ธรรมะ ปฏิบัติ
คำนำ
สารบัญ
ในขั้นแรกนี้ ต้องมีความพยายามมากหน่อย เพราะเป็นความพยายามที่สวนทางกับความคิดความเคยชินเก่าๆ ที่ชอบใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ ท่านจึงแนะนำให้เราหัดตั้งสติกันก่อน
เมื่อได้สติก็ให้ทำความรู้ตัวที่กาย ที่อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่างๆของเรา ให้มีหลักมีแนวอยู่อย่างนี้ ไม่ปล่อยตนเองไปตามความคิดตามอารมณ์ที่แทรกซ้อนขึ้นมา
จะเบื่อหน่ายลังเล คิดไปคิดมาอย่างไร
ก็ให้รู้จักวางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลักคือ การเป็นผู้อยู่ด้วยสติรู้ตัว หัดเป็นผู้รู้จักวางความคิด วางอารมณ์นั้นๆ กลับมาทำหน้าที่หลัก คือ การเป็นอยู่ด้วยสติรู้ตัว
ขณะที่เรารู้จักปลุกสติสัมปชัญญะตื่นตัวตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้ว เราจะเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคนครุกกรุ่นอยู่ ในอารมณ์หนึ่ง อ่อนไหวเกินไปแข็งกร้าวเกินไป อะไรต่างๆเราจะเริ่มสุขุมขึ้น
จิตเราจะเริ่มละเอียดอ่อน เห็นภาวะ เห็นความเป็นจริงต่างๆตามที่เป็นอยู่ เห็นกาย เห็นจิต เห็นอารมณ์ความคิดของตนเอง อย่างรู้เท่าทันจริงๆ
การเห็นภาวะอาการต่างๆในจิต เห็นจิตในจิต เห็นกระแสความคิด ความเชื่อความทะยานอยากตามความเคยชินของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
จะทำให้เราเกิดปัญญาญาณ รู้จักตนเอง รู้จักปลด รู้จักวางทิฏฐิมานะ ที่เราคิด ติด ยึด ต่างๆนานา อย่างที่เราไม่เคยนึก ไม่เคยเห็นมันมาก่อน วางไปละไป อาศัยปัญญาญาณจากการเห็นภาวะเห็นจิตในจิตของตนเอง
จะทำให้เรารู้จักปลดเปลื้องตนเองจากอารมณ์จากนิสัยเดิมๆมากขึ้น ชีวิตเราจะเป็นอิสระ ตื่นตัวขึ้น เป็นชีวิตประจำวันที่มีความรู้สึกตัวพร้อมโต้ตอบ อยู่กับงานกับการต่างๆมากขึ้นเป็นลำดับ
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
หนังสือ ตถตา หน้า ๑๗๙
ฝึกตามรู้จิต สังเกตจิต จิตจะรู้สึกอย่างไร (ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี)
ก็รู้แค่นั้น (อย่าคิดวิพากษ์ต่อ)
ไม่ใช่ดักรู้จิต ไม่ใช่เพ่ง ไม่ใช่เผลอ/ลืมตัว
แต่ฝึกรู้สึกตัว (รู้เนื้อรู้ตัว)
อย่างง่ายๆ สบายๆ เอาไว้เสมอๆ ไม่ว่าจะทำอะไร
(เมื่อ “รู้” แล้วก็ไม่ใช่อยากหรือพยายามประคองตัวรู้เอาไว้)
รู้ไม่ใช้คิด (เว้นมีกิจการงานที่ต้องใช้ความคิด)
รู้ไม่ใช่กำหนดรู้ ..แต่สักแต่ว่ารู้
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร แนะนำหลักในการนั่งสมาธิ
จะแนะนำหลักในการนั่งสมาธิ ของท่านผู้ที่มาใหม่ยังไม่เคยทำ พอให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
๑. ให้ตั้งใจว่าเรื่องราวอะไรทั้งหมด เราจะไม่เก็บมาคิดนึก จะนึกถึงแต่พุทธคุณอย่างเดียว คือ "พุทโธ"
๒. ตั้งสติกำหนดนึถึงลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ หรือจะนึก พุทโธๆ อยู่ที่ใจอย่างเดียวก็ได้
๓. ทำจิตให้นิ่ง แล้วทิ้งคำภาวนา "พุทโธ" เสีย ให้สังเกตแต่ลมที่หายใจเข้าออกอย่างเดียว เหมือนกับเรายืนเฝ้าดูวัวของเราอยู่ที่หน้าประตูคอก ว่าวัวที่เดินเข้าไปและออกมานั้น มันเป็นวัวสีอะไร สีดำ แดง ขาว ด่าง วัวแก่หรือวัวหนุ่ม เป็นลูกวัวหรือวัวกลางๆ แต่อย่าไปเดินตามวััวเข้าไปด้วย เพราะมันจะเตะขาแข้งหักหรือขวิดตาย ให้ยืนดูอยู่ตรงหน้าประตูแห่งเดียว หมายความว่า ให้จิตตั้งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องเคลื่อนไหวไปกับลม
ที่ว่าให้สังเกตลักษณะของวัวก็คือให้รู้จักสังเกตว่า ลมเข้าสั้นออกสั้นดี หรือลมเข้ายาวออกยาวดี ลมเข้ายาวออกสั้นดี หรือลมเข้าสั้นออกยาวดี ให้รู้ลักษณะของลมว่าอย่างไหนเป็นที่สบาย ก็ทำไปอย่างนั้นเรื่อยไป
ต้องทำให้ได้อย่างนี้ทั้ง ๓ เปราะ คือ เปราะแรกภาวนา พุทโธๆ ตั้งใจนึกด้วยสติหรือด้วยใจ เปราะที่สอง ให้สติอยู่กับลมเข้า พุท ลมออก โธ ไม่ลืมไม่เผลอ และเปราะที่สาม จิตนิ่ง ทั้ง พุทโธ เสีย สังเกตแต่ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
๔. เมื่อทำได้เช่นนี้ ใจของเราจะนิ่ง ลมก็นิ่งเหมือนกับขันน้ำที่ลอยอยู่ในโอ่ง น้ำก็นิ่งขันก็นิ่ง เพราะไม่มีใครไปกด ไปเอียง ไปกระแทกมัน ขันนั้นก็จะลอยเฉยเป็นปกติอยู่บนพื้นน้ำ เหมือนกับเราขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขาสูงๆ หรือขึ้นไปลอยอยู่เหนิือเมฆ ใจของเราก็จะได้รับแต่ความสุขเยือกเย็น นี้ท่านเรียกว่าเป็น มหากุศล คือเป็น ยอด แก่น หรือรากเง่า ของกุศลทั้งหลาย
เมื่อดวงจิตของเราสงบ บุญต่างๆ ก็จะไหลเข้ามารวมอยู่ในดวงจิตของเรา คือความดีแล้วความดีในดวงจิตนั้นก็จะขยายตัวออกมาครอบทางกาย กายของเราก็จะหมดจากบาป ออกมาครอบทางวาจา ปากของเราก็จะหมดจากบาป ทางกายกรรมคือตาที่เราเคยสร้างบาปมา ทางหูที่เราเคยสร้างบาปมา และมือที่เราเคยสร้างบาปมา ฯลฯ ความดีที่เกิดจาการภาวนานี้มันจะขยายมาล้างตา มาชำระหู มาล้างมือ กายที่บาปด้วยสัมผัส บุญก็จะขยายมาล้าง ทีนี้กาย วาจา ตา หู จมูก ปาก และส่วนอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลายของเรา ก็จะเป็นของสะอาดหมด
โดยให้อยู่ในหัวข้อเดียว แต่ให้แสดงความละเอียด ไปถึง 3 ชั้น
พระยาธรรมเอย... ต่อจากนี้ ให้เปลี่ยนรูปแบบการแสดง เป็นเช่นนี้ก็แล้วกันนะ
เพราะบุคคลผู้ฟัง เขาก็จะเข้าใจธรรมที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เพียงฟังธรรมแค่กัณฑ์เดียว
หรือว่าแค่ตอนเดียว ก็สามารถเข้าใจธรรมละเอียดได้ ไปถึง 3 ชั้น
ย่อมเป็นทางลัด ที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้ด้วย
เพราะพระธรรม แท้ที่จริงแล้ว มันมีความละเอียดลึกเข้าไปหลายชั้น
บุคคลผู้ที่สามารถ เจาะทะลุแจ่มแจ้งธรรมทั้งหลาย จนถึง 9 ชั้นได้
ถือเป็นผู้มีธรรมสูงสุด และรู้แจ้งโลก ซึ่งเป็นเพียงวิสัยแห่งพุทธะเท่านั้น
ที่จะสามารถทำได้*พุทธะ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน*จึงจะสามารถที่จะทำได้
พระยาธรรมเอย... ฉะนั้น ลูกก็จงตั้งใจ ศึกษาการแสดงธรรม 3 ชั้น 5 ชั้น 7 ชั้น 9 ชั้น
คือ แสดงให้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามความละเอียดของธรรม ลูกลองศึกษาเช่นนี้ โดยการ
น้อมฟังธรรมจากเรา *ผู้เป็นตถาคต* แล้วก็น้อมธรรมนั้นไปแสดงต่อ
เป็นตามที่ลูกได้ยินมา แล้วสืบทอดออกไป
*ธรรมอันประเสริฐ ยิ่งกว่าการประเสริฐ บังเกิดขึ้นแล้ว*
*ธรรมอันประณีต ยิ่งกว่าประณีต ได้เกิดขึ้นแล้ว*
โลกใบนี้ก็จะมีที่พึ่ง กว้าง ลึก ละเอียดมากขึ้นอีก แล้วก็จะสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้
ในโอกาสที่มีมากกว่า ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น ต่อไปนี้ ให้แสดงธรรม เป็นธรรม 3 ชั้น อยู่ในหัวข้อของ ธรรมะไตรปิฎก
ก็แล้วกันนะ พระยาธรรม แล้วลูก ก็จงตั้งใจศึกษา เรียนรู้การแสดงธรรม 3 ชั้น
ในอีกแบบหนึ่งหนึ่ง ก็คือการหยิบยกหัวข้อธรรม ข้อใดข้อหนึ่งขึ้นมา 1 ข้อ
แล้วแสดงด้วยกัน 3 คน ถึง 5 คน 7 คน หรือ 9 คน
แล้วให้แสดงธรรมอยู่ในหัวข้อธรรมนั้นดู เพียงแต่ ขยายใจความธรรมกว้างขึ้น
หรือเมื่อฟังธรรมนั้นแล้ว เกิดแตกฉานในธรรมะ และต่อยอดขึ้นไปอีก
ให้ยังคงอยู่ในเรื่องราวเรื่องนั้น ให้แตกฉานอยู่ในธรรม ที่ต่อยอดได้
และให้ลูกนั้น สามารถที่จะอธิบายต่อยอดธรรมเรื่องนั้น ไป จนถึงซึ่งความละเอียดมาก
ของธรรม พร้อมบทสรุป เช่นนั้นหน่ะลูก โดยอาศัย คนถึง 3 คน 7 คน 5 คน หรือ 9 คน
ก็ได้ หรืออาจจะ 2 คน ก็ได้ แต่ต้องมีตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปลูก จึงสามารถที่จะแสดงธรรม
เช่นนั้นได้
การแสดงธรรมเช่นนั้น ก็เป็นผลมาก เพราะเป็นการเจาะรายละเอียดของธรรม
เป็นการฝึกฝนปัญญา ตีกรอบให้ทุกคน ต้องตั้งใจ ตรึกตรองฟังธรรม
และบุคคลที่ตั้งใจ ตั้งใจฟัง ตั้งใจที่จะแกะรหัส ถอดรหัสธรรมได้ และฝึกฝนปัญญา
เช่นนั้นบ่อยๆ ย่อมจะเป็นผู้ที่ทรงธรรมะไตรปิฎก ย่อมจะเป็นผู้ที่มีธรรมมาก
พระยาธรรมเอย...ในโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าจะมีองค์พระอรหันต์มาก มันจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
แต่ก็ยังดีไม่เท่ากับ การที่มี*องค์พระอรหันต์ผู้ทรงธรรม*อยู่มาก ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น การที่จะฝึกฝนเช่นนี้ ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคลทั้งหลาย ผู้ได้ฟัง ผู้ได้
ฝึกฝน ผู้ได้สนทนา หรือแสดงธรรมร่วม กลายเป็นผู้ทรงปัญญาธรรม
ย่อมจะมีพระอรหันต์ ผู้ทรงปัญญาธรรม หรือทรงธรรมะไตรปิฎกก่อเกิดขึ้นมากมาย
และย่อมจะเป็นเหตุที่จะช่วยเหลือ ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย ให้พ้นจากความทุกข์ได้
มากขึ้น โอกาสที่จะช่วยเหลือได้มาก ก็ย่อมมีมากขึ้น
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... ต่อจากนี้ไป ให้ลูกลองฝึกฝน แสดงธรรมเช่นนั้นกันเถิด
พระยาธรรม : สาธุ เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ถึงธรรมะ 3 ประการ 3 ขั้น
ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ทำตามกันไป ฝึกฝนกันไป
ลูกพอจะเข้าใจว่า การฝึกฝนเช่นนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ บุคคลผู้แสดง บุคคลผู้ฟัง
บุคคลผู้ฝึกฝนมาก และก็จะกลายเป็นประโยชน์ต่อบุคคลผู้อื่นมากด้วย
ซึ่งเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก และประเสริฐยิ่งนักแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาอธิบายธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ..สาธุ
ฝาก
ธรรมะไตรปิฎก ในเช้าของวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2562
ท่านพระยาธรรมิกราช ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อสดับฟังธรรม เมื่อพระยาธรรมิกราช ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อพระองค์ท่านแล้ว
จึงได้นอบน้อม กล่าวทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ลูก ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรทะเลทุกข์มาแล้ว ตามพุทธพิธี
และลูกก็ได้ถอดรหัสธรรมจนครบ ทั้ง 7 ประการ 7 ขั้น ดังที่พระองค์ทรงเมตตา
ให้ลูกได้ ประพฤติปฏิบัติ ดำเนินตามแล้ว.. พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์จะทรงเมตตา ให้ลูกนั้นทำสิ่งใดต่อไปอีกหรือเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนั้น ชี้ทางแก่ลูกด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้าฯ
ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย... ลูกนั้นสามารถที่จะถอดรหัสธรรมได้ทั้งหมด 7 รหัส
และก็ยังมีการพิจารณาแตกฉานในธรรมต่างๆ มาโดยตลอดทาง
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย... แล้วลูกนั้น รู้สึกอย่างไรเล่ากับการเดินทาง
ในคราวครั้งนี้ แล้วได้อะไรมาบ้างเล่า จงกล่าวธรรมนั้นมาก่อนเถิด พระยาธรรม
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา พระพุทธเจ้าข้าฯ
การเดินทางในคราวครั้งนี้ ธรรมะในข้อปลีกย่อยนั้น ลูกได้มาเยอะมาก
แต่ธรรมะหลักๆ ที่เป็น 7 ประการ แห่งการประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ตนนั้น
เข้าถึงซึ่งความหลุดพ้น ที่พระองค์ทรงให้ลูกถอดรหัสนั้น มีอยู่ 7 ประการ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ ลูกเมื่อได้มาถึงจุดนี้แล้ว รู้สึกว่าพระพุทธองค์
จะทรงเปลี่ยนรูปแบบการแสดงธรรม จะแสดงธรรม ที่เป็นธรรม 3 ชั้น
ลูก จะต้องเปลี่ยนข้อธรรม เป็น ธรรมะไตรปิฎก และลูกก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบการ
แสดงธรรม ซึ่งหมายถึง การที่ลูกนั้นได้ดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง
ที่ถือว่าประสบความสำเร็จในขั้นใหญ่ๆขั้นหนึ่ง แล้วลูกก็จะสามารถขับเคลื่อน
เผยแผ่ธรรม ให้กว้างขวางขึ้น พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วหละ พระยาธรรม... ที่ลูกพอจะเข้าใจนะ
พระยาธรรมเอย... ลูกเองก็ได้ทำตามรหัสงานทุกอย่าง ทั้งจิต กาย และใจ
ถอดรหัสธรรมได้ทั้ง 7 ประการ ที่ซ่อนไว้ ด้วยการใช้ความอดทน ด้วยการใช้สติ
ปัญญา ตั้งมั่น ตรึกตรอง ค้นหา ลูกก็เดินทางกันมาถึงจุดนั้นจุดนี้ จุดที่ถอดรหัสธรรม 7
ประการ จุดที่ 7 ก็ได้สำเร็จดีแล้ว และลูกก็ยังสามารถที่จะรวบรวมข้อธรรมอื่นๆ ได้อีก
มากมาย เช่น การสามารถที่จะเข้าใจในเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละอย่าง
ตามที่ลูกนั้นได้สนทนาธรรมกันมา โดยตลอดทาง
นี่ก็คือ อีกสิ่งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า ลูก เป็นผู้ทรงปัญญาธรรม อย่างแท้จริง เป็นผู้ทรง
ธรรมะไตรปิฎก อย่างแท้จริง และเป็นผู้ทรงธรรมได้ถึง 7 ประการ อย่างแท้จริง
โดยการพิสูจน์ในสิ่งที่ลูกได้ดำเนินมา
ทีนี้ พระยาธรรมเอย... ลูกสามารถที่จะพิสูจน์ตน ด้วยสิ่งต่างๆทั้งหลาย
ที่ได้ข้ามผ่านมาทั้งหมดนั้น ด้วยการสามารถถอดรหัสธรรม ได้ 7 ประการ
และยังมีการเรียบเรียง กฎระเบียบการปฏิบัติ ของกลุ่มคณะ ที่ลูกจะสร้างขึ้นมา
ให้เป็นกลุ่มแม่ชี ที่อยู่ในสายธรรม การประพฤติปฏิบัติของ สัมมาสัมพุทธะ
ซึ่งจะตีกรอบให้ประพฤติปฏิบัติ ให้มีกรอบของความดีมากขึ้น ป้องกันความชั่วมากขึ้น
ถึง 80 ข้อ ลูกก็สามารถที่จะร่างมาทั้งหมด ครบถ้วนดี
ทุกสิ่ง ลูกได้ดำเนินตามเหตุที่ได้วางเอาไว้ และผลจึงปรากฏในบัดนี้ ถือว่า ดี
บัดนี้ ลูกได้รับ *บัวหลวงทองคำ* อันเป็น *ธรรมะปิฎก*
อันเป็นผู้ทรงธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก
ถือว่าดี ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับวัฏสงสาร ที่จะได้พ้นจากทะเลทุกข์อีกครั้งหนึ่ง
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย... ต่อไปนี้ ให้ลูกเปลี่ยนรหัสของการแสดงธรรม มาเป็น
ธรรมะไตรปิฎก แต่ละตอนๆไป ก็แล้วกันนะ
และแต่ละตอน ให้แสดงธรรมนั้น เป็นธรรม 3 ชั้น คือ
ระดับที่ 1 ให้แสดงธรรมไปใน 1 ประการ ของการประกาศธรรมนั้น
เพื่อที่จะให้ผู้คนที่ฟังธรรม โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีพื้นฐานของธรรม หรือการปฏิบัติ
มาก ก็สามารถเข้าใจได้
โดยแสดงธรรม ชั้นที่ 2 เป็นการแสดงธรรมให้คนที่มีภูมิจิตภูมิธรรม ที่สูงขึ้น
เข้าใจรายละเอียดในสิ่งนั้นได้
แสดงธรรมประการที่ 3 ด้วยการแสดงธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง ให้บุคคลผู้ประพฤติ
ปฏิบัติสูงแล้วในระดับที่ 3 หรือระดับที่จิตละเอียด ได้เข้าใจในธรรมนั้น
ธรรมะไตรปิฏก ในเช้าของวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562
เมื่อพระยาธรรมิกราช ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อสนทนาธรรม ฟังธรรมจากพระองค์ท่าน
พระยาธรรมิกราช เมื่อได้โอกาส จึงได้เข้าเฝ้านอบน้อม ทูลถามธรรม กับพระพุทธองค์
ท่านต่อไป ดังนี้ว่า...
พระยาธรรมิกราช : ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..ลูก ยัง
ปรารถนาที่จะเฝ้าฟังธรรม จากพระองค์ต่อไปอีก จากคลิปที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระองค์จะทรงเมตตาแสดงธรรม ชี้ทางบอกทางเรื่องใดให้ลูกได้ฟัง เพื่อทำความเข้าใจ
ให้ละเอียดขึ้นอีก หรือเจ้าคะ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย... ตอนที่ผ่านมา ก็ได้กล่าวถึงสิ่งที่ลูกต้องทำต่อไป
คือการแสดงธรรมในหัวข้อ ธรรมะไตรปิฎก ได้รอบได้เวลาในการเปลี่ยน และให้เปลี่ยน
เป็นการแสดงธรรม 3 ชั้น เพื่อที่จะให้เป็นการฝึกฝนปัญญา ให้ละเอียดลึกซึ้งมากกว่า
เดิม เพื่อก่อเกิดประโยชน์ให้มากขึ้นกว่าเดิม กับทุกๆฝ่าย ทุกๆคน
เมื่อลูกก็ได้ทำความเข้าใจเช่นนั้นแล้ว ทีนี้ ก็เหลือสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ
ลูกนั้น ถอดรหัสธรรม 7 ประการ แล้วแต่ละประการมีความในธรรมนั้นว่าอย่างไรเล่า
ลูกจงกล่าวธรรมเหล่านั้นขึ้นถวายก่อนเถิด พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่ทรงเมตตา ให้ลูกได้แสดง อธิบายธรรมที่ลูกถอดมาได้
พระพุทธเจ้าข้าฯ
รหัสนัยยะธรรมที่ 1 ณ ถ้ำพระยานาคราช จ.พังงา ลูกถอดรหัสธรรมได้ว่า
การภาวนานั้น ควรทำแต่พอประมาณ พอดี เป็นกลางๆ คือ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป
ไม่ตั้งใจแรงไป ไม่ตั้งใจหย่อนไป ให้ทำใจแบบสบายๆ เป็นกลางๆ หาความสบายให้เจอ
ว่างๆ สบายๆ อยู่ที่ไหน แล้วทรงกำลังของสมาธิภายในนั้นไว้ อย่างสบายๆ
แล้วก็ต้องประพฤติปฏิบัติในการทำสมาธิ ด้วยการทรงสภาวะสบายๆ
รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เท่าทันทุกอย่าง ด้วยการทำสมาธิทรงฌานภายนอก
เห็นทุกอย่างเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ธรรมดา เช่นนั้น อย่างนั้น
คือ การทรงฌานภายใน และทรงฌานภายนอก พระพุทธเจ้าข้าฯ
ส่วนธรรมะในรหัสที่ 2 ลูกก็ได้มาจากการประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าค่ะ
รหัสนัยยะธรรมที่ 2 นั้น ทรงถอดออกมา ถึงเรื่องของ*การเมตตาอย่างพุทธะ*
มีความรักอันประเสริฐ บริสุทธิ์ เหนือรักทั้งปวง เหนือรักที่มีเงื่อนไข
เหนือการเวียนว่ายตายเกิด หรือปนเปื้อนในวัฏสงสาร
เป็นความรักแบบพุทธะ เป็นความเมตตา ที่ทรงอยู่ในอารมณ์ของพรหมวิหาร 4 คือ
มีความรัก ความเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี
แล้วก็มีความปรารถนา ที่จะช่วยให้ผู้อื่นนั้นพ้นทุกข์
มีความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี และมีอุเบกขา ให้ทรงอารมณ์ไว้เช่นนี้
ลูกได้สัมผัสความรัก กลิ่นไอพลังงานจากความรัก ความเมตตาอย่างพุทธะแล้ว
ทำให้ลูกถอดรหัสธรรมข้อนี้ได้ จะเป็นการเสียสละ เป็นผู้ให้..
จนถึงซึ่งการดับอัตตาตัวตนของตนได้
ต่อไป รหัสนัยยะธรรม ข้อที่ 3 ลูกได้ถอดรหัสได้ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ริมทะเล
ฝั่งภาคใต้ของประเทศไทย คือที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ณ วัดหลวงปู่รอด
ลูกนั้น ได้ถอดรหัสธรรมข้อที่ 3 ว่า การที่คนเรามีสัจจะ ก็จะต้องมี สัจจะ คู่กับปัญญา
ทุกสิ่งจึงจะสมบูรณ์ จึงเป็นสัจจะที่ใช้ได้ เป็น สัจจะแบบพุทธะ
แต่ถ้าเกิดมีสัจจะ บวกกับความลุ่มหลง ยึดติด หรือมีสัจจะ บวกกับความยึดติด
ก็จะกลายเป็นสัจจะที่ลุ่มหลง เป็นสัจจะที่ทำให้ ทำไม่ถึงซึ่งความสำเร็จอย่างพุทธะ
สัจจะ แบบพุทธะ ต้องเป็นสัจจะที่บวกด้วยปัญญา เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
เช่น ก่อนจะตั้งสัจจะ ต้องใช้ปัญญาตรึกตรองให้รอบคอบ
เมื่อตั้งสัจจะแล้ว มีเหตุที่จะต้องพลิกแพลง แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ก็แก้ไขได้ด้วยปัญญา อันถูกต้อง และเป็นกลางที่สุด โดยปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา
เช่นนั้น พระพุทธเจ้าข้าฯ
และรหัสธรรม นัยยะธรรมที่ 4 ลูกได้เดินทางมาจนถึงที่วัดพระเจ้าใหญ่
พระพุทธชินราช ที่ จ.พิษณุโลก
ลูกได้ถอด นัยยะธรรมที่ 4 ดังนี้ว่า การที่เรานั้นเป็นปุถุชนคนธรรมดา เราอาจที่จะแยกจิต
ออกจากกายไม่ได้ แยกกายออกจากจิตไม่ได้ และรวมจิตกับกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร อะไรคืออะไร และดำเนินตามโลกไปอย่างนั้น
แต่เมื่อเราฝึกฝนประพฤติปฏิบัติ จนจิตของเราเลื่อนภูมิขึ้นมา เราก็จะสามารถที่จะแบ่ง
แยกได้ว่า จิตก็คือจิต กายก็คือกาย.แยกออกมา
และเห็นได้ชัดเจนว่า.. ดวงจิตของเรา เชื่อมต่อพลังงานแห่งความหลุดพ้น
เชื่อมต่อโลกแห่งวิมุติหลุดพ้น แต่กายของเราเชื่อมต่อพลังงานของโลก
ของโลกที่มันยังมีอยู่ในโลกสมมุตินี้ แต่ในขณะที่ทั้ง 2 คนนี้ ต้องอยู่ในที่เดียวกัน
ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการกระทบกัน
ทีนี้ ลูกก็แบ่งแยกไปถึงระดับที่ 3 ของความละเอียดได้ว่า
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ จนจิตของเรามีพลังเหนือกาย เหนือโลก
ก็จะเหลือเพียงแค่ผู้เดียว คือ จิตจะสามารถควบคุมกาย
ควบคุมสภาวะที่กระทบจิตนั้นได้ ให้อยู่ในระดับของการ ที่แบ่งแยก กายส่วนกาย
จิตส่วนจิต.. แม้จะอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่กระทบกันอีก
ขอเพียงแค่ให้ดวงจิตของเรา มีพลัง ทรงพลัง มีรากฐานที่มั่นคงให้กับจิตของเรา
ได้ยืนอยู่ คือ..
การหนักแน่นในความดี
การสร้างบารมีจนถึงพร้อม
การมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
มีมรรคผลนิพพาน เป็นจุดยืน
เราก็จะไม่แพ้ต่อร่างกายอีกต่อไป. เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
และการที่เราจะทรงจิตเช่นนี้ได้ ก่อนที่เราจะยืนแข็งแกร่งในโลกแห่งวิมุติหลุดพ้นได้
เราจะต้องอาศัยพลังของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งไปก่อน
เพราะเปรียบดัง เรายังไม่สามารถสร้างบ้านได้ เราต้องอาศัยผู้เป็นบิดามารดาอยู่ไปก่อน
จึงต้องอาศัย พระพุทธ เป็นที่พึ่ง พระธรรมเป็นที่พึ่ง และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ด้วยการน้อมอาราธนาบารมี ด้วยการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
คุ้มกันดวงจิตของเราเข้าไว้ เติมพลังเข้าไว้ และก็ประพฤติปฏิบัติดีไปด้วย
ใช้ปัญญาตรึกตรองไปด้วย
ให้ใจของเรา ดวงจิตของเรา สามารถชนะกาย และคลื่นของโลกได้ในที่สุด..
ลูกถอดรหัสธรรมได้เช่นนี้ ในรหัสที่ 4 เพื่อที่จะปกป้องดวงจิตของตน
ไม่ให้เคลิ้มไปกับโลก และมีจุดยืนที่ชัดเจนให้กับดวงจิต พระพุทธเจ้าข้าฯ
แล้วลูกก็ยังถอด รหัสธรรม ข้อที่ 5 ได้เช่นนี้ว่า.
การครองคู่ เปรียบเสมือน สุริยัน-จันทรา พระอาทิตย์ - กับพระจันทร์
ช่วยกันผลักดันให้คืนวันหมุนไป เปลี่ยนไป มีสว่างบ้าง มีมืดบ้าง
เปรียบดังการครองคู่ แม้จะช่วยกันผลักดันให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปในแต่ละวันแต่ละคืน
แต่ก็มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีสว่างบ้าง มืดบ้าง และยังเป็นการเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏสงสารนี้อยู่ บุคคลผู้ปรารถนาอยู่เหนือโลก.. ต้องอยู่เหนือการครองคู่
บุคคล ผู้ยังติดอยู่ในการครองคู่.. ย่อมเป็นผู้ที่ไม่สามารถถึงนิพพานได้
เพราะยังคงต้องเกิดดับๆ อยู่ในวัฏสงสารนี้
ฉะนั้น.. ถ้าหากว่าเราปรารถนาที่จะไปสู่พระนิพพาน เราต้องอยู่เหนือการครองคู่เท่านั้น
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า บุคคลผู้ยังครองคู่อยู่ จะสามารถถึงซึ่งพระนิพพาน
การครองคู่ จึงเปรียบดังสุริยัน-จันทรา แม้จะดูสวยงาม และเป็นประโยชน์แก่โลก
แต่ก็อยู่แต่ในโลก ในวัฏสงสาร ไม่อาจอยู่เหนือโลกได้เลย
ความรัก.. จึงเป็นของคู่อยู่กับวัฏสงสาร
บุคคลที่ยังมีความรักอยู่.. ก็ย่อมต้องอยู่ในวัฏสงสารนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
บุคคลผู้ปรารถนาอยู่เหนือวัฏสงสาร ต้องปล่อยความรักนั้นทิ้งไป
เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ เป็นรหัสธรรมที่ 5 ที่ลูกถอดรหัสได้
ณ พระพุทธบาทภูควายเงิน ที่ จ.เลย
ลูกเดินทางมาถึงริมแม่น้ำโขงในแถบนั้น เหล่าพญานาคทั้งหลาย ลุ่มหลงในความรักมาก
จึงถอดรหัสธรรมในเรื่องตำนานรัก ว่าหากบุคคลผู้ใด ปรารถนาหลุดพ้น
ต้องให้อยู่เหนือกฎข้อนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
และ นัยยะธรรมที่ 6 ลูกได้เดินทางมาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในเขตของจังหวัดหนองคาย ลูกได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น
เพื่อที่จะน้อมเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ และกราบพระบารมีในหุบเขา
อันเป็นมงคลแก่ชีวิต เป็นพลังแห่งพุทธะลูกนั้น ซึ่งมีนามว่า วัดผาตากเสื้อ
เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
ลูกขึ้นไปที่วัดผาตากเสื้อ ไปกราบพระพุทธรูปบนวิหาร บนยอดเขาสูง
แล้วลูกจึงถอดรหัสธรรมได้ อีก 1 ประการ คือ ประการที่ 6 ดังนี้ว่า
พุทธชัยมงคล พุทธชัยยะที่พระองค์ทรงชนะมารทั้งหลาย มี 5 ประการ ดังนี้
ประการที่ 1 เมื่อบุคคลจะออกรบ จะต้องมีเสบียง กำลังคน จึงจะออกรบชนะได้
หากไม่มีเสบียง ไม่มีกำลังคนมาก ก็จะออกรบไม่ได้
องค์พระศาสดา ทรงออกรบกับกิเลสตัณหา มารทั้งหลาย
และพระองค์ทรงสร้างเสบียงของพระองค์ ด้วยการสั่งสมบารมี 10 ทัศ
การสั่งสมบารมีทั้งหลาย จึงเป็นเสบียง ที่พระองค์สั่งสมจนเต็ม และมีมาก
ถึงพร้อมแก่การออกรบ เมื่อออกรบ พระองค์จึงทรงมีชัยชนะข้อที่ 1
ด้วยการสั่งสมบารมีจนเต็ม
ประการที่ 2 พระองค์ทรงรบชนะ ด้วยการเอาความดีเข้าสู้ เอาความดีเป็นที่ตั้ง.
และความดีก็ชนะได้ในที่สุด
ประการที่ 3 พระองค์ทรงใช้ความอดทน อดกลั้น ในทุกสิ่งที่ทับถมเข้ามา
ในอุปสรรคต่างๆ จนในที่สุด ความอดทนนั้น ก็นำพาให้พระองค์ทรงชนะได้ .
ประการที่ 4 พระองค์ทรงใช้ปัญญา ที่บำเพ็ญบารมีมาจนเต็ม รู้ตื่น รู้แจ้งโลก
อย่างพุทธะ ใช้ปัญญาแก้ไขสถานการณ์ และพลิกแพลงเหตุที่กระทบเข้ามา
ให้เป็นไปในทางที่ดี และคลี่คลายออก
พระพุทธองค์ทรงใช้พระปัญญา ในการเอาชนะหมู่มารและศัตรู เอาชนะมารกิเลสตัณหา
ทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย ที่เข้ามากีดขวางการประกาศธรรมของพระองค์
และพระองค์ทรงชนะประการที่ 5 ด้วยการนิ่งเฉย
พระองค์ทรงนิ่งเฉย อุเบกขา อยู่อย่างรู้ตื่น มองเหตุทั้งหลาย. ดำเนินตามเหตุ
เป็นไปตามเหตุ และดับไปตามเหตุ
พระองค์ทรงมีพุทธชัยมงคล ที่เป็นชัยชนะแห่งพุทธะ ที่อาศัยเพื่อชนะมาร 5 ประการ
ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระองค์ ทรงชนะด้วยการบำเพ็ญบารมีเต็ม
ชนะด้วยการเอาความดีเข้าสู้ ชนะด้วยขันติบารมี ปัญญาบารมี และอุเบกขาบารมี
พระพุทธเจ้าข้าฯ ลูกได้รับรู้ถึง พุทธะชัยมงคล ที่พระองค์ทรงใช้ในการรบกับมาร 5
ประการ เช่นนี้ เป็นรหัสธรรมที่ 6
หลังจากนั้น ลูกก็ได้เดินทางมาที่ จ. สกลนคร วัดหลวงปู่มั่น พระพุทธเจ้าข้าฯ
วัดที่หลวงปู่มั่นท่านจำวัดอยู่ และท่านประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญความเพียรอยู่ในวัดแห่งนั้น
เป็นที่ที่สำคัญที่หนึ่ง ที่ท่านประทับเมื่อทรงมีชีวิตอยู่ และทรงประกาศพระธรรมของ
พระพุทธองค์อยู่ ลูกจึงเดินทางมาที่วัดแห่งนั้น เพื่อที่จะประกาศธรรมของพระองค์ และ
เพื่อที่จะน้อมฟังธรรม จากรหัสธรรม ข้อที่ 7
ขณะที่เดินทางมา ก็ได้แผ่เมตตา และมีความปิติยินดีในธรรมที่เกิดขึ้น
ประกาศธรรมนั้นแก่ภพภูมิทั้งหลาย ดวงจิตทั้งหลายให้รู้ตาม รู้ตื่น
และเดินทางมาจนถึงที่ วัดป่าหนองผือ
แล้วลูกก็ได้เข้ามากราบกุฏิของหลวงปู่มั่น พร้อมทั้งถอดรหัสธรรมในขณะที่มา
ลูกได้ทำความเข้าใจ และถอดรหัสธรรม ได้อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้ทรงธรรม 7 ชั้น ผู้ทรงธรรม 7 ขั้น จะต้องมี 7 ประการ ดังนี้ คือ
*3 ประการ – ทรงธรรมภายใน*
*3 ประการ – ทรงธรรมภายนอก*
ผู้ทรงธรรม 7 ชั้น ต้องทรงธรรมทั้งหมด 7 ประการ
3 ประการแรก :
เมื่อหูได้ยิน - ธรรมนั้นเข้าหู
เมื่อถึงใจ - ธรรมนั้นถึงใจ เข้าใจ
เมื่อถึงจิต - ธรรมนั้นถึงจิต
บุคคล จะต้องฟังธรรม เข้าหู เข้าใจ และเข้าไปในจิต
จึงถือว่า เป็นผู้ทรงธรรมภายใน 3 ประการ
บุคคลจะต้องทรงธรรม 3 ประการ ภายนอก คือ
การพูดออกไป การประพฤติ การปฏิบัติตน และกระทำออกไป
คือ สำเร็จผลที่ทำปรากฏผลไว้ เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
คือ พูด ทำ และผลที่ปรากฏ คือ 3 ประการภายนอก และถอยออกมาอยู่ตรงกลาง
เห็นธรรม 3 ประการภายใน ธรรม 3 ประการภายนอกเป็นธรรมดา อย่างรู้ตื่น
จะต้องทรงทั้งหมด 7 ประการนี้ เรียกว่า ผู้ทรงธรรม 7 ขั้น หรือทรงธรรม 7 ประการ
เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
และจึงถือว่า บุคคลผู้ทรงธรรมเช่นนี้แล้ว
*เป็นผู้ที่มีจุดยืนที่ชัดเจน ในพระธรรม*
*เป็นผู้มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง*
*เป็นผู้ทรงธรรม*
*เป็นผู้พ้นเขตอันตราย จากการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสาร*
เช่นนี้ พระพุทธเจ้าข้าฯ
ลูกได้บรรลุธรรม ถอดรหัสธรรม ในขั้นที่ 7 ได้มาเช่นนี้ จึงทำให้ลูกบังเกิดความปิติยินดี
ใจยิ่งนัก เพราะลูกได้ทราบว่า บัดนี้. ลูกเป็นผู้ทรงธรรม 7 ประการ
เป็นผู้ถอดรหัสธรรม 7 ประการ เป็นผู้ทรงธรรมปิฎก
เป็นผู้ที่ได้รับบัวหลวงแห่งธรรมะปิฎก บัวหลวงทองคำจากพระองค์
และเป็นผู้ที่จะประกาศธรรม ในรูปแบบใหม่ต่อไป
ที่ละเอียดประณีต และสำคัญยิ่งนัก คือ การประกาศธรรม 3 ชั้น
ต่อจากนี้ไป จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประกาศธรรมใหม่..
ลูกพอจะทราบ และเข้าใจเช่นนี้ ลูกจึงยินดียิ่งนัก พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : ก็ดีแล้วหละ... พระยาธรรม
ลูกสามารถดำเนินมาได้จนถึงจุดนี้ ก็ถือว่าดี ดีจริงๆ
ดีพอที่จะเป็นการสรรเสริญกึกก้องโลกเลยทีเดียว
เพราะถือว่า เป็นผู้ที่สามารถนำธรรมลงสู่โลกได้สำเร็จ ละเอียดเป็นขั้นๆไป
เอาละนะ. ทีนี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว ในรหัสงานที่ต้องทำต่อไป
แล้วก็ถอดได้ ในรหัสธรรม ทั้ง 7 ประการ
ทีนี้ ลูกก็ค่อยแสดงธรรม ไล่ตามทีละหัวข้อ ในธรรมที่ลูกถอดรหัสออกมาได้ 7 ประการ
ประการละ 3 ชั้น และก็ค่อยหยิบยกข้อธรรมปลีกย่อยที่ได้มาระหว่างการเดินทาง
มาแสดง แสดงหัวข้อละ 3 ชั้น ค่อยๆไล่แสดงตามลำดับไป
ก็แล้วกันนะ.. พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม :: สาธุ เจ้าคะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตา
ลูกจะเริ่มต้นการแสดงธรรมนั้น ต่อจากนี้ไป เป็นตอนที่ 1 คือ ธรรมะไตรปิฎก
จะเริ่มแสดง 3 ชั้น ต่อจากนี้ไป ลูกจะเริ่มต้นเป็นคลิปที่ 1 พระพุทธเจ้าค่ะ....สาธุ
รู้หน้า ไม่รู้ใจ อยู่กับ Direk Jinda
6 ชม. ·
#จิต ที่ไม่รู้จัก #จิต ?
ว่าที่แท้ของสภาวะ #จิต ที่แท้ของตนจริงๆแล้วมันก็คือ ธรรมชาติ ที่แปลสภาวะออกมาเป็นรูปของ #ธาตุต่างๆ..
จิตแปลสภาวะมาเป็นเพียง #ธาตุหนึ่ง เท่านั้น !
เมื่อ #จิต ไม่รู้จัก สภาวะ #จิต ของตนเอง ?
จิตมันจึงไม่ยอมรับจิต..ว่าตัวจิตเองนั้นเป็นเพียง ธรรมชาติ ที่แปลสภาพมาเป็นเพียง #ธาตุ..#ธาตุๆ ต่างๆเท่านั้น !
เหตุนี้เอง #จิต จึง #หลง ในอาการของตัว #จิต เอง !
และด้วยเหตุนี้เอง..#จิตจึงหลงในสภาวะแท้ ของตัวจิตเองไปโดยปริยาย ?
และเหตุนี้เอง..!
สัตว์ตานังทั้งหลายจึงพากันมาหลงในอาการของ(#จิต , #ธรรมชาติ,#ธาตุ #จักรวาล กันเอง )
🌏🍃☄🌱🌗
(เหตุที่ทุกท่านมี #ภพ ก็เพราะพวกท่านมาพากัน #หลงธาตุ #ธรรมชาติ ของตัว #จิต เอง ?
เหตุเพราะพวกท่านไม่รู้จักอาการของ #ธาตุ ที่มันมาแสดงให้พวกท่านดู !
เมื่อพวกท่าน #หลงในอาการธาตุ พวกท่านจึงมี #ภพ ในทุกๆขณะๆจิตกันนั่นเอง)
เหตุนี้แล..ที่เป็นอาการของจิต..ที่ไม่รู้จัก #สภาวะแท้ๆของจิต ?
จิตไม่รู้จักจิต เพราะจิตไม่รู้ว่าจิตเป็นเพียง ธรรมชาติที่แสดงสภาวะออกมาเป็น #ธาตุต่างๆเท่านั้น..!
เช่น..#ธาตุ๑ว่าง(จิต) ๒ #ธาตุแข็งๆ(ดิน)๓ #ธาตุเหลวๆ (น้ำ)๔ #ธาตุพลิ้วไหว (ลม)๕ #ธาตุอุ่นร้อน (ไฟ)
🍃เอ☄วัง🌗
Cr.บทธรรม..หนึ่งคนกลางคืน
สอนดูใจ ดูที่ใจ เห็นใจ
ดูมาที่ใจ เห็นสิ่งที่ประกอบใจ ใจสงบ ไม่สงบ หลุดพ้น ไม่หลุดพ้น เวลามีสติสัมปชัญญะเข้าไปกํากับ ดูความปล่อยวาง สิ่งที่สําคัญต้องดูให้เป็น ไม่ใช่ไปเติมเชื้อให้กิเลส " ให้มีสติกําหนดรู้อย่างปล่อยวาง " หากดูใจผู้รู้ได้ด้วย จะยิ่งดี รู้ใจที่รับรู้ รักษาใจผู้รู้ รู้ปล่อยวาง
หลวงพ่อสุรศักดิ์
จากที่เราขับเคลื่อนไปตามแรงกิเลสต่างๆ..
เปลี่ยนเป็นขับเคลื่อนด้วยความตื่นรู้ได้เนี่ย
ศักยภาพมันจะต่างกันมากโยม..
เหมือนคนที่ตกเป็นทาสของมัน
กับคนที่เป็นเจ้านายของมัน มันต่างกันมาก..
"ทุกอย่างมันพัฒนาได้ถ้าเราพัฒนาสติ"
เปลี่ยนจากใจที่มันหลงเพลินอยู่กับโลก
พลิกมาเป็นใจที่มันรู้ตื่นเบิกบานขึ้นมา
อยู่กับความตื่นรู้อยู่เสมอๆ
จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็มีสติรู้ตื่นอยู่เสมอ
สติของเราก็จะมีกำลังที่มั่นคงขึ้น
แล้วเมื่อสติมีกำลังเพียงพอ..
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
"เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง"
เกิดสภาวะวิปัสสนาญาณ..
เกิดการแยกธาตุแยกขันธ์ เป็นของใครของมัน
..มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน
"เกิดการแทงตลอดอริยสัจ 4"
รู้ว่า...
สิ่งนี้..คือ ทุกข์
สิ่งนี้..คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
สิ่งนี้..คือ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
สิ่งนี้..คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
ก็จะมีขีดความสามารถที่จะละอวิชชาได้
เข้าถึงสภาวะธรรมชาติที่แท้จริง
ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้..
"เข้าถึงสุญญตา"
❝ ไม่เชื่อก็ได้
แต่ลองไปสังเกตดู !
เวลาที่เราลืมไปแม้กระทั่งชีวิต แม้กระทั่งตัวเรานี้ เวลานั้นเราสบายที่สุด พอชีวิตมีเมื่อไร ปัญหาก็มีเมื่อนั้น พอรู้สึกว่า ❝ เรา ❞ มีขึ้นมาเมื่อไร ปัญหาก็ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อนั้น เวลาที่จิต ไม่รู้สึกว่า..มีชีวิต มีตัวเรา หรือของเรา หรือ มีอะไร เป็นเวลาที่สบายที่สุด
.
อย่างน้อย เมื่อเราไปเดินอยู่ชายหาด ชายทะเลตามภูเขาตามอะไรก็ตาม มันลืมตัวเรา ลืมชีวิต ลืมการงานของเรา ลืมทุกอย่าง มันเลยรู้สึกสบาย แต่นั่นมันเป็นสิ่งอื่นแวดล้อมและชั่วคราว ทีนี้เรามาทำให้เป็นอย่างนั้นอย่างถาวรด้วยการกระทำที่เป็นเทคนิคทางธรรมนี้ มันก็จะมีความสุขทำนองนั้นเหมือนกัน แต่ว่า..มากกว่านั้น ถาวรกว่านั้น กระทั่งตลอดไปทีเดียว นี่..ภาวะแห่งความดับสนิทแห่งทุกข์ นั่นคือภาวะที่มีหรือปรากฏในขณะที่..ไม่มีตัณหา ❞
พุทธทาสภิกขุ