การฝึกสติในเบื้องต้น...
สามารช่วยบำบัด ดีท็อกซ์อารมณ์ต่างๆ
ปรับระบบร่างกายให้สมดุลแข็งแรง
มีสุขภาพจิตที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
เมื่อเราเริ่มฝึกสติอยู่เสมอๆ
ก็คือกระตุ้นความตื่นรู้ขึ้นมา... จะช่วยชะล้างอารมณ์ ความคิด
ความกังวลต่างๆที่ค้างคาให้คลายออกไป
....เราจะรู้สึกได้ถึงความสงบ ผ่อนคลาย เบาสบาย ผ่องใสอยู่ภายใน
และเพราะความสบายใจที่เกิดขึ้นเรื่อยๆนั้น
เราจึงพบว่าที่จริงแล้ว ความสุขที่แสวงหานั้น ไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหนเลย ....มันอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
เราจะสัมผัสได้ว่า... ภายในปราณีตมากขึ้น
เป็นความสุขจริงที่เข้าถึงได้
แม้แต่เงินทองที่หามาทั้งชีวิตก็หาซื้อไม่ได้
เมื่อเข้าถึงความสุขที่ปราณีตลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มสัมผัสความผ่องใสความตื่นรู้อยู่ภายในได้แล้ว
... เเม้เราจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข
" มันคือพลังของการตื่นรู้ "
เมื่อเราพัฒนาสติ จนเกิดความตื่นรู้เบิกบาน
ได้เสมอๆ... สรรพสิ่งจะเกิดการหลุดคลายออกจากกัน
เกิดการแยกรูปแยกนาม เป็นของใครของมัน มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน แล้วแต่จริตของเแต่ละคน
จึงเข้าสู่ขั้น... " วิปัสสนาญาณ " คือรู้สภาวะอาการตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ซึ่งไม่ได้มาจากความคิดหรือเหตุผล
....จิตจะกว้างขึ้น จนเข้าถึงเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
ว่างจากตัวตนความยึดมั่นถือมั่น
ปราศจากการปรุงแต่งใดๆทั้งปวง
เมื่อฝึกพัฒนาสติมาถึงสภาวธรรมขั้นนี้
... เราจะพบกับความสงบสุขเบาโปร่งโล่งจากสมาธิ
ซึ่งไม่มีความสุขใดในโลกนี้เทียบได้เลย
....แต่ว่าการเข้าถึงเนื้อสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
พ้นจากการปรุงแต่ง มันบริสุทธิ์กว่านั้นมาก
มันเป็นสภาวะที่เป็นอิสระ ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
เพราะเป็นสภาวะที่มีความมั่นคงที่แท้จริง
ถึงเราจะมีสิ่งต่างๆเพียบพร้อม ก็ยังขาดชีวิตที่เป็นอิสระ
ยังตกเป็นทาสอารมณ์ความคิด
ต่อให้ท่องเที่ยวหรือหนีไปสุดขอบโลก
ก็ยังทุกข์ใจห่วงหาอาลัยอยู่
เพราะว่ากรงขังที่เหนียวแน่นที่สุด... ก็คือใจของเราเอง
" การพัฒนาสติเป็นทางสายเดียว " ที่จะทำให้เราหลุดออกจากโลกของความปรุงแต่ง หลุดจากความหลงยึด
ทุกข์จากความเร่าร้อนทั้งปวง
เข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นอิสระจากทุกสรรพสิ่ง
เข้าถึงความมั่นคงที่แท้จริงของชีวิต
ที่เราต้องสะสมเงินทอง มีบ้าน มีรถ มีหน้าที่การงาน ก็เพื่ออยากมีชีวิตที่มั่นคงใช่หรือไม่ ?
สิ่งเหล่านี้มันใช่ความมั่นคงที่แท้จริงหรือเปล่า ??
มันจะอยู่กับเราไปตลอดกาลไหม ???
....ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่กับเราไปตลอดกาล
ต้องมีพลัดพรากสูญเสีย แม้แต่ร่างกายที่เราหวงแหน
" การเข้าถึงสภาวธรรมที่บริสุทธิ์
คือความมั่นคงที่แท้จริงและตลอดกาล "
ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมตรงนี้ได้...
เราจะพบกับคำตอบ... ว่าเราเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ
ที่จะนำทางให้พวกเราทุกคน เข้าถึงความหลุดพ้น
เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริงของชีวิตได้
....นั่นคือสิ่งที่จะทำให้เราพบกับแก่นแท้ของตัวเราเอง
" การทำจิตว่างจากกิเลส... เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยเราใครๆก็เข้าถึงได้ สามารถฝึกฝนเองง่ายๆในชีวิตประจำวัน
....ซึ่งมันอาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาลเลยก็ได้ "
เคยเจอปีติตัวไหนกันบ้าง ?
ถ้าเราเจริญสติ ด้วยความสบาย ผ่อนคลาย
สภาวะรู้สึกทั้งตัวจะเกิดขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติ
รู้กายทั้งกาย รวมถึงลมหายใจ
ก็จะถูกรู้ขึ้นมาได้เองโดยความเป็นธรรมชาติ
....ด้วยความผ่อนคลาย
เมื่อทำไปเรื่อยๆ สติก็จะมีความมั่นคงขึ้น
เกิดสภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
รู้สึกทั้งตัว รู้พร้อมทั้งกายทั้งใจ
....รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้...
จะเป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ
ที่เกิดเมื่อมีสติมั่นคง มีจิตตั้งมั่น
....สัมมาสติ ส่งเข้าสู่ สัมมาสมาธิ
สติจะวางจากฐานกาย
เข้าสู่ฐานของเวทนานุปัสสนา
เมื่อเข้าสู่สภาวะของชั้นสัมมาสมาธิ
จะเกิดสภาวะที่เรียกว่า...
รู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เมื่อเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้ว
....จึงเกิดปีติขึ้นมา
ขนลุกทั้งตัวบ้าง ตัวโยกโคลงทั้งตัวบ้าง
ควงไปข้างหน้า ข้างหลัง หมุนควงบ้าง
....อาการภายในมันควง
บางทีก็เกิดอาการเหมือนตัวลอยบ้าง
ตัวหนักบ้าง
เกิดความรู้สึกเหมือนขยายตัวออกไป
ตัวใหญ่บ้าง หดตัวเหลือตัวเล็กบ้าง
เกิดกระแสความร้อนทั้งตัวบ้าง ความเย็นบ้าง
เกิดสภาวะแข็งเป็นหินทั้งตัวบ้าง
แต่ผู้ปฏิบัติจะพบว่า...
ใจเรานิ่งขึ้น ตั้งมั่นขึ้น
มันเป็นสภาวะของปีติ ของความรู้สึกตัว
ลมหายใจจะสงบ ระงับ ลงไปโดยลำดับ
แต่ความรู้สึกทั้งตัว จะเด่นชัดขึ้นมาแทน
เรียกว่ามีลมหายใจเป็นพี่เลี้ยง
มีความรู้สึกตัวเป็นลักษณะเด่น
....ก็จะหลุดพ้นจากสมมุติบัญญัติ
โลกของความคิดปรุงแต่ง
เหลือแต่ปรมัตถธรรมที่เรียกว่า...
ความรู้สึกล้วน ๆ อยู่
สภาวะของความรู้สึกตัวนี้...
จะเป็นความรู้สึกของร่างกายทั้งตัว
....ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ
เหมือนว่าเราแช่อยู่ในน้ำที่เย็นชุ่มฉ่ำ
ด้วยความผ่อนคลายสบาย ๆ
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้...สติสัมปชัญญะ
จะพัฒนาได้อย่างเต็มฐานทั้งตัว
ความรู้สึกมีอยู่ทั้งตัว หัวตัวแขนขาทั้งตัว
....การปฏิบัติที่ถูกต้องจะต้องส่งเข้าสู่
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งสิ้น
สติปัฏฐาน๔ ทุกข้อ ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้อง
จะส่งเข้าสู่สภาวะนี้ทั้งสิ้น
ที่ทรงตรัสว่า... มีความเพียร
มีสติ ละความพอใจ ไม่พอใจในโลก
....#สัมมาสมาธิ #เริ่มต้นที่ตรงนี้
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
สมาธิในพุทธศาสนาที่เป็นพระพุทธพจน์
จะเป็นสภาวะตั้งแต่ปฐมฌาน เป็นต้นไป
และคำว่า ฌาน ในที่นี้ ต้องเป็น สัมมาสมาธิ
คือ ทรงสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม
เป็นสมาธิของพระพุทธศาสนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
การรู้เห็นตามความเป็นจริง
มีได้สำหรับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น
.
.
ใน ปฐมฌาน พระองค์ทรงตรัสว่า
มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
รูปนามขันธ์ 5 ในระดับปฐมฌานตรงนี้
จะเป็นขันธ์ที่ละเอียด ที่เรียกว่า กายในกาย
.
.
สติปัฏฐานที่พูดถึง
กายในกาย
เวทนาในเวทนา
จิตในจิต
ธรรมในธรรม
เป็นสภาวะของสัมมาสมาธิ เป็นต้นไป
.
.
กายภายใน กับ กายภายนอก เป็นคนละกายกัน
ภูมิซ้อนภูมิ ภพซ้อนภพ เป็นคนละมิติกัน
ขันธ์หยาบภายนอกกับขันธ์ภายในเป็นคนละขันธ์กัน
เป็นเรื่องของนามกาย
เป็นสภาวะที่ละเอียดในชั้นสัมมาสมาธิ
.
.
ภายในสภาวะของปฐมฌาน
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณา
เป็นดุจโทษ ดูจหัวฝี
เป็นของน่ากลัว
เป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์
ทรงพิจารณาไป 11 อย่าง
.
.
จากนั้นก็ทรงตรัสว่า
จงน้อมจิตเข้าสู่อมตะธาตุ
นั่นสงบ นั่นระงับ นั่นปราณีต ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง
ตรงนี้แหละคืออย่างเดียวกันกับการเปลื้องจิต
หรือสิ่งที่เรียกว่าสภาวะรู้กับจิตแยกออกจากกัน
ในหลายๆพระสูตรพระองค์จะใช้คำว่า
น้อมจิตเข้าสู่อมตะธาตุ
.
.
วิธีทำตรงนี้ คือการแผ่ขยายการรับรู้ออกไปคลุมทั้งตัว
เรียกว่า ทำความรู้สึกทั้งตัวให้ถูกรู้
ขยายการรับรู้ออกไป
การรับรู้ตรงนี้จะเป็นเรื่องของสติตัวจริงหรือสภาวะรู้
ซึ่งสามารถขยายออกไปได้
.
.
เมื่อเราพัฒนาสติมีความมั่นคงในระดับสัมมาสมาธิ
ที่เรียกว่าสภาวะรู้เริ่มทรงตัว
แล้วแช่อยู่กับสภาวะนั้นไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
ทุกสิ่งทุกอย่างในข่ายของการรับรู้
จะเกิดการแยกธาตุแยกขันธ์ มิติใครมิติมัน
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของใครของมัน
เกิดสภาวะที่เรียกว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง
.
.
เสียง สภาพแวดล้อม
อุณหภูมิ ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น
จะเกิดการแยกออกไปเป็นของใครของมัน
มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน ทุกอย่างจะถูกรู้
ภายใต้ข่ายของการรับรู้ ข่ายของสติทั้งสิ้น
.
.
ก็จะเห็นจิตตามความเป็นจริงได้
สภาวะตรงนี้แหละที่พระสูตรหนึ่ง
พระองค์ทรงตรัสว่า
เมื่อรูปกระทบตา
เกิดจักษุวิญญาณ เกิดการเห็น
เกิดจักษุสัมผัส เกิดความรู้สึก
ไม่เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
เรียกว่าสติตัดตรงนี้
สภาวะนี้เรียกว่า สักแต่ว่าเห็น
.
.
สิ่งเดียวเท่านั้นที่เห็นการทำงานตรงนี้ได้ทั้งหมด
คือ ข่ายการรับรู้ตรงนี้นี่แหละ
ที่เรียกว่าญาณทัสสนะหรือปัญญาญาณ
.
.
ในระดับชั้นความรู้สึกตัว
ถ้าพลิกมาเห็นจิตได้
ก็ยังไม่สามารถเห็นจิตเกิดดับได้
เพราะสติยังมีความละเอียดไม่พอ
จะเห็นจิตเกิดดับได้
ต้องมีความละเอียดในระดับวาระจิต
.
.
เป็นการเข้าถึงสภาวะ ญาณทัสสนะ
ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏตามความเป็นจริง
ผู้ปฏิบัติที่สามารถทรงอยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
แล้วขยายการรับรู้ออกไปคลุมได้
จะประจักษ์สภาวะนี้ได้ด้วยตนเอง
.
.
เมื่อใดปล่อยวางจากทุกสิ่งได้หมดจด
ก็จะเหลือแต่สภาวะรู้ล้วนๆ ที่ไม่อะไรกับอะไรเลย
เป็นความว่างที่บริสุทธิ์อยู่
ก็จะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
.
.
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความสงบระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
.
.
สภาวะที่ปราศจากตัวตน ไร้ความติดยึด
เหลือแต่เพียงสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
จิตที่ว่างจากตัวตน จากความยึดมั่นถือมั่น
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
เพราะฉะนั้นจะแยกเป็นสองตัว คือ
ตัวจิต จิตปถุชนก็จะเป็นจิตที่มีราคะโทสะโมหะ
พอสงัดจากกามและอกุศลธรรม
ก็จะเป็นจิตที่มีสมาธิ ฌานที่หนึ่งถึงสมาบัติทั้งแปด
ตัวจิตมันก็มีแค่นั้นแหละ โลกียะ
แต่สภาวะรู้ของจริงเนี่ย
มันก็เป็นแค่สภาวะรู้
เวลามันมีความบริสุทธิ์ถึงขีดสุด
มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า รู้ตื่นเบิกบาน
รู้แจ้งจ้า ที่พูดถึงบ่อยๆถึงสภาวะที่เรียกว่า
ความสว่างไสวที่เปล่งออกมาจากตัวเอง
นั่นแหละคือประตูแห่งอมตะธรรม
ส่วนตัวจิตมันก็เป็นตัวสมาธิเท่านั้นเอง
เป็นตัวปิติ เป็นจิตเจตสิกที่ประกอบด้วยกัน
มีปิติบ้าง มีสุขบ้าง มีอุเบกขาบ้าง
มีสภาวะของอรูปบ้างที่เรียกว่า อเนชาภิสังขารบ้าง
ก็คือตัวจิตทั้งนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือสภาวะรู้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันก็จะเหลือแค่สภาวะรู้
ที่เรียกว่าธรรมอันเอก ตรงนี้แหละ
ที่จะเป็นทางสายเดียวที่จะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้
เมื่อใดที่วางจากทุกสิ่ง ก็คือวางจากขันธ์ทั้งห้า
ตัวจิตมันก็จะดับไปเหลือแค่สภาวะรู้
อันนี้ที่เป็นอมตะธาตุ
มันจะเป็นสภาวะรู้ของจริง
ที่มันไม่มีเกิดไม่มีดับ คงสภาวะของมันเช่นนั้นเอง
ที่มันหายไปไม่ใช่ว่ามันดับ แต่เป็นเพราะว่า
ความหลงมันบัง !!
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
จิตนี้ประภัสสรมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
ประดุจพระจันทร์วันเพ็ญ
งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆหมอกเข้าบดบัง
พระจันทร์ก็อับแสง
สภาวะหลงเข้าบดบังสภาวะรู้อยู่ตลอด
เป็นอย่างนั้น..ไม่ใช่ว่าตัวรู้ของจริงมันเกิดดับ
แต่เป็นเพราะความหลงมันบัง
เมื่อใดที่สภาวะหลงหรือความปรุงแต่งจางคลายไป
มันก็จะเหลือแค่รู้เท่านั้นเอง
ดั่งคำว่า ประดุจคล้ายเมฆหมอกมันจางคลายไป
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็คือวาง
พอวาง..ความปรุงแต่งความหลงก็จางคลายไป
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือของจริง ก็คือสภาวะรู้ของจริง
ที่ไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต เป็นสุญญตา
สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง
สภาวะนั้นน่ะอวิชชาเกิดขึ้นมาไม่ได้
เป็นเนื้อธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นบรมสุขอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติก็ไปตามสเตปนี้
เบื้องต้นจะเริ่มแบบใดก็ตามก็ทวนเข้าสู่สิ่งนี้
ถ้าเราปฏิบัติ..ก็จะไปตามนี้ ช้าเร็วแล้วแต่
แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ตรงไปเลย
ก็คือวาง ก็คือปล่อย ก็คือละ
มันก็จะเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าเหลือแค่รู้
สภาวะรู้และสิ่งนี้แหละ
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในพระพุทธศาสนา
มันคือความไม่ประมาท
มันคือความไม่ยึดติด
มันคือโพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดประการ
มันคือทั้งสมถะและวิปัสสนา
มันคือทั้งวิชชาและวิมุติ
มันก็คือธรรมแท้ๆที่เป็นอมตะธรรม
เป็นธรรมชาติแท้ๆที่พ้นจากขันธ์ทั้งห้า
พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
เข้าใจไหม? ฟังเพลินๆเท่านั้นแหละ
ใครเข้าใจก็ได้ไป ก็ปฏิบัติ
ก็ทำเหมือนเดิม .. ฝึกที่จะปล่อย ที่จะวาง
ก็เข้าสู่เนื้อธรรมเดียวกัน..เหมือนกันหมด
เบื้องต้นเราจะปฏิบัติแบบไหนก็แล้วแต่
เป็นการทวนกระแส #สุดท้ายก็เหลือแค่รู้
" ดู " ไม่เท่ากับ " รู้ "
ส่วนใหญ่ชอบติดเรื่องอาการ " ดู "
เวลาดูตรงไหน จิต จะไปรวมอยู่ที่ตรงนั้น
.... นั่นคือกระบวนการที่เรียกว่า จิตส่งออก
อาการดู... มันคือรากเหง้าของวัฏสงสารทั้งหมด
เพียงแค่ เราวาง " อาการดู "
แล้วเปลี่ยนเป็น " อาการรู้ "
ทุกอย่างจะกลายเป็น... สิ่งที่ถูกรู้
เกิดขึ้นแล้วก็ดับ จะไม่มีการเข้าไปเกี่ยวข้อง
ลองง่ายๆ... เราดูตรงไหน จิตก็ไปตรงนั้นแหละ
ดูที่เท้า ดูปลายจมูก จิตก็ส่งออกไปตรงนั้น
" อย่าเริ่มต้นด้วยการส่งจิตออกนอก "
ที่นี้ลอง "วางอาการดู" แล้วมา "รู้สึกรู้" รวมๆทั้งตัว
อันไหนสบายกว่า เป็นปกติกว่ากัน ?
... เราจะพิสูจน์ได้
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
"ผู้เข้าไปหาไม่หลุดพ้น ไม่เข้าไปหาจึงหลุดพ้น"
พระพุทธเจ้าสอนคำเดียวคือ... รู้
อานาปานสติที่ถูกต้องคือ อาการ... รู้
เมื่อรู้ขึ้นมา เราจะรู้สึกถึงการหายใจได้เอง
ไม่ว่าจะลมเข้าลมออก ลมยาวสั้น
ลมหยาบลมละเอียด มันจะรูู้เองโดยไม่ต้องบังคับ
แล้วเมื่ออาการรู้ทรงตัว ก็จะเกิดการเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง
ลมหายใจ หรืออาการต่างๆ จะถูกแยกออกไป
....เป็นสิ่งที่ถูกรู้
กายก็จะแยกออก... เป็นสิ่งที่ถูกรู้
จิตก็จะแยกออก... เป็นสิ่งที่ถูกรู้
แล้วกิเลสทุกอย่างจะหลุดออกไป
จนเหลือแต่ " รู้ " ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นรูป พ้นนาม พ้นการเกิดดับทั้งปวง
เป็นแค่อาการ " รู้ " คำเดียว
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทั้งหมดเลย
จะว่าด้วยธรรมหมวดไหนก็ตาม
ก็คือการเข้าถึง "สภาวะรู้ " นี่แหละ
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เพราะฉะนั้นอยากให้ใช้คําว่ารู้มากกว่า
เพราะว่าส่วนใหญ่เราจะได้ยินบ่อยๆว่า
...ให้ ดูกาย ดูจิต ซึ่งมันจะดูได้ทีละอย่าง
แต่ถ้าลองสังเกตเอง เวลาปฏิบัติแล้ว
ก็จะรู้ได้ทั้งกาย รู้ทั้งจิต คือรู้ได้หลายอย่างพร้อมกัน
แค่ 2 คำ ดู กับ รู้... ก็ไปกันคนละทางเลย
วางอาการดูได้เมื่อไหร่ ก็จะเหลือแต่รู้อย่างเดียว
อยุ่กับ " รู้ "... จิตไม่เกิด อวิชชาก็ไม่เกิด
พอไป " ดู "... จิต กับ อวิชชา จะเกิดทันที
เพราะก็หลงเข้าใจว่าเป็นตัวรู้
.... ซึ่งที่จริงแล้ว การที่ไปหลงดูอยู่ตั้งนาน
ทำให้เกิดอวิชชา
ที่ครูบาอาจารย์เรียกว่า... รู้มากยากนาน
ก็คือตัวอวิชชานี่เอง
#สภาวะรู้เพียวๆ #ก็เป็นแค่ " #รู้ "
ที่ไม่อะไร... กับอะไรเลย
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร