เนื่องจากข้าพเจ้า.. เปิดไปเจอภาพ หลวงปู่ท่านหนึ่ง ตามภาพมีนามว่า "หลวงปู่สิงขร" ดูภาพแล้วรู้สึกสบายใจจัง ในจิตคิดอยากจะถวายบุญท่าน ก็เลยทำสมาธิ แล้วถวายบุญตามครูบาอาจารย์สอนไว้ ในขณะที่ถวายบุญอยู่ก็เหมือนเข้าสมาธิต่อ.. เห็นพระสงฆ์หลายรูป เดินเรียงแถวเข้าไปในถ้ำ
แต่ตัวข้าพเจ้า..ไม่ได้เข้าไป ได้แต่..ยืนมองเฉยๆๆ ก็ถอยออกจากสมาธิมาแบบงงๆ เลยมาหาข้อมูลของหลวงปู่ท่าน.. ได้รู้ประวัติบางส่วน...
^^ คาถาปู่สิงขร ^^
ปู่สิงขร ท่าน เกิดจากการนิรมานกาย ขององค์ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ ท่านรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเหล่าพระสงฆ์ทั้งมวล ช่วยเหลือพระศาสนา
ปู่สิงขรได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จากพระศรีอริยเมตไตร ช่วยงานหลวงปู่ใหญ่
ปู่สิงขรท่าน เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
ปู่สิงขร เคยนิรมานกายลงมา เป็นนักบวชชาวพม่า นามว่า “โพมิงอ่อง” ชาวพม่า เคารพนับถือมาก เหมือนดัง หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรของบ้านเรา
ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ สมัยพุทธกาล ได้บวชเป็นสามเณร ชื่อ “ชินนะ” เป็นศิษย์ของพระโมคคัลลานะ อายุ 7 ขวบก็สำเร็จอรหันต์..ท่านทิ้งสังขาร..ตอนอายุ 23 ปี 6 เดือน..เพราะมีผู้หญิงมาชมชอบในกายเนื้ออันงดงาม ถึงขั้นมากอด..ท่านจึงถอด กายทิพย์ของท่าน (ทั้งที่ไม่ถึงอายุขัย)
กายทิพย์ของท่าน...จึงไปได้แค่ชั้นพรหมโลก .เรียกข้างบนว่า .”ท้าวมหาพรหมชินะปัญชะระ”.. เป็นผู้รอบรู้พิธีการต่างๆของโลกวิญญาณ ..และเป็นอาจารย์ ของหลวงปู่โต พรหมรังสี..ที่นำคาถา ชินบัญชร..มาเผยแพร่ จนหลายคนรู้จัก..
คาถาปู่สิงขร
นะโม เม สัพพะเทวานังสะมาโส
อะเวโร มหา การุณิโกสะมนุสสา
อฐิษสะฐานา ปะกาเสสิ
ปะกาสิตตังอริยะสัจจัง
เทวะตานังปะการาจะ
ปัจจุปันโน จะอะนาคะโต
มังคะละการังตะถิตถะติ
สุมังคะลังสุปัตติตัง
สุปะภาทังสุขาวะหัง
สุขะพะลังอายุวัณณัง
สุขิยะสา
สาธุสุเทวตาอารักขาประสิทธิเม
สัพพะสิทธิภวันตุเม สุสาอาหะ
(สวดจบแล้ว อฐิษฐานขอพร ตามปรารถนา)
****เมื่อเสร็จสิ้นการสวดมนต์ กล่าวบทกรวดน้ำ แผ่อุทิศรวมทั้งแผ่เมตตา
แล้ว จึงท่อง มนต์บทนี้ ท่องเสร็จ ขอพรได้๑ข้อ ..เมื่อได้สำเร็จผลแล้วค่อยอฐิษฐานขอข้อใหม่..
** อนึ่ง มนต์บทนี้ สวดบ่อยๆ..เหล่า เทวดาอารักษ์ สัมมาทิฐฐิ จะมาช่วยเหลือเกื้อกูล เกิดอัศจรรย์นิมิตร
จักรวาลมีกี่มิติ
เป็นคำถามที่ให้คำตอบได้ยากมากค่ะ
มิติเป็นเรื่องของความสั่นสะเทือน
ความหนาแน่ และเวลาซ้อนทับ
ขอเขียนคร่าวๆ ถึงมิติที่ 1-7
ไว้พอสังเขป กันงงไว้ก่อน
เรียบเรียงยังไงไม่ให้งง
ขึ้นต้นให้ดีๆ หลับตา .. นั่งตัวตรงๆหลังตรงๆ ให้มีสติอยู่กับตัว
ดูลมหายใจเข้า-ออก ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไร
เหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป
ว่าลมหายใจเดินไปทางไหนก็เห็นรู้ๆ
ไม่ต้องไปคิด ดูลม เห็นลม
#เห็นก็ไวได้ยินก็ไวเกิดเดี๋ยวนั้นรู้เดี๋ยวนั้น
นั่นเรียกว่า #วิญญาณ คือ #ธรรมชาติรู้เห็นธรรมดาได้ยินธรรมดารู้ธรรมดา
เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ
พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา
#ดีก็ธรรมดาไม่ดีก็ธรรมดากลางๆก็ธรรมดา
ก็เหมือนฝ่ายวัตถุมีไฟฟ้าบวกไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ ทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง
ร่างกาย วัตถุ คิด นึกรู้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที เรียกว่าขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตรธรรม #เห็นก็สักแต่เห็นวางไปไม่ยึดถือดับความยึดจึงจะไปรอดด้วยสติ
ตัวสติแท้ๆ เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก
#ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบแปล็บเดียวมันก็เห็นหมด
แลบหนเดียวไม่แลบมาก
#เจริญสติหนทางเดียวไปรอดเห็นได้ยินรู้ก็สักแต่รู้
ไม่ไปถาม ไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติ เป็นเรา เป็นเขา
พระเจ้าไม่มี เป็น fact [ ความจริง ] ไม่ใช ่fiction [ สิ่งที่คิดปรุง จินตนาการ แต่งขึ้น ]
เสียงถูกหูได้ยินปั๊บนี่เป็น fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็นfact
ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา
ไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกันไม่ต้องไปหยุด
วิญญาณดับไป ๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ
ไม่มีเรื่องมันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว
เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้ว จะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง กินหรือเปล่า กินกับอะไร
ไม่ต้องไปคิดแล้ว สำเร็จแล้วนี่ จะไปสงสัยอะไร
ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร
จุดหมายปลายทางคือทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด
ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว
#การภาวนาเป็นกุศลสูงสุดเป็นกุศลชั้นเยี่ยม
#ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิเป็นบุญชั้นเยี่ยมยิ่งกว่าทานและยิ่งกว่าศีล
พระพุทธเจ้าทรงเรียก อริยะทรัพย์ แจกเท่าไหร่ไม่หมด
...
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
เรื่อง “พระสุภาเถรีภิกษุณี พระเถรีผู้แกร่งกล้า”
อิสตรีผู้ครองเพศพรหมจรรย์มุ่งหวังความหลุดพ้น
กับพาลชนผู้ลุ่มหลงกามารมณ์
๏ บรรลุอนาคามีผลภายใน ๓ วันหลังออกบวช
ภิกษุณีนางหนึ่งอาศัยป่าด้านทิศใต้เป็นที่หลีกเร้นในวัดเชตวัน นางพรางคิดว่าก่อนบวชเราศรัทธาในพระศาสดา เห็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาอยู่แค่เอื้อม สละทรัพย์สมบัติจากตระกูลพราหมณ์ที่มหาศาลผู้เป็นบิดา สละจากกุลธิดาผู้พรั่งพร้อมมาขอทานประทังชีวิต สละความงามที่ไม่มีใครปานมาเป็นภิกษุณี ผู้อยู่แต่เดียวดาย แม้ผิวพรรณแต่ก่อนเป็นดั่งทอง แต่เดี๋ยวนี้กลับหมองคล้ำไป "สุภา" สุภาชื่อเราที่ใครๆ นิยมชมชื่นว่างามยิ่งในราชคฤห์ อีกไม่กี่วันเขาก็คงลืมหาย นางพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ ประคองจิต และสติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรางรำลึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสายวานนี้ เพื่อเทียบกับใจและความเพียรที่กำลังเพ่งพิศอยู่ พระธรรมเทศนาของพระศาสดานั้นช่างโดนใจของนางเสียเหลือเกิน ในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่นั้น นางย้อนรำลึกถึงพระธรรมเทศนาประดุจธาราที่หลั่งไหลมาจากภูเขาสูงซัดสาดเอาสิ่งสกปรกทั้งหลายมาด้วย
พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมฆคือฟ้ามี ๔ อย่างคือ
๑. ฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
๒. ฝนตกแต่ฟ้าไม่คำราม
๓. ฟ้าไม่คำราม ทั้งฝนก็ไม่ตก
๔. ฟ้าคำรามด้วยทั้งฝนก็พลอยตกด้วย
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้คือ
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ เป็นคนดุจฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบพูด เป็นคนประดุจฝนตกแต่ฟ้าก็ไม่คำราม
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่ชอบพูดด้วยทั้งไม่ชอบทำ เป็นคนประดุจฟ้าไม่คำรามและทั้งฝนก็ไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดด้วยและชอบทำด้วย เป็นคนประดุจฟ้าคำรามด้วยและฝนก็พลอยตกลงไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายบุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้ จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ บุคคล ๔ จำพวกที่พระศาสดาตรัสไว้ เราจะถูกจัดไว้ในจำพวกไหนในเวลานี้หนอ นางพรางคิดแล้ว น้ำตานางก็เอ่อออกจากเบ้าตา นางพรางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดาเพื่อย้ำเตือนจิตใจ เพื่อต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำที่ย่ำยีหัวใจมาช้านาน
นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอุทานเบาๆ ว่า โอ! ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เอง เราจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะเพศภาวะใดๆ ก็ตาม มันก็คงตามรังควานจิตใจของเราอยู่เสมอ ตราบใดที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้โง่เขลา ทั้งๆ ที่หลงระเริงว่าตัวเองฉลาด
จิตใจของนางโปร่งโล่งเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ความศรัทธาของนางเกิดขึ้นต่อพระศาสดาเมื่อคราวพระองค์เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนบวชเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะคือการบวชเป็นทางชีวิต บวชในสำนักของนางภิกษุณี นามว่า "ปชาบดีโคตมี"
สุภาภิกษุณีตั้งใจบำเพ็ญสมถะวิปัสสนา โดยยึดเอาหัวข้อธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมาพิจารณา โดยกาลไม่นานนักเพียง ๓ วัน แห่งการอุปสมบทเป็นภิกษุณี นางก็สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา บัดนี้ใจของนางมีคุณธรรมเป็นเครื่องรองรับแล้ว กิเลสที่เคยก่อกวนใจให้หักเห บัดนี้ไม่มีแล้ว นางจึงเหมือนวัวตัวแรกพร้อมที่จะออกจากคอกคือวัฏฏะที่รุมล้อมจิตใจมานานแสนนาน ถึงนางยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่ทุกข์นั้นก็มีน้อยเต็มที
๏ พระสุภาเถรี ประสบกับนักเลงเจ้าชู้ ยืนดักหมายจะขืนใจ
สุภาภิกษุณีอยู่วัดเชตวันได้ ๑๐ พรรษา เป็นพระเถรีแล้ว แต่ความงามและเรือนร่างยังเป็นที่ติดตาตรึงใจสำหรับบุรุษผู้ไม่เบื่อในกามทั้งหลาย พระสุภาเถรีเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม ถึงเป็นภิกษุณีก็เป็นที่ปองหมายของบุรุษวัยแรกหนุ่มและวัยแก่ในเมืองราชคฤห์
อยู่มาวันหนึ่งพระเถรีปรารถนาจะหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เนื่องจากมีที่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมากนักเป็นสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจเป็นที่สบายน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งเพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ขณะที่นางกำลังเดินไปพักกลางวันที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ ชายนักเลงหญิงคนหนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นหนุ่มแรกรุ่น เป็นลูกชายของนายช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นผู้ชอบเที่ยวมัวเมา มองเห็นพระเถรีเดินทางสวนมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทางกั้นไว้ด้วยหมายจะขืนใจ
พระเถรีจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรของนายช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางทางข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิง การปฏิบัติต่อสตรีอย่างนี้มันไม่สมควร บุรุษไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีด้วยอาการเยี่ยงนี้ ดูก่อนท่านพ่อหนุ่ม ผู้ชายไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย และหญิงก็ไม่ควรถูกต้องชายที่บวชแล้ว หญิงที่บวชแล้วและชายที่บวชแล้วก็ไม่ควรถูกต้องซึ่งกันและกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงการถูกต้องผู้ชายเล่า
แม้โดยจารีตของโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวชไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวผู้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชาย แม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอกโดยอำนาจราคะเลยทีเดียว สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ เฉพาะภิกษุณีทั้งหลายไว้ในศาสนาที่หนักดังฉับหินคือ ที่ควรเคารพ เหตุไรท่านจึงมายืนกั้นขวางทางเราผู้กำลังจะเดินไป ผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วยสิกขาเหล่านั้นไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ส่วนท่านสิเป็นผู้มีจิตขุ่นมัวสกปรกไม่สะอาด มีธุลีคือราคะเป็นต้นทับถมจิตใจ
ท่านพ่อหนุ่ม เพราะเหตุไรท่านจึงมายืนขวางทางเราเพื่อจะปลุกปล้ำ เราเป็นหญิง เราเป็นผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวแล้วปราศจากราคะ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งมวล ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง พระเถรีกล่าวขึ้นดังๆ เพื่อกลบความเงียบสงัดในไพรสณฑ์ ท่านเคยเห็นพระศาสดาและฟังธรรมของพระองค์บ้างหรือ พระองค์เคยตรัสว่า อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง ๙ มีช่องหู มีช่องจมูก น่ารังเกียจ เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งเชื้อโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอๆ เจ้าของกายจึงต้องขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือ ๒ วัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ"
เมื่อพระเถรีกล่าวจบลง บุรุษหนุ่มผู้บ้ากามนั้นก็หาคลายความกำหนัดลงแต่อย่างใดไม่ แววตาแห่งกามและกริยาที่กำหนัดนั้นแสดงออกมาทางไตรทวาร เมื่อพระเถรีสังเกตเห็นกริยาดังนั้น จึงกล่าวขึ้นเพื่อตอกย้ำว่า
ท่านหนุ่ม ผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง การที่ท่านประสงค์จะข่มขืนปลุกปล้ำหญิงที่อ้อนแอ้นไร้พละกำลังในการต่อสู้เช่นเรานี้ เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง อารามเชตวันที่พระศาสดาทรงประทับอยู่ก็ไม่ไกลจากที่แห่งนี้นัก การที่ท่านปรารถนาจะทำกรรมอันน่าบัดสี พระองค์ต้องทรงทราบอย่างแน่นอน เราเป็นภิกษุณี เป็นบุตรีของพระศาสดา ไฉนพระองค์จะไม่ทรงทราบกรรมอันจะนำท่านไปสู่นรกเช่นนั้น
ท่านเอย ! ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้หาได้ด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไปไม่ทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลลื่นไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกหามเอาไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองความงามแต่ด้านภายนอกนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวโลกีย์ของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้น เขาได้แบกก้อนหิน วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตชนิดที่ไม่รู้จักปลงวาง"
เมื่อสุภาภิกษุณีกล่าวจบลงท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าใหญ่ บุรุษผู้มีความใคร่ได้นางไว้เชยชมหยุดนิ่งท่ามกลางทางแคบๆ ที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ท่านเอยจะมีอะไรหละที่บุรุษต้องการจากสตรีนอกจากได้นางมาเป็นของตน และเชยชมสมใจที่กระหายอยากได้อยากสัมผัส
บุรุษหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทองจึงกล่าวขึ้นว่า "แม่นาง ท่านยังเป็นสาวทั้งรูปร่างก็สวยไม่สร่าง การบวชเป็นภิกษุณีไม่เห็นมันจะดีตรงไหน ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ท่านจงเปลื้องจีวรทิ้งเสียเถิดนะ อันผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดสีหมองคล้ำไม่เหมาะกับแม่นางผู้สง่างาม แม่นางต้นไม้ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้ดูแล้วน่ารื่นรมย์โชยกลิ่นดอกบานสะพรั่งหอมไปทั่วป่า ฤดูนี้เริ่มฤดูฝนเป็นฤดูมีความสุข ถ้ามีการสัมผัสกัน สัมผัสนั้นคงเป็นที่สบาย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย เราก็คงลืมไปสิ้น มาสิแม่นางมาร่วมรักกัน มาอภิรมย์กัน อย่าหุนหันและขัดขืน
ถ้าเราทั้ง ๒ ได้ร่วมรักกันในป่านี้ คงไม่มีอะไรน่าปรารถนายิ่งไปกว่า แม่นางต้นไม้ทั้งหลายยอดออกดอกบานสะพรั่งแล้ว ต้องลมไหวระริกดังจะมีเสียงคร่ำครวญ แม่นางเข้ามาอยู่ในป่าเพียงคนเดียวไม่เห็นจะมีอะไรน่ายินดีเลย บุรุษหนุ่มพูดจบพร้อมขยับเข้าไปใกล้ๆ เหมือนได้ใจในวาทะตนที่คมคายพร้อมกับกระหยิ่มภายในใจว่า ตนนั้นสามารถครองใจสตรีเพศได้โดยไม่ยากเย็น แม่นาง เขากล่าวขึ้นอีก ป่าใหญ่หมู่สัตว์ร้ายๆ อาศัยอยู่ เขาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทางแห่งผู้เจนจัด ป่านี้คลาคล่ำไปด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือเป็นต้น มักมาซุ่มทำร้ายและกินคนในที่นั้นๆ แม่นางไม่มีเพื่อนยังปรารถนาจะอยู่ป่าต่อไปอีกหรือ"
เมื่อเขาพูดจบลงพร้อมกับแสดงท่าทีว่านางภิกษุณีจนในปัญหา และเห็นสิ่งที่ตนบรรยายมาเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ ธรรมชาติของผู้ชายมักเข้าข้างตัวเองเสมอ ผู้ชายโดยทั่วๆ ไปมักเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นสตรีมองก็ทึกทักเอาว่าเขารักตัว ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สุภาภิกษุณีครุ่นคิดด้วยความมีสติและพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นางคิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรนางจะรอดพ้นจากการปลุกปล้ำข่มขืน นางกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวความเศร้าหมองแห่งเพศพรหมจรรย์ แต่ที่สำคัญนางไม่อยากเป็นต้นเหตุให้บุรุษผู้นี้จมลงสู่ท้องอเวจีไม่มีวันเห็นแสงสว่างแห่งพระธรรม ความนิ่งความอ่อนโยนทำให้บุรุษผู้ร่านราคะนั้นตายใจและผ่อนคลายลงไปได้บ้าง บุรุษผู้บ้ากามนั้นก็พลันหันมามองนางเหมือนตุ๊กตาที่เด็กนิยมชมเล่น แม่นางผู้มีความงามสุดที่จะเปรียบเปรย บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อให้นางเกิดกำหนัดและโอนตาม แม่นางช่างนิ่งงามเหมือนตุ๊กตาซึ่งนายช่างทองที่ฝีมือวิจิตรบรรจงสร้างขึ้น รูปร่างและจิตใจเป็นประดุจเทพอักษร ไม่มีหญิงใดงามเท่า ถ้าแม่นางทำตามใจของข้าพเจ้า แม่นางจะได้รับความสุข โจรล่าสวาทหนุ่มพูดจบลงแล้วยืนมองใบหน้าอันงามของสุภาภิกษุณี
นางกล่าวขึ้นอีกว่า "ท่านพ่อหนุ่ม การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างเดียว เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใดๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัตินี้แล รึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่หย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือบุตร ภรรยา สามี และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เหล่านี้เป็นเหยื่อของโลก
เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกไม่ได้เลย ไม่มีรูปใดที่รัดรึงตรึงใจของบุรุษได้เท่ากับรูปแห่งสตรี และไม่มีรูปใดที่จะรัดรึงตรึงใจของสตรีได้มากเท่ากับรูปแห่งบุรุษ แนะ ท่านบุตรแห่งนายช่างทอง เสียงเบาๆ แห่งนางภิกษุณีผู้กำลังกล่อมเกลาบุรุษให้คลายความกำหนัดเอื้อนเอ่ยขึ้น นางพูดพร้อมพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้าเพื่อระลึกถึงพระศาสดา มือน้อยๆ ที่เรียวงามของนางบรรจงวันทาและอัญชลีทำให้บุรุษอลัชชีผู้ไม่ละอายเกรงกลัวไปได้บ้าง
ท่านหนุ่มเอย บุคคลผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายเวียนทุกข์อยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ก็ย่อมประสบทุกข์อยู่ร่ำไป กิเลส กรรม และวิบากมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าเพศและภาวะใด แน่ะ ! ท่านหนุ่ม มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกิยารมณ์ ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในกาม ทรัพย์ สมบัติ ชาติตระกูล ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่ อำนาจและความทะนงตน ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยตาฝ้าฟางมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรมและความจริงแห่งชีวิต
นางพูดจบแล้วเงยหน้าขึ้นดูบุรุษนั้นหน่อยหนึ่ง ความดีและคนดีประดุจน้ำที่สะอาด สุภาภิกษุณี เธอเป็นหญิงที่ดี สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ น้ำที่สะอาดย่อมเป็นที่ยินดีของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายฉันใด กาย วาจา ใจที่สะอาดของนางย่อมทำให้นางปลอดภัยได้ฉันนั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว บุคคลย่อมขาดอำนาจเพราะปราศจากการประพฤติธรรม แต่ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่พินาศไปเพราะเหตุใดๆ
ชายหนุ่มยืนนิ่งฟังนางภิกษุณีสาธยายแบบทัพพีไม่รู้รสแกง "ท่านเอยกิเลสนั้นมีกลมายาเล่ห์เหลี่ยมเสมอ บางทีทำเป็นรักแต่กลับชัง บางทีทำเป็นชังแต่กลับรัก บางทีต่อหน้าทำเป็นดีแต่ลับหลังกลับเชือดเฉือน กิเลสมักมีเล่ห์เหลี่ยมและกลมายาเสมอ"
เขาจึงพูดขึ้นว่า "แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินรีเอย เชิญท่านมาอยู่ครองเรือนกับข้าพเจ้าเถิด แม่นางจงละการอยู่โดดเดี่ยวเพียงคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ในเพศพรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ มาอยู่ครองเรือนกัน คนทั้งหลายในโลกนี้ เขาก็อยู่ครองเรือนกัน ท่านจะอยู่เดียวดายไปทำไม แม่นางจะได้อยู่ในปราสาทอันปราศจากลมพาล เป็นเสมือนวิมาน มีสาวใช้คอยทำการรับใช้ จะได้นุ่งห่มผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียด แล้วประดับตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ผิวพรรณ แม่นางเอย ! ดอกอุบลที่ผลุบโผล่ชูพ้นน้ำ ตั้งอยู่บานแล้วไม่มีหมู่มนุษย์ชมเชยแล้วฉันใด แม่นางก็เป็นสาวพรหมจารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นางยังไม่มีใครชมเชยก็จะชราล่วงโรยไปเสียเปล่าๆ"
ไม่ว่านางสุภาภิกษุณีจะอธิบายอย่างไร ท่านหนุ่มก็แก้ปมได้อย่างนั้น ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแสโลก แต่กิเลสมักเลื่อนไหลลงสู่ที่ต่ำและวิ่งตามกระแสโลก ผู้ประพฤติธรรมกับผู้ประพฤติกิเลสจึงเดินสวนทางกันไม่มีวันที่จะจับมารวมกันได้ นางภิกษุณียินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อธรรม แต่ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มกับเป็นผู้มีความหลงยินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกิเลส นางภิกษุณีไม่รู้จะทำประการใด จะไปก็ไม่ได้ นางอยากจะหนี หนีไปให้พ้น หนีให้พ้นจากคนใจบาป แต่นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นางจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง กรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ดี ควรละเว้นเสีย ท่านพ่อหนุ่ม ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เคยเป็นกษัตริย์ สละราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระองค์ยังอยู่ในวัยหนุ่ม มีเกศายังดำสนิท ถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษผู้ตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้
ร่างกายนี้ไม่นานนักก็จะนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า อันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี แน่ะ ! ท่านผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง ในร่างกายนี้เต็มไปด้วยซากศพ อันจะถูกทอดทิ้งไว้ในป่าช้ารังแต่จะรกป่าช้า ร่างกายนี้มีการแตกสลายไปเป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านพ่อหนุ่ม ข้าพเจ้าขอถามท่านจริงๆ ท่านเห็นสิ่งใดในตัวข้าพเจ้าแล้วยินดีพอใจ ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด"
เมื่อนางภิกษุณีมีวาทีที่เปิดทาง ดูเหมือนหนุ่มเจ้าชู้จะได้ใจ เขารีบตอบทันทีว่า
"นัยน์ตาของแม่นางงาม นัยน์ตาของแม่นางงามที่สุด ความรักของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะเห็นดวงตาทั้งคู่ของแม่นาง กามคุณย่อมกำเริบแก่ข้าพเจ้าโดยยิ่งเพราะเห็นหน้าและนัยน์ตาของแม่นาง ดวงตาของแม่นางเหมือนปลายดอกอุบลแดง ปราศจากมลทิน งามดั่งแผ่นทองคำ แน่ะ! แม่นางผู้เป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ผู้มuนัยน์ตาบริสุทธิ์ทั้งยาว ทั้งกว้าง แม้ข้าพเจ้าจะเดินทางไกลสักเท่าใด ก็จะไม่นึกถึงอะไรอื่น จะนึกถึงดวงตาทั้งคู่ของแม่นางเพียงเท่านั้น แม่นาง สิ่งอื่นอันจะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าดวงตาของแม่นางไม่ได้มีอีกแล้ว"
"ท่านพ่อหนุ่ม ท่านต้องการและรักนัยน์ตาของข้าพเจ้าจริงหรือ"
"ใช่แล้วแม่นาง ข้าพเจ้ารักนัยน์ตาของท่าน" ขณะบุรุษหนุ่มกล่าวจบลง ทันใดนั้นเอง นางสุภาภิกษุณีใช้นิ้วมือควักดวงตาทั้งสองออกจากเบ้าตา แล้วยื่นให้หนุ่มเจ้าชู้ทันทีพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มเชิญท่านเอาดวงตาที่ท่านว่างามนี้ไปเถิด เราให้ดวงตานี้แก่ท่าน"
บุรุษหนุ่มนั้นมองเห็นพระเถรีควักนัยน์ตายื่นมาให้ตนตามความต้องการ ราคะความกำหนัดยินดีหายไปในทันใด พร้อมกับก้มลงกราบแสดงคารวะธรรมประดุจอสรพิษร้ายถูกถอนพิษ รีบกล่าวคำขอโทษในทันที "ข้าแต่แม่หญิง ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าแต่แม่นางพรหมจารีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่" เขากล่าวขึ้นพร้อมกับพนมมือแสดงอาการศิโรราบ
"ขอความไม่มีโรคพึงมีแก่แม่นางเถิด เบื้องหน้าแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มีการประพฤติอนาจาร จักไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด" บุรุษหนุ่มแสดงอาการหวาดกลัว คำพูดก็สั่นเครือเหมือนจะไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ตนมองเห็น
แน่ะ ! ท่านหนุ่มผู้หลงผิด พระเถรีกล่าวขึ้นทั้งแสดงเมตตาจิตออกมาทางดวงหน้าและกิริยา "ท่านมากระทบกระทั่งบุคคลเช่นข้าพเจ้าก็เหมือนก่อกองไฟที่ลุกโชน เหมือนพยายามจับงูพิษร้าย ความสวัสดีคงมีแก่ท่านบ้างดอกนะ ข้าพเจ้ารับขมาท่าน ขอท่านจงเป็นสุข เป็นสุข"
นางพูดจบก็เดินเลี่ยงบุตรแห่งนายช่างทองผู้หื่นกามนั้นไป ไปยังวัดเชตวันที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์จริงๆ พระศาสดาทรงประทับรอขณะที่นางกำลังเดินทางมา นางเห็นพระศาสดาและพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พร้อมด้วยพุทธบริษัทหมู่ใหญ่กำลังฟังธรรมอยู่ในโรงธรรม ด้วยดวงตาคือญาณ นางคลานเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุญสมภารอันสูงสุด นางปลื้มปีติบันเทิงอยู่ในธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง
พระองค์ทรงแสดงบทธรรมสั้นๆ ว่า "บัณฑิตไม่ควรประกอบกรรมชั่วเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว" พอพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ตาของนางที่มีเลือดไหลอาบอยู่นั้น ค่อยๆ กลับเป็นปกติและหายเป็นปกติดังเดิม นี่เป็นเพราะเหตุอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากพุทธานุภาพ นางอุทานเบาๆ ด้วยความปีติตื้นตันใจ โอ ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น นางพิจารณาธรรมอยู่ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันตี เป็นภิกษุณีพุทธสาวิกาผู้หาได้ยากในโลก และโลกยังจะต้องจารึกชื่อนางไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาสืบไปนานเท่านานว่านางสุภาภิกษุณีนี้เป็นสตรีผู้แกร่งกล้าและหาได้ยากในโลก
.
ภาพวาดโดย เอ ท่องถิ่นธรรม
เรื่อง ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน
คร่าวๆดังนี้ค่ะ
มิติที่ 1
โลกของแร่ธาตุและคริสตัล
ที่มีมาก่อนสิ่งมีชีวิตใด
มิติที่ 2
โลกของเชื้อโรคและพืช
มิติที่ 3
โลกที่พวกเราอาศัยอยู่ในตอนนี้
รูปธรรมมนุษย์
หรืออธิบาย ให้เห็นภาพได้ดังนี้
การทำมาหากินบนพื้นฐาน
ของการยังชีพ โดยยังคง
สัญชาตญาณเพื่อการอยู่รอด
มิติที่ 4
ภพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณ
เข้าถึงรูปธรรมดั้งเดิม
โลกแห่งความฝัน มิติคู่ขนาน
มิติที่ 5
ตระหนักรู้ เกี่ยวกับความรักอย่างไร้เงื่อนไข
รูปธรรมแห่งแสงสว่าง
ความรักต่อตน ต่อสรรพสิ่งรอบตัว
และจากมิติที่ 3 มาถึงมิติที่ 5
มีเพียง 40%เท่านั้น
มิติที่ 6
ตระหนักรู้ ว่าทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน
เป็นมิติของการวางแผนก่อนที่จะลงมาเกิด
ทุกข์และวิบากในชีวิต
คือบททดสอบที่เราเลือกก่อนที่จะมา
มิติที่ 7
ตระหนักรู้ ถึงตัวตนรวม
การเข้าถึงความเป็นพระเจ้าภายใน
รับรู้และเข้าใจ ในบริบท
แห่งการเป็นและมีตัวตน ณ.ทุกช่วง time line
การเลื่อนขึ้นในมิติต่างๆนั้น
ใช่เพียงแต่การยกระดับจิตเท่านั้น
หากอต่เป็นการยกระดับคลื่นสมองด้วย
การจะข้ามผ่านในแต่ละมิติ
คุณจะถูกพัฒนาศักยภาพสมอง
หากคุณย้อนคิดถึงคุณในอดีต
ความคิด ตรรกะต่างๆ
คุณจะเข้าใจในสิ่งที่กล่าวมา
คุณในวันนี้ได้เดินออกจาก
ตัวคุณในอดีตมาไกลมากแล้ว
การนำตนเอง ในมิติที่ 3
เป็นการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้
การเป็นพระเจ้าของตนเอง
ในมิติที่ 6 โดยผ่านการรู้จัก
ตระหนักรู้ในตนเองอย่างลึกซึ้ง
ถึงมิติที่ 4 และมิติที่ 5 มาเรียบร้อยแล้ว
การเป็นพระเจ้าของตนเองนั้น
เป็นความเข้าใจหนึ่งในการพัฒนา
จิตวิญญาณของคุณ
ให้มีความสั่นสะเทือนที่สูงพอ
ที่จะกลับไปยังแหล่งกำเนิดได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามิติที่ 4
เป็นเหมือนช่องว่างระหว่างภพภูมิ
จิตวิญญาณที่หลงทางมักจะติดอยู่ที่นี่
เป็นจุดประสานมิติ ตามองไม่เห็นแต่มีอยู่
การเป็นพระเจ้าของตนเองนั้น
เป็นจิตสำนึกที่ไม่มีการแบ่งแยกกัน
ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าอีกต่อไป
เกิดจากความเข้าใจที่ว่าทุกคน
ทุกสิ่งมีชีวิต สรรพชีวิต
มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ ศาสนา
ไม่มองว่าใครแตกต่างจากใคร
แต่คุณสามารถวิวัฒนาการ
จิตวิญญาณของตัวคุณได้
ถ้าความจริงนี้คือสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาล
คุณก็อาจจะต้องรู้จักความจริงที่เหนือกว่า
นั่นคือความจริงที่ว่า
คุณเกิดมาจากการสะสมความทรงจำ
ในระดับจิตวิญญาณ
และลึกลงไปใน DNA
ข้ามภพข้ามชาติมาจากอดีต
หลายภพหลายชาติ
จิตใต้สำนึกได้สร้างตัวตนขึ้นมา
ในระดับที่เราเรียกว่าอัตตา
หรือความยึดมั่นเป็นตัวเป็นตน
ซึ่งเป็นพื้นฐานจิตวิญญาณทุกดวง
เมื่อรู้พื้นฐานดังกล่าว
การวิวัฒนาการไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกิน
จิตของคนมนุษย์สามารถพัฒนา
ได้ถึงขั้น Being
หรือเรียกว่าสภาวะ
ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล
ในสภาวะนี้ คุณไม่ได้เป็นสิ่งใดเลย
แต่เป็นทุกสิ่ง มิเคยแยกจากสิ่งใด
ด้วยว่าระดับจิตของมนุษย์
จะเริ่มจากระดับแรกคือ
คิดสิ่งเดียว คือยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ตนเองคิด
สิ่งที่ตนเองเป็น
เมื่อคุณได้รับการเรียนรู้
ว่าสิ่งที่ตนคิด ยึดไว้
ไม่เป็นไปตามนั้น จะเกิดการยกระดับ
ทุกอย่างไม่ได้มีอย่างเดียว
เป็นสภาวะแห่งความสับสน
มาแทรกและทำให้รู้สึกไม่มั่นคง
คิดว่าสิ่งที่ตนคิดและทำ
อาจจะไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง
จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ
คือการตัดสิน การเลือก
ว่าเอาละต้องเลือกสักทาง ต้องไปสักที่
แสวงหาความเป็นตนเอง หรือ อัตลักษณ์
จึงเกิดการค้นหา
นำไปสู่สภาวะจิตวิญญาณขั้นที่ 5
แต่ก็ยังคงต้องเลือก
เลือกที่จะ ตื่นรู้ หรือ เลือกที่จะ หลง
เป็นที่ทราบกันดีว่ามนุษย์เรา
ตื่นได้หลายครั้ง ขณะเดียวกัน
หลงได้หลายครั้งเช่นเดียวกัน
เมื่อคุณเลือกที่จะหลง
จิตวิญญาณของคุณ
จะเกิดการทวนซ้ำไปที่
ระดับที่1 อีกครั้ง
และเมื่อคุณเลือกที่จะตื่นรู้
คุณจะเข้าสู่
เป็นการปล่อยวาง
ปล่อยความมี และ ความไม่มี
ให้ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ไม่ฝืน ดื้อดึง ไม่รั้น ไม่กดข่ม
ปล่อยให้ทุกอย่างว่างเปล่า
สุดท้ายคุณจะปล่อยวาง
แม้กระทั่งความว่าง
คุณก็วางลง
Being ความว่าง ที่มีอยู่
หมายถึง มีทุกสิ่งในตัวคุณ
และ ในตัวคุณมีทุกสิ่ง
อยู่ในระดับจิตไม่แยกจาก
คุณ จิตวิญญาณ และสรรพชีวิต
สรรพชีวิต เป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ครอบครอง ไม่ปิดกั้น
คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้
ว่าทุกสิ่งเป็นเพียงชั่วคราว
เป็นเพียงขณะหนึ่ง
ในความเป็นจริง
มิติต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ข้อจำกัด
ถึงแม้ร่างกายคุณอยู่ในมิติที่ 3
หรือมิติที่ 5
แต่ใจคุณจะอยู่ในมิติใดๆก็ได้
มิติที่ 5 หรือมิติที่ 7
จึงมิใช่จุดหมายสูงสุด
มิติที่สูงกว่านั้นจะเป็นจิตสำนึกระดับจักรวาล
คุณทุกคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของแสงสว่าง