หลักการทำสมาธิภาวนา
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ ( ท่านพ่อลี ธมฺมธโร )
ให้พยายามใช้สติกำหนด ตามลมหายใจเข้าออกไม่ให้เผลอ ไม่ให้ลืม พยายามปลดปล่อย สัญญาอารมณ์ทั้งหมดทั้งอดีต อนาคต แล้วภาวนาในใจว่า “ พุทโธ ๆ” ให้ “ พุท ” ตามเข้าไปกับลมหายใจเข้าทุกครั้ง และ“โธ” ก็ตามออกมาพร้อมกับลมหายใจออกทุกครั้งไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่งจึงค่อยทิ้งคำภาวนา
ต่อจากนี้จงสังเกตดูลมหายใจเข้าออก ว่าช้า-เร็ว , ยาว-สั้น หนัก เบา, กว้าง-แคบ, หยาบ-ละเอียดอย่างไรถ้าอย่างใดดีเป็นที่สบาย ก็จงรักษาลมนั้น ๆ ไว้ให้คงที่ ถ้าอย่างใดไม่ดีไม่สะดวก ไม่สบาย ก็จงปรับปรุงแก้ไขและตกแต่งให้พอดี ใช้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นหลักพิจารณา ( ตอนที่ขยับขยายเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ต้องใช้คำภาวนา ทิ้งคำว่า “พุทโธ” เสียได้ )
ต้องคอยระวังจิตอย่าให้วอกแวก หวั่นไหว และแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอก วางตัวเฉยเหมือนกับมีตัวเรานั่งอยู่คนเดียวในโลก กระจายลมหายใจออกไปให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะจดปลายมือ ปลายเท้า ข้างหน้า ข้างหลัง ทรวงอก ส่วนกลาง ช่องท้อง ตลอดถึงลำไส้ และกระเพาอาหาร ไปตามเส้นโลหิตทะลุผิวหนังออกขุมขน
สูบลมหายใจให้ยาว ๆ เข้าไปในตัวจนเต็มอิ่ม กายก็จะเบาโปร่งโล่ง เหมือนกับรังบวบที่อมน้ำไว้ได้ชุ่มและบีบเอาน้ำออก ก็จะไหลกลับออกมาได้ทั้งหมดโดยง่ายไม่ติดขัด ตอนนี้ร่างกายก็จะรู้สึกเบาสบาย ใจก็จะเย็นเหมือนกับน้ำที่ซึมซาบไปตามพื้นดิน หรือที่เข้าไปหล่อเลี้ยงในลำต้นไม้ให้สดชื่น จิตก็จะตั้งตรงเที่ยง ไม่มีอาการเอียงไปทางซ้าย เอียงไปทางขวา หรือเอียงไปข้างหน้า เอียงมาข้างหลังคือ ไม่ยื่นออกไปในสัญญาอารมณ์ใด ๆ
สัญญาทั้งหมดเป็นตัว “สังขาร” คือ จิตคือนึกไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีต อนาคต แล้วก็เกิด ความปรุงแต่งเป็นดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ชอบใจ เพลิดเพลินไปเป็นตัวโมหะ ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็เกิดความไม่ชอบใจ ทำจิตให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ กลายเป็นตัวพยาบาท สิ่งที่ทำให้ดวงจิตเกิดความไม่สงบวุ่นวายเหล่านี้จัดเป็นตัวนิวรณธรรมทั้งสิ้น เป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่งใจ เป็นตัวที่ทำลายคุณความดี ในการเจริญสมาธิ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องขจัดทิ้งให้หมด
ตัวสังขารนี้ ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของโลก ก็เป็นสังขารโลก ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของธรรม ก็เป็นสังขารธรรม ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดจาก “ อวิชชา ” คือความไม่รู้ ถ้าตัวไม่รู้นี้ดับก็จะเกิด “ วิชชา ” ขึ้นแทนที่ ฉะนั้น เราต้องพยายามเพิ่มกำลังแห่งสมาธิขึ้นอีก จนสังขารเหล่านี้ดับไป เมื่อนั้น อวิชชาก็จะดับไปด้วย คงเหลือแต่ “วิชชา” คือตัวรู้ ตัวรู้ตัวอันนี้เป็นตัว “ปัญญา” แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากครูบาอาจารย์สั่งสอน เกิดขึ้นจากความสงบนิ่งของดวงจิตที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรมเป็นตัวความรู้ที่ลึกซึ้งมาก แต่ตัวรู้นี้ยังเป็นโลกีย์ปัญญา ไม่ใช่โลกกุตตปัญญา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากสัญญา ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวแก่ชาติภพอยู่ บางทีก็รู้ไปในเรื่องอดีต รู้เห็นชาติภพของตัวเองที่เป็นมาแล้ว เรียกว่า บุพเพนิวาสญาณ
บางทีก็รู้ไปในอนาคต รู้เรื่องของคนอื่น รู้ถึงการเกิดการตาย ของเขา เรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความรู้ทั้งสอง อย่างนี้ ยังมีความยึดถือเข้าไปเจือปนเป็นเหตุให้ดวงจิตหวั่นไหวไปตามเรื่องที่ชอบและไม่ชอบเป็นตัว“วิปัสสนูปกิเลส” บางคนได้รู้เห็นไปในเรื่องอดีตของตัวเองที่เป็นชาติภพที่ดี ก็เกิดความเพลิดเพลินยินดี ตื่นเต้นไปกับเรื่องนั้นๆ ถ้าไปพบเรื่องราวที่ไม่ดี ก็เกิดความน้อยใจเสียใจก็เพราะจิตยังมีความยึดถืออยู่ ในชาติในภพของตัวนั่นเอง
ชอบในเรื่องที่ดี ที่ถูกใจ ก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ไม่ชอบในเรื่องที่ไม่ดีไม่ถูกใจ ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค จัดเป็นมิจฉามรรคทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ดำเนินตามทางที่ถูกต้อง คือ สัมมาทิฏฐิ เรื่องอดีตก็ดี ถึงแม้จะเป็นธรรมก็ยังเป็นสังขารใช้ไม่ได้
ฉะนั้น ต่อจากนี้จะต้องพยายามใช้อำนาจสมาธิเพิ่มกำลังจิตขึ้นอีก จนดับโลกียปัญญานี้ได้ จิตก็จะก้าวขึ้นสู่โลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่สูงขึ้น เป็นความรู้ที่นำมาให้จิตหลุดพ้นจากความยึดถือ เป็นสัมมาสติ สัมมามรรค คือถึงจะรู้เห็นในเรื่องดี เห็นในเรื่องดีหรือไม่ดีของตัว หรือ ของคนอื่น ก็ไม่ดีใจเสียใจ แต่มี นิพพิทา เกิดความเบื่อหน่าย สลดสังเวชในการเกิดการตายของสัตว์โลก เห็นเป็นของไม่มีสาระแก่นสาร อะไรเลย หมดความยินดียินร้าย หมดความยึดถือในตัวของตน และสิ่งทั้งหลาย จิตก็มีความมัธยัสถ์เป็นกลางวางเฉย เป็น ฉฬังคุเบกขา ปล่อยเรื่องราวที่รู้ ที่เห็น ที่เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามสภาพธรรมดาโดยไม่ติดใจ ระดับของจิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
ต่อจากนี้ จงเพิ่มอำนาจแห่งกำลังจิตให้สูงขึ้นอีกจนพ้นจากความยึดถือ แม้แต่ในความรู้ความเห็น ที่ตัวมีตัวได้ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น กันจิตไว้คนละทาง ไม่ให้ตามออกไปกับความรู้ รู้ก็รู้ เฉยๆ เห็นก็เห็นเฉยๆ ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา จิตก็จะมีอำนาจเต็มที่เกิดความสงบขึ้นโดยลำพัง ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด ๆ สังขารดับสนิทเหลือแต่สภาพธรรมล้วนๆ คือ ความไม่มีอะไร เป็นวิสังขารธรรม เป็นวิมุตติธรรม จิตก็จะเป็นอิสระ พ้นจากโลก ตกอยู่ในกระแสธรรมฝ่ายเดียว ไม่มีการขึ้นลงก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญขึ้นหรือเสื่อมลงใจเป็นหลักปักเป็นแน่นอยู่ที่เดียว เหมือนกับเชือกที่เขาผูกต้นไม้ไว้กับหลัก พอตัดต้นไม้โค่นเชือกก็ขาด แต่หลักยังคงมีอยู่
ใจที่คงที่ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ใดๆ เป็นจิตของพระอริยเจ้าผู้พ้นแล้วจากอาสวกิเลสบุคคลใดปฏิบัติใจให้เป็นไปตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ย่อมจะประสพความร่มเย็นสันติสุข ปราศจากความทุกข์เดือดร้อนใด ๆ ได้อธิบายมาโดยย่อพอเป็นแนวทางที่จะให้น้อมนำไปปฏิบัติจิตใจของตนให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ ผู้ใดสนใจก็เป็นประโยชน์แก่ตนต่อไปในภายภาคหน้า
ภาวนา....คือ...นำกำลังจากสัมมาสมาธิ.....
มาสังเกต และพิจารณาความจริงของกายหรือของจิต
หรือ ของขันธ์5 นั่นเอง
ในแต่ละขณะ....
แต่ละขณะ....
แต่ละขณะ....
แต่ละขณะ....
เรียกว่า...ดูความจริงซึ่งหน้า
ในบางท่าน...
อาจมีจริตที่สามารถสัมผัสหรือเห็นอย่างอื่นภายนอกตัว
จิตมักจะไหลละลาย หรือพุ่งออกไปสู่ภายนอก
คือ นอกตัวเอง....
เวิ้งว้าง กว้างขวาง อันเป็นธรรมชาติของสมาธิประเภทหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่สัมมาสมาธิ) ที่เคยฝึกมาแต่ในอดีต...
อาจจะหลายภพหลายชาติ....
ทว่า...ทั้งหมดนี้คือ "มายาจิต"...
ท่านที่มีจริตเช่นนี้...
ไม่ควรสนใจ "มายาจิต" อีกต่อไป
ท่านเห็นจริง
แต่สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็น "มายา" คือ ไม่จริง
โดยวิถีเช่นนี้...
ทำให้ท่านมีโอกาสสูงมากที่จะโดนพรากให้ห่างไกลไปจากวิชาเพื่อลดตัวตน หรือเพื่อทำภพชาติให้สั้นลง ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ควรพยายามดึงกลับเข้ามาพิจารณาความจริงของกาย หรือของจิตตนเอง (หรือขันธ์5 ) ด้วยกำลังของสมาธิที่มีอยู่มากพอควรแล้วเป็นทุนเดิม......
เรียกง่ายๆว่าให้วกกลับ ทำ U-TURN เข้ามาพิจารณาความจริงภายใน(ไม่ใช่ภายนอก)กาย
หรือภายใน(ไม่ใช่ภายนอก)จิต...ดังกล่าว
หรืออย่างน้อยที่สุดควรวางตนอยู่ในกรอบของศีล 5 เพื่อความปลอดภัยในเบื้องต้น.....
และควรสอบทานการปฏิบัติกับอริยสงฆ์ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออันโอชาของ"มายาจิต".....
ที่กล่าวขานกันว่านั่งสมาธิแล้ววิกลจริตก็เนื่องจากสาเหตุดังกล่าว...
คือหลง "มายาจิต" ตัวนี้ นั่นเอง...
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
และน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
190363
< สัมมาสมาธิแท้ๆ จะเกิดธาตุรู้ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง >
หลวงพ่อปราโมทย์: แต่ถ้าเราเคยฝึกสมาธิมาแล้วนะ จิตเรารวมเข้าไป ตรงที่จิตรวมเข้าไป ถ้าเราฝึกเต็มรูปแบบนะ ของสัมมาสมาธิแท้ๆ ของจิตสิกขาแท้ๆเนี่ย ตรงที่จิตรวมเข้าไปในปฐมฌานเนี่ย จิตยังไม่มีธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เด่นดวง เพราะในปฐมฌานยังมีวิตกมีวิจารอยู่ ยังมีการตรึก มีการตรอง ถึงตัวอารมณ์อยู่ จิตยังสนใจไปยังที่ตัวอารมณ์เป็นหลัก เป็นเครื่องผูกมัดจิตให้สงบ
ทีนี้พอขึ้นถึงฌานที่ ๒ ทุติยฌาน วิตกวิจารดับไป ถ้าพูดแบบอภิธรรม มันคือฌานที่ ๓ ของอภิธรรม เป็นฌานที่ ๒ ของพระสูตร เราพูดแบบพระสูตรก็แล้วกัน พอขึ้นถึงฌานที่ ๒ วิตก วิจาร ดับไป มีปีติ มีสุข เอกัคคตา ในขณะนั้นจะเกิดองค์ธรรมที่พิเศษอัศจรรย์ชนิดหนึ่งขึ้น ในพระสูตรจะเรียกว่า "เอโกทิภาวะ"
เอโกทิภาวะ หรือภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง ในอรรถกถาบอกว่า คือ สัมมาสมาธิ นั่นเอง เอโกทิภาวะก็คือ สภาวะที่ใจนี้ตั้งมั่น เด่นดวง ขึ้นมา แล้วมันเห็นอารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของถูกรู้ถูกดู ใจมันเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู เนี่ยถ้าใจเราเข้าไปถึงฌานที่ ๒ ทุติยฌาน เราจะได้ เอโกทิภาวะ ขึ้นมา และถ้าถึง ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ถึงฌานที่ ๘ อะไรเหล่านี้ เอโกทิภาวะก็ยังอยู่ ใจจะตั้งมั่นเด่นอยู่อย่างนั้น
พอออกจากฌานแล้ว เอโกทิภาวะ นี้ยังทรงตัวอยู่อีกช่วงหนึ่ง อีกหลายชั่วโมง หรืออีกเป็นวันๆได้ ทรงตัว ถ้าฌานนั้นเกิดจากการเดินจงกรม เราเดินจงกรมอยู่แล้วจิตรวมลงไปถึงฌานที่ ๒ เนี่ย ถอยออกมาแล้วนะ เอเอโกทิภาวะทรงตัวอยู่ได้นาน เพราะฉะนั้นถ้าเราทำสมาธิด้วยการเดินได้เนี่ย กำลังของความรู้สึกตัวนี้จะทรงอยู่นานมาก จะนานกว่านั่ง เพราะฉะนั้นสมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรมจะเข้มแข็ง
ทีนี้พอเรามีตัวผู้รู้ขึ้นมา พระป่าท่านจะเรียกว่าตัวผู้รู้นะ ทันทีที่จิตทรงมีตัวผู้รู้ขึ้นมาแล้วเนี่ย เราจะเห็นทันที ว่าร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน เนี่ย ไม่ใช่ตัวเรา เห็นมั้ย พอใจทรงตัวขึ้นมา มีสัมมาสมาธิขึ้นมา ปัญญาจะเกิดขึ้นมาทันทีเลย จะเห็นทันทีเลยว่า กายที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา กายที่หายใจเข้าหายใจออกนี้ไม่ใช่ตัวเรา กายที่พองที่ยุบนี้ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็นทันที ไม่ต้องคิดนะ แต่จะเห็นทันที จะรู้สึกทันที
เนี่ยถ้าเราฝึกเต็มภูมินะ เราจะเดินมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นกายานุปัสสนานะ หรือเวทนานุปัสสนาก็ตามเนี่ย ในอภิธรรมท่านถึงสอบบอกว่า เหมาะกับคนเล่นฌาน กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จะทำได้ดีถ้าเราทำฌาน และฌานนั้นถ้าจะดีจริงๆต้องถึงฌานที่ ๒ แล้ว จะมีเอโกทิภาวะขึ้นมา แล้วจะเห็นทันทีว่ากายนี้ไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา จะเห็นอย่างนั้น
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ทำไมจึงยาก
"พวกที่เรียนไม่ได้ เรียนยากมี 2 พวก
พวกหนึ่งติดเพ่ง พวกนี้ส่วนใหญ่ฝึกเพ่งมา
คิดว่าเพ่งเอาไว้แล้วดี
อ้างด้วยบอกว่าต้องมีสมาธิจึงจะเกิดปัญญา
เพราะเขาไม่รู้จักว่าสมาธิมีหลายแบบ
มิจฉาสมาธิก็มี สัมมาสมาธิก็มี
สมาธิที่ดียังแยกออกเป็น 2 กลุ่มอีก
คือ สมาธิที่จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
กับสมาธิที่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
.
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ลักษณะของความมี “สมาธิ” และ หลักปฏิบัติในการทำสมาธิที่ถูกต้อง
.
“ ทีนี้ จะพูดถึงเรื่องความมีสมาธิ ความมีสมาธินั้นคืออย่างไร? นี่นักเรียนนักศึกษาอาจจะรู้อยู่แล้วว่า นั่งทําสมาธิตัวแข็งอยู่เรียกว่า “มีสมาธิ” อย่างนี้ไม่ถูก ตามความจริงคําว่ามีสมาธิคือจิตอบรมเป็นสมาธิแล้ว เดินอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ ไม่จํากัด แต่ขอให้จิตมันมีลักษณะเป็นสมาธิ, เป็นสมาธิในที่นี้ พระบาลี(พระไตรปิฎก)จํากัดความไว้หลายคํา แต่คําที่เป็นหัวข้อสําคัญมีอยู่ ๓ คําเท่านั้นแหละ คือ จิตบริสุทธิ์ เรียกว่าจิตมันบริสุทธิ์, ตอนนั้นไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลสรบกวน : จิตบริสุทธิ์ คําแรก “ปริสุทฺโธ” ; ที่นี้จิตตั้งมั่น นี้เรียกว่า “สมาหิโต”; แล้ว “กมฺมนีโย” จิตว่องไวในหน้าที่ของจิต; สามอย่างนี้เรียกว่าเป็นองค์ประกอบ, เป็น factor ที่ขาดไม่ได้ของความเป็นสมาธิ
.
อันแรกต้องบริสุทธิ์ เป็นความบริสุทธิ์ของจิต เรียกว่า ปริสุทฺโธ จะเรียกว่า pureness, cleanliness อะไรก็ตามเถอะ ขอแต่ให้มันเป็นเรื่องสะอาดบริสุทธิ์ ที่นี้
ต่อมามันก็เป็น สมาหิโต ตั้งมั่น firm, firmness, stableness : แล้วแต่จะใช้คําไหนว่าจิตมันตั้งมั่น มั่นคง รวมกําลังแล้ว มั่นคง,
ที่นี้ อีกคําหนึ่งก็ว่า กมฺมนีโย แปลว่า ควรแก่การกระทํา ภาษาฝรั่งเขาก็มีใช้กันอยู่แล้ว คําว่า active active ความหมายตรงกันเลย ควรแก่การกระทํา activeness มันมีความควรแก่การกระทําการงานของจิต.
เขาจะนั่งอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ เดินคิดอยู่ อะไรก็ได้ สามอันนี้จะมีเต็มที่ , นี้คือว่า “จิตเป็นสมาธิ” ไม่หมายความว่าไปนั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้อยู่ในฌานในสมาบัติ; นั้นเกินไป, ไม่ต้อง, ไม่ต้องหมายความอย่างนั้น หรือว่าเวลานั้นเป็นเวลาที่เราไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไปฝึกสุดโต่ง ไปฝึกอย่างสุดโต่ง นั่งแข็งเป็นท่อนไม้อยู่ในฌานในสมาบัติ นั้นก็เรียกว่าสมาธิได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่สมาธิที่ใช้งานหรือที่ต้องการจะใช้งาน
.
หลักปฏิบัติในการทําสมาธิ
เราเริ่มกระทํา เริ่มกระทําสมาธิ เป็นสมาธินิดหน่อย ก็เรียกว่า “ปริกัมมสมาธิ” เริ่มทําสมาธิพอสักว่าเริ่มทํา เช่น เริ่มกําหนดลมหายใจ มันก็เริ่มเป็นสมาธิหน่อยหนึ่งๆ ตามแบบนั้น
แล้วทําไปๆ ทําไป ดีขึ้นๆ เฉียดๆ สมาธิสูงสุดก็เรียกว่า “อุปจารสมาธิ”.
ที่นี้ ทําต่อไปๆ เป็น “อัปปนาสมาธิ” นั้นมันจะเงียบ หยุด ถึงขั้นสูงสุดที่ว่าแม้แต่ลมหายใจนี้ : อันนั้น เอามาใช้อะไรไม่ได้ มันเป็นบทเรียนว่าทําให้ไปถึงนั้น, ไปถึงที่สุดนั้น เสร็จแล้วก็ถอยกลับออกมาอยู่ตรงที่เรียกว่า เฉียด เฉียด, อุปจารสมาธิ คือ เฉียด.
ฉะนั้น จะมาเดินอยู่ก็ได้ มานั่งอยู่ก็ได้ มาคิดนึกอะไรอยู่ก็ได้ ความเป็นสมาธิของจิตยังอยู่ แม้มาเดินคิดอะไรอยู่ เดินจงกรมอยู่ คิดอะไรอยู่ มันก็มี ปริสุทฺโธ คือ จิตบริสุทธิ์, มี สมาหิโต จิตตั้งมั่นแน่วแน่, แล้วก็เป็น กมฺมนีโย คือ ว่องไวต่อการคิดของจิต; นี่พอแล้ว,
พอแล้วสําหรับสมาธิที่จะใช้เป็นประโยชน์ พิจารณาเห็นปัญญาดับทุกข์ได้. ถ้าเกินกว่านั้นก็เข้าไปเก็บตัวเงียบอยู่ในฌาน เป็นสมาบัติ อันนั้นจะใช้ประโยชน์อย่างนี้ไม่ได้ :
เขาใช้อย่างอื่น ใช้ไปในทางอยู่เป็นสุข, หรือว่าจะฝึกให้มันมากๆไว้ ฝึกให้ถึงขั้นที่สุดไว้ แต่พอเวลาใช้จริงนั้นไม่ใช้ในลักษณะอย่างนั้น ต้องออกมาจากสมาบัติ, ต้องออกมาจากอัปปนาสมาธิ มาอยู่ในขั้นสมาธิธรรมดาสามัญ ที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ ; เราก็คิดได้ เดินคิด นั่งคิด นอนคิดอะไรอยู่ก็ได้
.
นี่คือ “จิต” ประกอบด้วยองค์แห่งความเป็น สมาธิ คือ บริสุทธิ์ หนึ่ง, ตั้งมั่น หนึ่ง, ควรแก่หน้าที่การงานของจิต หนึ่ง นี่จําเป็นอย่างยิ่งแม้แก่ลูกเด็กๆ นักศึกษา นิสิตนักศึกษา
อะไรก็ตาม ; ถ้าต้องการจะให้จิตตภาวนาเป็นประโยชน์แก่พวกท่านทั้งหลายแล้วก็ ทําสมาธิอย่างนี้ให้ได้ แล้วเอามาใช้ให้ได้ คือสามารถทําจิตให้ว่างจากกิเลส นิวรณ์ รบกวน เป็นบริสุทธิ์ได้ ทําจิตตั้งมั่นรวมกําลังทั้งหมดไม่มีฟุ้งซ่านได้ แล้วจิตนั้นกําลังอ่อนไหว รวดเร็วในการทําหน้าที่ของจิต เราก็คิดนึกได้. นี้ สมาธิ ชนิดนี้เป็นสมาธิที่เรียกว่า เอามาใช้ประโยชน์ได้ อย่างที่เรียกกันว่ามัน practical คือมันกําลังใช้เป็นประโยชน์อยู่ได้, มันไม่เกินจนเป็นของเก็บ, แล้วมันก็ยังไม่น้อยจนว่าใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ฉะนั้น พยายามทําให้สามารถใช้จิตที่พัฒนาแล้วนี้ ให้เป็น ประโยชน์ให้มากที่สุด”
.
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “จิตตภาวนา คือชีวิตพัฒนา” เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่ม “ธรรมะเล่มน้อย”