⛧๑.ศีลสิกขา
~ศีลที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติ
ไม่ใช่มีแค่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗
แต่ยังมีศีลที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติอีกชนิดหนึ่ง
ที่พวกเราควรทำความรู้จักไว้
เรียกว่า ☇อินทรียสังวรศีล
อินทรียสังวร หมายถึง ความสำรวมอินทรีย์
คือเมื่อตามองเห็นรูป ตามองเห็นอะไรก็ตาม
ถ้าความยินดียินร้ายมันเกิดขึ้นที่จิต
หน้าที่ของเราคือ มีสติรู้ทันความยินดียินร้ายนั้น
กิเลสก็จะครอบงำจิตใจไม่ได้
จิตของเราก็จะเกิดศีลขึ้นโดยอัตโนมัติ
เห็นไหมว่าสติเป็นสิ่งสำคัญมาก
กระทั่งศีลยังต้องอาศัยสตินะ
☇สตินี่สำคัญ
เป็นสิ่งจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อเลย
จิตที่เป็นกุศลทั้งหลายจะต้องประกอบด้วยสติเสมอ
จะมีศีลก็ต้องมีสติ
จะมีสัมมาสมาธิก็ต้องมีสติ
จะเจริญปัญญาก็ต้องมีสติ ~
🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝
☄ไตรสิกขา☄
การเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจนั้น
พระพุทธเจ้าท่านสอนบทเรียนไว้ ๓ บท
เรียกว่า ไตรสิกขา
อันแรกเลยคือเรื่องศีล "ศีลสิกขา"
อันที่สอง "จิตสิกขา"
อันที่สาม "ปัญญาสิกขา"
ถ้าเราเรียนไม่ครบ จะมีปัญหาเกิดขึ้น
🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝🗝
⛧๑.ศีลสิกขา
พวกเราส่วนมากคิดว่า ถ้าเราไปขอศีลมาจากพระ
ก็เท่ากับเราเรียนศีลสิกขาจบแล้ว
มันไม่ตื้นขนาดนั้น
ศีลที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติ
ไม่ใช่มีแค่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗
แต่ยังมีศีลที่จำเป็นสำหรับนักปฏิบัติอีกชนิดหนึ่ง
ที่พวกเราควรทำความรู้จักไว้
เรียกว่า ☇อินทรียสังวรศีล
อินทรียสังวร หมายถึง ความสำรวมอินทรีย์
คือเมื่อตามองเห็นรูป ตามองเห็นอะไรก็ตาม
ถ้าความยินดียินร้ายมันเกิดขึ้นที่จิต
หน้าที่ของเราคือ มีสติรู้ทันความยินดียินร้ายนั้น
กิเลสก็จะครอบงำจิตใจไม่ได้
จิตของเราก็จะเกิดศีลขึ้นโดยอัตโนมัติ
เห็นไหมว่าสติเป็นสิ่งสำคัญมาก
กระทั่งศีลยังต้องอาศัยสตินะ
☇สตินี่สำคัญ
เป็นสิ่งจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อเลย
จิตที่เป็นกุศลทั้งหลายจะต้องประกอบด้วยสติเสมอ
จะมีศีลก็ต้องมีสติ
จะมีสัมมาสมาธิก็ต้องมีสติ
จะเจริญปัญญาก็ต้องมีสติ
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีสติอยู่
เช่น ตาเรามองเห็นสาวสวย จิตเกิดยินดีมีราคะ
มีสติรู้ว่าราคะเกิดขึ้นมา ราคะนั้นจะครอบงำจิตไม่ได้
รับรองว่าจะไม่ผิดศีลข้อ ๓
และก็ไม่ผิดศีลข้อ ๔ คือไม่ไปหลอกสาว
ศีลมันจะเกิดขึ้นได้เอง
หรือเราเดินๆ อยู่เห็นคนเขาทำโทรศัพท์มือถือตก
แหม รุ่นนี้อยากได้พอดีเลย
มันเห็นใจที่มีความโลภขึ้นมา
อยากได้ สติรู้ทันใจที่อยากได้
รู้ทันโลภะ โลภะจะดับทันที โลภะครอบงำจิตไม่ได้
รับรองไม่หยิบของเขามา ถึงเจ้าของไม่เห็นก็ไม่หยิบ
หรือมีคนมาด่าเรา เราโกรธ
สติระลึกรู้ความโกรธที่เกิดขึ้น ความโกรธครอบงำจิตไม่ได้
รับรองว่าไม่ด่าเขา ไม่ตีเขา ไม่ต่อยเขา
ไม่ทำร้ายเขา ไม่ฆ่าเขา
ศีลจะเกิดขึ้นเพราะความมีสติรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้น
ในจิตในใจของเรา
ดังนั้น อินทรียสังวรศีลนั้น
ท่านสอนไว้เป็นหลักสูตรว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อตาเห็นรูป
ความยินดียินร้ายเกิดที่จิต ให้มีสติรู้ทัน
ถ้ารู้ไม่ทัน กิเลสจะครอบงำจิต"
จิตจะเสียความเป็นปกติไป กลายเป็นจิตไม่มีศีล
จิตที่ขาดศีลคือจิตผิดปกติ ถูกกิเลสครอบงำ
นี่ ศีลชนิดนี้จำเป็นต่อนักปฏิบัติ
หูได้ยินเสียง เช่น ได้ยินเขาชม ใจเราพองเลย
รู้ว่าใจมันพอง รู้ทันมัน
เราก็ไม่หลงระเริงไปกับคำชมนั้น
ถูกเขาด่า ใจมันเดือดขึ้นมา เราเห็นใจที่เดือด
ใจเราก็ไม่ยินร้ายกับคนนั้น ใจจะเป็นกลาง
นั่งคนเดียวก็นั่งคิดไป
คิดเรื่องดีบ้าง คิดเรื่องร้ายบ้าง
คิดบางเรื่องเกิดกุศล คิดบางเรื่องเกิดอกุศล
มีสติรู้ทันอีก
อะไรๆ ก็ครอบงำจิตไม่ได้
จิตใจก็เป็นปกติ นี่เรียกว่าจิตเรามีศีล
🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣🌣
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอน ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง
เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป..ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม.. ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆไป ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต ..พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว เมื่อกำหนดถูก และพุทโธ ปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ.. ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิต ให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือตัว “ศีล” ..การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ.. (เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย)
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้น เป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ..บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น
เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์ กิริยาจิตใดๆที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต) ..ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ
๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น
อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน) ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
๔. จงทำญานให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ..คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด
๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้ ..คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง
๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น ..เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”
๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพัน ที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”
๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง) ..เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆสิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใคร จะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน” …
(โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย
การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ที่มาจากหนังสือ..การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
"คนบอกว่าภาวนาเหนือทาน ภาวนาคือการเจริญให้เกิดสติปัญญา สติปัญญาจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าทานบารมีไม่มี เพราะมันบังกันอยู่ตลอด เมื่อมันเสียสละออกไป มันจึงไปเห็นว่ามันไม่มี นั้นล่ะ ภาวนาสุดยอดมันอยู่ตรงนั้น ไปเจอะแห่งความว่างเปล่า จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง แม้แต่รูปกับนามตรงนั้น
เหตุนั้นพระเวสสันดรจึงต้องทานทุกอย่าง เพราะในความรู้ตรงนั้นมันไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีแม้แต่ตัวเอง ถ้าไม่ทานออกไป มันก็จะบังสัจธรรมคือความจริงตรงนั้น มันมีอยู่โดยสมมติข้างนอก ท่านจึงเรียกว่าสมมติสัจจะ ยอมรับมันมีโดยสมมติ ถ้าปรมัตถสัจจะแล้ว มันไม่มีสัตว์ บุคคลในตรงนั้น มันต้องเห็นทั้ง ๒ ด้าน ในสมมติก็ยอมรับโดยสมมติ ทำไปโดยสมมติ ในอีกด้านหนึ่งคือปรมัตถ์ มันไปเจอะแห่งความว่าง มันจึงไม่ถือมั่นทั้ง ๒ ส่วน
เหตุนั้นการประพฤติปฏิบัติ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก อยู่ที่คนแนะ แล้วแนะตรงไหม สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าแสดงธรรมไม่กี่บาท คนก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านแนะตรงๆ ชี้จุดให้เห็นเท่านั้น พอสติปัญญาเขารวมตัวขณะนั้น เห็นแจ้งขณะนั้นก็บรรลุไปเลย เขาไม่ได้เอาอะไรมากนะ พิจารณาให้ดี
เหตุนั้นในความรู้ความเห็นที่ขึ้นมาทุกขณะ ไม่ว่าโลภโกรธหลงมันจะขึ้น อะไรจะขึ้นมาก็ตาม ไม่เอามัน มุ่งไปสู่ความว่างเลย อันนี้เร็วสุด ถ้าไปยุ่ง ไปแวะ ไปเวียนกับมัน ก็ไปติดอยู่ในตาข่ายสมมติของมันหมด
เราบวชมาแล้ว เราไม่ได้บวช เพราะเราหากินไม่ได้ เราไม่ได้บวช เพราะเราต้องการเอาศาสนามาเป็นฐานให้เรามียศถาบรรดาศักดิ์ แต่เราบวชเพื่ออุทิศพระพุทธเจ้า เพื่อความพ้นจากกองทุกข์ เพื่อพระนิพพานนั่นเอง
ถ้าเรามุ่งตรงนี้ เพื่อพระนิพพาน ก็เอาความว่างนั้นไปเลย อะไรขึ้นมา ก็ไม่ต้องตามมัน ไม่ต้องหลงมัน ความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาในใจ ใช้สติปัญญาวิจัยมัน ถ้าเรื่องภายนอกอะไรเป็นประโยชน์ทำ อะไรเป็นโทษไม่ทำ เพราะมันเป็นเรื่องภายนอก เรื่องสมมติหมด แต่ภายในเรามุ่งไปสู่ความว่างหมด ก็เราปรารถนาพระนิพพาน ทำไมไม่เอาล่ะ ก็เอามันตรงๆเลย ไม่ต้องไปอ้อมค้อม ง่ายๆเลย หัดมันอยู่อย่างนี้
มันจึงตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนในอนุสติ ๑๐ อุปสมานุสติ ระลึกถึงพระนิพพาน คือความว่างเป็นอารมณ์ ความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาทั้งหมด มันหลอกออกไปข้างนอกหมด ถ้าเรารู้ตรงนี้ ข้างนอกมันไม่มีในความรู้ตรงนี้แล้ว ก็เอาตรงนี้ล่ะ ความรู้ตรงนี้ไปใส่มันเลย มุ่งไปสู่ความว่างไปเลย แต่ต้องเจริญตัวสติ สมาธิ ให้ถึงพร้อม ณ ปัจจุบันตรงนั้นตลอด ข้างนอกสิ่งใดเป็นประโยชน์ทำ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ไม่ทำ ที่ทำเพราะเราอาศัยเหตุปัจจัยมันอยู่ก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ทำสิ่งที่มันเป็นโทษ ก็แค่นั้น ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับอะไรทั้งปวง"
โดยพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "ทำไมต้องมีทานบารมี"
๒๐ เมษายน ๒๕๕๗
ติดตามฟังฉบับเต็มได้ที่ https://goo.gl/J3mZLE
...ตอนที่ ๖๖ สภาวธรรมของดวงจิต
การเห็น “สุญญตา” ความตายจะไม่มี
มีแต่..สังขาร..การปรุงแต่ง ตามกฎของธรรมชาติ
"สิ่งที่สามารถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ ปรมัตถธรรม โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ "สัมมาทิฏฐิ" ชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ " สุญญตา " ( ความว่าง ) ได้อย่างชัดแจ้ง การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ"ไม่มีตัวตน"ที่ถาวร มีแต่"นามธรรม"(=จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ"รูปธรรม"(=ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ"ว่างจากตัวตน"โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความ"ไม่มีการเกิด"ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ " สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป "
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
ฉะนั้น "ความตายจึงไม่มี" สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
----------------------------------
ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
ปรัศนี: มีผู้กล่าวว่า ท่านอาจารย์สอนว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั้นเป็นมิจฉาทิฎฐิ ดังนี้ ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไรครับ?
พุทธทาส: เฮ้ย! เล่นไม่ซื่อ เล่นสกปรกแล้ว เราไม่ได้ว่าโว้ย! พระพุทธเจ้าว่านะ พระพุทธเจ้าท่านว่านะ อย่าไปพูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด มันไม่มีใครเกิด มันมีแต่สังขารการปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติ
ทีนี้ เขาไปสมมติให้ไปเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตาย เป็นเกิด มันเป็นกิริยาปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงของสังขาร ธาตุ ขันธ์ อะไรนี้ ไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นอย่างนั้นๆ แล้วชาวบ้านนั้นก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เขาไปสมมติว่า กิริยาอย่างนี้เรียกว่าเกิด กิริยาอย่างนี้เรียกว่าตาย ทีนี้ เขามีความยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน มีตัวมีตนมาก่อนแล้ว ก็เรียกว่า ตนมันเกิด ตนมันตาย เป็นความเกิดความตายของตน
ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้แล้ว ก็สอนว่านั้นมันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติล้วนๆ สุทฺธัมฺมา ปวตฺตนฺติ ธรรมชาติล้วนๆเท่านั้นมันเป็นไป อ้ายธรรมชาติล้วนๆนี้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน. ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มันเป็นไปคือมันเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของกฏอิทัปปัจจยตา เป็นต้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แล้วมันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด
รู้พุทธศาสนาอย่างเด็กๆก็จะรู้ว่ามีคนตายมีคนเกิด ถ้ารู้พุทธศาสนาอย่างเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ก็จะเห็นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มันไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด มีแต่กิริยาแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังขารที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย
ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดก็ไม่ใช่คนนะ เป็นสังขารที่กำลังดำรงอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่คน มันอยู่อย่างอาการที่ว่ามันปรุงแต่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จึงนั่งอยู่อย่างนี้ ถ้ามันจะปรุงแต่งในลักษณะที่ตาย มันก็เป็นการปรุงแต่งอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่มีคนอยู่ที่นี่ หรือมีคนตาย หรือมีคนเกิด นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ.
การที่บอกว่ามีแต่สังขาร ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงถือว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั่นนะไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ นั่นแหละ คือสัมมาทิฏฐิ"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "ดอกโมกข์" ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙
-----------------------------------------
สุญญตา โลกว่าง จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ "ของเรา"....
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็น "ตัวตน-ของตน" นี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน"โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
-----------------------------------
สุญญตา
"คำว่า "สุญญตา" ที่หมายความถึง "ความว่าง" อันเป็นลักษณะเฉพาะของปรากฏการณ์ทั้งปวงนั้น มีที่มาในคำว่า "อตฺตสุญฺญตา, อตฺตนิยสุญฺญตา, นิจฺจภาวสุญฺญตา" ดังนี้ เป็นต้น
หมายถึง ความว่างจาก"ตัวตน", ความว่างจาก"ของของตน", ความว่างจากภาวะที่เที่ยงแท้ถาวร, อันเป็นความว่างซึ่งส่ออยู่ที่สิ่งทุกสิ่งอันมีปรากฏการณ์ต่อสัตว์โลก."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย "สุญญตา" บรรยายในพรรษาประจำปี ๒๕๐๓
------------------------------------
ความว่าง สุญญตา
"พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้วิธีหนึ่งว่า ให้พิจารณาแยกสิ่งทั้งปวงออกเป็นธาตุต่างๆ เมื่อแยกออกได้จริงๆก็จะเห็นว่า ไม่มีสิ่งอะไรซึ่งเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆเลย เหมือนอย่างต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งรวมอย่างหนึ่ง เมื่อดูลงไปว่าต้นไม้อยู่ที่ไหน ดูแยกออกไปๆ ก็จะไม่พบว่าอะไรเป็นต้นไม้ มีแต่สิ่งที่แยกทั้งนั้น ยิ่งแยกออกไปก็ยิ่งไม่พบอะไร กลายเป็น“ความว่าง”(สุญญตา) ได้ตรัสสอนมณนพผู้หนึ่ง(โมฆราช) ไว้ว่า
“สุญญโต โลกํ อเวกฺขสฺส โมฆราช สทา สโต ”
ดูก่อน! โมฆราช เธอจงมีสติ พิจารณาเห็นโลก เป็นของว่าง ทุกเมื่อเถิด”
สมเด็จพระญาณสังวร
ที่มา : พระนิพนธ์ เรื่อง “โลกและชีวิต ในพุทธธรรม”
--------------------------------------
ความสำคัญของ “สุญญตา” คือเล็งถึงนิพพานโดยตรง
“ลักษณะของ“สุญญตา” คือ ลักษณะแห่งความว่างจาก“ตัวตน” อันเป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง ซึ่งเมื่อผู้ใดรู้แล้ว เห็นแล้ว จะทำให้ถอนความยึดถือว่า.."ตัวตน" หรือ "ของตน"
ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้...
สุญญตา เล็งถึงนิพพานโดยตรง เพราะนิพพานเป็นของว่างจาก"ตัวตน" หรือ เมื่อจิตลุถึงนิพพานนั้น หมายถึง เมื่อจิตลุถึง ความว่างจาก "ตัวตน" นั่นเอง.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อ “ความสำคัญของเรื่องสุญญตา” เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๓
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
" อริยสัจจ์เป็นธรรมะที่สำคัญที่สุด "
หลวงพ่อปราโมทย์: อริยสัจจ์น่ะสำคัญที่สุดเลย แต่ก่อนดูข้ามๆไปนะ รู้สึกตื้นๆ รู้สึกปฏิจจสมุปบาทอะไรเนี่ย แหมลึกซึ้ง ลึก น่าสนใจกว่าอริยสัจจ์ จริงๆถ้าไม่เห็นแจ้งอริยสัจจ์นะ ก็เกิดอีก สำคัญมากเลย
ถ้าเห็นอริยสัจจ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม เห็นในกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทมันทำให้เราเห็นว่าไม่มีคน ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ธรรมทั้งหลายอาศัยกันเกิดขึ้นเป็นคราวๆ มันละสักกายทิฏฐิ
แต่ถ้ารู้แจ้งลงมาในรูปในนามได้นะ เรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจจ์ ถึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาทไม่เท่ากัน บางองค์ท่านสาวไปแค่วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป และก็วกกลับมานามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสภู อะไรพวกนี้ท่านดูแค่นี้ พระพุทธเจ้าเราสาวไปถึงอวิชชา ความจริงปัจจัยของอวิชชามีอีกอันหนึ่ง คืออาสวะ นี้ท่านไปถึงอวิชชาท่านกลับมา
อริยสัจจ์นะ ยิ่งศึกษายิ่งสนุก ลึก ลึก จริงๆ ตอนเราเด็กๆ เราก็นึกว่าเข้าใจ อ่าน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้ว ตอนบวชอยู่วัดชลประทานนะไปสวดมนต์แปลบอก ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ ไม่ใช่คนเกิดคนแก่หรอกเป็นทุกข์ กลายเป็นว่ารูปนามมันเป็นทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจธรรมมากขึ้นแล้วนะ รูปนามเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราเป็นทุกข์
เวลาภาวนาปฏิบัติไป ไม่ได้เห็นอย่างนั้นนะ เห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ไม่ได้เห็นว่าเป็นทุกข์หรอก ภาวนากันนาน ๆ เมื่อไรเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ล้วนๆ ได้นะ มันบอกจะวางแล้ว วาง มันวางได้ด้วยปัญญาจริงๆ คำว่า“ปัญญา”ก็คือการที่เห็นรูปนามเป็นไตรลักษณ์นั่นแหละ
เราต้องพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาขึ้นมา มันเห็นเอง แกล้งทำให้เห็น ไม่เห็นหรอก ถ้าคิดจะทำให้เห็นนะ มันเจือด้วยความคิดแล้ว มันตกจากวิปัสสนาแล้ว
ช่วงที่เราภาวนาไป เราก็จะไม่รู้ว่าเราขาดอะไรมั่ง รู้สึกอย่างเดียวว่าความรู้ยังไม่พอ ยัง ลึกๆ จะรู้สึกตลอดเลยว่ายังรู้ไม่พอ ยังรู้ไม่พอ ถามว่าไม่รู้อะไรตอบไม่ถูก จนภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง ถึงจะรู้ว่า อ้อ ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นั่นเอง ตราบใดที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์นะ ข้ามภพ ข้ามชาติไม่ได้นะ
อริยสัจจ์ลึกที่สุดเลย อย่างเราไม่สามารถเห็นว่ารูปนามเป็นทุกข์ เราเห็นว่าเป็นทุกข์บ้างเป็นสุขบ้าง ยังนึกว่ารู้อริยสัจจ์นะ ไม่รู้จริงหรอก หรือเราคิดว่ามีสมุทัย มีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คนทั่วๆไปไม่ได้รู้สึกว่ามีตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ได้มีความอยากแล้วทุกข์ไม่ใช่ คนทั่วๆไปรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์ ถ้าสมอยากแล้วไม่ทุกข์หรอก มีตัณหาแล้วสนองตัณหาได้ไม่ทุกข์ มันตื้นนะตื้นมากๆ
แต่ว่าพอเราลงมือภาวนาดูจิต ดูใจตนเองออก เราเห็นทันทีเลย ทันทีที่จิตเกิดตัณหาเกิดความอยาก เกิดความยึดถือขึ้นมา จิตมันจะหมุนติ้วๆนะ มันทำงาน จิตทำงานเรียกว่าภพ “ภพ” คำเต็มๆ ของภพคือ กรรมภพ นั่นเอง จิตมันทำงานขึ้นมา มันก็มีความทุกข์ขึ้นมา มันมีทุกข์เพราะมันมีภาระ ภาวนามากเข้าๆเลยถึงจะเห็น ถ้ามีความอยากก็จะมีความทุกข์นะ จะสมอยากหรือไม่สมอยากก็ทุกข์แล้ว จะเห็น
เราก็นึกว่าเข้าใจอริยสัจจ์แล้วนะ เพราะว่าท่านบอกสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่ลึกๆ ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมท่านเริ่มด้วยทุกข์ก่อน ท่านน่าจะสอนอริยสัจจ์ ๔ เริ่มด้วยสมุทัย และสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ น่าจะสอนสมุทัยก่อนว่า ถ้ามีตัณหาแล้วจะทุกข์ ตัวทุกข์ก็ไม่พูดเรื่องตัณหา ตัวทุกข์ กลับไปพูดเรื่องขันธ์ งั้นอริยสัจจ์ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆเลย
นี้พอเราภาวนามาถึงจุดที่เราเห็นว่าถ้ามีตัณหา มีสมุทัยก็มีทุกข์ เราก็นึกว่าเข้าใจที่จริงยังไม่เข้าใจ เราจะเข้าใจอริยสัจจ์ต่อเมื่อเราภาวนาไปถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่รู้ทุกข์ถึงจะเกิดสมุทัย ถ้าไม่รู้ทุกข์นะถึงจะเกิดสมุทัย ของเราคิดว่าถ้ามีสมุทัยจึงเกิดทุกข์ มันตื้นอยู่อีกชั้นนึง งั้นท่านถึงเอาทุกข์ขึ้นก่อน บอกทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ เมื่อไรรู้ทุกข์แล้วเมื่อนั้นละสมุทัย เมื่อไรละสมุทัยเมื่อนั้นแจ้งนิโรธ
ธรรมท่านเรียงร้อยได้สวยงามตรงกับการปฏิบัติ ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อให้คิดแบบนักปรัชญา ถ้าสอนอย่างนักปรัชญาก็จะเริ่มจากสมุทัย ท่านสอนจากการปฏิบัติ ปฏิบัติให้รู้รูปนามให้รู้ทุกข์ งั้นจุดเริ่มต้นคือให้รู้ทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์แจ้ง เห็นว่าขันธ์นี้ไม่ใช่เราแล้ว คืนขันธ์ให้โลก คืนขันธ์ให้ธรรมชาติไป ตัณหาหรือสมุทัยจะดับอัตโนมัติ จะไม่เกิดแล้ว ถ้ายังไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆเนี่ย ตัณหาจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ มีอวิชชาอยู่ตัณหายังเกิดอีก มันเกิดเป็นระยะ ระยะไป
ตัณหาคืออะไร พูดง่าย ๆ เลยตัณหาก็คือความอยากให้ขันธ์นี้มีความสุข ความอยากจะให้ขันธ์นี้พ้นจากทุกข์ ทำไมมีความอยากอันนี้ขึ้นมา ก็เพราะมีความสำคัญมั่นหมายว่าขันธ์นี้คือเรา เราคือขันธ์ ฉะนั้นถ้าภาวนาจนเห็นว่า ขันธ์ไม่ใช่เราหรอก นี่กำลังเหยียบประตูไปสู่นิพพานแล้ว ได้โสดาบัน ดูต่อไปจนวางขันธ์ได้ พอวางขันธ์ได้แล้วสมุทัยหายไปเองนะ ไม่เกิดอีกว่าขันธ์ไม่ใช่เราแล้วจะไปอยากให้มันมีความสุขทำไม จะอยากให้มันพ้นทุกข์ทำไม ฉะนั้นเมื่อไรรู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อนั้นจะละสมุทัย
ทันทีที่ละสมุทัย จิตจะเข้าถึงธรรมอีกชนิดหนึ่งคือพอเราวางความยึดถือจิต สลัดจิตคืนเรียก ปฏินิสสัคคะ สลัดรูปนามคืนคืนเจ้าของเดิมคือ คืนโลกไปพอสลัดคืนไปแล้วเนี่ย ภาระที่จะต้องทำงานให้รูปนามมีความสุข พ้นทุกข์ ไม่มีอีก จิตใจเลยเข้าถึงสันติสุข เข้าถึงสันติสุข สันติสุขนั่นแหละคือนิพพาน
นิพพานมันไม่ได้อยู่ไกลนะ นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตา เมื่อไรจิตมันสิ้นตัณหา เพราะมันรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง คืนกาย คืนใจ คืนขันธ์ให้โลกไปแล้วเนี่ย เมื่อนั้นจะเห็นนิพพานต่อหน้าต่อตาไม่ได้ยากอะไร เราไปวาดภาพนิพพานเอาไว้ซะไกลเลย คิดว่าต้องภาวนาอีกแสนๆ ชาติถึงจะเจอ ถ้าอย่างนั้นอีกแสนชาติ ยังไม่เจอ ยังมีความเห็นผิดอยู่
นิพพานจริงๆ พูดให้ง่ายๆ นิพพานจริงๆ คือความสิ้นตัณหาหรือวิราคะ จิตของเรามีตัณหาย้อมอยู่ตลอดเวลานะ เดี๋ยวอยากดู เดี๋ยวอยากฟัง เดี๋ยวอยากได้กลิ่น เดี๋ยวอยากได้รส เดี๋ยวอยากได้โผฏฐัพพะที่ดีนี่ เดี๋ยวอยากได้ธรรมารมณ์ที่เพลิดเพลินพอใจอยากตลอดเวลา ความอยากนะหมุนอยู่ในอายตนะทั้ง ๖ ในเวลาเราภาวนานะ
แต่เดิมเราคิดว่าตัณหามี ๓ ตัว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา พอลงมือภาวนาจริง ๆ เราเห็นตัณหา ๖ ตัว เรียกว่ารูปตัณหา ความอยากได้รูป สัททตัณหา อยากได้ยินเสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สัมผัสที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดี อยากได้ธรรมารมณ์ที่ดีเรียกว่า “ธรรมตัณหา” ชื่อเพราะนะธรรมตัณหา “อยาก” เช่นอยากรู้เรื่อง ก็คิด ๆ คิดไปนี่เรียกว่ามีธรรมตัณหา
พอจิตมันมีตัณหาขึ้นมาในอายตนะ ๖ มันก็เกิดการทำงานขึ้นมาที่จิต จิตก็หมุนจี๋ๆๆ ขึ้นมานะ ทำงานเป็นทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้าเราคอยรู้คอยดูนะ โอ้ วันหนึ่งละความยึดถือในกายในจิตได้ตัณหาจะไม่เกิดอีก ตัณหาไม่เกิดอีกนะ ภพก็ไม่เกิดขึ้น การทำงานทางใจไม่มีขึ้น ความจะไปหยิบฉวยเอารูปเอานามคือชาตินี้ขึ้นมาอีกก็ไม่มี ความทุกข์ไม่มี
ความทุกข์ไม่มีเพราะไม่มีขันธ์ ขันธ์นี้เป็นที่ตั้งของความทุกข์ด้วย เป็นตัวทุกข์ด้วยนะ ความทุกข์เมื่อจะตั้งก็ตั้งอยู่ในขันธ์ ตั้งอยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง และตัวขันธ์ หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ตัวมันก็เป็นตัวทุกข์นะ
งั้นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนลึกนะ ลึกมาก แต่ว่ามีสติดูจิตลูกเดียวนั่นแหละจะเข้าใจได้ทั้งหมด
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
หยุดความทุกข์ ในกระแส"ปฏิจจสมุปบาท"
ความรู้สึกว่า "ตัวกู-ของกู" นี้ เรียกว่า "อุปาทาน" เกิดมาจากตัณหา ตัณหาปรุงเป็นอุปาทาน
ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหาอุปาทานแล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหาอุปาทานนี้ มันฟักตัวเต็มที่ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ "อุปาทานทำให้เกิดภพ"
"ภพ" แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็นของอะไร? ก็ของตัวกู และของกูนั่นเอง
"กรรมภพ" ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดตัวกูและของกู ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่งตัวกูเต็มที่ เป็นโรคเต็มที่
ภพให้เกิดชาติ ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็นชาติ คือ ความเกิด นี้ "ตัวกู"ได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่า "เป็นทุกข์"
ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวด ทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ได้เป็นมา ได้ทยอยกันมา จนถึงกับเกิดโรค หรือ เกิดทุกข์
ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ ตรงที่ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา หรือถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ตรงที่...ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นนี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" แปลว่า คนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด
แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง "ตัวกู-ของกู" อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลยทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง
ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อ "พาหิยะ" ว่า...
“ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือ ตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่ สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
จากธรรมบรรยาย "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
คำว่า"ทุกข์" มีหลายความหมายนะ
อยู่กันคนละที่ มันก็ความหมายคนละแบบ
อย่างความทุกข์ที่พวกเรารู้จักเนี่ย
เรียก"ทุกขเวทนา"
ทุกขเวทนาในร่างกายเนี่ย
เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามีทุกขเวทนา
หิวข้าวก็มีทุกขเวทนา
บางทีทุกขเวทนาก็ดับ
หิวข้าวแล้วไปกินข้าว
ก็แหมมีสุขเวทนาขึ้นมา
อันนี้ไม่ใช่ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าจะให้รู้หรอก
อันนี้ตื้นเกินไป อันนี้เรียกว่า"ทุกขเวทนา"
อีกทุกข์หนึ่งก็เรียกว่า"ทุกขลักษณะ"
(คือ)อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(ไตรลักษณ์)
ทุกขัง ไม่ได้แปลว่าความรู้สึกทุกข์นะ
(ทุกขัง ไม่ใช่ทุกขเวทนา)
ทุกขังคือสภาพความบีบคั้น
อนิจจังเนี่ยหมายถึงว่า
สิ่งซึ่งเคยมี ถึงจุดหนึ่งมันไม่มี
ทุกขัง หมายถึงสิ่งที่กำลังมีเนี่ย
กำลังถูกบีบคั้นให้ไม่มี ให้หมดไปสิ้นไป
อย่างร่างกายของเราที่ว่ามีความสุขเนี่ย
แล้วกำลังถูกบีบคั้นให้หมดไปสิ้นไป
เราใกล้ความตายเข้าไปเรื่อยๆ
เป็นสภาวะบีบคั้น เสียดแทง
แล้วก็อนัตตา หมายถึงว่า
สิ่งทั้งหลาย จะมีหรือจะไม่มี
เป็นเพราะเหตุปัจจัย
ไม่ใช่เพราะเราสั่ง ไม่อยู่ในอำนาจ
อนิจจัง.. เนี่ยของเคยมีแล้วไม่มี
ทุกขัง.. ของที่กำลังมีเนี่ยกำลังถูกบีบคั้นให้ไม่มี
อนัตตา.. ของจะมี หรือของจะไม่มี
สั่งไม่ได้ เป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่ตามใจสั่ง
เนี่ยทุกขลักษณะก็เป็นอีกแบบหนึ่ง
แต่ที่ครูบาอาจารย์บอก
"ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม"
หรือพระพุทธเจ้าบอก
"ทุกข์ให้รู้ ..สมุทัย ให้ละ"
ทุกข์ตัวนี้คือ ทุกขสัจ
อะไรที่เรียกว่า"ทุกขสัจ"
ไม่ใช่ความทุกข์(ทุกขเวทนา)
ไม่ใช่ทุกขัง (คือ)ไม่ใช่ทุกขลักษณะ
ทุกขสัจ คือสิ่งที่เรียกว่าทุกขสัจเนี่ย
พระพุทธเจ้าท่านใช้คำอย่างนี้ว่า
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
"โดยสรุป ขันธ์ทั้ง ๕ คือตัวทุกข์"
หน้าที่ต่อทุกข์(หน้าที่ต่อขันธ์ ๕)
คือ..รู้
งั้นถ้าเราอยากรู้แจ้งอริยสัจเนี่ย
ต้องรู้ลงมาในขันธ์ทั้ง ๕
ในกายในใจ ในรูปในนามนี้
ตัวรูปนาม ขันธ์ ๕ นี้แหละตัวทุกข์
เห็นมั้ย
มันจะไม่เหมือนทุกขเวทนาที่เรารู้จัก
อย่างร่างกายเราเนี่ยมีทุกขเวทนา
ประเดี๋ยวมันก็ทุกข์ ประเดี๋ยวมันก็สุข
แต่ตัวร่างกาย รวมทั้งตัวจิตใจ
มันคือตัวทุกข์
ถ้ารู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์
เนี่ยเรียกว่ารู้แจ้งอริยสัจ
เริ่มจะรู้ทุกขสัจเราจะข้ามวัฏฏะได้
จะพ้นจากการเวียว่ายตายเกิดได้
งั้นทุกขสัจลึกซึ้งนะ
(ทุกขสัจ)ไม่ใช่ความทุกข์(ไม่ใช่ทุกขเวทนา)
สิ่งที่เรียกว่าทุกข์
นิยามของคำว่าทุกข์เนี่ย
คือตัวรูปนาม ขันธ์ ๕ นั้นเอง
แล้วตัวรูปตัวนามเนี่ย
พระพุทธเจ้าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"โลก"
สิ่งที่เรียกว่าโลกคือ รูปกับนามนี่เอง
งั้นโลกเนี้ยเป็นตัวทุกข์นะ
ขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์
ถ้าวันใดที่เห็น(แจ้งว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวทุกข์)
เราจะข้ามวัฏฏะได้
(เพราะ)เห็นความจริงแล้ว
(ว่า)กายนี้ทุกข์ล้วนๆ จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ
ทุกข์อยู่โดยตัวของมันเอง
ไม่ใช่ทุกข์เพราะถูกบีบคั้น
ไม่ใช่ทุกข์เพราะว่าไม่สบาย
แต่มันทุกข์โดยตัวของมันเอง
.
งั้นอย่างคำว่า"ทุกข์"
ในศาสนาพุทธลึกซึ้งมากนะ
ลำพังเรารู้แค่ว่าทุกขเวทนา
อย่างร่างกายเราบางวันก็ป่วย บางวันก็ดี
จิตใจบางวันก็มีความสุข บางวันก็มีความทุกข์
เห็นอย่างนี้ยังข้ามวัฏฏะไม่ได้
ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด
เพราะตัณหายังมีอยู่
พอมันรู้ว่ากายนี้มีสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง
จิตนี้มีสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง
มันก็จะดิ้นรนแสวงหาความสุข
ดิ้นรนหนีความทุกข์
เนี่ยมันจะมีทางเลือก
งั้นการดิ้นรน
ไม่ว่าจะดิ้นรนหาความสุข
หรือดิ้นรนหนีความทุกข์
ภาระทางใจก็ยังมีอยู่
แต่วันใดรู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ
รู้ว่ารูปนาม-กายใจนี้คือตัวทุกข์
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
มันจะหมดความอยาก
ในโลกนี้ความอยาก สารพัดอยากเนี่ย
ย่อลงมาคือ อยากให้กายให้ใจเป็นสุข
อยากให้กายให้ใจพ้นทุกข์
ความอยากมีเท่านี้แหละ
ทำไมไปดูหนัง ไปฟังเพลง ไปกินของอร่อย
ไปคุยกับเพื่อน ไปเล่นเฟซ เล่นไลน์
ก็คืออยากจะมีความสุข
อยากจะไม่ทุกข์นั่นแหละ
เพราะใจมันอยากก็ดิ้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ
วันใดปัญญาแก่รอบ
เห็นความจริงของร่างกายนี้ ว่าคือตัวทุกข์
เห็นความจริงของจิตใจนี้ ว่าคือตัวทุกข์
ความอยากจะไม่เกิดขึ้นอีก
(ความอยาก)มันจะเกิดเพราะโง่
ความอยาก(เกิดขึ้น)
เพราะความโง่ เพราะอวิชชา เพราะไม่รู้ทุกข์
ถ้าไม่โง่ความอยากจะไม่เกิด
โง่ยังไง ? อย่างอยากให้ร่างกายให้จิตใจมีความสุข
โง่มั้ย ? มันโง่นะ เพราะว่า
มันอยากให้ของที่เป็นตัวทุกข์มันกลายเป็นตัวสุข
มันเป็นไปไม่ได้
อยากให้จิตใจมีความสุขไม่มีความทุกข์ โง่มั้ย ?
ก็โง่อีก เพราะว่าอะไร ? เพราะจิตใจคือตัวทุกข์
งั้นถ้าแจ้งในทุกขสัจ
รู้ทุกขสัจ(รู้ขันธ์ ๕) สมุทัยจะถูกละอัตโนมัติ
งั้นกิจของอริยสัจ ท่านบอกว่า
ทุกข์.. ให้รู้
สมุทัย.. ให้ละ
นิโรธ คือนิพพาน..ทำให้แจ้ง
มรรค..ทำให้เจริญ
การที่เราเจริญมรรคคือ มีศีล สมาธิ ปัญญา
สะสมไปเรื่อยๆนะ โดยเฉพาะตัวปัญญา
ศีลส่งทอดให้สมาธิเข้มแข็ง
สมาธิที่ถูกต้องส่งทอดให้ปัญญาเข้มแข็ง
ปัญญาเข้มแข็งแล้ว ปัญญารู้ความจริงของทุกข์
เรียกว่ารู้ทุกข์
เนี่ยเจริญมรรค(เจริญศีล สมาธิ ปัญญา)
มันก็รู้ทุกข์(รู้ขันธ์ ๕)
ทันทีที่รู้ทุกข์ (คือรู้)ขันธ์ ๕ รูปนาม กายใจ
คือตัวทุกข์
ความอยากที่จะให้ขันธ์ ๕ รูปนาม กายใจ ไม่ทุกข์
อยากให้มันมีสุขเนี่ยจะไม่เกิดขึ้น
เพราะความอยากนี้ไร้เดียงสา
เกิดจากโง่-เกิดจากอวิชชา
งั้นมีปัญญานะ แล้วก็รู้แจ้งกองทุกข์
ก็จะละตัวสมุทัยอัตโนมัติ
ตัณหาจะไม่เกิดขึ้น
อย่างพวกเรายังทำไม่ได้
เราละตัณหาได้เป็นคราวๆ
คนในโลกละตัณหาได้มั้ย ? ได้
หมายังละตัณหาได้เลย
อยากกินแล้วมันก็ไปกิน
อยากมีภรรยามันก็ไปมีภรรยาก็หายอยาก
ละตัณหาด้วยการเสพย์ อย่างนี้ก็ทำได้
ละตัณหาด้วยการปฏิเสธ
อย่างนี้ก็ทำได้
อยากกินไม่กิน อยากนอนไม่นอน
ทรมานมันไปเรื่อยจนกระทั่งใจนี้เหี่ยวแห้ง
หมดเรี่ยวหมดแรงจะตายมิตายแหล่แล้ว
อย่างอดข้าวมาตั้งนาน
ตั้งสี่สิบห้าสิบวันแล้วอดข้าว
ไม่ได้กินอะไรเลย
เห็นสาวสวยมาแก้ผ้าให้ดู
เฉยเลย..มันจะตายอยู่แล้ว มันไม่สนใจแล้ว
นี่ก็วิธีสู้ตัณหา แต่ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า
ตามใจกิเลส(กามสุขัลลิกานุโยค)
ก็ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า
ฝ่าฝืนกิเลส(อัตตกิลมถานุโยค)
ก็ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า
แต่เรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้ความจริงของกายของใจ
นี่คือวิธีของพระพุทธเจ้า
วันใดที่จิตรู้ความจริงนะ
ว่ากายนี้ ใจนี้ คือตัวทุกข์ล้วนๆ
เนี่ยความอยากที่จะให้กายให้ใจเป็นสุข
ความอยากที่จะให้กายให้ใจไม่ทุกข์
เนี่ยจะไม่เกิดขึ้นอีก
เมื่อความอยากไม่มี
นิโรธ คือนิพพาน จะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา
.
นิพพานมีอยู่แล้วนะ
นิพพานมีอยู่แล้วไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ
นิพพานไม่ได้มีการเกิดขึ้น ไม่ได้มีการดับไป
นิพพานเป็นสภาวธรรมที่เที่ยง(นิจจัง)
นิพพานเป็นสุข(สุขขัง)
แต่นิพพานไม่มีเจ้าของ เป็นอนัตตา
นิพพานไม่ได้มีไตรลักษณ์
แต่นิพพานมีเอกลักษณ์(คืออนัตตา)
มีลักษณะอันเดียว
สามัญลักษณะที่นิพพานมี คือเป็นอนัตตา
นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา
สังเกตดูเวลาใจของเรามีความอยาก
ใจเราดิ้นรนมั้ย ? อยากฟังเทศน์ใจดิ้นมั้ย ?
เห็นมั้ย อยากดี(ใจ)ยังดิ้นเลย
พอความดิ้นรนของจิตเกิดขึ้น
ความทุกข์เกิดขึ้นทันที
ใจที่มันดิ้น มันทุกข์ตั้งแต่เริ่มดิ้นแล้ว
ทันทีที่อยาก ความทุกข์ก็เกิดแล้ว
นี้ถ้าปัญญามันแก่กล้า
มันทำลายอวิชชาไป
เจริญมรรคมากๆ (คือ)มีศีล สมาธิ ปัญญา
ปัญญาเต็มที่ก็รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
ทันทีที่รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง
คือรู้ว่ารูปนาม กายใจ คือตัวทุกข์
สมุทัยก็ถูกละในขณะนั้นเลย
เมื่อสิ้นตัณหา สิ้นความอยาก
นิพพานปรากฎขึ้นตรงนั้นเลย
ไม่ต้องส่งจิตเข้านิพพานนะ
บางคนคิดว่านิพพานเป็นโลกโลกหนึ่ง
เวลาจะเข้านิพพานต้องส่งจิตไปเข้านิพพาน
นั่นไม่ใช่นิพพาน
นิพพานนั้นไม่มีการเข้า-การออกอะไร
(นิพพาน)ไม่ใช่เมืองๆหนึ่ง
ไม่ใช่บ้านๆหนึ่งมีประตูเข้าๆออกๆได้
นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี้แหละ
"เมื่อไหร่สิ้นตัณหาเมื่อนั้นนิพพานก็ปรากฏ"
_/|\_ _/|\_ _/|\_
พระธรรมเทศนา #หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม บ้านโค้งดารา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
แสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม
19 กุมภาพันธ์ 2562
ความรู้สึกตัว
"...สำหรับผู้ปฎิบัติแล้ว มันก็มีเท่านี้ มีแต่ความรู้สึกตัว มีแต่หลง
พอทำลงไปมันก็มีเท่านี้ จริงๆเราเจตนาจะสร้างความรู้สึกตัว อ้าว ! ความหลงก็เกิดขึ้น
ความรู้สึกตัวตรงกันข้ามกับความหลง ถ้ารู้สึกตัว ความหลงก็ต้องไม่มีอะไร
ไม่ได้สู้รบตบมือกับความหลง เหมือนเราไล่ยุงด้วยช้ำไป ยุงกัด
เราต้องมีมือมาไล่ ต้องมีผ้ามาห่ม ต้องนอนในมุ้ง ต้องสร้างบ้านติดมุ้งลวด
นับประสาอะไรกับความหลง มันก็ไม่ขี่ช้างขี่ม้ามา ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
เพียงแต่เรารู้สึกตัว ความรู้ตัวหาได้ไม่ยาก เอากายนี่เเหละเป็นวัสดุอุปกรณ์
ส่วนไหนก็ได้ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา นี่เป็นการกระทำ ไม่ใช่ไปเอาเหตุเอาผล
ไปเอาความยาก ความง่าย เอาทิ้งเข้าป่าไปเลยความยากความง่าย เรามีการกระทำ เกิดจากการกระทำ...
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
ประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อ รู้ได้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกตัวแท้ๆแล้ว เพียงแค่หมั่นสังเกตุเห็นความรู้สึกตัว จะเห็นในอริยาบทใดก็ได้
" ความรู้สึกตัวแท้ๆ คือ ความรู้สึกที่เกิดแว๊บแรกเวลาเรา โดนสัมผัส เช่น โดนลมพัดผ่านกาย เรารู้สึกถึง ตรงที่รู้สึก นี้หล่ะคือความรู้สึกตัวแท้ๆ
การขยับกาย ช่วยให้เราเห็นความรู้สึกตัวได้ชัด แต่การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว
การหายใจ แล้วเรา รู้สึกถึงลม ตรงที่รู้สึก เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ แล้ว
" แค่ หมั่น รู้สึกตัว "
ลองหายใจดู แล้ว สังเกตุดูนะ รู้สึกไหม ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ คือความรู้สึกตัว
แค่ รู้สึก อย่าไปปรุงแต่ง ไม่ไปดักรู้ ไม่ไปกําหนดรู้ มันจะเป็นการไปปรุงแต่งความรู้สึกเทียมๆขึ้นมา กลายเป็นคิดรู้สึก
แค่ รู้สึก สบายๆ
อย่าไปให้ความหมายมันด้วย แค่รู้สึก มันจะไม่มีความหมาย ที่มีความหมายเป็นคําพูดขึ้นมา เช่น ร้อนเย็น ยาวสั้น ตรงนั้นไม่ใช่แล้ว
แค่ รู้สึก แว๊ปแรก มันไม่มีความหมาย ไม่มีคําพูด
อย่าไปพยายามจับอะไร
เราหายใจอยู่แล้ว เราแค่รู้สึก ที่เราหายใจ แค่นั้น สั้นๆ เบาๆ สบายๆ
ลมพัดโดนกาย รู้สึกไหม ตรงที่ลมโดนกาย รู้สึกตัว แค่นี้ แว๊บเดียว
ไม่มีความหมายใดๆ ถ้ามีความหมาย มันไปคิดปรุงแล้ว
แค่เริ่มคิด ก็ไม่ใช่ความรู้สึกตัวแล้ว
แค่ รู้สึก สบายๆ ไม่ไปปรุงแต่งอะไร นี้หล่ะ เจริญมรรคที่ใจ เพราะ มันง่ายแค่ไม่ต้องทําอะไร คนเลยมองข้าม เข้าไปทํา เข้าไปปรุง จนเลยจากการเห็นความจริงกันไปหมด มรรคเจริญที่ใจ ไม่ใช่สมอง เมื่อเริ่มปรุงความคิดขึ้น ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว เรามาฝึกรู้สึกตัว ไม่ใช่ฝึกใช้ความคิด เราคิดมาตลอดชีวิตแล้ว มันไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์เลย เพราะกระบวนการคิดเป็นกระบวนการให้ค่า เริ่มให้ค่า เริ่มให้ความหมาย เกิด สัญญา สังขาร เกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา ตัวตนเราเกิดเมื่อไหร่ ทุกข์เกิดเมื่อนั้น
ภาพ วัดพระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม
เวลากราบพระ กราบกันอย่างไร
หลวงตาม้า ถามลูกศิษย์ว่า "เวลากราบพระ กราบกันอย่างไร หรือเพียงแต่กราบเท่านั้น หรือกราบอย่างที่ผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปสอนเด็ก เอา...กราบ ๑ กราบ ๒ กราบ ๓" แล้วท่านก็หัวเราะแล้วก็เมตตาสอนว่า
"เวลากราบพระต้องกราบด้วยความเคารพจริงๆ ให้ตั้งจิตระลึกถึงองค์พระตรงหน้า แล้วตั้งจิตตั้งใจกราบ
โดยกราบครั้งที่ ๑ ให้นึกในใจว่า
พุทธัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
กราบครั้งที่ ๒ ว่า ธัมมัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
กราบครั้งที่ ๓ ว่า สังฆัง ชีวิตัง เมปูเชมิ
ความหมายก็คือ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ด้วยชีวิต"
หลวงตาเมตตาแนะนำอีกว่า
"เรานักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้หมั่นภาวนาไว้ตลอดเวลา พอลืมตาตื่นก็ให้ภาวนาไปจนถึงเวลานอน ให้คำภาวนานั้นหายไปพร้อมกับการหลับ ทำเช่นนี้ให้เคยชิน ไม่ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรถ ในเรือ หรือเดินอยู่ ก็ต้องภาวนา อย่าประมาท การภาวนานี้นอกจากจะเป็นบุญ และทำให้จิตได้ทำงานแล้ว ยังช่วยให้เราไม่ประมาทในความตายด้วย เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า ตัวเองจะตายเมื่อไหร่ นอกจากพระอรหันต์ท่านเท่านั้น ฉะนั้น จงภาวนาไป ไม่เสียหาย ไม่เสียตังมีแต่กำไร..."
"...การภาวนานั้น ต้องเอาจิตจับองค์พระตลอดเวลา พระองค์ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป หรือพระอริยสงฆ์ องค์ใดก็ได้ที่เรานับถือ ที่เราคุ้นเคย เวลาตายจะได้มีที่ไป คือไปกับพระ เพราะจิตเราจะระลึกแต่พระตลอดเวลาจนเคยชิน ตัวอย่างมีให้ดูตั้งมากมาย เห็นไหมเวลาคนใกล้ตาย เขาจะมีคนไปคอยบอกอยู่ข้างหูว่า ให้คิดถึงพระเข้าไว้ ให้ภาวนา หรือไม่ก็สวดมนต์ พยายามทำทุกวิถีทางให้จิตของคนที่ใกล้ตาย คิดอยู่แต่เรื่องพระ เรื่องกุศล เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตของคนเราตอนที่ใกล้จะดับนี้แรงนัก ถ้าจิตตอนนั้นคิดแต่เรื่องดีๆ ในที่นี้หมายถึงเรื่องบุญ พอตายไปก็เสวยสุข ไม่ต้องไปนรก ถ้าคิดถึงเรื่องบาป ก็โน่น ไปเลยนรก ไปรับกรรมที่ตัวก่อ จำไว้ให้ดี แล้วก็ไปเลือกเอา จะภาวนาตอนนี้หรือจะรอใกล้ตายค่อยภาวนา ถึงตอนนั้นก็ตัวใครตัวมัน ถือว่าบอกแล้ว..."