เช้าสวัสดีญาติธรรม
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้สนใจใฝ่ธรรม
ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง จากคำบอกเล่า
ของครูบาอาจารย์หลายรุ่นที่ผ่านมา
นั่นคือเรื่องที่ว่า...
"หากผู้ที่เป็นฆราวาสบรรลุธรรม
เป็นพระอรหันต์แล้ว หากไม่บวชเป็นสงฆ์
จะต้องตายภายใน 7 วัน"
เรื่องนี้เป็นการเข้าใจที่ผิดพลาด
คลาดเคลื่อนเป็นอย่างมาก!!
ความเป็นจริง..
ฆราวาสที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่จำเป็นตัองไปบวชห่มจีวร และก็ไม่มีใครตายภายใน 7 วัน อย่างที่เชื่อกันผิดๆ
และคำว่า "ตายภายใน 7 วันนั้น"
..ความเป็นจริงคือ..
เมื่อท่านใดบรรลุธรรมในวันนั้นแล้ว
วันต่อมา จิตจะย้อนทวน ตรวจสอบ
อารมณ์ หรือ เข้าไปส่องดูสังขาร
ทั้งจิตสังขาร และกายสังขาร อย่าง
ละเอียดละออ เพื่อความหมดจด
ในการชำระจิต ว่าหมดสิ้นอุปาทาน
เด็ดขาดแล้ว..
..กระบวนการของจิตนี้..ใช้เวลา
ประมาณ 3 - 7 วัน บางท่านก็นาน
กว่านั้น อาจจะเป็น 10-15 วัน..
..ขณะที่จิตย้อนทวนตรวจสอบนั้น
รู้..จะอยู่ท่ามกลางสังขารและวิสังขาร
..และเมื่อจบกระบวนการนี้แล้ว
รู้..จะไปรวมกับจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน
ขณะนั้นท่านจะรู้ทันทีว่า อ้อ!!!...
นี่เราพ้นเกิดพ้นตายแล้วจริงๆ..
เชื้อเกิดดับหมดสิ้น ไม่กำเริบแล้ว
ตรงนี้แหละเรียกว่า..คนผู้นั้นที่เป็นปุถุชน ได้ตายไปแล้ว..กลายเป็น
"พระอรหันต์"..จึงเป็นที่มาของคำว่า
"ตายภายใน 7 วัน"..
ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจผิดกันว่า ธาตุขันธ์
ตายภายใน 7 วัน
หรือจะต้องไปบวชเป็นพระสงฆ์
เพราะจิตที่อิสระแล้วนั้นคือ "พระ"แท้
ไม่ใช่สมมุติสงฆ์ ที่ห่มจีวร
และขณะที่รู้รวมเป็นหนึ่งกับจิต
นั่นคือการแจ้งพระนิพพาน.
กระบวนการทั้งหมดนี้เป็น "ปัจจัตตัง" ท่านที่บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว
จะรู้ด้วยจิตท่านเอง
ท่านที่แจ้งพระนิพพานแล้ว
หากเป็น"พระปัจเจกพุทธ"
ท่านจะเงียบ ปิดปากสนิท
หากเป็น"พระโพธิ หรือพุทธภูมิ"
ท่านจะมีหน้าที่เผยแผ่ธรรมต่อไป
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
จิตแท้จริง ไม่มีฐานที่ตั้ง
จิตแท้จริง ไม่ใช่ตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น
การมีฐานและทำให้ตั้งมั่น
นั่นเป็นเรื่องของสมาธิและฌาน
สมาธิและฌานก็ยังเป็นจิตสังขาร
การปรุงแต่ง
ฉะนั้นหากเธอทำให้ตั้งมั่น นิ่งสงบ
นั่นคือสมาธิตั้งมั่น ไม่ใช่จิตตั้งมั่น
รูปฌาน ในระดับฌาน 4 นั้น
จะมีความสงบตั้งมั่น เป็นเอกคตา
และปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ในฌาน 4 นี้
(จึงเจริญวิปัสสนาไม่ได้)
จะมีแต่นิมิตจิตที่เป็นดวงหรือแสงสว่าง ซึ่งเกิดจากมายาของจิต หรือ
จิตสังขาร การปรุงแต่ง
อรูปฌาน ในระดับฌาน 8 นั้น
จะมีความว่าง ซึ่งเกิดจากการกำหนด
มั่นหมายเอาของจิตสังขาร
เช่นกัน และปัญญา ก็เกิดขึ้นไม่ได้
(จึงเจริญวิปัสสนาไม่ได้)
ใน อรูปฌาน 8 นี้
ฉนั้นทั้งรูปฌาน และอรูปฌาน
ก็ยังอยู่ในอาณัติของจิตสังขาร
ยังมิใช่จิตแท้จริงหรือจิตหนึ่ง
หรือธรรมบริสุทธิ์
(จิตหนึ่ง ธรรมบริสุทธิ์ นิพพาน คือ
สิ่งเดียวกัน)
เมื่อเธอเข้าใจผิด คิดว่าสมาธิและฌานเป็นจิต พอเธอเดินสมาธิที่เข้าใจเอาว่าเป็นการเดินจิต มาถึง
ความสงบที่เป็นเอกคตาหรือเป็นหนึ่ง หรือตั้งมั่นแล้ว..จึงเข้าใจว่านั่น
เป็นฐานจิต หรือเป็นจิต นี่เป็นการ
เข้าใจที่คลาดเคลื่อน..
..หรือ..
เมื่อเดินสมาธิไปถึงอรูปฌาน 8
คือกำหนดมั่นหมายเอาความว่าง
ที่ไม่ใช่สัญญา และไม่ใช่วิญญานรู้
แล้วเข้าใจว่าความว่างนั้นเป็นธรรมบริสุทธ์ หรือจิตหนึ่ง..นี่เป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน..
เมื่อเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างนี้
เธอจึงติดอยู่ในรูปฌาน และอรูปฌาน ที่เข้าใจผิดว่าเป็นจิตเป็นธรรม
ในสังโยชน์เบื้องปลาย ท่านจึง
ให้ละ รูปฌาน และอรูปฌาน
เพราะนั่นยังเป็นจิตสังขาร
มายาจิต หรือความคิดปรุงแต่ง
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงทั้งสิ้น
เมื่อไปหลงยึดถืออยู่ก็ยังเป็นอัตตา
ทีนี้ เมื่อใครเดินสมาธิมาถึงระดับนี้
ก็ต้อง ออกมาเจริญวิปัสสนา ที่ต้นทาง
คือเปิดอายตนะปกติ ใช้ชีวิตปกติ
ให้เกิดการกระทบสัมผัส ของ รูป
รส กลิ่น เสียง เย็นร้อนออนแข็ง กับ
ตา หู ลิ้น จมูก กาย และเกิดอารมณ์
ทางใจ..เพื่อให้เกิดปัญญา คือรู้เห็น
ไปตามความเป็นจริง ของธรรมชาติ
จึงจะได้สัมผัสถึงจิตที่แท้จริง
ที่ตื่นรู้ เบาคลาย ถอนจากอุปาทาน
ด้วยปัญญา แต่ละขณะๆ จนแจ้งประจักษ์ ถึงจิตแท้จริง จิตหนึ่ง
จิตแท้จริง..ไร้การกระทำ ไร้การแบ่งแยก ไร้ฐาน ไร้การตั้งในที่ใดๆ..
รู้ เบิกบาน เสถียร หนึ่งเดียว..
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
เมื่อรู้ว่าเรื่องโลกธรรมคือสมมุติ
เธอเพียงทำหน้าที่ตามเหตุปัจจัย
ใช้สมมุติไปอย่างไม่ยึดถือในสมมุติ
อยู่อย่างโปร่งเบา ตื่นรู้ เบิกบาน
สิ่งที่สัมผัสรับรู้เพียงปรากฏการณ์
"เป็นเช่นนั้นเอง"
..เจริญธรรม..
"เปิดประตูสามบาน เพื่อแจ้งพระนิพพาน"
1.เข้าใจเรื่องสมมุติ
สมมุติภาษาที่ครอบรูปอยู่นั้น
เพียงใช้เรียกชื่อสื่อสารกันเพื่อความเข้าใจตรงกัน มันเป็นสิ่งชั่วคราว
ไม่ได้มีอยู่แท้จริง ใช้งานแล้วก็สลายไปเหมือนสายลม
..ฉนั้น เมื่อเข้าใจในสมมุตินี้แล้ว
ความยึดถือในสมมุติก็คลายออก
ประตูบานที่หนึ่งก็เปิดออก..
..จิตจึงอิสระจากการยึดถือในสมมุติ
เมื่อจิตสัมผัสรับรู้ทางอายตนะทั้งห้า
ก็เพียงสัมผัสรับรู้อะไรบางอย่าง
2.รู้ทันความคิด ความคิดปรุงแต่งที่ผุดขึ้นนั้น
ทำหน้าที่ บริหารชีวิต สั่งการควบคุม
สิ่งต่างๆ เช่น
@ความคิดที่คิดไปตามธรรมชาติ
- สั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว
- สั่งให้พูด
@ความคิดที่คิดไปตามสมุติต่างๆ
-คิดตีความ ว่าอะไรคืออะไรเป็นอะไร
-คิดให้ค่า ชอบ ไม่ชอบ อยากให้เป็น
ไม่อยากให้เป็น
- ความคิดซ้อนๆ ขยายเป็นอารมณ์
รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ
..ความคิดต่างๆเหล่านี้ ให้รู้ทัน ให้เห็น
เมื่อ รู้ เห็น ความคิดเหล่านี้..
..ธาตุรู้ จะแยกตัวออกจาก ความคิด..
ความคิดจะเกิดดับไปเองตามธรรรมชาติ
ธาตุรู้อยู่ส่วนหนึ่ง ความคิดปรุงแต่งก็อยู่ส่วนหนึ่ง
..ถึงสภาวะนี้ ประตูบานที่สองก็เปิด
จิตหรือธาตุรู้ คลายตัวออกอิสระจากความคิด
ไม่ถูกความคิดปรุงแต่งครอบงำ
3.รู้อาการของจิต
อาการของจิต คือ ความรู้สึกทางอายตนะ ที่สัมผัสรับรู้ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบรูป และอารมณ์ใจเกิดขึ้น
ก็เพียงแต่รู้อาการ โดยปราศจากสมมุติไปให้ค่า
..อาการเหล่านี้เกิดขึ้นวูปหนึ่งแล้วดับไปเองตามธรรมชาติ
จิตเพียงรู้ ไม่ไปยึดถืออาการ
เมื่ออาการของจิตดับ..
..ประตูบานที่สามก็เปิดออก..
"พบกับความว่าง ที่มีเพียงธาตุรู้
รู้อยู่เฉยๆ"..รู้ในว่าง ที่ไร้ทุกๆสิ่ง..
..รู้ จะรู้ในธรรมชาติของธาตุรู้..
จะเห็นธาตุสี่เกิดก่อและแตกสลาย
หมุนวนอยู่เป็นสายของอณูธาตุ..
..จะเห็นความคิดปรุงแต่งเกิดดับ
ทำงานอยู่ ตามเหตุปัจจัยการกระทบ
ทางอายตนะ..
..ธาตุรู้ จะอยู่ในมิติของว่างเงียบสงัด
ล้ำลึกปราศจากสิ่งใดๆเข้าถึงได้
ธาตุรู้สะอาดบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวด
ประตูที่เป็น"อวิชชา"ได้ทลายลง
นิพพาน จึงประจักษ์แจ้ง ณ.สุญญนั้น
..เจริญธรรม..
สวัสดียามเช้าครับญาติธรรม
..หลายท่านยังไม่รู้จักความคิด
ทั้งที่อยู่กับความคิดมาตลอดชีวิต
..ความคิดนี้ ปรุงแต่งธรรมชาติเดิมๆ
ให้เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้เป็นเรื่องราวต่างๆ
ให้เชื่อ ให้ยึดถือ ให้ครอบครอง
สิ่งที่ความคิดปรุงแต่งขึ้น ทุกๆสิ่ง
ที่คิด ทุกๆเรื่องราวที่คิดปรุงแต่ง
..ปรุงแต่ง ตั้งแต่มิติหยาบๆที่เป็น
โลกกายหยาบ เช่นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน
ไปถึงโลกทิพย์ เช่นอรูปพรหม พรหม เทวดา เปรต อสูรกาย สัตว์นรก
..ความคิดสร้างมายาคติทั้งสามโลก
เมื่อเราเชื่อความคิดและยึดถือ
ในสิ่งต่างๆ เรื่องต่างๆที่ความคิดสร้างขึ้น
เราก็ไปเกิดๆตายๆอยู่ในภพภูมิต่างๆ
ของสามโลก คือโลกอรูปพรหม โลกรูปพรหม โลกเทวดา โลกมนุษย์และสัตว์
โลกเปรต อสูรกาย สัตว์นรก
..เวียนว่ายอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น
..เหตุที่เธอไม่รู้จักความคิด ไม่เห็น
ความคิด..ก็เพราะไปเชื่อ ไปยึดถือ
ในสิ่ง ในเรื่องที่ความคิดสร้างขึ้น
จึงหลงไหลไปว่ามายาเหล่านั้นเป็น
ของจริง มีอยู่จริง ตั้งอยู่ถาวร..
ความคิดปรุงแต่งจึงครอบงำเธออยู่
ตลอดเวลา..เหมือนคนเมายาบ้า..
..ความคิดเป็นธรรมชาติ ที่สั่งการ
ชีวิตมนุษย์ทุกสิ่งทุกอย่าง..
..ตั้งแต่สั่งให้ เคลื่อนไหวร่างกาย
สั่งให้พูด..สั่งให้หาปัจจัยสี่ มาสนองความต้องการของร่างกาย
..ความคิดสร้างสมมุติขึ้นมา
ครอบธรรมชาติเดิมแท้ไว้..แล้วให้ค่า..
ให้ความหมายว่าเป็นสิ่งต่างๆ..
เป็นเรื่องราวต่างๆ
ทั้งที่ธรรมชาติเดิมแท้นั้นไม่เป็นอะไรเลย
..ความคิดสร้างอารมณ์ ให้เกิดเป็น
ความพอใจ ไม่พอใจ ความอยากได้
ใคร่เป็น ความไม่อยากได้ใคร่เป็น
ความขุ่นเคือง ความโกรธพยาบาท
..เมื่อเธอหลงไหลไปอยู่กับความคิด
ไปเชื่อ ไปยึดถือ ในสมมุติ และ
อารมณ์ต่างๆที่ความคิดสร้างขึ้น
..ความเชื่อ ความยึดถือนั้น จะทำให้
เกิดการสะสม ทับถม พอกพูน เรื่อง
ต่างนั้น อารมณ์เหล่านั้น หนาแน่นๆ
มากขึ้นมากขึ้น..หมักหมมเหนียวแน่น
เป็นจริตนิสัย เป็นภพชาติ เป็นวิบาก
เป็นอัตตาตัวตน..ซึ่งถูกรัดรึงด้วย..
"อวิชชา" ความหลง..ความไม่รู้...
..การจะถอน คลาย ความเชื่อ ความ
ยึดถือ และดับ อวิชชา สิ้นเชิงนั้น..
..เธอต้องมา"ตระหนักรู้ความคิด"..
รู้แล้วก็แล้วไป..เมื่อรู้ ความคิดจะดับ
ไปเอง..ไม่ต้องไปห้ามไม่ให้คิด..
ไม่ต้องไปพยายามดับความคิด
..ให้รู้ความคิด ที่คิดซ้อนๆขึ้นมา..
ทุกๆความคิด ก่อนที่จะขยายเป็น
อารมณ์ พอใจ ไม่พอใจ อยากให้เป็น
ไม่อยากให้เป็น
..รู้เห็นให้ถ่องแท้..
จนกระทั่งรู้นั้น..รู้ก่อนที่จะคิด..
..นั่นหล่ะ..นับว่าเปิดประตูสู่ความ
ไม่เกิดตายได้แท้จริง..
..เจริญธรรม..
(อ่านให้เกิดปัญญา อย่าเชื่อ อย่าจำ..
นี่เป็นสมมุติภาษา มิใช่ธรรมแท้
แต่หากปัญญาเกิด จะได้ประโยชน์
จากบทความนี้)
การบรรลุธรรม
คือการเปลี่ยนสถานะ
จากมิติไม่สัมบูรณ์ สู่มิติที่สัมบูรณ์
ซึ่งสองมิตินี้ซ้อนกันอยู่
ณ.ขณะนี้..
ท่านทั้งหลายที่เป็นปุถุชน
พลัดหลงอยู่ในมิติไม่สัมบูรณ์
..แต่หากท่านจะเปลี่ยนสถานะ..
ท่านต้องเห็นสถาพความเป็นจริง
ของมิติไม่สัมบูรณ์..และเกิดความ
เบื่อหน่ายที่จะออกไปจากมิตินี้..
เมื่อนั้นท่านจะขวนขวายหาทางออก
ด้วยความแน่วแน่..
มิติไม่สัมบูรณ์
..ประกอบขึ้นด้วย ธาตุสี่..ดิน..น้ำ
ลม..ไฟ..เป็นรูปกาย
..บริหารด้วย ขันธ์สี่..รับรู้..คิด..
รู้สึก..จำ
..สัมผัสด้วย..อายตนะหู..ตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ
..สื่อสารกันด้วย..ภาษา ทั้ง
ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษากาย
..และขับเคลื่อนรับรู้ด้วย..พลังงาน
ของธาตุรู้
คุณลักษณะของ มิติไม่สัมบูรณ์
..มีความพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่แน่นอน
เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง ผันผวน
ไม่คงที่ ไม่คงทน มีน้ำหนัก หนักเบา
มีอุณหภูมิ ร้อนเย็น มีมืด มีสว่าง
เกิดๆ ดับๆ สลับกันเรื่อยไป และอยู่
ในกฏของเวลา
คุณลักษณะของ มิติสัมบูรณ์
..มีความอิ่มเอิบ ความเต็ม สมบูรณ์
ไม่เคลื่อนไหว ไม่เปลี่ยนแปลง นิ่ง
เงียบ ไม่มีขอบเขต ไม่มีปริมาตร
ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีร้อนไม่มีเย็น ไม่มืด
ไม่สว่าง..ไม่เกิด ไม่ดับ..สุขเสถียร
อยู่นอกกฏของเวลา..
..และสื่อสารกันด้วย ธาตุรู้
ทั้งสองมิตินี้..
มี..ธาตุรู้..เป็นตัวเชื่อมประสาน..
ธาตุรู้ จะทำงานทั้งในมิติไม่สัมบูรณ์
และทำงานในมิติสัมบูรณ์
..ธาตุรู้..จึงเป็นผู้ที่เดินทางผ่าน
ระหว่างสองมิติ
..จึงเป็นกุญแจสำคัญ ที่เราจะต้องอาศัยธาตุรู้ เพื่อเปลี่ยนสถานะ
ฉะนั้นท่านที่ต้องการเปลี่ยนสถานะ
ก็ต้องหากุญแจ คือธาตุรู้ ให้เจอ
ในเมื่อธาตุรู้
เข้ามาทำงานที่มิติไม่สัมบูรณ์ด้วย
เราก็ไปดูว่าธาตุรู้ ทำงานที่ไหน
ของมิติไม่สัมบูรณ์
ธาตุรู้..เมื่อเดินทางเข้าทำงานที่มิติ
ไม่สัมบูรณ์ ก็ส่งพลังงานส่วนหนึ่ง
ไปอยู่ที่ประสาทสัมผัสทางอายตนะ
ทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และกระจายพลังงานอยู่โดยรอบๆ
..ซึ่งพลังงานที่กระจายอยู่โดยรอบๆ
นั้น อยู่ในส่วนของมิติสัมบูรณ์
พลังงานส่วนหนึ่งของธาตุรู้
ทำหน้าที่.."เพียงรับรู้" จากการสัมผัสทางอายตนะ แล้วส่งสัญญาณไปให้ขันธ์ทั้งสี่ ทำหน้าที่ต่อ..
แล้วพลังงานส่วนนี้ก็ย้อนกลับไปรวม
กับพลังส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ ซึ่งอยู่
ในมิติสัมบูรณ์
ฉะนั้นเมื่อ อายตนะเปิดอยู่ และ
ขันธ์ทำงานสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว
อยู่..ธาตุรู้จึงทำงานอยู่ตลอดเวลา
และเดินทางระหว่างสองมิติตลอดเวลาเช่นกัน
ซึ่งอย่างที่บอกไว้ด้านบนแล้วว่า
สองมิตินี้ซ้อนกันอยู่ แต่อยู่คนละส่วน
รอยเชื่อม..ของสองมิตินี้..คือ..
"ช่องว่าง..ระหว่างการเกิดการดับ
ของมิติไม่สัมบูรณ์..
..และพลังงานธาตุรู้ เดินทางผ่าน
รอยเชื่อมนี้...
..เมื่อ เรารู้เห็น อย่างเฉยๆ
ของกายเคลื่อนไหว..ระหว่างอริยาบทหนึ่ง ไปสู่ อริยาบทหนึ่ง..
และรู้เห็นความคิดเกิดวู้ปขึ้นและดับแว้ปหายไป
เราจะสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า
และนี่คือรอยต่อ ของสองมิติ
แต่หากเราตามธาตุรู้ ทางอายตนะ
สัมผัสในนอก..จะเห็นธาตุรู้ได้..ด้วย
อาการ เช่น รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง..
แต่นี้เป็นส่วนหนึ่งของธาตุรู้ ที่ดับไป
พร้อมกับการดับของการกระทบสัมผัสของอายตนะในนอก..
..ซึ่งธาตุรู้ส่วนนี้อยู่ในมิติไม่สัมบูรณ์
ฉนั้นจึงไม่สามารถเห็นรอยต่อของ
ทั้งสองมิติได้
ฉะนั้น การเปลี่ยนสถานะ
1.ท่านจึงควรทำความเข้าใจ
และเห็นสภาพความเป็นจริง
ของมิติไม่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถเห็น
ได้ด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยลิ้น
ด้วยกาย อย่างง่ายๆ ปกติธรรมดา
ที่เห็นเป็นประจำ
2.หาธาตุรู้ให้เจอ..
-ก็การรู้เห็นเฉยๆ ทางอายตนะทั้งหก
นั่น ก็เป็นพลังงานธาตุรู้ส่วนหนึ่ง
-และการรู้เห็นโดยรวมๆ ที่เห็นการ
ปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงของร่างกายและการปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงทางใจ ก็เป็นพลังงานธาตุรู้ส่วนหนึ่ง
-และการเห็นความว่างเปล่า ก็เป็น
การเห็นรอยต่อของสองมิติ
3. อยู่กับธาตุรู้ให้มากที่สุด
อย่าไปอยู่กับการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงทางกายทางใจ
เพราะการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง
ทางกายทางใจ นั่นเป็นมิติไม่สัมบูรณ์
..เมื่ออยู่กับธาตุรู้สม่ำเสมอ
ธาตุรู้ จะนำไปสู่ มิติสัมบูรณ์
..ขณะหนึ่ง เราจะสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ซึมซาบเข้ากวาดล้างอาสวะ อุปาทานไปหมดสิ้น
..และพลังงานนั้นพุ่งทะลุทะลวง ออกจากร่างกายทุกทิศทุกทาง จนกายบางเบาน้อยนิดและดับแว๊ปหายพร้อมโลกทั้งโลกก็หายวับไปด้วย
เหลือแต่ธาตุรู้เด่นอยู่ในมิติสัมบูรณ์..
..จากนั้นในระยะหนึ่ง..ธาตุรู้จะกลับ
มาเช็คเคลียร์ผู้ที่เปลี่ยนสถานะว่า
ยังมีอะไรของมิติไม่สัมบูรณ์ตกค้าง
อยู่บ้าง..เมื่อเช็คเคลียร์เรียบร้อยแล้ว ธาตุรู้จะยืนยันสถานะของท่านว่าการเปลี่ยนสถานะสมบูรณ์เสร็จสิ้นแล้ว
..และนั่นท่านอยู่ในมิติสัมบูรณ์ถาวร
ด้วยบรมสุขชั่วนิรันดร์
..เจริญธรรม..
"เมื่อเธอไม่รู้ว่าคิด"
จึงถูกดูดเข้าไปสู่เกมสังขาร
ถูกบดปั่นอยู่ในจักรกลแห่งทุกข์
ทุกๆขณะ วันแล้ววันเล่า
ชาติแล้ว ชาติเล่า
หากปัญญายังหลับไหล
และถือมั่นในทิฏฐิแห่งตน
เธอจะยังไม่พ้นจักรกลแห่งทุกข์
บดปั่นต่อไป อีกนานแสนนาน
..เจริญธรรม..
สวัสดีญาติธรรม
ที่เพิ่งเข้ามาใหม่หลายๆท่าน
บางท่านที่เพิ่งสนใจใฝ่ธรรม
ก็จะเข้าใจว่า ธรรมะคือการฝึกสมาธิ
ต้องนั่งสมาธิกันอย่างหนักหน่วง
เพื่อให้ได้ฌาน ได้ธรรมะ ได้อะไรๆ
ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น สำหรับ
ท่านที่ปราถนาการพ้นเกิดพ้นตาย
แต่หากท่านต้องการความสงบใจ
ชั่วคราว ก็ทำไป ไม่ว่าอะไรกัน
อ.จะพูดให้ฟังว่า..
สมาธิ ที่เป็นพื้นฐานของการรู้แจ้ง
ในธรรมนั้น เป็นสมาธิง่ายๆ ที่อยู่
ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนนี้เอง
เช่น..เมื่อตาเรามองไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเห็นชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร
"นั่นสมาธิเกิดขึ้นแล้ว"..เมื่อจิตตั้งมั่น
อยู่กับสิ่งนั้น นั่นคือสมาธิ..และรู้ตัว
ว่ากำลังมอง นั่นคือสติ..และรู้ว่า
สิ่งนั้นคืออะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร นั่นคือปัญญา..
..นี่สมาธิ..สติ..ปัญญา..เกิดขึ้นพร้อมกัน..โดยไม่ต้องไปฝึกอะไร..
..มรรคถึงพร้อมง่ายๆอย่างนี้..
ไม่ว่า ตาที่เห็นรูป..หูที่ได้ยินเสียง..
จมูกที่ได้กลิ่น..ลิ้นที่รับรส..กายที่สัมผัส..เมื่อจิตเข้าไปรับรู้ทางทวาร
ทั้งหลายเหล่านี้..
"หากเราไม่มัวหลงอยู่ในความคิด"
ก็จะเกิด สมาธิสติปัญญา ขึ้นพร้อมกันเสมอ..
..ฉะนั้น การมีสมาธิสติปัญญา..
คือการรู้สึกสัมผัสทางอายตนะ
และรู้เห็น ไปอย่างซื่อๆ ปกติๆตามธรรมชาติ.."โดยไร้ความคิดปรุงแต่ง"
..แต่หากมีความคิดเกิดขึ้นก็รู้ทัน
และไม่ไหลไปเป็นตัวละครในความคิด..
นี่ การปฏิบัติธรรม หรือ
เจริญมรรค ง่ายๆแค่นี้เอง
..เจริญธรรม..
ช้าสวัสดีญาติธรรม
หลายคนในที่นี้...
ยังคุ้นชินกับการปฏิบัติธรรมในรูปแบบ
จึงยังแสวงหาไปเข้ากัมมัฏฐาน
ตามสำนักต่างๆ ตามวัดต่างๆ
ไปทำแล้วกลับมาก็เหมือนเดิม
บางครั้งได้ความขุ่นข้องหมองใจ
กลับมาด้วย
ทั้งที่อ.โพสต์แสดงธรรมทุกๆวัน
นี้ ก็คือการแสดงให้ทำกัมมัฏฐาน
ที่เรียกว่า"วิปัสสนากัมมัฏฐาน"
หรือการเจริญปัญญา เพื่อให้รู้แจ้ง
"รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจนึกคิด" นี่คือ
การทำ"วิปัสสนากัมมัฏฐาน" หรือ
การเจริญปัญญา.."ปัญญาเท่านั้น"
ที่จะทำให้เธอ แจ้งนิพพานได้
เพียงแต่ อ.ไม่ได้ใช้ภาษาตามตำรา
เธอหลายคนก็ไม่เข้าใจ จึงพยายาม
ไปบำเพ็ญเพียรตามสถานที่ต่างๆ
ซึ่งความจริง เธอบำเพ็ญอยู่ที่บ้าน
ที่ทำงานนั้นก็ใช้ได้แล้ว แล้วก็ดีด้วย
ทีนี้เมื่อไปตามวัดหรือสถานที่นั้นๆ
ตัวความคิดก็พาไปทำ ไม่ว่าจะนั่ง
สมาธิ เดินจงกลม หรือทำวิธีไหนๆ
เมื่อพยายามจะทำ เจ้าความคิดจะ
สั่งการให้ทำทั้งสิ้น..แล้วเธอก็รู้ไม่ทันความคิดที่สั่งการให้ทำ..
..ความคิดที่สั่งให้เดินจงกลม..
ก็เหมือนกับความคิดที่สั่งให้เดิน
ทำการงานอยู่ที่บ้าน..นี่เหมือนกัน
หากเธอรู้การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของร่างกาย..ไม่ว่าจะเดินอยู่ที่ไหน
นั่งอยู่ที่ไหน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ประเด็นเดียวที่เธอไปเพื่อทำให้ได้
คือ "ความสงบ"..ซึ่ง นั่น มันไม่ได้
เจริญปัญญา..แต่เป็นการเจริญความ
สงบ..ผู้สอนตามสถานที่นั้นๆจึงเน้น
ให้เธอทั้งหลาย ทำสมาธิกัน ทุกๆที่
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เธอติด ความสงบ
ติดการทำสมาธิ..และนี่เป็นการเน้น
อยู่กับ สมถกัมมัฏฐาน ที่ไม่เกิดปัญญา
เมื่ออ.ปู่ แสดงเรื่องปัญญา เธอจึงไม่
เข้าใจ ไม่เข้าถึง เพราะที่ปฏิบัติมา
และปฏิบัติอยู่ ไม่ได้เกิดปัญญาเลย
"กัมมัฏฐาน" แปลว่า..
อารมณ์ที่ตั้งแห่งการงานของจิต
อารมณ์ ก็คือ "ความคิดปรุงแต่ง"
การงานของจิต คือ "รู้" และเห็น
กระบวนการทำงานของ ความคิด
เห็นการเกิดการดับ ของความคิด
เห็นการ เกิดการดับ เปลี่ยนแปลงของร่างกาย
การที่จะเห็นการปรุงแต่งทางจิต
และการปรุงแต่งทางกาย
และความเป็นไตรลักษณ์ของจิต
และความเป็นไตรลักษณ์ของกาย
ต้องเจริญรู้ หรือเจริญปัญญาเท่านั้น
และการเจริญรู้นั้น ทำที่ตัวเธอ..
ที่อ.ปู่ พร่ำโพสต์แสดงให้อ่านอยู่ทุกๆวัน
ไม่ใช่ไปทำที่สถานที่ให้เสียเงินเสียเวลา
โปรดกรุณาทำความเข้าใจอย่างนี้
การเจริญธรรม คือการทำความเข้าใจ และคิดเห็นให้ถูก
ก่อนที่จะทำอย่างอื่น
ไม่ยังงั้น..เธอทั้งหลายก็งมโข่ง..
วกวนอยู่ พ้นเกิดพ้นตายไปไม่ได้..
สุดท้าย.."โดนเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก"
..เจริญธรรม..
เหตุคือการถือครอง
เมื่อถือครองจึงมีอัตตาตัวตน
ถือครองในคิดไปตามสมมุติ
จึงมีเรามีเขา มีคนนั้น เป็นคนนี้
มีเรื่องในอดีต มีเรื่องจะเป็นในอนาคต
มีเรื่องราวต่างๆ ที่คิดสร้างขึ้น
เมื่อรู้ไม่ทันความคิด
จึงหลงไหลไปยึดในเรื่องที่คิด
อารมณ์ต่างๆขยายตัวขึ้นมากมาย
หมักหมมครอบงำจิตให้หม่นหมอง
จะอ่านธรรมฟังธรรมมากมาย
ก็ไม่สามารถชำระล้างอารมณ์นั้นได้
"นั่นเพราะยังถือครองในคิด"
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
"เรา คือ อวิชชา"
อวิชชา คือความไม่รู้
ไม่รู้ ความจริงของสังขาร ว่า
สังขารเป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติ
ที่ปรากฏเกิดดับตามเหตุปัจจัย
เมื่อไม่รู้..จึงถือครองเป็นตัวเป็นตน
มั่นหมายเอาสังขารเป็นตนตั้งอยู่ถาวร
ฉะนั้น..
การตระหนักรู้แต่ละขณะๆในปัจจุบัน
กระทั่ง..รู้ เจริญอย่างต่อเนื่องนั้น
อุปาทาน จะถอนคลายเองอัตโนมัติ
ความเป็นอนัตตาก็ปรากฏต่อจิตเอง
เพราะจิตรู้ แยกตัวออกจากสังขาร
พ้นจากการครอบงำ ดับอวิชชาใน
ขณะปัจจุบันนั้น..
ในปัจจุบันที่ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้
ไร้ตัวตน เราเขา สัตว์ บุคคล
เพียงจิตหนึ่ง ที่รู้อยู่
..เจริญธรรม..
"นวนิยายกำลังภายใน"
ตอนที่ 1
..ความเดิม..
หากท่านปรารถนาเป็นจอมยุทธ์
บรรลุขั้นสูงสุดแห่งยุทธภพ
ต้องฝ่าด่านค่ายกล 3 ด่านไปให้ได้
(แต่หากสำเร็จวิชา"ฝ่ามืออรหันต์ " ไม่ต้องฝ่าฟันหรือติดอยู่ในสามค่ายกลนี้ )
1. ด่าน ค่ายกลตบจูบ
2. ด่าน ค่ายกลนักพรต
3. ด่าน ค่ายกลอีโก้
ติดตามตอน..
..ฝ่าด่านค่ายกลตบจูบ..
..ด่านค่ายกลนี้ มีหัวหน้าใหญ่เป็นจอมมารผู้เก่งกล้าทั้งวรยุทธ์และเวทมนต์อาถรรพ์ นามว่า"กู่หลง" เป็นผู้บัญชาการ
"กู่หลง"ใช้มนต์มายาสร้างค่ายกล ดูยิ่งใหญ่เข้มแข็งดั่งภูผา ยากนักที่ใครจะทำลายลงได้
..ค่ายกลนี้มีประตู 6 ประตู มีทหารเข้าออกติดต่อกับภายนอก ส่งเสบียง ทั้ง 6 ประตูนี้
..และมีเมฆหมอกที่เกิดจากมนต์อาถรรพ์ของจอมมาร ปกคลุมอยู่มืดทึบ..เมื่อผู้ใดบุกมาถึงด่านค่ายกลนี้ เมฆหมอกอาถรรพ์จะปรับเปลี่ยนค่ายกลเป็นเสมือนบ้านเมืองของคนๆนั้น
คนผู้นั้นจึงนึกว่ากลับมาบ้านตนเอง จึงเดินหลงเข้าไปในค่ายกล ทำให้จอมมารส่งลูกน้องทั้งสามเข้าสัปยุทธ์ทันที
..จอมมารมีลูกน้องเป็นผู้นำทัพที่เก่งกาจ 3 ตน ตนหนึ่งชื่อ "รัก ลุ่มหลง"..ตนหนึ่งชื่อ"โลภมาก อยากได้"..ตนหนึ่งชื่อ
"ขึ้งเคลียด โกรธเกลียด"
..ลูกน้อง 3 ตนนี้เกิดขึ้นจากการ
ปลุกเศกด้วยเวทมนต์ของจอมมาร"กู่หลง"
..นักรบ"รัก ลุ่มหลง" เก่งกาจวิชายุทธ์"ยินดีเพลิดเพลิน"
เมื่อสะบัดอาวุธออกไป..ทั่วทิศทางจะปรากฏสิ่งสวยงามน่าพิศวง..ปรากฏเป็นเทพบุตร เทพธิดา..ปรากฏดนตรีนารีฟ้อนรำ ปรากฏอาหารเลิศรส..ปรากฏเสื้อผ้าแพรพรรณอันวิจิตร..ปรากฏวิมารทองห้องหอประดับเพชรนิลจินดา..ปรากฏแก้วแหวนเงินทอง..ทำให้ศัตรูเคลิบเคลิ้ม ไหลหลง มึนงง เพลิดเพลินอยู่กับรูปโฉมโนมพรรณ..ทรัพย์สินสิ่งมีค่า..สิ่งสวยงามต่างๆ..จนลืมตัวลืมตน..
..นักรบ"โลภมาก อยากได้" เก่งกาจวิชายุทธ์"ตัณหา"
เมื่อสะบัดอาวุธออกไป ทำให้ศัตรู มีความอยากได้ อยากมี..อยากเป็น ในสิ่งต่างๆที่นักรบ"รัก ลุ่มหลง"ทำให้ปรากฏ..
..ส่วนนักรบ"ขึ้งเครียด โกรธเกลียด" เก่งกาจวิชายุทธ์"หงุดหงิด" เมื่อสะบัดอาวุธออกไป จะปรากฏทหารรูปร่างอัปลักษณ์ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ทมึนทึง ส่งเสียงบ่น เสียงร้อง เสียงด่าทอ สาปแช่ง ขู่ คำราม แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก
ทำให้ศัตรู รำคาญ อึดอัดขัดใจ ไม่พอใจ จิตตก ขัดเคือง
โกรธเกลียด พยาบาท..
..จอมยุทธ์ใดหลงเข้าไปในค่ายกลนี้ จอมมาร"กู่หลง"จะทำให้หลงรัก หลงโลภ หลงโกรธ..สลับไปสลับมา เหมือนละครตบจูบ ช่อง 3..หัวปักหัวปำ..วุ่นวายสับสน..ทั้งวันทั้งคืน..หากทนไม่ได้ก็จะท้องแตก สมองแตก..หรือเป็นโรคร้ายตายไปในเวลาอันสั้น..
หากทนได้ ก็จะทนไปจนเนื้อแห้ง หนังเหี่ยว แก่ตายไปในที่สุด..
..แต่เมื่อจอมยุทธ์ผู้เด็ดเดียว เดินทางถึง"ด่านค่ายกลตบจูบ"
พร้อมอาวุธวิเศษทั้ง 4 ..หนึ่งคือ "ศรัทธา"..สองคือ"วิริยะ"..สามคือ"สมาธิ"..สี่คือ"สติ".. อาวุธทั้งสี่นี้จะทำลายค่ายกลที่เป็นมนต์อาถรรพ์ของจอมมาร"กู่หลง"ให้แตกพ่ายไปได้
..อาวุธ"ศรัทธา"นั้น เสมือนมีเพื่อนนักรบที่เก่งกล้า อยู่ร่วมรบกับจอมยุทธ์เป็นพันเป็นหมื่นคน
..เมื่อออกรบ..จะมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ห้าวหาญ ไม่พลันพรึงต่อศัตรู..
..อาวุธ"วิริยะ" นั้นเสมือนมีม้าศึกที่ยอดเยี่ยมอย่างม้า"เซ็กเทา"ของจูล่ง
..จอมยุทธ์ออกรบครั้งแล้วครั้งเล่า ม้าศึกก็ไม่เหน็ดเหนื่อย ทำให้เข้ารานโรม ห้ำหั่นศัตรูได้เต็มที่เต็มกำลัง
..อาวุธ"สมาธิ"นั้นเสมือนมีลำแสงสุริยะส่องสว่างให้หายจากมึนงง เมื่อปะทะกับอาวุธ ของนักรบ "รัก ลุ่มหลง" ของนักรบ"โลภมาก อยากได้" และนักรบ "ขึ้งเครียด โกรธเกลียด"
..อาวุธ"สติ" นั้นเมื่อจอมยุทธ์สบัดออกมาใช้ ก็เป็นดวงตาวิเศษหลายหมื่นดวงที่กระจายไปทั่วทิศทั่วทาง จะเห็นค่ายกลมายาของจอมมาร"กู่หลง" และเพลงดาบของนักรบทั้งสาม ได้ชัดเจน และเห็นกระทั่งจอมมารกู่หลง แมัอำพรางตัว อยู่ตรงหน้านั้น..
..เมื่อจอมยุทธฺ์..สบัดอาวุธวิเศษทั้งสี่
ออกพร้อมกัน
พลันค่ายกล"ตบจูบ"ก็พังทลายลง และจอมมาร"กู่หลง"พร้อมสมุนทั้งสาม ก็ถูกบั่นคอสิ้นชีพลง ณ.บัดนั้น..
..ฉับพลันนั้น..
เมื่อจอมยุทธ์ ทำลายค่ายกลตบจูบ และฆ่าจอมมาร"กู่หลง"พร้อมสมุนได้แล้ว..
..จอมยุทธ์ผู้เด็ดเดี่ยว..ก็ถูกดูดเข้าสู่ด่าน "ค่ายกลนักพรต"
ในทันทีทันใด..อย่างไม่รู้ตัว..
โปรดติดตามตอนต่อไป
"ตอน..ฝ่าด่านค่ายกลนักพรต"
(รูปยืมเขามาอย่าซีเรียส)
"นวนิยายกำลังภายใน"
ตอนที่ 2
"ฝ่าด่าน ค่ายกลนักพรต"
..ด้วยการที่จอมยุทธ์ใช้อาวุธ"สมาธิ"
มากเกินขีดจำกัด ด้วยพลังของอาวุธนี้ เขาจึงโดนดูดเข้าไปใน "ด่าน ค่ายกลนักพรต" โดยไม่รูตัว
..ด่าน ค่ายกลนักพรต เป็นด่านใหญ่ พอๆกับ ด่านค่ายกลตบจูบ เพราะจอมยุทธ์เกือบทุกคนถูกดูดเข้ามาในค่ายกลนี้
แม้แต่..เจ้าชายสิทธัตถะ..ก็เคยโดนดูดเข้าด่านค่ายกลนี้มาแล้ว
..ค่ายกลนี้เงียบสงบ มีจอมยุทธ์ที่ถูกดูดเข้ามา แล้วโดนปลดอาวุธวิเศษ กลายเป็นทหารรับใช้หัวหน้าใหญ่..คอยเฝ้าเวรยามใส่ชุดขาวบ้าง ชุดสีน้ำตาลบ้าง ด้วยการนั่งนิ่งๆ เดินเงียบๆเป็นระบียบเรียบร้อย หรือบางคนก็แอบอยู่ในเหลือบถ้ำ ในป่า ในอาคาร..บ้างก็อยู่กันเป็นกลุ่มๆเป็นหมู่คณะ มีหัวหน้าคอยแนะนำสั่งสอนวรยุทธ์..
..หัวหน้าใหญ่ที่เป็นผู้บัญชาการ
เป็นอาจารย์ของ กู่หลง
นามว่า"หว่างกู่หลง"..
หรือในยุทธจักร เรียกว่า "กู่หลงว่าง"
.."กู่หลงว่าง" สร้างค่ายกลมายาสองรูปแบบ..แบบหนึ่งมองเห็นได้ มีอยู่สี่ชั้นค่ายกล มีแสงสีเสียงมหัศจรรย์มากมาย
..อีกแบบหนึ่งไร้รูปไร้เงา มีสี่ชั้นค่ายกลเช่นกัน..
..แต่ละชั้นค่ายกลนี้ มีสมุนของ"กู่หลงว่าง" อยู่หลายตน ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มาก เช่น เรียกฝน เรียกไฟ เหาะเหิน ดำดิน หายตัวได้..
..ส่วนสมุนตนที่อยู่ในชั้นไร้รูปไร้เงา มีพิษร้ายกาจ หากศัตรูหลงเข้าไปก็จะถูกพิษทำให้มองเห็นแต่ความว่าง ไม่เห็นอย่างอื่น..ศัตรูจึงหลงติดอยู่ในความว่างนั้น เพราะเงียบสงบ สบาย ไร้สิ่งรบกวน..และจะเคลิ้มละเมออยู่ว่า
"ว่างแล้ว ว่างแล้ว"
..จอมยุทธ์ผู้เด็ดเดี่ยว..เมื่อหลุดเข้ามาในค่ายกลนักพรต..ก็รู้สึกเงียบสงบสบาย..และมีความเพลิดเพลินกับแสงสีที่สว่างวิจิตร มหัศจรรย์..และกำลังเดินหลงเพลินเข้าไปในค่ายกลไร้รูปไร้เงาของจอมมาร"กู่หลงว่าง"
..พลันนั้น..ก็สดุ้ง ด้วยเสียงของอาจารย์ตะโกนเข้ามาในโสทประสาท "เธอลืมใช้อาวุธวิเศษ 2 ชิ้น ที่อาจารย์สั่งไว้"
..เขารู้สึกตัวและนึกขึ้นได้..ฉิวเฉียดก่อนที่สมุนจอมมารจะพ่นพิษเข้าใส่..จึงสบัดอาวุธวิเศษ"สติ"ออกไป พร้อมกับอาวุธวิเศษ"ปัญญา"..บัดดล..ค่ายกลนักพรต ก็ระเบิดเปรี้ยงทลายหายไป พร้อมจอมมาร"กู่หลงว่าง"และสมุน ก็สลายหายตัวไปด้วย
..ด้วยพลังของอาวุธวิเศษทั้งสอง..ทำให้ร่างของจอมยุทธ์หมุนคว้าง พุ่งออกมาเหมือนพลังถีบของพญาช้างสาร
..เขาดีดตัวยืนขึ้น..พร้อมอาวุธวิเศษทั้งห้าก็ดีดกลับมาที่ตัว..ด้วยพลังความรู้สึกตัวเต็มที่..เขาจึงมุ่งหน้าเข้าสู่
"ด่าน ค่ายกลอีโก้" ต่อไป
..โปรดคอยติดตามตอนหน้านะครับ..
"เขียนให้อ่านเล่นๆอย่าจริงจัง"
"นวนิยายกำลังภายใน"
ตอนที่ 3
"การทำลายด่านค่ายกลอีโก้"
...ด่าน ค่ายกลอีโก้ เป็นด่านเล็กๆ ไม่มีประตูค่ายคู เปิดโล่งกว้าง ทุกทิศทุกทาง ผู้คนสามารถเดินเข้าเดินออกได้อิสระ
..ด่านนี้มีจอมยุทธ์ มาประชุมกันมากมาย ต่างคนต่างก็เจนจบวิชาวรยุทธ์จากหลากหลายสำนักอาจารย์ หลายตำรา หลายประเทศเขตคาม..
..ทุกคนเก่งกาจ ทางด้านวาทะ ต่างรวมกลุ่มกันอภิปราย ถกเถียงกันเรื่องวรยุทธ์ และความเป็นยอดของจอมยุทธ์
..บางคนบอกว่าตนเองเป็นยอดแห่งจอมยุทธ์เพราะผ่านทุกด่านมาแล้ว
..บางคนก็บอกว่าตนสามารถท่องจำคำภีร์ได้ทุกเล่มในยุทธภพนี้ จึงเป็นสุดยอดแห่งจอมยุทธ์
..บางคนก็เดินท่อง"วาทะกรรม"ของอาจารย์เก่าก่อน..ปล่อยรู้ๆๆ..ปล่อยวางๆๆ..หมดตัวหมดตนๆๆ..ไม่ใช่ตัวเราๆๆ
..บางคนก็บอกว่าตนถึงจุด"คีมึ้ง"แล้ว..จุดคีมึ้ง คือจุดที่สูงสุดแห่งวรยุทธ์
..แต่จอมยุทธ์ทั้งหลายนั้น หารู้ไม่ว่า..ค่ายกลอีโก้นี้ดูเหมือนปราศจากค่ายกลใดๆ ปราศผู้บัญชาการและจากทหารนักรบ
..แต่จริงๆแล้ว มีจอมมารใหญ่ ที่เป็นอาจารย์ของ"กู่หลงว่าง"
นามว่า"ทิฐิ มานะ" แอบซ่อนตัวอยู่ จอมมารนี้ปราศจากรูปร่าง และสามารถแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้แม้อาวุธวิเศษของจอมยุทธ์ และเข้าครอบงำมนุษย์ได้ทุกคน โดยเฉพาะจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจ
..ก็ขณะที่จอมยุทธ์ทั้งหลาย ได้หลงเข้ามาในด่านค่ายกลอีโก้นี้ ก็ถูกจอมมาร"ทิฐิ มานะ"เข้าครอบงำไปทุกคนเรียบร้อยแล้ว
..จอมมารเมื่อครอบงำ ก็เข้าไปหลอมรวมเป็นตัวความคิด และแปลงตัวเองให้เป็นสิ่งต่างๆได้ทุกอย่างในความคิดของจอมยุทธ์ ซึ่งทำให้เขา"เชื่อ"ทุกสิ่งทุกอย่างที่จอมมารแสดง..
..เมื่อจอมยุทธ์ผู้เด็ดเดี่ยวเดินทางมาถึงค่ายกลนี้
..แลเห็นว่าจอมยุทธ์ทุกๆคน ที่รวมกลุ่มพูดจาปาถกกัน
ทะเลาะโต้เถียงกัน ในเรื่องวรยุทธ์ เขาจึงรู้ได้ทันทีว่าโดนจอมมารเข้าครอบงำแล้ว..และเขาก็ไม่แคล้วที่จะถูกจอมมารเข้าครอบงำด้วย..
..พลันนั้น..เขาก็นึกถึงคำของอาจารย์..ที่บอกไว้ว่า
"เมื่อเธอไม่รู้ว่าคิด เธอก็จะเชื่อ และพูดทำตามความคิด..ความคิดนั้นไม่มีอาวุธใดฆ่าให้ตายได้"
เขารำพึงว่า "แล้วจะฆ่าจอมมารอย่างไร"
..ทันใดนั้นก็นึกได้ว่า อ.ให้ถุงผ้าใส่แผนกลยุทธ์ไว้สู้จอมมารที่ค่ายกลอีโก้
..เมื่อนึกได้ดังนั้นเขาได้หยิบถุงผ้ามาเปิดหยิบแผ่นหนังชิ้นเล็กๆคลี่ออกอ่าน
วินาทีนั้น จอมมารก็ได้แปลงตัวเป็นอาจารย์ในความคิด แล้วสั่งให้เผาถุงผ้าทิ้งเสีย มันเป็นกลลวง
แต่ไม่ทันแล้วเขาได้เหลือบตาอ่านข้อความนั้น
..อ.เขียนไว้ว่า..
"เลิกเชื่อความคิด ก็จะพิชิตค่ายกลอีโก้"
จอมยุทธ์อ่านแล้ว หัวเราะขึ้นเสียงดัง ฮ่าๆๆๆ
..ฉับพลันนั้น เมื่อเขามองออกไป ค่ายกลอีโก้และจอมมาร"ทิฐิ มานะ" พร้อมจอมยุทธ์ทั้งหลาย ผู้คนที่เดินไปมาก็หายวับไปหมด และสถานที่บริเวณนั้น ทั้งโรงเตี้ยม ต้นไม้ ธงทิว ถนน ภูเขา แม่น้ำ นก หมู ไก่ อะไรต่างๆ หายหมดเกลี้ยง..แม้ ตัวเขาเองก็หายไปด้วย..
..ชั่วครู่ ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม..และอ.ก็ลอยมาในอากาศพร้อมหัวเราะชอบใจ กล่าวสั้นๆว่า "เธอผ่านด่านค่ายกลอีโก้" แล้วหายวับไป..
"ความคิดที่ผุดขึ้นตลอดเวลา
ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรือผิด"
ความคิดนี้เป็นสิ่งประกอบกับจิต
เป็นกระบวนการธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นดับไปเองตามเหตุปัจจัย
ไม่มีเราหรือใครไปสั่งการควบคุม
ให้คิด
..ที่น่ากลัวคือ..!!
การหลงไปยึดถือความคิด
ไปเชื่อว่าความคิดมีตัวตนจริง
ไปเชื่อว่าเรื่องราวที่คิดนั้นมีอยู่จริงๆ
เป็นจริงเป็นจังตามที่ความคิด
ปรุงแต่งขึ้นมา..
..เมื่อหลงยึดและเชื่อทุกอย่างที่คิด
พูด และทำทุกอย่างที่คิด
..และเชื่อว่าที่พูดที่ทำนั้นเป็นเรื่องจริง
มีตัวตนจริง มีเราพูดและทำจริง..
..ภพชาติจึงเกิดขึ้น วัฏทุกข์จึงเกิดขึ้น
หมุนวนอยู่ที่จิตใจของท่านขณะนั้นเอง..
การไม่เชื่อในความคิด
กับการใช้งานความคิด
และการทำสิ่งต่างๆไปตามที่คิด
"นั้นคนละเรื่องกัน" กับการหลงยึด
แล้วพูดทำตามที่ความคิดสั่งให้ทำ
การไม่เชื่อในความคิด คือ
เราไม่เชื่อว่า"ความคิดมีตัวตนจริง"
และเราไม่เชื่อว่า"เรื่องราวที่คิดนั้น
มีอยู่จริง"..
เมื่อไม่เชื่ออย่างนั้น..
ทำให้ไม่หลงเข้าไปยึดในความคิด
ไม่หลงยึดเรื่องราวต่างๆที่คิด
ไม่หลงยึดเรื่องต่างๆที่พูด
ไม่หลงยึดสิ่งต่างๆที่ทำ
เมื่อไม่หลงไปยึดถือ
"ก็เพียงใช้งานความคิดไปครั้งหนึ่ง
ก็จบไปครั้งหนึ่ง"..
ความคิดไหนที่ใช้งานไม่ได้
ก็ไม่เอาไปพูด..ไม่เอาไปทำ..
..อย่างนี้!!!..
จึงไม่แบกอารมณ์ความคิดอะไรไว้
"จิตก็โปร่งเบา ใสสว่าง สะอาด
เป็นปกติของจิตเดิมๆ"
มีแค่รู้..รู้ว่าต้องทำหน้าที่ต่างๆ
ไปตามสมมุติ เป็นปกติของสมมุติ
..หากเข้าใจและทำได้อย่างนี้..
ท่านก็พ้นจากวัฏทุกข์ได้ง่ายๆ..
..เจริญธรรม..
"หลง"
คือความไม่เข้าใจสู่ใจ
ไม่รู้เห็น ด้วยจิตรู้
ในสัจจธรรมความจริงหรือใน
กระบวนการของธรรมชาติ
ที่ทำงาน เกิดดับ อยู่เป็นปกติ
จึงเข้าไปยึดถือในความคิดปรุงแต่ง
ในสมมุติ ที่ความคิดสร้างขึ้น
ขณะที่ยึดถือความคิดตามสมมุติ
นั้น ตัวตนปลอมๆจึงเกิดขึ้น
ครอบครองความปลอมๆนั้น ว่ามีจริง
เป็นจริง เรียกว่าเห็นสมมุติเป็นสิ่ง
ที่ตั้งอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่จริง ตามการ
ปรุงแต่งของความคิด..
..นี่คือหลง..
"หลง กับ รู้"
อยู่ใกล้กันแค่ กระพริบตา
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
อย่าอยู่กับคิด
แต่ให้รู้ว่าคิด
จงอยู่กับรู้สึกตัวรวมๆ
ร่างกายขยับเคลื่อนไหวก็รู้
ตาเห็นรูปก็รู้ หูได้ยินเสียงก็รู้
จมูกได้กลิ่นก็รู้ ลิ้นได้รสก็รู้
กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็รู้
..รู้ แค่รู้..รวมๆ ไม่เพ่งจ้อง
เมื่อความคิดว่าเป็นอะไร ก็รู้
รู้แล้วผ่าน..ไม่ให้ค่าชอบชัง
"แค่นี้เธอก็ไร้ทุกข์ไร้สุข"
..เจริญธรรม..
ช้าสวัสดีญาติธรรม
ความคาดหวังว่าจะให้เป็นอย่างนั้น
จะไม่ให้เป็นอย่างนี้..นี่คือตัณหา
อารมณ์เล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เป็นความคิดปรุงแต่ง ที่เธอไม่เห็น แล้วไหล
ไปเป็นตัวตนในความคิด..นี่ความไม่รู้หรืออวิชชาความโง่ มันปิดกั้นวิมุติธรรม
วิมุติธรรม..ไร้อารมณ์ ไร้ความคิด
ไร้สมมุติ..ไม่เกี่ยวกับสิ่งใดๆในโลก
แม้ความคาดหวังในธรรม ความมี
ความเป็นในธรรม
หากไม่เห็นการทำงานของความคิด
ก็ตกอยู่ในอาณัติของความคิดปรุงแต่ง
เธอก็ไหลไปยึดสมมุติอยู่ร่ำไป
..เจริญธรรม..
ช้าสวัสดีญาติธรรม
ไม่คาดหวัง ไม่ตั้งใจ ไม่ให้ค่า
ไม่เชื่อคิด ไม่ไหลคิด ไม่หลงคิด
คิดแล้วก็ผ่านไป อันไหนใช้งานก็ใช้ไป
คิดย่อมเกิดเอง ดับเอง
คิดอยู่ส่วนคิด รู้อยู่ส่วนรู้
สมมุติไม่มีจริง เพียงใช้งาน
สมมุติมีเพราะ คิดให้ค่าตามสมมุติ
"คิดดับ สมมุติก็ไร้"
"รู้..แค่รู้..รู้คือกริยาจิต..
รู้อยู่อย่างนั้น จิตบริสุทธิ์ อยู่อย่างนั้น"
..เจริญธรรม.
เช้าสวัสดีญาติธรรม
หากเธอรู้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ที่รับรู้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
เป็นเพียงสมมุติ แม้ ตา หู จมูก ลิ้น
กาย นั้นด้วย ไม่มีเราตั้งอยู่
สัญญา อารมณ์ ต่างๆจะดับลง
และหดหายไปเรื่อยๆ
จิต จะอิสระมากขึ้นไปพร้อมกัน
รู้ จะเด่นชัดขึ้น เห็นการผุดเกิด
ผุดดับ ของความคิดปรุงแต่งชัดขึ้น
เป็นลำดับๆไป
เมื่อเธอสัมผัสรับรู้สิ่งใดๆ
จะเห็นว่า มันไม่มีความหมายไร้ค่า
เห็นเป็นเพียงบางสิ่งบางอย่าง
และบางครั้งเหมือนเธอไปเป็นสิ่งที่เห็น
นี้เป็นปรากฏการณ์ ที่เธอเดินถูกทาง
และใกล้เป้าหมายเข้าไปทุกทีแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ให้อยู่กับรู้ แค่รู้
..เจริญธรรม..
"ดูจิต ก่อนคิด..เธอทั้งหลาย"
จิต..แค่รู้...ร่างกาย..
เขานอนอยู่...แค่รู้
เขาลุกขึ้นนั่งเขาเอง...แค่รู้
เขาลุกขึ้นยืนเขาเอง...แค่รู้
เขาก้าวเดินเขาเอง...แค่รู้
เขายกเท้ายกแขนเขาเอง...แค่รู้
เขาเอี้ยวตัวเขาเอง...แค่รู้
เขาทำการงานเขาเอง...แค่รู้
เขาปวดเมื่อยเขาเอง...แค่รู้
ความคิด.."เขาคิดของเขาเอง..แค่รู้"
"ดูจิต ก่อนคิด..เธอทั้งหลาย"..เขาเป็นเช่นนั้นเอง..
"เมื่อเธอหยุดพยายาม..หยุดแสวงหา..หยุดสงสัย
หยุดไขว่คว้าสิ่งใดๆ....ในทุกความหมาย"
สิ่งหนึ่งที่เห็นไม่ได้ แต่รู้ได้ด้วยสิ่งนั้นเอง..จักปรากฏแก่เธอ..
*อย่าไปจริงจังกับภาษา..รู้สภาวะตน*
..เจริญธรรม..
ช้าสวัสดีญาติธรรม
อย่ามัวคิดซ้อนท่องถ้อยคำ
ที่จดจำจากการบอกกล่าว
เปรียบเทียบสภาวะวิมุติ
ถ้อยคำเหล่านั้น เช่น
"ไม่อะไร กับอะไร"
"ร่างกายคือความว่าง"
"ไม่มีกระจกจึงไม่มีฝุ่นเกาะ"
"ว่างอยู่แล้ว"
"เราคือว่าง ว่างคือเรา"
"เป็นเช่นนั้นเอง"
....ฯลฯ....
ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นภาษาสมมุติ
ที่พูดแทนสภาวะ วิมุตติ..
ในสภาวะวิมุตติ ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีภาษา แม้คำว่า"วิมุตติ"
"เมื่อท่านถึงจริงแล้ว จึงจะสัมผัสได้ถึงสภาวะนั้น ที่รู้ด้วยจิตท่านเอง
เมื่อถึงแล้ว ท่านจะไม่พูดคำเหล่านี้เลย"
เมื่อท่านยังไม่ถึง..
แล้วพูดย้ำๆอยู่ นั่นเป็น..จินตญาณ
คือคิดเอาเอง..คิดซ้อนอยู่..หรือมโน..
นี่เป็นการหลงยึดความคิด ที่อันตราย
เพราะจะทำให้เกิดความเห็นผิดว่า
"ตนเองบรรลุธรรมแล้ว"
แล้วหยุด การเจริญสติปัญญา
"จึงติดอยู่ในทิฏฐิมานะนั้นอย่างเหนียวแน่น"
ใครจะชี้จะบอก ก็ไม่ฟังทั้งสิ้นแล้ว
ก็ได้เกิดตายในวัฏสงสารกันต่อไปอีก
..เจริญธรรม..
ท่านที่ยังเห็นว่ากายเป็นตัวตนเรา
จิตยังไม่ถอนคลายจากการยึดถือในกาย
ให้รู้ลงที่กายให้มากๆ รู้ถี่ๆ รู้ต่อเนื่อง
รู้ทั้งภายใน รู้ทัังภายนอก
รู้ภายนอกคือ รู้อริยบทต่างๆและการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
รู้ภายในคือ รู้ลมหายใจ และรู้เวทนา
ในกาย เช่น หิวอิ่ม ปวดถ่ายหนักเบา
เจ็บ ปวด เมื่อย ขัดยอก ร้อนหนาว
รู้เฉยๆ รู้แบบธรรมชาติ
ไม่เพ่งจ้องไม่ต้องการอะไร..
..เจริญธรรม..
เช้าสวัสดีญาติธรรม
การตระหนักรู้ที่สำคัญ คือ
รู้ว่าความคิดเกิดขึ้นจากความว่าง
รู้ว่าความคิดดับลงในความว่าง
และรู้ถึงความว่าง
การรู้ถึงความว่างเนืองๆ
นั่นประตูแห่งวิมุตติธรรมเปิดแล้ว
"ความคิดที่ผุดขึ้นตลอดเวลา
ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกหรือผิด"
ความคิดนี้เป็นสิ่งประกอบกับจิต เป็นกระบวนการธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นดับไปเองตามเหตุปัจจัย
ไม่มีเราหรือใครไปสั่งการควบคุมให้คิด
..ที่น่ากลัวคือ..!!
การหลงไปยึดถือความคิด
ไปเชื่อว่าความคิดมีตัวตนจริง
ไปเชื่อว่าเรื่องราวที่คิดนั้นมีอยู่จริงๆ
เป็นจริงเป็นจังตามที่ความคิด
ปรุงแต่งขึ้นมา..
..เมื่อหลงยึดและเชื่อทุกอย่างที่คิด
พูด และทำทุกอย่างที่คิด
..และเชื่อว่าที่พูดที่ทำนั้นเป็นเรื่องจริง
มีตัวตนจริง มีเราพูดและทำจริง..
..ภพชาติจึงเกิดขึ้น วัฏทุกข์จึงเกิดขึ้น
หมุนวนอยู่ที่จิตใจของท่านขณะนั้นเอง..
การไม่เชื่อในความคิด
กับการใช้งานความคิด
และการทำสิ่งต่างๆไปตามที่คิด
"นั้นคนละเรื่องกัน" กับการหลงยึด
แล้วพูดทำตามที่ความคิดสั่งให้ทำ
การไม่เชื่อในความคิด คือ
เราไม่เชื่อว่า"ความคิดมีตัวตนจริง"
และเราไม่เชื่อว่า"เรื่องราวที่คิดนั้น
มีอยู่จริง"..
เมื่อไม่ เชื่ออย่างนั้น..
ทำให้ไม่หลงเข้าไปยึดในความคิด
ไม่หลงยึดเรื่องราวต่างๆที่คิด
ไม่หลงยึดเรื่องต่างๆที่พูด
ไม่หลงยึดสิ่งต่างๆที่ทำ
เมื่อไม่หลงไปยึดถือ
"ก็เพียงใช้งานความคิดไปครั้งหนึ่ง
ก็จบไปครั้งหนึ่ง"..
ความคิดไหนที่ใช้งานไม่ได้
ก็ไม่เอาไปพูด..ไม่เอาไปทำ..
..อย่างนี้!!!..
จึงไม่แบกอารมณ์ความคิดอะไรไว้
"จิตก็โปร่งเบา ใสสว่าง สะอาด เป็นปกติของจิตเดิมๆ"
มีแค่รู้..รู้ว่าต้องทำหน้าที่ต่างๆ ไปตามสมมุติ เป็นปกติของสมมุติ
..หากเข้าใจและทำได้อย่างนี้..
ท่านก็พ้นจากวัฏทุกข์ได้ง่ายๆ..
..เจริญธรรม..
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์
ในสามโลก คือ อรูปภูมิ รูปภูมิ(พรหม)
กามาวจรภูมิ( เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน อสูรกาย เปรต สัตว์นรก) นั้น เป็นไปตามกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น
"กฏแห่งกรรมนั้นเที่ยงธรรมเสมอ"
การกระทำใดภายใต้การครอบงำ
ของความคิดปรุงแต่ง แม้นิดเดียว
ก็ถูกบันทึกไว้ในภวังคจิต เป็นภพชาติ เพื่อสืบต่อในการเกิดในภพต่างๆทันที..ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่ว
การกระทำผิดใน"อกุศลกรรมบท 10"
..เมื่อตายไป..ย่อมส่งผลให้ไปเกิด
ในทุคติยภูมิ เช่น..นรก..เปรต..อสูรกาย..สัตว์เดรัจฉาน..
..แม้ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเกิดภพของ
นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน
ขึ้นในใจ..คือจะมีความคิดและอารมณ์ นิสัยเหมือนสัตว์ในภูมิเหล่านั้น เช่น ความลุ่มหลง เร่าร้อน โกรธเกลียด อิจฉาริษยา คิดเบียดเบียน ทำร้าย ทำลาย
..ใจของคนที่ทำผิดกรรมบท 10 จะมีแต่ความทุกข์ร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ชีวิตจะมีแต่ปัญหา จะมีผู้อื่นคอยเบียดเบียนให้เดือดร้อนอยู่ร่ำไป
อกุศลกรรมบท 10 คือ
1.การเบียดเบียนให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือทำร้าย ทำลายชีวิตสัตว์และมนุษย์
2.การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้ ด้วยการแย่งชิง ลักขโมย
3.การประพฤติผิดในกาม
4.พูดวาจาเป็นเท็จ เพราะเหตุตน
หรือเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง
5.พูดวาจาส่อเสียด ยุยงให้คนแตกสามัคคี และพอใจยินดีในการแตกสามัคคีนั้น
6.พูดวาจาหยาบคาย กล้าแข็ง แสบเผ็ด ด่าว่า กระทบกระเทียบผู้อื่น
7.พูดวาจาเพ้อเจ้อ ไม่ถูกกาลเทศะ
ไม่อิงตามกฏ ระเบียบวินัย ไม่อิงธรรม
8.เป็นผู้มีใจมากด้วยความโลภ
เพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่นอยากให้ตกมาเป็นของตน
9.เป็นผู้มีใจคิดพยาบาท มีใจคิดประทุษร้ายอยู่เสมอ คิดยากให้ผู้อื่นเดือดร้อนพินาศ
10.เป็นผู้มีความเห็นผิด
เห็นว่ากรรมและผลของกรรมไม่มีผล
เห็นว่าว่าสัตว์ทำดี ทำชั่ว ไม่มีผล เห็นว่าโลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี บิดาไม่มี มารดาไม่มี..เห็นว่าทานและการการบูชาไม่มีผล เห็นว่าศีลธรรม ไม่มี เห็นว่าผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเพื่อทำให้แจ้งในธรรมไม่มี
การกระทำอกุศลบท 10 ประการนี้
เป็นเหตุให้เกิดภพ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน และทุคติอื่นๆ ปรากฏเป็นวิสัยในจิตใจ ของบุคคลผู้กระทำนั้น อย่างหลีกเลี่ยงมิได้เลย
ญาติธรรมท่านใดสนใจใฝธรรม
หรือประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่
ก็อย่าพลั้งเผลอในอกุศลกรรมบท 10
จะทำให้เนิ่นช้าในการบรรลุธรรม
และท่านยังไม่พ้นนรก
..เจริญธรรม..
อรุญสวัสดิ์ครับญาติธรรม
ไม่มีสิ่งใดขาดและเกิน
ในธรรมชาติที่จัดสรรไว้แล้ว
ไม่ว่าความเกิดหรือความตาย
ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆเรื่องราวใดๆ
มีแต่ใจเราเท่านั้นแหละ
ที่อยากให้เป็น ไม่อยากให้เป็น
พอใจในสิ่งนี้ ไม่พอใจในสิ่งนั้น
พยายามจะดัดแปลงแทรกแซงธรรม
สรรพสิ่งพอดีสมบูรณ์..
มีแต่ใจเธอเท่านั้นที่พร่องอยู่เสมอ
..เจริญธรรม..
ธรรมอันพ้นเกิดพ้นตายนั้น
ไร้สมมุติภาษา..หมดความคิด
ไร้คำพูด..หมดความหมาย..
เมื่อเธอยังพยายามกระทำ
เพื่อจะให้ได้อะไร
จึงยังอยู่ในอาณัติของความคิด
ความคิดสั่งให้ภาวนา
สั่งให้พิจารณา สั่งให้วิปัสสนา
เพื่อจะได้วิปัสสนาญาณในขั้นต่างๆ
เพื่อจะเป็นพระอริยะในขั้นต่างๆ
เหล่านี้เป็นความคิดหรือสังขารทั้งสิ้น
จงหยุดการกระทำทุกชนิด
ทิ้งทุกข้อธรรมที่ต้องปฏิบัติ
ไม่ต้องการธรรม ไม่แสวงหาธรรม
อยู่กับการรู้ตัวอย่างธรรมชาติ
รู้อาการของกาย..รู้ความรู้สึกนึกคิด
ให้เห็นความคิด ที่คิดซ้อนๆ..
รู้..แค่รู้..
..เจริญธรรม..
..ความคิด เป็นผู้แบ่งแยก
ว่านี่เป็นโลก นี่เป็นธรรม..
..โลก..ที่ว่าความสุข ความทุกข์
อารมณ์ กิเลส ต่างๆ..ฯลฯ
..ธรรม..ที่ว่าอริยสัจ มรรคแปด
ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะหก
ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนา
ฌาน ญาณต่างๆ ฯลฯ
(ธรรมในตำราเป็นเพียงเรือ
ข้ามฝั่งอย่าหลงแบกเรือ)
..เมื่อเธอคิดว่าทุกข์..
จึงหนีโลกเพื่อแสวงหาธรรม
..เมื่อเห็นสภาะต่างๆ
ที่ความคิดปรุงแต่งขึ้น
ก็คิดว่าได้ธรรม
จึงพอใจอยู่ในธรรม..
..นี่จึงเรียกว่า..
หลงยึดทั้งโลกและธรรม
..เหตุเพราะไม่รู้ความคิด..
ที่คิดให้ค่าซ้อนๆ..
..แท้จริงแล้ว
ไม่มีอะไรเลยทั้งโลกทั้งธรรม
..เจริญธรรม..
ความอยากได้ ให้เป็น
ความพอใจ..ไม่พอใจ
ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ในความรู้สึก นึก คิด
นี่เป็นการยึดถือในอารมณ์โลก
ความอยากได้ความสงบ
ความไม่พอใจในอารมณ์ฟุ้ง
ความอยากให้มีสติ มีจิตตั้งมั่น
ความพอใจในความว่าง
ความพอใจในแสง ในนิมิต
ความอยากหลุดพ้น
นี่เป็นการยึดถือในอารมณ์ธรรม
ไม่เอา..
ทั้งอารมณ์โลก..
และอารมณ์ธรรม..
จะพบสิ่งไม่เกิดไม่ตาย
**ท่านจงอ่านให้เข้าใจลงที่ใจ
เข้าใจแล้วก็แล้วไป ไม่เข้าใจก็แล้วไป
อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อและไม่ต้องจำ**
รู้ แบบรู้เฉยๆ
กับรู้แบบหลงๆ
ต่างกันอย่างไร
รู้เฉยๆ
คือรู้ปราศจากความหมายใดๆ
ปราศจากเรื่องราวใดๆ
เพียงรู้สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น
กาย และ รู้เห็นความนึกคิด
และรู้นั้น แจ้งชัดในสิ่งที่ถูกรู้
ที่กระทบมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น
กาย และความนึกคิดที่ผุดขึ้น
ว่าเคลื่อนไปทุกขณะ ไร้ตัวตน
รู้ เป็นธรรมชาติ
ที่เกิดขณะหนึ่งแล้วดับขณะหนึ่ง
สิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นธรรมชาติ
ที่เกิดขณะหนึ่งแล้วดับขณะหนึ่ง
ในรู้ และในสิ่งที่ถูกรู้
ไร้ซึ่งเรา ไร้ซึ่งตัวตน
โดยปกติอยู่แล้ว
ส่วนรู้แบบหลงๆ
คือเรารู้เข้าใจความหมาย
รู้เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ
รู้เป็นเหตุเป็นผล
รู้บ่งชี้ไปว่าคืออะไร
รู้ว่าต้องทำอะไร
รู้ว่าพอใจ ไม่พอใจ
การรู้แบบนี้คือ
เป็นความคิดที่กำลังทำงานอยู่
และมีเราเข้าไปเป็นตัวละคร
ในความคิดเรียบร้อยแล้ว
อย่างไม่รู้ตัว
นี่เรียกว่ารู้แบบหลงๆ
มีเราหลงไปในเรื่องราวที่คิด
แล้วรู้เฉยๆ
กับรู้แบบหลง
มันมีจุดเปลี่ยนอย่างไร
ขณะรู้สัมผัสทางอายตนะ
ในสิ่งที่ถูกรู้
ความคิดตีความจะเข้าไปจับทันที
ด้วยความเคยชิน
ความคิดจะส่งสมมุติสัญญาต่างๆ
ที่มีอยู่ขึ้นมาประมวลผล
ว่าสิ่งที่สัมผัสทางตามันคืออะไร
สิ่งที่สัมผัสทางหูมันคืออะไร
มันจะบอกว่าเป็นเสียงนก
เสียงนาฬิกา เสียงรถยนต์
หากความคิดตีความแล้วจบแค่นี้
ก็ไม่มีเรื่อวราวอะไร ไม่เกิดทุกข์
แต่หากความคิดไปให้ค่า
ว่าพอใจ ไม่พอใจ
และยึดในความคิดพอใจไม่พอใจ
เกิดตัณหา ก็จะเกิดการปรุงแต่ง
เรื่องราวต่อเนื่อง เกิดการกระทำ
ทางวาจา ทางกายขึ้นมามากมาย
เมื่อรู้เฉยๆ
ปราศจากการตีความ
ปราศจากการให้ค่า
ปราศจากการยึดถือ
ความคิดไม่ปรุงแต่งต่อ
มันก็จบไปในขณะหนึ่ง
คือรู้ผ่าน รู้แล้วผ่านไป
การรู้เฉยๆนี้
มันแจ้งชัดทุกสิ่งทุกอย่าง
แจ้งชัดทั้งสภาวะภายใน
แจ้งชัดทั้งสภาวะภายนอก
ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องรู้ราว
หรือบื้อๆ มึนๆ เบลอๆ ซึมๆ
ไม่เอาอะไร ไม่ทำอะไร
ไม่ใช่อย่างนั้น
การรู้เฉยๆ นี้ สติปัญญาจะคม
สามารถควบคุม กลั่นกรอง
จัดสรรความคิดได้ดีมาก
เมื่อทรงความรู้เฉยๆนี้อยู่ตลอด
จะเห็นความคิดที่ผุดขึ้นทุกความคิด
สามารถควบคุมใช้งานความคิด
ให้เหมาะสมกับการงานต่างๆ
ได้รวดเร็ว ชัด ตรงประเด็น
เพราะไม่มีขยะอารมณ์
คือความพอใจ ความไม่พอใจ
ความรัก ความโกรธ ความโลภ
เข้ามาแทรกสั่งการแทนสติปัญญา
จากการรู้เฉยๆ
(การใช้งานความคิด
คือคิดแค่ตีความ ว่าอะไรเป็นอะไร
วิเคราะห์ วิจัย แยกแยะ ได้ทั้งหมด
แต่ไม่เลยไปถึงคิดให้ค่าคือ
คิดพอใจ ไม่พอใจ
เพราะเมื่อคิดพอใจไม่พอใจ
มันจะกลายเป็นอารมณ์กิเลส
ตัณหาทันที)
ฉะนั้นการรู้ตัวเฉยๆ
จึงเพียบพร้อมด้วยการ
รู้แจ้งชัดทุกสภาวะ
และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ
อย่างไม่หลง..เข้าไปเป็นเรา
ให้ความคิดและอารมณ์ครอบงำ
สั่งการควบคุม
ทั้งรู้ และคิด
เป็นเพียงกระบวนการ
ทำงานของธรรมชาติ
ไม่มีเราไม่มีใคร
เป้นอยู่อย่างนั้นอย่างนั้นเอง
เกิดเอง ดับไปเอง
..เจริญธรรม..