ากลัวก็ตาม จะต้องแสดงออกจากความกระเพื่อมของจิตเป็นสำคัญ นี่พูดถึงขณะที่เราภาวนา
ส่วนภาพที่ปรุงขึ้นภายในใจตามปรกติของคนทั่วๆ ไปนั้น เป็นเรื่องของความคิด เดี๋ยวปรากฏเรื่องนั้นปรากฏเรื่องนี้ ปรากฏคนนั้น พอเราคิดถึงคนไหนก็ปรากฏภาพคนนั้นขึ้นมาอันนี้ถือเป็นธรรมดา ไม่ค่อยมีอะไรล่อแหลมนัก โลกทั้งหลายก็คิดกันได้ ไม่มีความเสียหายจากความคิดอย่างนั้น แต่ภาพที่ปรากฏขึ้นในขณะภาวนานี้มีส่วนจะทำให้เสียได้ จะอย่างไรก็ตามภาพต้องปรากฏขึ้นในขณะที่จิตกระเพื่อมตัวออกไป ถ้ามีแต่ความรู้ล้วนๆ จะยังไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจิตเวลาอยู่เฉพาะตัวเอง คือรู้อยู่จำเพาะตัวเองจริงๆ ไม่แสดงตัวออกไปภายนอก สิ่งต่างๆ จึงไม่สามารถจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับใจนั้นได้ ดังท่านเข้าสมาธิ ขณะที่จิตเข้าอยู่ในองค์ของสมาธิคือความสงบแน่วแน่ตามหลักของสมาธิจริงๆ แล้ว จะไม่มีสิ่งใดมาเกี่ยวข้องเลยในเวลานั้น ต่อเมื่อจิตได้ถอนตัวออกมาจากจุดนั้นนั่นแล ถ้ามีเรื่องก็จะเกี่ยวข้องกัน คือมีเรื่องเกี่ยวกับภายนอกก็จะรับทราบได้เหตุได้ผลรู้เรื่องรู้ราวกันในเวลานั้น
ถ้าเทียบอุปมาก็เช่นเดียวกับเราอยู่ในบ้านของเราและปิดประตูบ้านไว้ด้วย แขกคนหรืออะไรจะมาจากที่ไหน มาอยู่ภายนอกฝาเรือนเรานั้น เราจะไม่มีทางทราบได้ เพราะขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่เรารับแขก ต่อเมื่อเราออกจากในบ้านของเรา เปิดประตูออกมานั่นแล เราจะทราบเรื่องราวทั้งหลายที่มีอยู่ภายนอก เรื่องของจิตก็ย่อมมีลักษณะเช่นนั้นเหมือนกัน
ความรู้ของจิตนี้รู้สึกว่าพิสดารมากตามจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญไม่เหมือนกัน บางรายก็ไม่ค่อยมีเรื่องแสดงภาพต่างๆ ให้เห็น เช่นเป็นคนเป็นเปรตเป็นผี หรือเรื่องคนล้มคนตายให้ปรากฏในภาวนาอย่างนี้ บางรายไม่ค่อยมี แต่บางรายพอจิตสงบแล้วแสดงขึ้นมาทันที เพราะหลักธรรมชาติที่ปรากฏเช่นนี้นั้นไม่ได้ศึกษามาจากครูจากอาจารย์ แต่จะปรากฏขึ้นกับจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญเวลาจิตสงบแล้ว
หากนิสัยมีในทางที่จะรู้เห็นสิ่งต่างๆ ก็ต้องแสดงออกมาให้เจ้าตัวรู้ ต่อเมื่อเราได้รู้ได้เห็นสิ่งนั้นว่าแสดงอาการอย่างไรบ้างแล้วนั้น เรามีทางที่จะศึกษาปรารภหรือไต่ถามครูอาจารย์ได้ ว่าจะควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไรบ้าง แต่หลักนิสัยนั้นจะไม่ได้ถาม จะไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนจากผู้ใด แต่จะปรากฏขึ้นมาให้ผู้มีนิสัยในทางนั้นรู้โดยเฉพาะตัวเอง ถ้านิสัยไม่มีก็ไม่รู้ไม่เห็น การไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นการที่จะตัดทอนประโยชน์ของผู้บำเพ็ญในนิสัยเช่นนั้น ผู้ไม่เห็นไม่รู้ก็ไม่สนใจ แต่ผู้เห็นผู้รู้ตามนิสัยของตนก็ต้องปฏิบัติให้ถูกกับจริตของตน ถ้าไม่ถูกก็มีทางเสียได้เหมือนกัน
คำว่าจิตอันแท้จริงนั้นมีแต่รู้เท่านั้น ไม่ปรากฏว่ารู้ในลักษณะอย่างไรบ้าง เป็นธรรมชาติที่รู้ๆ อยู่เท่านั้นแล นั้นแลเป็นธรรมชาติของจิตแท้ ลักษณะที่แสดงออกเป็นสีสันวรรณะ หรือเป็นภาพต่างๆ นั้น เป็นอาการอันหนึ่งที่แสดงออกมาจากจิตซึ่งไม่ใช่จิตแท้ อาการเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิด ๆ ดับๆ ตามคติธรรมดาของเขา แต่ผู้ที่รู้ในหลักธรรมชาติของตัวเองนี้จะไม่มีการขาดวรรคขาดตอนในความรู้ ไม่มีการเกิดและดับไป คือการเกิดขึ้นก็ไม่มี การดับไปก็ไม่มี มีแต่เป็นธรรมชาติที่รู้อยู่เท่านั้น นี้แลท่านเรียกว่าเป็นธรรมชาติของจิตแท้ ถ้าได้พิจารณาอบรมให้ถึงแก่นของความรู้อันแท้จริงแล้วนั้น ท่านเรียกว่าความรู้อันดั้งเดิม ความรู้อันนี้หมดการเปลี่ยนแปลง
กิริยาที่เปลี่ยนแปลงนั้น เป็นอาการอันหนึ่งซึ่งเกิดจากธรรมชาติอันดั้งเดิมนี้ต่างหาก เพราะฉะนั้นจึงมีการเกิดๆ ดับๆ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นลักษณะต่างๆ ซึ่งเอาแน่ไม่ได้ ไม่ว่าเราจะปฏิบัติธรรมขั้นต่ำขั้นกลางหรือขั้นสูง อาการอันนี้จะต้องมีไปตามๆ กัน คือเวลาใจยังมีสิ่งแวดล้อมหยาบอยู่ อาการที่แสดงอยู่ในขั้นนั้นก็ต้องแสดงอาการหยาบ ภาพก็เป็นภาพที่หยาบ อารมณ์ก็เป็นอารมณ์ที่หยาบ พออาการที่เกี่ยวข้องกับจิต ค่อยเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นไป อารมณ์ก็ค่อยเปลี่ยนไปสู่ความละเอียด จนจิตเข้าสู่ความละเอียดอย่างเต็มที่ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตซึ่งไม่ใช่จิตเดิมแท้นั้น ก็ต้องแสดงอาการที่ละเอียดอย่างยิ่งเหมือนกัน แต่ทั้งสามอาการนี้เรียกว่าเป็นอาการของจิตทั้งนั้น ไม่ใช่จิตอันดั้งเดิมแท้
ผู้พิจารณาจึงต้องอาศัยอารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องทดสอบ ฝึกหัดสติปัญญา ถือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนนี้เป็นเหมือนหินลับมีดโกนให้คมกล้าไปเสมอ ปัญญา สติต้องอาศัยเหล่านี้เป็นเครื่องฝึกซ้อม และรู้เท่าทันกันไปเป็นระยะๆ จนหมด ไม่มีอาการใดเหลืออยู่ แฝงอยู่ภายในจิตนั้นเลย สิ่งที่มีอยู่ตามหลักดั้งเดิมของตนก็คือความรู้ล้วนๆ นี่แลเป็นแก่นแห่งความรู้แท้ เป็นความรู้ในหลักธรรมชาติแท้ จึงไม่มีทางที่จะแปรเป็นอื่นได้
ท่านที่บำเพ็ญตั้งแต่ต้น ชำระหรือพิจารณาให้รู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตมาเป็นชั้นๆ จนถึงธรรมชาติอันดั้งเดิมของจิตนั้นแล้ว จิตท่านเป็นอย่างนั้นแล ถึงหลักหรือถึงธรรมชาติอันไม่เปลี่ยนแปลง อันไม่หลอกลวง ท่านจึงหมดความหวั่นไหว เพราะไม่มีสิ่งที่จะมาหลอกลวงหนึ่ง ไม่มีสิ่งที่จะหลงตามสิ่งหลอกลวงนั้นหนึ่ง เหตุที่จะให้เกิดความหลอกลวงก็ไม่มี คือต้นเหตุที่จะให้เกิดความหลอกลวงก็ไม่มี ผลที่จะให้เกิดความลุ่มหลงหรือเดือดร้อนเสียใจไปตามก็ไม่มี
ท่านจึงอยู่เป็นเอกเทศอันหนึ่งโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องเสกสรร ไม่ต้องระมัดระวัง คือไม่ต้องตั้งท่าตั้งทาง ไม่ต้องมีอาการใดซึ่งเป็นอาการที่จะสงวนรักษาหรือต้านทานกันกับสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย เพราะต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างมีอยู่ตามหลักธรรมชาติของตน ทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิต ทั้งจิตผู้รู้สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย นี่เรียกว่าท่านผู้หมดเหตุหมดปัจจัย รู้อยู่ในหลักปัจจุบันของท่านทุกๆ ขณะ ว่าไม่มีการสืบต่อกับอารมณ์ซึ่งเป็นเหตุให้ยั่วกิเลสให้ฟุ้งขึ้นมา
หลักธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ชี้อุบายแนวทางตั้งแต่ขั้นเริ่มแรกจนถึงจุดหมายปลายทางแห่งความสมมุติและวิมุตติ คือถึงความบริสุทธิ์ของจิต ไม่มีโอวาทใดที่จะสามารถชี้ให้ถูกต้อง และผู้ปฏิบัติได้พ้นภัยไปได้จริงดังสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า บรรดาผู้ปฏิบัติตามสวากขาตธรรม จนได้รู้แจ้งเห็นจริงถึงภูมิแห่งธรรมขั้นนี้แล้ว แม้จะไม่เป็นอันเดียวกับพระพุทธเจ้าก็ตาม เพราะต่างคนต่างบริสุทธิ์ แต่ก็เป็นเหมือนกับเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า เพราะความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้ากับความบริสุทธิ์ของท่านผู้รู้ตามเห็นตามพระพุทธเจ้านั้น เป็นความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดหรืออาการใดที่จะผิดแปลกกันไปแม้แต่นิดหนึ่งที่ให้ชื่อว่าสมมุติ เพราะความผิดแปลกท่านเรียกว่าสมมุติทั้งนั้น
อยู่ในสถานที่ใด เราอยู่ฉันใด ก็เหมือนพระพุทธเจ้าอยู่ฉันนั้น เรารู้อยู่ฉันใดเหมือนพระพุทธเจ้ารู้อยู่ฉันนั้น เรารู้อยู่ในขณะนี้ก็เหมือนพระพุทธเจ้ารู้อยู่ในขณะเดียวกัน ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าจะนิพพานไปกี่เวลา และนิพพานอยู่ในสถานที่ใด นั่นจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านผู้รู้องค์แห่งพุทธะอันแท้จริงตามเสด็จพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีกาลมีเวลา ไม่มีสถานที่ นั่นเป็นสถานที่อันหนึ่งต่างหาก ซึ่งเป็นที่ประทับหรือเป็นที่บำเพ็ญของพระพุทธเจ้าที่มีพระกายอยู่ พระกายก็เป็นสมมุติ สถานที่จึงต้องแสดงสมมุติขึ้นมา กาลเวลาจึงต้องแสดงขึ้นไปตามๆ กัน ต่อเมื่อได้ถึงขั้นแห่งความบริสุทธิ์ หมดจุดที่หมายแห่งความสมมุติแล้วนั้น ไม่ว่าสาวกองค์ใดแม้จะตรัสรู้ขึ้นในขณะนี้ก็เป็นเหมือนได้เห็นพระพุทธเจ้าในขณะนี้ ประหนึ่งคำว่านิพพานแล้วนั้นไม่ปรากฏ เพราะนั้นเป็นแต่เพียงร่างที่พรากจากกันไปเท่านั้น
ร่างของพระพุทธเจ้ากับร่างของสัตว์โลกเป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟอันเดียวกัน แต่ธรรมชาติที่รู้นั้นกับผู้ที่รู้ขึ้นในขณะนี้ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน นี่แลการที่ว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปนานเท่าไรหรือไม่นั้นจึงไม่เป็นปัญหา ไม่มีกาล ไม่มีสถานที่ ไม่มีบุคคล เป็นแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ อยู่เท่านั้น แล้วกาลเวลาไม่สามารถจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้อีก ว่าธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้จะตั้งอยู่ได้นานเท่าไร เพราะธรรมชาตินี้ไม่ใช่กายดังที่ได้อธิบายผ่านมาแล้วนี้ ใครจะให้ชื่อให้นามว่าอย่างไรก็ตาม ธรรมชาตินี้ก็คือธรรมชาตินี้อยู่นั่นแล ไม่เป็นไปตามความสมมุติชื่อเสียงที่ตั้งให้
แต่เป็นธรรมดาของโลกที่มีสมมุติจะไม่ให้ชื่อไม่ให้นาม ไม่มีกรุยหมายป้ายทางย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นหลักธรรมะที่พระองค์ท่านแสดงไว้ทุกบททุกบาทจึงเป็นกรุยหมายป้ายทางเพื่อผู้ดำเนินจะได้รู้วิธีปฏิบัติและหยิบยกขึ้นมาประพฤติปฏิบัติตามจริตนิสัยและความสามารถของตน ดังนั้นธรรมจึงต้องเป็นสมมุติไปเช่นเดียวกับโลกที่มีสมมุติ ทางเหตุก็ต้องมีสมมุติ ผลที่แสดงไปเป็นลำดับๆ ก็ต้องเป็นสมมุติแต่ละประเภทๆ จนกระทั่งถึงหลักธรรมชาติอันแท้จริงแล้วนั้น นั่นไม่เป็นปัญหา จะเอาชื่อให้มีสมมุติเหมือนโลกทั่วๆ ไปก็ตาม ไม่ตั้งชื่อให้ก็ไม่เป็นปัญหา เช่นเดียวกับเรารับประทานมีความเพียงพอกับธาตุขันธ์แล้ว จะตั้งชื่อให้ว่าอิ่มหรือไม่อิ่มก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้พอแก่การรับประทานแล้ว ย่อมจะทราบตนได้อย่างชัดเจน นั่นละท่านเรียกว่าของวิเศษคือจิตดวงนี้
พยายามเอาหลักธรรมะนี้แลเข้าไปเป็นเครื่องขัดเกลา แก้ไขดัดแปลงเข้าไปทุกระยะ ใจชอบกดขี่บังคับ ต้องอาศัยการกดขี่บังคับกันบ้าง ถ้าหากใจไม่ชอบแล้วเราก็เคยปล่อยตามอำเภอใจมาบ้างเป็นบางกาลบางเวลา ก็พอจะทราบผลว่าแสดงตัวขึ้นมาอย่างไรบ้าง เมื่อเราได้ปล่อยให้เป็นไปตามความชอบใจ โดยไม่ต้องมีการกดขี่บังคับหรือดัดแปลง ผลก็ย่อมเป็นไปตามยถากรรม ไม่เห็นปรากฏขึ้นมาเป็นที่พอใจเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะปรากฏผลขึ้นมาให้เป็นที่พอใจ ก็เนื่องจากการดัดแปลงแก้ไขให้ได้อย่างใจของตัว คือบำเพ็ญเหตุให้ถูกต้องตามผลที่เราต้องการ ผลก็แสดงตัวขึ้นมาเพราะอำนาจของเหตุเป็นเครื่องเสริม
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน