“ว่างตามความเป็นจริงไม่ใช่ว่างตามความคิด”
ถาม: การเข้าสู่ความว่างควรมีสติรู้ทั่วร่างกายว่ากำลังนั่งอยู่ไหมคะ
หรือว่าควรทำให้ร่างกายหายไปเลยแบบไม่รู้สึกตัวว่าจิตว่างอยู่
พระอาจารย์: อ๋อ มันจะว่างต่อเมื่อเรามีสติอยู่กับอารมณ์เดียว อยู่กับพุทโธหรืออยู่กับลม ไม่ไปคิดปรุงแต่ง
พอมันหยุดคิดปรุงแต่งจิตก็จะว่างขึ้นมา เราไปคิดให้มันว่างไม่ได้ เพราะคิดให้มันว่างมันก็ไม่ว่างแล้ว
เพราะความคิด มันต้องหยุดคิดเท่านั้นมันถึงจะว่าง จะหยุดคิดก็ต้องมีอะไรผูกใจไม่ให้ไปคิด เช่น มีลมหายใจ หรือมีพุทโธผูกไว้มันก็จะหยุดคิด พอหยุดคิดแล้วมันก็จะว่างขึ้นมาเอง ว่างตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่างตามความคิด
ไปนั่งคิดว่าง ว่าง ว่าง เมื่อไหร่จะว่างสักทีโว้ย มันก็ไม่ว่าง มันจะว่างก็ต่อเมื่อเราไม่ไปคิด ไม่ไปปรุงแต่ง
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ที่แท้"ความว่าง"มีอยู่ก่อน "ความวุ่น"เพิ่งมี
แต่แล้วเราโง่ ถึงขนาดไปเอาความวุ่นนั้นมาเป็นพื้นฐาน
แล้วก็เหลือวิสัยที่จะทำให้มันว่างได้.
พุทธทาสภิกขุ
..................................................
🎈ว่างเพราะ “วาง”🎈
✨จากโอวาทธรรมหลวงปู่แบน ธนากโร เรื่อง "ว่างเพราะวาง"✨
ศาสนาของพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จิตเห็นจิต เรียกว่ารู้ธรรมเห็นธรรม
อะไรมันปกปิดเอาไว้ สมมุติบัญญัติทั้งหมดในโลกอันนี้ล่ะปกปิดธรรม ปกปิดธรรมก็คือปกปิดจิต
ในเมื่อเปิดสมมุติบัญญัติทั้งหลายออกไปแล้ว ไม่ต้องปรารถนาจะรู้ ก็รู้ก็เห็น เหมือนกับภาชนะครอบแก้วแหวนเงินทอง ครอบแล้วไม่เห็น ถ้าเปิดออกไปแล้ว ไม่ต้องไปหาก็เห็น
ใจของเราก็เหมือนกัน เปิดออกให้หมด ไม่ต้องให้มีอะไรตกค้าง วางออกไปหมด
ข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา ความสะอาดสะอ้านข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา ความรกรุงรังข้างนอกเขาเป็นธรรมชาติของเขา สะอาดสะอ้านหรือสกปรกรกรุงรัง ใจเท่านั้นว่าเป็น อันนั้นเป็นสังขารทั้งนั้น เป็นอนิจจังทั้งนั้น เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา"ก็อันเดียวกัน คือเป็นของ"เกิด"มาแล้ว"ดับ"
การภาวนาก็คือการค้นคว้าทำให้แจ้งในสิ่งที่เราไม่แจ้งไม่ชัด การศึกษาในสิ่งที่เราไม่แจ้งไม่ชัด
นี้ล่ะเป็นการทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งในสิ่งที่เรายังไม่รู้นั้น ที่ใจของเรายึดนั้น ก็เพราะใจของเราไม่แจ้งชัดตามความเป็นจริง ใจของเราแจ้งชัดตามความเป็นจริงขณะใด ขณะนั้นใจของเราปล่อยวางเอง โดยไม่ต้องตั้งใจที่จะปล่อยวาง
ในเมื่อเราปล่อยวางไปตามความเป็นจริงของเขาแล้ว ใจของเราก็ปรากฏว่าว่าง
ว่างเพราะเราปล่อยวาง
ว่างเพราะเราเห็นชัดตามความเป็นจริง
ว่างจากสิ่งที่มากวนใจ ว่างจากเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยรุงรังอยู่ในใจ เรื่องที่เคยรุงรังอยู่ในใจของเราจะไม่มี
เรียกว่าใจของเราว่าง แต่คำว่า"ใจว่าง"..."ใจก็ยังมี" ไม่ใช่ว่า"ใจว่าง...ไม่มีใจ" ใจว่าง...ใจก็ยังมี
ใจของเราว่างนี่ ว่างคำว่าสัตว์ ว่างคำว่าคน เป็นอากาศธาตุไปเลย คำว่าอากาศธาตุมันเป็นอากาศไปหมด ว่างเปล่าเป็นอากาศจากคำว่าสัตว์คำว่าคน คือความเป็นคนความเป็นสัตว์ไม่มี ถ้าหากว่าความเป็นคนยังมีอยู่ความเป็นสัตว์ยังมีอยู่ ความเป็นนั้น เป็นนี้ยังมีอยู่ ใจมันก็ยังไม่ว่างมันก็ยังไม่เป็นอากาศธาตุ
แม้แต่อากาศธาตุ ก็สักแต่ว่าเราพูดกัน อากาศธาตุเขาก็ไม่ได้ว่าเขาเป็นอากาศธาตุ
ที่เป็นอากาศธาตุเป็นเพราะเราไปสมมุติมาพูดกันเท่านั้น ความจริงแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรนี่ ปล่อยวาง ราบไปหมด ไม่มีอะไรจะไปยึดอะไรมันไม่มีอะไรจะให้ยึด ใครจะไปยึดของว่าง ใครจะไปยึดอากาศ จึงว่ามันว่าง ถ้าหากว่าใจของเรามันว่าง
โลกธาตุเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด "ใจของเรามันเป็น"
พระอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์
" ใจ...พระอรหันต์
คือ...ท่านพิจารณาความว่าง...นั้น
จนรู้เท่าแล้ว...ปล่อย เหลือแต่... .. รู้."
(หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)
เพียรละพยศร้ายในสันดาน
เมื่อผิดแล้วยอมรับว่าผิด นี่มันเป็นธรรมดา แต่ไม่ผิดแล้วยอมรับว่าผิด นี่มันฝืนทิฏฐิมานะได้อย่างงดงามทีเดียว ฉะนั้น จึงต้องพูดแล้วพูดอีก เพื่อจะให้ข่มขี่ทิฏฐิมานะลงไป มันจะเอาดีไปถึงไหน นี่มันต้องกดหัวตัวเอง ไม่มีใครเขาด่า ก็ต้องด่าตัวกูนี่แหละ มันอวดดีเรื่อย มันอวดเก่งเรื่อย อวดเป็นคนดีคนถูกไปทีเดียว
ฉะนั้นมันจะอวดดีต่อไปไม่ได้ ต้องข่มขี่ทรมานทิฏฐิมานะให้ราบเรียบไปให้ได้ อย่าให้มันโงหัวขึ้นมา กดหัวมันลงไป มันจะเก่งมาท่าไหน มันจะเอาอะไร มันจะเอาดีที่ไหน มันจะเอาดีไปให้ใคร ถามตัวเองนี่แหละ ไม่ต้องไปถามใคร ถามให้มันจนปัญญา
ถามมันบ่อยๆ ว่า "มึงจะเอาดีไปให้ใคร ไม่กี่วันมึงก็จะเน่าเข้าโลงแล้ว มึงจะอวดเก่งไปให้ใคร" ถามมันอย่างนี้ จนมันเกิดปัญญา หุบปากไม่กล้าพูดเลย มันรู้สึกอาย มันอายตัวเอง เข้ามาเล่นงานตัวกูที่ชูหัวอยู่นี่ สับหัวมันลงไป ไม่ต้องไปเกรงใจมัน ไม่ต้องไปรักหัวมันหรอก ถ้ารักหัวมันแล้ว มันจะชูหัวสูงใหญ่เลย แล้วพิจารณาดู มันมีตัวตนที่ไหน "มึงนั่นแหละมันโง่ โง่เอง ไปยึดถือเข้ามาทำไม" ซักถามมันทีเดียวว่า "มีตัวกูที่ไหน" ถ้าถามมันบ่อยๆ มันก็จำนนไปเอง
ในที่สุดมันจะบอกว่า "อ้อ ความจริงมันว่างจากตัวตนโว้ย" แต่ความโง่มันเสือกทะเล้นยึดถือ จึงทุกข์แล้วทุกข์อีกอยู่นี่ มันจะได้งอกขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ต้องไปพูดดีอะไรหรอก มันจะยุแหย่แส่ส่ายไปในอะไรไม่เอา ต้องหยุด บอกให้หยุด ต่อให้ดีวิเศษก็ไม่เอา ต้องหยุด ต้องบอกกับตัวกูอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดแล้วก็พิจารณาไปว่ามันมีอะไรจริงจังที่ไหน มันหลอกขึ้นมาแล้วก็เชื่อไปทำตามมัน มันก็เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็ว่าสบายดี มันจะโง่ไปถึงไหน จะหลงไปถึงไหน ถามตัวกูนี่แหละดู ไม่ต้องไปถามคนอื่น ถ้ายังดิ้นรนจะเอาอะไรอยู่
ก็ถามมันดูว่า "มึงจะเอาอะไร?" ถามไปถามมา แล้วมันก็หยุดไป แล้วมันว่างไปเลย เอาให้มันรู้ให้ได้ ว่ามันเกิดขึ้นมา หรือมันดับไปอย่างไร เพราะว่ามันจะต้องรู้ของตัวเองได้จริงๆ เรื่องของกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือตัณหาอะไร มันต้องค้นที่จิตใจ ที่ถูกกระทบผัสสะ ซึ่งอาศัยผัสสะเกิด แล้วมันยึดถือขึ้นมาอย่างไร เป็นตัวเป็นตน อวดดี อวดเก่ง ขึ้นมาแค่ไหน มันมีให้สอบอยู่ในตัวเอง
ฉะนั้นข้อปฏิบัติจึงไม่ต้องไปเรียนที่ไหน เรียนเอาในนี้ เรียนเรื่องกิเลส เรื่องเกิดดับ เรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนดับไป เป็นความว่างจากตัวตน มันมีให้ตรวจสอบ ให้รอบรู้อยู่ในตัว
ท่าน ก.เขาสวนหลวง
" อาตมามันถูกกับ พุทโธ
ตั้งใจเอาไว้ ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
กำหนดเอาสติ รักษาใจเอาไว้...เอาพุทโธ ไม่ให้เผลอสติ
ให้พุทโธ...ตั้งอยู่ กลางใจนี้
อาตมานิสัยถูกกับ พุทโธ
บริกรรมอัฐิ กระดูก บางครั้งมันก็ถูก
ถูก มันจะปรากฏเห็นกระดูกหมด ทั้งสกนธ์กาย
พระพุทธเจ้าต้องการให้...จิต มันเห็น
จิต มันไม่เห็น...ให้บริกรรม ให้มันเห็น
ต้องให้มันเบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่า มิใช่ตนสิ่งเหล่านี้
ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ ทั้งนั้น
อายตนะ ก็ดี ตกอยู่ในไตรลักษณ์ หมดทั้งนั้น
เรามาสำคัญว่า หู ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจ เป็นของเรา
เป็นเหตุให้ยึดมั่น ถือมั่น
นั่ง ก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิ ก็ต้องออก
ท่านให้สู้...กับมัน ไม่ต้องหลบมัน เรา จะสู้กับข้าศึก ก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติ ความอด ความทน
ทนสู้ กับความเจ็บปวด ทุกขเวทนา
ดูมัน...จิต มันถูกอันใด อันหนึ่ง
เมื่อเราสกัดกั้น ไม่ให้มันแส่ส่าย ไปกับ อารมณ์ภายนอก
มีรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เป็นต้น
เรียกว่า กามคุณ ๕
ไม่ให้จดจ่อ กับสิ่งเหล่านั้นแล้ว
มันจะ อยู่กับที่ มันจะ ว่างจากอารมณ์
ไม่มี อารมณ์มาคลุกคลี กับ ดวงจิตแล้ว
จิต...ตั้งมั่น เรียกว่า จิตว่าง
ไม่มี อะไรมาพลุกพล่าน
เหมือนกับน้ำที่อยู่ในขัน หรือ อยู่ที่ไหนก็ตาม
เมื่อไม่กระเพื่อมแล้วมันก็...นิ่ง
ก็เหมือนสิ่งทั้งปวง ที่อยู่ก้นขัน ต้อง...เห็น
เห็น...อันนี้ เห็นแล้วเราต้องสละ...ปล่อยวาง
มันจะเห็น โลภะ โทสะ ราคะ ก็ละถอน สิ่งเหล่านี้ออก
ปล่อยจิต...ว่าง แล้วจิต สบาย
เพราะ ...จิตเป็นหนึ่ง ไม่ขุ่นมัว
เพราะ ...ไม่มีอารมณ์มาฉาบทา ดวงจิตแล้ว
ดวงจิตใส ดวงจิตขาว
จิตก็...เย็น มีแต่ความสบาย มีความสุข
รู้เท่า สังขาร...รู้เท่า สิ่งทั้งปวง...รู้เท่า ความเป็นจริงแล้ว
เกิดอันใด อันหนึ่งก็ดี หรือ ไม่ครบรอบก็ดี
เมื่อ ... พิจารณาแล้ว จิตเรา จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งทั้งปวง
ถึงมรณะ จะมาถึงก็ตาม ทุกขเวทนาความเจ็บปวด มาถึงก็ตาม ก็ไม่หวั่นไหว...ต่อ...สิ่งเหล่านั้น..."
หลวงปู่ขาว อนาลโย
จิตนี้คล้ายห้วงอวกาศ หรือที่ว่างในท้องฟ้า ไม่สำคัญว่าจะมีอะไรอยู่หรือไม่ เพราะว่าเมื่อใดที่เราประจักษ์ถึงความว่างในจิต เราก็เห็นภาพรวมชัดเจน คือ ‘สุญญตา’ หรือความว่างนั่นเอง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป โดยเราไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่ดิ้นรนต่อต้าน ไม่แตะต้องบงการแต่อย่างใด
ดังนั้นเมื่อเราอยู่กับความว่างแห่งจิต หรือจิตว่าง เราก็ไม่ติดอยู่กับสภาวะทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบัน และไม่สร้างขึ้นมาใหม่
นี่คือฝึกปฏิบัติการปล่อยวาง มองให้เห็นว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน นี้แหละที่หมายถึงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
แท้จริงเป็นการมองดู รู้เห็น สำเหนียก และเฝ้าสังเกตว่า อะไรก็ตามที่เกิดแล้วจะต้องดับไป ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียด ดีหรือชั่ว มาแล้วก็ไป ไม่เป็นเรา เราไม่ดี ไม่เลว ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่งาม ไม่น่าเกลียด
สิ่งเหล่านี้เป็นสภาวะที่ไม่เที่ยงตามธรรมชาติ ไม่ใช่ ‘ตัวกู’ นี้เป็นวิถีไปสู่ความเห็นแจ้งตามพุทธวิธี เป็นการน้อมไปสู่พระนิพพาน
ทีนี้ ท่านอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาว่า
“เอ้า ก็เมื่อฉันไม่ใช่สภาวะแห่งจิต ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วฉันเป็นอะไรเล่า”
ท่านอยากให้อาตมาบอกไหมว่า ท่านเป็นใคร
และถ้าอาตมาบอกแล้วท่านจะเชื่อไหม ท่านคิดอย่างไร ถ้าอาตมาโลดแล่นออกไปข้างนอกแล้วร้องตะโกนถามว่า “ตัวอาตมานี้เป็นใคร”
มันเหมือนกับท่านพยายามมองดูนัยน์ตาของท่านเอง ท่านไม่รู้จักตัวท่าน ก็เพราะท่านเป็นตัวท่านเอง ท่านจะรู้จักได้ก็เฉพาะสิ่งที่ไม่ใช่ตัวท่าน
และนี่คือการตอบปัญหาใช่ไหม
คือ ถ้าท่านรู้ว่าอะไรไม่ใช่ตัวท่านแล้ว ก็ไม่มีปัญหา ว่าท่านเป็นอะไร
ถ้าอาตมาร้องขึ้นมาว่า “เอ ตัวฉันเป็นใคร ต้องหาให้จงได้” แล้วมุดเข้าไปดูที่ใต้โต๊ะหมู่บูชาบ้าง เลิกพรมแหวกม่านมองหาบ้าง
ท่านคงคิดว่าท่านสุเมโธนี่ชอบกล คงเป็นบ้าไปแล้ว เที่ยวมองหาตนเอง คำถามที่ว่า “ตัวฉันอยู่ที่ไหน” คงเป็นคำถามที่น่าหัวเราะที่สุดในโลก
แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นใคร แต่อยู่ที่ความเชื่อ และถือเอาว่าเราเป็นพวกเดียวกัน หรือเหมือนกันกับสิ่งที่ไม่ใช่เรา
ตรงนั้นแหละที่มีทุกข์ ตรงนั้นแหละที่เราได้รับความโทมนัส ความห่อเหี่ยว และความแห้งใจ เมื่อท่านเข้าไปเป็นพวกเดียวกับสิ่งที่ไม่น่าจะพอใจ ท่านก็ไม่ชอบใจมัน เห็นชัดไหม
ดังนั้น ทางของพุทธบริษัทคือ "การปล่อยวาง"
ไม่เสาะหาสิ่งใด
ตัวปัญหานั้นคือการเกาะเกี่ยวอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่กับกามภพ
ท่านไม่จำเป็นต้องสลัดโลกทิ้ง
แต่เรียนรู้จากมัน เฝ้าดู และไม่หลงไปกับมัน
ใช้ปัญญาของพระพุทธเจ้าเจาะทะลวงเข้าไป
โดยเฝ้าสำเหนียก เฝ้าสังเกต ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่
แล้วความโชติช่วงแห่งปัญญาก็จะปรากฏ
ใช้ปัญญานี้ในเรื่องที่เกี่ยวกับกายของท่าน ความนึกคิดของท่าน ตลอดจนความรู้สึก ความทรงจำ และอารมณ์ต่าง ๆ
ท่านจะประจักษ์แจ้ง จะยอมให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผ่านพ้นไป และ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ท่านจะไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น
นอกจากมีปัญญาพร้อมอยู่ จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง
พระสุเมธาจารย์ (สุเมโธภิกขุ)
ตรงกลางระหว่างเกิด-ดับ
ตรงนั้นคือความว่างเปล่า
ตรงข้ามความว่างเปล่าคือการมี
ในสถานที่ใดที่มีการมี
ที่นั่นคือพื้นที่การสร้างของความว่างเปล่า
ที่นั่นจึงมีสรรพสิ่ง...
แต่ที่ใดที่ไร้สรรพสิ่ง
การมีจึงหายไป...
อัตตาตัวตนที่ยึดไว้จึงต้องหายไปด้วย
มันไม่แปลกหรอกถ้าเมื่อถึงช่วงหนึ่ง
ที่จิตถูกยกระดับขึ้นสู่ธรรมที่ไร้กาล
ไร้สิ่งสมมุติปรุงแต่ง...จะมีบางสิ่งได้หายไป
จุดเกิดดับ...
แท้จริงคือการกระพริบของแสงสว่าง
อยู่ในช่วงที่พ้นไปจากกาล
แต่...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
นั้นคือภาคขยายที่ถูกสร้างขึ้น..ที่อยู่ในกาล
เพื่อการปั่นพลังงานให้คงอยู่..สิ่งหนึ่งเพื่อสิ่งหนึ่ง
เพราะฉะนั้น...
การเกิดดับ จึงเป็นจุดรวมที่รวมความจริง
ของทุกสรรพสิ่งเอาไว้ในที่ที่เดียว
การเข้าถึงสิ่งที่เล็กที่สุด
วัดค่าไม่ได้ที่สุด...
จึงต้องเข้าให้ถึงด้วยสิ่งที่เร็วที่สุด...นั้นคือจิต
สรรพสิ่งเกิดจากจิตและจบด้วยจิต
การเดินทางที่เร็วกว่าแสงกระพริบๆนั้น
จิตเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เดินทางไปถึงได้
#รู้ความจริงแล้วใช่มั้ยใครใหญ่จริง...
การเจริญสตินั้น เจริญด้วยจิตที่ตั้งมั่น ทรงตัวเป็นผู้รู้ ผู้ดู มีสิ่งใดมากระทบ ก็รู้สึกตัว ไม่ใช่ไปอยู่กับ"ความว่าง" แล้วไม่มีสติรู้สึกตัว
การเจริญวิปัสสนานั้น เป็นการระลึกรู้ในหลายๆอารมณ์หลายๆสิ่ง ไม่ใช่อยู่กับอารมณ์ความว่างเพียงอย่างเดียว
หากใจยังไม่ว่างเอง แล้วพยายามไปปรุงแต่งความว่างขึ้นมา ว่างนั้นเป็นสมถะหาได้เจริญวิปัสสนาไม่
"ว่างแท้"เกิดได้จากการ เจริญสติรู้สึกตัวบ่อยๆ
(จะรู้ขณะนั่งสมาธิหรือไม่ได้นั่งก็ได้ จิตมันดําเนินไปเป็นอัตโนมัติ)
เมื่อเรารู้สึกตัวได้ชัด ได้นาน โดยไม่ได้ปรุงแต่ง จะเข้าไปสู่ความว่างแท้ ที่มีสติรู้สึกตัวกํากับ จนทําให้เราเห็นการละของขันธ์ไปทีละอย่าง ละกาย เวทนา
จนแม้แต่จิตผู้รู้(ที่เราเข้าไปรู้สภาวะต่างๆ) เราก็ละในที่สุด เหลือแต่ธาตุรู้ เราจะสัมผัสถึงการปลอกลอกตัวตนออกมาจากจิต เหลือแต่ธาตุรู้ ที่เข้าไปรู้ โดยไม่มีประธาน รู้หมดจบที่ใจ
Trader Hunter พบธรรม
#ถ้ามัน"ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรา" แล้วกรรมก็จะหมดไปเอง
หมายความว่า #หมดไปทั้งกรรมและวิบากของกรรมและกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้ทำกรรม มันหมดพร้อมกันไปเอง
เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัวกรรม กลัวจะต้องเป็นไปตามกรรม
#เราไม่ต้องไปสนใจเรื่องกรรมแต่เราสนใจกับ"ความว่าง"
ทำความว่าง ให้แก่ ตัวกู ของกู ได้แล้ว กรรมย่อมสลายไปหมดสิ้น ไม่มีการที่จะต้องเป็นไปตามกรรม
..
อย่าง #องคุลีมาล เป็นพระอรหันต์ได้ที่ตรงนั้น
คำว่า "หยุด" ของพระพุทธเจ้านี้ ท่านหมายถึง หยุดการมี ตัวกู ของกู
หยุดมีตัวเรา หยุดมีของเรา หยุดความยึดมั่น นั้น คือ ความว่าง
เพราะฉะนั้น. #ความว่างนั้นแหละคือความหยุด
#ความหยุดชนิดนี้เท่านั้นที่จะทำองคุลีมาลให้เป็นพระอรหันต์ได้
...
พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ
ก็โดยที่บุคคลสามัญทั่วไปนั้นในขณะที่อยู่เฉยๆ มิได้ทำอะไรในบางคราว ก็รู้สึกว่าว่างอันเป็นที่รำคาญ ไม่ผาสุกแต่หากให้ทำอะไรต่างๆ รู้สึกว่าไม่ว่าง ก็ทำให้เพลินไปในการงานต่างๆ
ที่ทำนั้นแต่อันที่จริงในขณะที่ต้องมาอยู่ว่าง เช่นในขณะที่เจ็บป่วยก็ดี หรือในขณะที่ลาเข้ามาบวช พักการพักงานชั่วระยะหนึ่งก็ดี ที่รู้สึกว่าว่าง ไม่มีอะไรจะทำ น่ารำคาญ และมีความทุกข์ ไม่สบายอยู่กับความว่าง ไม่มีอะไรจะทำดังกล่าวนั้น
แต่อันที่จริงความว่างที่เข้าใจว่าว่างอันทำให้รำคาญนี้หาได้ชื่อว่าสุญญตา คือความว่าง อันเป็นธรรมปฏิบัติในพุทธศาสนาไม่
เพราะว่า จิตใจไม่ว่าง เต็มไปด้วยนิวรณ์ต่างๆ ว่าถึงนิวรณ์ ๕ ก็เป็น กามฉันท์ ความยินดีรักใคร่อยู่ในกามบ้าง เป็น พยาบาท ความหงุดหงิดโกรธแค้นขัดเคืองต่างๆบ้างเป็น ถีนมิทธะ ความง่วงงุ่นเคลิบเคลิ้มบ้าง เป็น อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญบ้าง เป็น วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ บ้าง
"ใจ"จึงไม่สงบ เพราะมีอาลัยความผูกพัน ติดอยู่ในสิ่งนั้นบ้าง ในสิ่งนี้บ้างในบุคคลนั้นบ้าง ในบุคคลนี้บ้าง ซึ่งโดยปกตินั้นเมื่อมีความอาลัยผูกพันอยู่ดั่งนี้ก็มักจะไปหาสิ่งที่มีอาลัยผูกพัน หรือบุคคลที่มีอาลัยผูกพันอยู่ได้ แล้วก็มีอารมณ์ ที่ไม่ดีก็เป็นโกรธ เป็นไม่พอใจ เหล่านี้เป็นต้น ใจไม่ว่าง ใจไม่สงบ
เพราะฉะนั้น
"ความว่าง"ก็คือตัวความสงบ และคือตัวอุเบกขา ความที่"รู้วาง"ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่งใจสงบ
"ใจวาง" แม้ "รู้อยู่" ก็สงบได้ วางได้
ดั่งนี้ จึงจะเป็นสุญญตาคือความว่าง
.
พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๓
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
"ที่ว่าน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ นั้นไม่ใช่จิต (แต่)เป็นสังขาร แท้จริงจิตนี้ไม่เคยเศร้าหมอง เพราะ"จิตนี้คือ ความว่าง"..ความว่าง ไม่เคย เสียใจ ไม่เคยน้อยใจ ทุกข์ใจ เศร้าใจ ไม่เคยโกรธใคร เพราะเรามีความว่าง.."รู้อยู่" แต่ปรุงแต่งไม่ได้ กิเลสจะตัดหรือไม่ตัด ไม่ใช่ปัญหา เพราะเราไปหาธรรม
ถ้าเราระลึกรู้ตรงนี้ เราก็จะรู้ได้ จะรู้ไม่รู้ก็ขึ้นอยู่กับ สติของเรา สติของเราเข้าใน รู้ว่าสติเราอยู่กับตัวหรือเปล่า หยุดตรงนี้ กลางกายของเรา ถ้าน้อมเข้ามาแล้วความวุ่นวายทั้งหลาย กิเลสที่เราอยากตัด มันจะจบทันทีเลย มันจะตัดเองไม่ต้องไปตัดมัน ถ้าเราอยู่ตรงนี้สังขารไม่มา หากเราไปอยู่กับสังขารมันก็ใช้เราตลอด
ถ้าเรา"หาจิตไม่เจอ"ก็เป็นทาสของ"สังขาร" เพราะมันปรุงแต่งให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในสังขาร ทั้งนั้น "สติ"ตรงนี้ ไม่มีอดีต อนาคต เหลืออยู่แต่ปัจจุบันธรรม ถ้าไม่น้อมเข้ามาก็ไม่เป็นสมาธิ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อยากเห็นพระพุทธเจ้าก็น้อมเข้ามาที่ตัวเรา เรียกว่า ปัจจุบันจิต เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง นั่นคือธรรมะ แต่ถ้าปรุงแต่งก็เป็นธรรมะ แต่เป็นสังขารธรรม
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า อย่าไปหากิเลส มันเป็นเรื่องของมัน เราอย่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นกองบัญชาการ มันทำให้เรามีแต่ความทุกข์ มีแต่ความร้อน เป็นธรรมที่เกิด เกิดเพราะโลภะ โทสะ โมหะ
พระองค์จึงให้ไปหาธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยู่ที่ตัวของเรา
ตั้งสติไว้ปกติ ไม่มีอดีต อนาคต ก็เกิด "ความว่าง"ทันที ถ้ารู้อยู่ตรงนี้ จะไม่รู้อย่างอื่น " รู้แค่รู้ "
เหมือนที่หลวงปู่ดุลย์ท่านว่า การปฎิบัติ ถ้าเราไปหาจิตเจอ สังขารก็ตายเอง ไม่ต้องไปฆ่ามัน แต่ถ้าหาจิตไม่เจอก็เป็นทาสของมัน เพราะทิฎฐิที่ทำให้เราไม่รู้ธรรม ก็เพราะมีอดีต อนาคต”
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์เยื้อน ขันติพโล
พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาส่วนมากอยู่ด้วย “สุญญตาวิหาร”
.
❝ พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระอานนท์ ได้ยืนยันแก่พระอานนท์ว่า แม้ตถาคตก็ได้ใช้เวลาเป็นส่วนมากที่สุดให้สิ้นไปใน “สุญญตาวิหาร” สุญญตาวิหารนี้ ไม่ใช่เรือนที่ปลูกขึ้นแล้วเรียกว่า “สุญญตา” สุญญตาวิหารคือการอยู่ด้วยจิตใจที่ว่างจากสิ่งทั้งปวง
.
วิหาร แปลว่า ความเป็นอยู่
สุญญตา แปลว่า ความว่าง
ว่าง ว่าง นั่นแหละ คือ สุญญตาวิหาร
พระพุทธองค์แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังอยู่ด้วยสุญญตาวิหารไปตามเดิม คืออยู่ด้วยจิตใจที่ว่าง ไม่ยึดถืออะไรว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของของตน ไม่มีความวุ่นวายเลย
.
แม้ว่าพระองค์จะได้เสด็จไปนั่นมานี่ด้วย ต้องสอนคนนั้นคนนี้ ไม่มีเวลาหยุด อย่างน่าเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ไม่มีความวุ่นวาย ในใจไม่มีกิเลสตัณหาจึงไม่มีความวุ่นใจ และกายนั้นไม่เป็นความวุ่นเพราะใจไม่วุ่น เป็นแต่การเคลื่อนไหวไปตามธรรมดา ไม่มีความหมายของคำว่าความวุ่น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จะทรงนั่งนิ่งๆอยู่ก็ดี หรือทรงดำเนินไปที่ไหนก็ดี เรียกว่า “เป็นผู้อยู่ในสุญญตาวิหาร” ได้ด้วยกันทั้งนั้น ❞
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “ทุกคนย่อมชอบความว่าง” เมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา
---------------------------------
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า…
“อานนท์...ทั้งเมื่อก่อนและบัดนี้ เราอยู่ด้วยสุญญตาวิหารธรรมโดยมาก เปรียบเหมือนปราสาทของมิคารมาตาหลังนี้ ว่างจากช้าง โค ม้า และ ลา ว่างจากทองและเงิน ว่างจากการชุมนุมของสตรีและบุรุษ ไม่ว่างอยู่อย่างเดียวคือภิกษุสงฆ์เท่านั้น”
.
จูฬสุญญตสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย (มจรฺ.)
เล่ม ๑๔ หัวข้อ ๑๗๖ หน้า ๒๑๕
---------------------------------------
คำว่า “ความว่าง”
.
“คำว่า “ว่าง” นี้ หมายถึงว่างในทางนามธรรม ทางจิตใจ ทางสติปัญญา ไม่ใช่ว่างทางวัตถุคือว่างไม่มีอะไร ว่างในทางนามธรรมหรือทางสติปัญญา ทางธรรมะหรือทางปรัชญา แล้วแต่จะเรียกนี้หมายความว่า จิตกำลังว่างจากความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น “ตัวตน ของตน” และไม่มีความทุกข์เลย จิตนั้นรู้อารมณ์ทุกอย่าง เสวยอารมณ์ทุกอย่าง พิจารณาอารมณ์ทุกอย่าง หรือแม้ที่สุด รู้รสบริโภคอารมณ์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่โง่ไม่หลงด้วยอวิชชา ไปมีความยึดมั่นถือมั่นว่า “ตัวตน” หรือ “ของตน” แม้ในขณะที่รู้อารมณ์ รับอารมณ์ เสวยอารมณ์ พิจารณาอารมณ์ ก็ทำไปด้วยสติปัญญา ไม่ได้เผลอเป็นกิเลสตัณหายึดมั่น อย่างนี้
.
แม้ว่าจิตนั้นจะกำลังทำการงานในทางจิตอย่างวุ่นตัวเป็นเกลียว ก็ยังเรียกว่าจิตว่างอยู่นั่นเอง เพราะมันยังว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นของๆตน
.
จิตอย่างนี้ไม่มีความทุกข์ จิตอย่างนี้เฉลียวฉลาด สามารถปฏิบัติการงานที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ลุล่วงไปด้วยดี ดังนั้น จึงไม่มีความเสียหาย ไม่มีการขาดทุน มีแต่การได้ผลดี เป็นกำไร มีความก้าวหน้าในทางการงาน และได้รับผลเป็นความพอใจ เป็นความสุข สงบเย็นอยู่เสมอ
.
นี่แหละ คือใจความสำคัญสั้นๆ ของสิ่งอันมากมายที่พระพุทธเจ้าท่านประทานให้แก่เรา เราเป็นคนโง่คนหลงเสียเอง ทำให้สิ่งที่ง่ายๆ สั้นๆ นั้น กลายเป็นของหายากและยืดยาดไป”
.
พุทธทาสภิกขุ
"สุญญตา" คือความว่าง
ที่พระบรมศาสดาได้ตรัสถึงพระองค์เองว่าทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่างทั้งเมื่อก่อนแต่นี้ และทั้งในเวลานี้คือเวลาที่ตรัสเล่าเรื่องนี้และพระองค์ก็ได้ทรงแสดงถึงวิธีปฏิบัติสุญญตา คือความว่าง ตั้งแต่เบื้องต้นขึ้นไปโดยลำดับ
ข้างในว่างไม่มีอะไร
ข้างนอกก็รับรู้สักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ
เมื่อเข้าถึงสภาวะนี้
ตัวเรา..มีไหม ?
ร่างกาย..ใช่เราไหม ?
จิตใจ..ใช่เราไหม ?
มันไม่มีอะไรเป็นตัวตน
เพราะว่าการยึดติดในขันธ์ทั้ง5
มันไม่ก่อตัวขึ้น
ความเป็นตัวตน
เกิดจากการยึดติดในขันธ์5
เพราะฉะนั้นการไม่ยึดติด
เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
นั่นคือพุทธสภาวะ
สติเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นการปล่อยวาง
ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย
ภายนอกมันก็ทำงานทำการ
ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ข้างในมีแต่รู้ที่บริสุทธิ์
ไม่ยึดติดกับอะไรเลย
เป็นเรื่องของสภาวธรรม
นั่นคือ
การวาง หลุดจากอุปาทาน
การยึดถือ ยึดมั่นถือมั่น
ฝึกอยู่กับสภาวะรู้ไปเรื่อยๆ
จนสามารถอยู่กับรู้ได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
ทำงานทำการก็อยู่กับรู้ได้
ตรงนี้คือ..
วิหารธรรมของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
ที่เรียกว่า..สุญญตา
มันว่างจากตัวตน
จากความยึดมั่นถือมั่น
ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
เมื่ออยู่กับรู้ไปเรื่อยๆ
ก็จะมีความละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ
นั่นคือ..สิ่งที่ต้องพัฒนา
ก็คือ..การอยู่กับรู้
จนทรงตัวเป็นปกติ
รู้ที่ไม่มีการยึดติด
เป็นอิสระจากขันธ์ทั้ง5
รู้ที่มีตัวมีตนเป็นเรื่องของสังขาร
แต่..โลกุตระ ไร้ตัวตน ไร้การยึดติด
เหลือแต่รู้สักแต่ว่ารู้
ก็ค่อยๆฝึกค่อยๆพัฒนาไป
" การยืน เดิน นั่ง นอนให้มีสติ...
ติดต่อกันเรื่อย...สม่ำเสมอ
นี่เรียกว่า การฝึกกรรมฐานที่ถูกต้อง
ที่เรา มีสติไม่สม่ำเสมอ
เพราะ...บางทีเราไม่ได้ทำ
การกระทำนี้...
ไม่ใช่ ร่างกายทำแต่จิต เป็นผู้ทำ
ถ้าเราทำสติ...ให้ติดต่อ
ให้มี ความรู้สึกอยู่...เสมอแล้ว
จะเหมือนกับหยดน้ำ ที่ไหลติดต่อกัน
จนเป็นสายน้ำ...ตลอดเวลา
ถ้าทำจิต...ให้เป็นอย่างนี้
การภาวนานั้นก็จะเร็วมาก ดีมาก
เดี๋ยวนี้ มีไปทำวิปัสสนากรรมฐาน
๓ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วันแล้วก็ออกมา
เมื่อออกมาก็ว่า...
เรา ไปทำวิปัสสนาแล้ว ดีแล้ว
ก็ไปเต้นรำทำเพลง สนุกสนาน
ทำอย่างนี้ ก็หมดแล้ว
ไม่มี อะไรแล้ว ไปทำชั่วต่าง ๆ
ทำจิต ให้กระทบกระเทือนเสียหาย อย่างนี้
ไม่เรียกว่า...ปฏิบัติ
มันเป็นปฏิปทา
เหมือนกับปลูกต้นไม้ เอามาปลูกวันนี้
อีก ๓ วันก็ถอน เอาไปปลูกตรงนั้น
อีก ๓ วันก็ถอนอีก ต้นไม้ก็ตาย
ไม่ได้ กินหรอก
กรรมฐาน ก็หมดไปเหมือนกัน อย่างนั้น."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
🦀ธรรมะเชิงอุปมา ว่าด้วยเรื่อง "ปูลม"🦀
กิเลส ความทุกข์ ความสุข ความโศกความเศร้า ความสบายใจ ความไม่สบายใจ หรือว่าความผ่องใส ความเศร้าหมอง ความคิดความปรุงแต่งต่าง ๆ
มันก็เกิดที่ใจดับที่ใจ
เฝ้าสังเกตเห็นที่เกิดที่ดับของมันจริง ๆ อย่าไปไล่ตามความคิดหรือจิตที่ปรุงแต่ง ไล่ไม่ทันหรอกเพราะมันเร็วมาก
อย่าไปไล่ดับความคิด ให้เห็น "ที่เกิดที่ดับ" ของมัน ว่ามันเกิดที่ไหนดับที่ไหน
จะรู้ว่าที่เกิดดับของมัน มันมาจากความว่างเปล่า มันว่างเปล่าจริง ๆ เหมือนดั่งท้องฟ้า เหมือนดั่งอวกาศ มันไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีสัญลักษณ์ใด ๆ เลย มันเป็นความว่าง
ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้ความคิดทั้งหมดมันว่าง แต่เราเห็นว่าความคิดทั้งหมด มันเกิดมาจากความว่าง และดับหายไปในความว่าง
นั่นแหละ... แล้วเราก็จะพ้นจากทุกข์ได้ ใจมันก็จะเป็นความว่างเปล่า ส่วนความคิดทั้งหมดก็จะถูกปล่อยวางไป แต่ไม่ใช่ว่าเราเข้าใจผิด ไปทำให้มันไม่คิด ทำให้ใจว่าง ๆ ... อันนี้มันจะสร้างเอา มันจะปรุงแต่งสร้างมโนภาพ แล้วก็เป็นคนเอ๋อเอา
เหมือนอย่างนี้... เหมือนกับเราไปยืนดู "ปูลม" พอเดือนหงาย สมมุติวันมาฆะบูชา เดือนหงายสาดส่องไปทั่วหาดทราย เราก็จะเห็นว่า "ปูลม" มันขึ้นมาเต็มหาดทรายไปหมดเลย
เราก็ เอ๊ะ !... ปูลมมันออกมาจากตรงไหน เราสังเกตให้ดี ๆ ว่าปูลมมันออกมาจากตรงไหน ค่อย ๆ สังเกตมัน เดี๋ยวเราก็จะเห็น "รู" ปูลม
อ๋อ... รูปูลมมันเป็นอย่างนี้เอง เพราะเราไม่เคยเห็น เราจะเห็นว่า "รู" ปูลมมันกลวง มันว่าง มันจึงเป็นที่เข้าออกของปูลมได้
นั่นแหละ..... อย่าไปเป็น "ปูลม" ให้เป็น "รู" ปูลม
แต่เดี๋ยวปูลมมันก็เข้า ๆ ออก ๆ นั่นแหละ
"รูปูลม" ก็เปรียบเหมือน "ใจ"
"ปูลม" ก็เปรียบเหมือน "จิตที่ปรุงแต่ง" มีความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ
เราไม่ได้ไปฆ่าปูลมทั้งหมดนะ ถ้าเราพยายามไปฆ่าความคิด ดับความคิด ดับความปรุงแต่ง ดับอารมณ์ทั้งหมด เท่ากับเราไปฆ่า! (ไล่ดับความคิดและอารมณ์)
เราเห็นปูลมเต็มชายหาดแล้วเราไปฆ่า ไล่ฆ่าปูลมหมดเลย อันนั้นเราปฏิบัติผิดนะ
ให้สังเกตเห็นว่าปูลมมันออกมาจากไหน แล้วมันกลับดับไปที่ไหน เราจะเห็นว่า อ๋อ... มันออกมาจากรูนี้ แล้วมันก็ดับไปที่รูนี้ มันเข้าไป (ปูกลับเข้า "รูปู" ) ก็เหมือนดับ
มันออกมาที่รูนี้ แล้วมันดับไปที่รูนี้
อ๋อ ... รูมันกลวง และ ว่างเปล่า มันจึงเข้าออกได้ เกิดดับได้
*** ให้เป็น "รู" ปูลม แต่อย่าไปเป็น "ปูลม" ***
ถ้าไปเป็นปูลมมันเพ่นพ่าน มันวิ่งวุ่นวายไปหมด มันเป็นทุกข์ ถ้าเป็นรูมัน เฝ้าเป็นรูที่เป็นรูปูลม เดี๋ยวก็เป็น "ใจ "
รูปูลม... เปรียบเหมือนเป็น "ใจ"
ปูลม... ก็เป็นสังขาร
"จิตตสังขาร" เข้าออกที่ใจ เกิดดับที่ใจ แต่ "ใจ" ไม่เกิดดับ เป็นใจที่ไม่เกิดดับพ้นจากทุกข์ได้
ไม่ใช่ว่าเราไปไล่ฆ่าปูลมหมดเลย แล้วไปทำให้มันว่าง ๆ ไม่มีปูลม อันนั้นผิดนะ !!
เราต้องการให้เห็นที่เกิดที่ดับของจิต เราไปฆ่าจิตไม่ได้ เพราะว่าเรายังไม่ตายจะไปฆ่าจิตได้ยังไง เพราะว่าชีวิตมันมีร่างกายกับจิตใจ ถ้าเราไปฆ่าร่างกายจิตใจซะแล้ว เราก็มีความเป็นอยู่เหมือนคนตาย
ร่างกายกับจิตที่ปรุงแต่งมันเป็นสังขาร มันเป็นความปรุงแต่ง แต่ให้เห็นที่เกิดที่ดับของความปรุงแต่ง
เหมือนกับร่างกายของเราก่อนจะมีขึ้นมา ในจักรวาลที่ว่างเปล่านี้ก็ไม่มีตัวเรา แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า เสร็จแล้วตัวเราก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
แล้วก็มีตัวเราเกิดขึ้นมาในจักรวาลที่ว่างเปล่า แล้วตัวเราแต่ละคนก็ตายไป เหลือแต่จักรวาลที่ว่างเปล่า
ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ "อวิชชา" มันก็จะดับไป ก็จะไม่มี "ตัวเรา" เกิดขึ้นมาในความว่างเปล่า กลายไปเป็น "ธาตุรู้" ที่รวมกับความว่างเปล่าของธรรมชาติ
ผู้ใดพบใจ ผู้นั้นพบธรรม
ผู้ใดถึงใจ ผู้นั้นถึงพระนิพพาน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
"...การมีสติจดจ่อกับกาย สามารถใช้เพื่อต่อกรกับ
การยึดมั่นถือมั่น
แต่ยังมี สติ ที่จดจ่อ กับอารมณ์ต่างๆ
และ สติในการเฝ้าดูจิต อีกด้วย
ความว่าง
อันเป็นเนื้อแท้ ของสิ่งที่ปรากฏอยู่ทั้งหลาย
ไม่ได้หมายความว่า สิ่งต่างๆ ไม่มีอยู่เลย
พระอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 11 กล่าวว่า
มือ คือ ความว่าง
ไฟ คือ ความว่าง
การไหม้ คือ ความว่าง
แต่หาก เอามือไปลนไฟ ก็จะเจ็บปวด...."
องค์ดาไล ลามะ - เทศน์
จิมคนาคลับ กรุงนิวเดลลี อินเดีย
23 มี.ค. 2015 -
-------------------------------
คัดลอกจากเฟซบุ๊ค มหายาน ธิเบต
พระพุทธเจ้าตรัสถามเชิงสนทนาธรรมว่า สารีบุตรสีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนักอะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ พระสารีบุตรกราบทูลว่า
"ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"(สุญญตา) ก็เห็นมีอยู่เพียงเท่านี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
มีดวงตาเห็นธรรมคือเห็นธรรมชาติ
💥ธรรมชาติมีอยู่ 2 ส่วน
1. อสังขตธาตุ(นิพพาน) หรือ มหาสุญญตา สิ่งนี้มีอยู่ก่อนแล้ว หรือเราเรียกว่าความว่าง
🔛หาจุดเริ่มต้นไม่ได้ หาจุดสิ้นสุดไม่ได้
2.สังขตธาตุ คือสังสารวัฏ ธรรมชาติใน 3 ภพ(รูป และนาม)
🔛มีธรรมชาติเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ต้องดับไป
สิ่งที่พ้นจากรูปและนาม นั่นคือ ความว่างที่เป็นแสงภายใน คือ อสังขตธาตุ หรือนิพพาน
พระพุทธเจ้าพบว่า...................
สิ่งเริ่มต้นที่เรียกว่า อสังขตธาตุ(นิพพาน)
แท้จริงก็คือ
สภาวะที่ไม่มีกิเลส ตัณหา ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ
ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
💥ความคิดปรุงแต่ง หรือจิตสังขาร เป็นต้นกำเนิดสังขตธาตุ
อสังขตธาตุ(ความว่าง) มันสร้างรูปและนาม (สสารและพลังงาน)ขึ้นมา จากการคิด อุปทานปรุงแต่งของสรรพจิต
💥ความคิดของพวกเราสร้างสังสารวัฏขึ้นมา
จิตเป็นไปได้ทุกอย่าง แล้วแต่ปัจจัย หรือ อุปกิเลสที่จะปรุงแต่ง
เรา ผี เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ทุกอย่างเป็นไปตามการปรุงแต่งของจิต
ดังนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นมายาของความว่างเปล่าทั้งสิ้น
พวกเราเหล่ามนุษย์ล้วนอยู่ในความฝันที่เหมือนจริงของตน
แตะต้องได้ สัมผัสได้ ปฎิสัมพันธ์กันได้ บนพื้นฐานแห่งอนัตตา
จริงๆมันไม่เคยมีตัวตน ที่แท้จริง เกิดขึ้น เสื่อมสลาย และเป็นความว่างเปล่า
เราไม่รู้นะ นี่สำคัญมากที่สุด นี่ล่ะที่ว่าประภัสสร
... ถ้าว่าจิตผ่องใสจริง ๆ แล้ว
จะเกิดทำไม ก็มันผ่องใสมันไม่ใช่บริสุทธิ์นี่!
... พอเข้าภาคปฏิบัติแล้วก็ยอมรับเลย
...อ๋อเป็นอย่างนี้เอง มันยังไม่บริสุทธิ์นี่...
♥พอได้ปล่อยนี้ออกหมดโดยประการทั้งปวงแล้วเท่านั้น
ที่นี่ บรมสุขๆถามหาที่ไหน
ดูหัวใจเจ้าของที่บริสุทธิ์นั้นเท่านั้น
ก็รู้แล้ว จะไปถามหานิพพานที่ไหน
ถ้าไม่ใช่บ้านิพพานน่ะ
แล้วนิพพานวัดผ่าศูนย์กลางยาวเท่านั้น
ยาวเท่านี้ ลึกเท่านั้น เท่านี้ มันบ้าทั้งนั้นแหละ
ไปผ่าศูนย์กลางที่ไหน
ดูหัวใจเจ้าของที่บริสุทธิ์แล้วมันมีศูนย์กลาง
ที่ตรงไหน ศูนย์ขอบที่ตรงไหน ศูนย์กลางที่ตรงไหน
วัดผ่าตรงไหนไปถึงตรงไหน
ถ้าไม่ใช่บ้าเท่านั้นให้มันเห็นชัด ๆ อย่างนี้ซิยันได้เลย
♥มาถึงขั้นนี้แล้ว
มีความรู้อันเดียวเท่านั้นเป็นตัวสมุทัยหมดทั้งดวง
เมื่อประจักษ์ใจด้วยปัญญาถึงขนาดนี้
แล้วใครจะยอมถือ"ตัวผู้รู้"
ซึ่งเป็นกงจักรนี้ว่าเป็นตนเล่า
นี่คือปัญญาขั้นละเอียดและปัญญาอัตโนมัติในหลักธรรมชาติ...
นอกจากรู้วัฏจิตอันเป็นตัวสมุทัยแล้ว
ยังพิจารณาย้อนเข้าไปว่า
เป็นเพราะเหตุใดจึงเป็นสมุทัยและเป็นได้อย่างไร
ตามคิดค้นเข้าไปตามสาเหตุ
ที่มีและแสดงตัวให้ปรากฏอยู่
ด้วยความสนใจใคร่จะรู้ในสาเหตุนั้น
♥แต่โดยมากเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว
ถ้าไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรองจนละเอียดถี่ถ้วนจริง ๆ
ต้องติดในความรู้วัฏจักรนี้แน่ ๆ
เพราะเป็นยอดสมุทัยของวัฏจักร
ซึ่งควรหลงและติดได้
โดยนักปฏิบัติไม่รู้สึกตนว่าติด
นอกจากจะหลงและติดอยู่โดยไม่รู้สึกตัวแล้ว
ยังอาจจะระบายความหลงอันลึกลับนี้
ออกเป็นความรู้โดยเข้าใจผิดของตน
ให้ผู้อื่นฟังและหลงตามกันไปเป็นจำนวนมาก
♥ความว่าง ความสุข ความใส นั่นแล
เป็นธรรมปิดบังตัวเอง
เพราะธรรมทั้งนี้คือเครื่องหมายของภพชาติ
ผู้ต้องการตัดภพชาติจึงควรพิจารณา
ให้รู้เท่าและปล่อยวางสิ่งเหล่านี้
อย่าหวงไว้เพื่อก่อไฟเผาตัว
♥ถ้าปัญญาขุดค้นลงตรงที่
สามจอมกษัตริย์แห่งภพปรากฏอยู่นั่นแล
จะถูกองค์การใหญ่ของภพชาติ
และขาดกระเด็นออกจากใจทันที
ที่ปัญญาหยั่งลงถึงฐานของเขาตั้งอยู่
เมื่อสิ่งทั้งนี้สิ้นไปแล้วเพราะอำนาจของปัญญา
นั่นแลเป็นความว่างอันหนึ่ง
เครื่องหมายของสมมติใด ๆ
จะไม่ปรากฏในความว่างนั้นเลย
นี่คือความว่างที่ผิดกับความว่างที่ผ่านมาแล้ว
♥ความว่างประเภทนี้
เราจะว่าเป็นความว่างของพระพุทธเจ้า
หรือความว่างของใครนั้น
ผู้แสดงไม่สามารถจะเรียนให้ทราบได้ว่า
ควรจะเป็นความว่างของใคร
นอกจากจะเป็นความว่างที่รู้เห็นกันอยู่ด้วยสันทิฏฐิโก
ของผู้บำเพ็ญเท่านั้น
ความว่างอันนี้ไม่มีกาลสมัย
เป็นอกาลิโกอยู่ตลอดกาล
♥ทีนี้ พอเราฝึกซ้อมจิตใจของเรา ให้สติสตังดี ความเพียรดีแล้ว เข้าไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว กิเลสขาดสะบั้น ๆ
มันแก้กันอย่างนั้นเห็นอยู่ในหัวใจของเรา
ยิ่งเป็นมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว
กิเลสมองดูแทบไม่มีนะ มันว่างไปหมดแทบไม่มี
แต่ดีที่ไม่เคยสำคัญตนว่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
ทั้ง ๆ ที่กิเลสส่วนละเอียดยังมีอยู่ ไม่เคยสำคัญ
ถ้ามีอยู่ละเอียดก็ยอมรับว่ามีๆ
อยู่งั้น บางทีถึงได้คิดขึ้นมาว่า
“หือ! มันเป็นยังไงกิเลสมันม้วนเสื่อไปหมดแล้วเหรอ
ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ”
ว่าเฉย ๆ แต่ยังไม่สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์น้อย
เพราะตอนนั้นมันว่างกิเลสไม่โผล่
อำนาจของสติปัญญามันรุนแรง
จากนั้นพอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจริง ๆ แล้ว
สันทิฏฐิโกขั้นสุดยอดมาพร้อมกันเลย
ทีนี้อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่ถามถึงเลย
อรหันต์น้อยก็ไม่มีอรหันต์ใหญ่ก็ไม่มี
มีแต่สันทิฏฐิโก ขั้นสุดยอดในจิต
นั่นละบริสุทธิ์แล้วเป็นธรรมธาตุผางขึ้นมาทีเดียวหมดเลย
♥สันทิฏฐิโกขั้นสุดยอดพอถึงขั้นนั้นแล้ว
สติปัญญาที่ว่าหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้ระงับลงเอง
ไม่ต้องไปบีบไปบังคับว่าให้หยุดได้
ความพากเพียรประเภทอัตโนมัติเป็นธรรมจักรนี้ให้หยุดได้
ไม่ต้องบอก ก็ความเพียรอันนี้ที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ
มันก็เป็นมรรคเครื่องฆ่ากิเลส
เมื่อฆ่ากิเลสสิ้นซากลงไปไม่มีอะไรเหลือแล้ว
จะไปฆ่าอะไร มันก็ปล่อยเอง�
............................
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน (-/\-)
ธรรมะ มันอยู่ตรงหน้าเรา
เพียงเราตีความผิดพลาดนิดเดียว เราก็เลยลงไปภพภูมิต่างๆนับไม่ถ้วน
ธรรมะไม่มีอะไร ที่อยู่ตรงหน้าเรา ก็คือ ความว่าง !!
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่า ไม่มีธรรม นั่นแหละมันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่รู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง)
เมื่อจิตว่างจาก "พฤติ" ต่างๆ แล้ว จิต...ก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และ"จิต"กับ"ผู้รู้"เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อม
ไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง
ไม่มีความเป็นอะไร จะไปรู้สภาวะของอะไร
ไม่มีสภาวะของใคร จะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว "จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง" จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง
มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของ จักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า "นิพพาน"
โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น เป็นแบบ "ปริศนาธรรม" มิใช่เป็นการ"บรรยายธรรม" ฉะนั้น คำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน
เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า "พฤติของจิต" แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า "ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต" เหล่านี้ ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ "พฤติแห่งจิต" อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลัง
เพราะคำว่า "มรรคปฏิปทา" นั้น จะต้องอยู่ใน "มรรคจิต" เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย
"การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์"นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วย วิสุทธิศีล วิสุทธิธรรม พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตเป็นเหมือนกับความว่างซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
คำว่า “สิ่งที่จิตยังไม่แจ้ง.... จิตก็คว้าไว้รกรุงรัง”
หมายถึง… “จิตไม่รู้ตัวว่าจิตหลงยึดถืออยู่” จึงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ โศก เศร้า คับแค้นใจ หดหู่ เหี่ยวแห้งใจ
เพราะมีผู้ยังไม่สมหวัง สมปรารถนา ยังไม่ได้อย่างใจอยาก เช่น หลงยึดถือความรู้แจ้ง หลงยึดถือความไม่ยึดถือ ความพ้นทุกข์ หรือ นิพพาน หลงยึดถือจิตหรือใจเสียเอง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
คนเราติดอะไร(เบญจขันธ์)
อะไรเป็นที่ตั้งที่ยึด ที่เกาะเกี่ยวของอุปาทาน? ที่ตั้งของอุปาทานก็คือโลกนี้เอง คำว่า “โลก” ในทางพระพุทธศาสนา มีความหมายกว้างกว่าความหมายตามธรรมดา คือหมายถึงสิ่งทั้งปวทั้งสิ้นกันทีเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ปีศาจ เปรต อสูรกาย อะไรก็สุดแท้ที่จะมี รวมแล้วก็เรียกว่าโลก.
การรู้จักโลก มีความหมายอยู่ตรงที่ว่ามันมีความลึกลับเป็นชั้น ๆ. เรารู้จักกันแต่ชั้นนอก ๆ ที่เรียกว่า “ชั้นสมมุติ” นี้หมายถึงตามสติปัญญาของคนทั่ว ๆไป. พระพุทธศาสนาจึงมีการสอนให้ดูกันหลาย ๆ ชั้น. ท่านมีวิธีแนะให้ดูการจำแนกโลกออกเป็นฝ่ายวัตถุ ซึ่งเรียกกันว่า รูปธรรมอย่างหนึ่ง; ฝ่ายจิตใจเรียกว่านามธรรม อีกฝ่ายหนึ่ง. ยิ่งกว่านั้นท่านได้แบ่งส่วนที่เป็นนามธรรมหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๔ ส่วน เมื่อเอารูปธรรม ๑ ส่วนมารวมกันเข้ากับนามธรรมได้เป็น ๕ ส่วน ท่านเลยเรียกว่า เบญจขันธ์หรือขันธ์ห้า แปลว่าส่วน ๕ ส่วนประกอบกันขึ้นเป็นโลก คือเป็นสัตว์เป็นคนนี่เอง.
การดูโลก ก็หมายถึงการดูสัตว์โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคน เพราะปัญหาอยู่ที่เรื่องของคน. ร่างกายเป็นวัตถุที่เรียกว่ารูปหรือ รูปขันธ์ (ส่วนที่เป็นรูป); ส่วนที่เป็นจิตใจอีก ๔ ส่วนนั้น จำแนกไปได้คือ
ส่วนที่ ๑ เรียกว่า “เวทนา” หมายถึงความรู้สึก ๓ ประการคือสุขหรือพอใจอย่างหนึ่ง ทุกข์หรือไม่พอใจอย่างหนึ่ง อีกแบบหนึ่งอยู่ในลักษณะที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าสุขหรือทุกข์ คือเป็นเรื่องที่ยังเฉย ๆ อยู่ แต่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนกัน. ความรู้สึกนี้มีประจำอยู่ในคนเราเป็นปกติ วันหนึ่ง ๆ ย่อมเต็มไปด้วยความรู้สึก; ท่านจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบกันเป็นคน และเรียกส่วนนี้ว่าเวทนา หรือเวทนาขันธ์.
ส่วนที่ ๒ เรียกว่า “สัญญา” แปลว่ารู้ตัว เป็นความรู้สึกตัวอยู่เหมือนอย่างว่าเรากำลังตื่นอยู่ คือไม่หลับ ไม่สลบ ไม่ตายหรือเรียกว่ามีสติสมปฤดี. โดยทั่ว ๆ ไป มักจะอธิบายกันว่าเป็นความจำได้หมายรู้ ก็ถูกเหมือนกัน เพราะว่ายังไม่เมา ไม่สลบไม่หลับ ไม่ตาย ดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อกระทบอะไร ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รู้สึกหรือจำได้ว่าเป็นอะไร เช่นรู้ว่า เขียว แดง สั้น ยาว คน สัตว์ ฯลฯ ตามแต่จะจำได้. นั่นแหละ เป็นความรู้สึกของสมปฤดี หรือ “สัญญา” ในที่นี้.
ส่วนที่ ๓ เรียกว่า “สังขาร” มีความหมายมาก จนมันปนกันยุ่งไปหมด, เราพูดถึงสังขารที่เป็นส่วนของนามธรรมนี้กันก่อนแปลว่า “ปรุง” คือกิริยาอาการของสิ่งที่เป็นอยู่ในคนหนึ่ง ๆได้แก่ การคิดหรือความคิดเช่นคิดจะทำ คิดจะพูด คิดอย่างนั้นอย่างนี้ คิดดีคิดเลวคิดในทางไหนก็จัดเป็นความคิดทั้งนั้นความรู้สึกที่เป็นความคิดพลุ่งขึ้นมาจากการปรุงแต่งภายในใจนี้เรียกว่าสังขาร. คำว่า สังขาร ในที่อื่นนั้น หมายถึงบุญกุศลที่ปรุงแต่งคนให้เกิดขึ้นก็มีหมายถึงร่างกายหรือโครงร่างที่มีจิตใจครองดังนี้ก็มี มีความหมายหลายทาง แต่ตรงกันโดยเหตุที่มันมีความหมายไปในทางมีการปรุงแต่งประกอบกันขึ้นมา
ส่วนที่ ๔ เเรียว่า “วิญญาณ” หมายถึงจิตที่ทำหน้าที่รู้สึก ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น และที่กายทั่ว ๆ ไปตลอดถึงที่ใจของตนเองด้วย (ไม่ใช่เจตภูตอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจกัน).
ขันธ์ห้านี่แหละเป็นที่เกาะยึดของอุปาทานทั้ง ๔ ที่ได้อธิบายแล้ว ขอให้ย้อนไปอ่านแล้วนำมาพิจารณาให้เข้าใจกันให้ดี ให้รู้ว่าความยึดนั้นมันเกาะจับอยู่กับส่วน ๕
ส่วนนี้อาจยึดเอาแต่ละส่วนว่าเป็นตัวตนก็ได้แล้วแต่ความโง่ของคน เหมือนอย่างเด็กเล็ก ๆ ที่เดินเซไปโดนประตู เจ็บ ต้องตีประตูเสียทีหนึ่งจึงจะหายโกรธและหายเจ็บ อย่างนี้หมายความว่ายึดเอารูปล้วน ๆคือประตูซึ่งเป็นไม่แท้ ๆ ว่าเป็นตัวตน นั้นเป็นอุปาทานในขั้นต่ำที่สุด
สำหรับคนโต ๆ ก็โกรธร่างกายถึงกับทุบตีร่างกายหรือโขกศีรษะตัวเอง ก็ยึดถืออย่างเดียวกันกับเด็ก คือไปยึดถือเอาร่างกายเป็นตัวตน.
ถ้าหากว่าฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ก็จะถือเอาเวทนาหรือสัญญาหรือสังขารหรือวิญญาณส่วนใดส่วนหนึ่งว่าเป็นตัวตน
ถ้าหากไม่อาจจะ แยกออกได้ก็ยึดทั้งกลุ่มว่าเป็นตัวตน คือเอาทั้ง ๕ ส่วนรวมกลุ่มกันเป็นตัวตนอย่างนี้ก็ได้.
ถัดมาจากรูปก็คือ เวทนา กล่าวคือความรู้สึกว่าสุข ทกข์หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ มีทางที่จะยึดเป็นตัวตนได้มากที่สุด เราจะมองดูตัวอย่างในเรื่องเราหลงใหล ในกามสุขโดยเฉพาะก็คือความเอร็ดอร่อย ความถูกอกถูกใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่. ตัวเวทนาในที่นี้ก็คือความรู้สึกเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นความสุขแล้วก็ไปติตความสุขนั้นหรือความอร่อยนั่นเอง คนยึดถือเวทนาเป็นตัวเป็นตนกันอยู่มาก หรือว่าแทบทั้งหมคเพราะว่าไม่มีใครที่จะไม่ชอบความเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็การสัมผัสทางผิวหนัง. ความไม่รู้หรือความหลงผิดทำให้มองไมเห็นสิ่งอื่นใด มองเห็นแต่ความเอร็ดอร่อย แล้วยึดถือเป็นตัวเป็นตน และจะยึดเอาสิ่งนั้นมาเป็นของตน.
ความรู้สึกทางพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ย่อมจะเรียกได้ว่าเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ความรู้สึกชอบกับชังนี้ ตามความหมายทางธรรมะแล้วย่อมถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน เพราะมันทำให้เกิดความทรมานใจเท่ากัน : ความชอบทำให้ใจฟูความไม่ชอบทำให้ใจแฟบ การดีใจและเสียใจ ก็เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน ทำให้เกิดหวั่นไหวทางจิตได้เท่ากันทั้งหมดนั้นเรียกว่ายึดเวทนาเป็นตัวตน.
ขอให้ทุกคนพิจารณาความยึดถือเวทนาว่าเป็นตัวตนของตนในตนเอง ให้เข้าใจอย่างถูกต้องจริง ๆ จะเป็นหนทางทำให้เป็นอิสระจากเวทนา. เวทนาเป็นสิ่งที่มีอำนาจเหนือจิตใจ แล้วดึงเราไปสู่สภาพที่จะต้องเสียใจในภายหลัง. ในทางปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนให้พิจารณาเรื่องเวทนาโดยเฉพาะก็มีมาก. มีผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะกำหนดเวลา เป็นวัตถุสำหรับการพิจารณาเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่างนี้ก็มี มาก
เวทนานี้เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือได้ง่ายกว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมดเพราะมันเป็นที่มุ่งหมายสูงสุดของสิ่งที่เราพากเพียรทำกัน “ เราอุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียนอุตส่าห์ประกอบการงานอาชีพต่าง ๆก็เพื่อให้ได้เงินแล้วก็ไปซื่อหาสิ่งต่าง ๆ เช่น ของใช้ ของกิน เครื่องบำรงบำเรอ ตลอดจนถึงรสพิเศษจากเพศตรงกันข้ามแล้วก็บริโภคของเหล่านั้นเพื่อหวังอย่างเดียวคือสุขเวทนา กล่าวคือความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น และทางกาย
เราลงทุนด้วยกำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจทั้งหมดก็เพื่อหวังสุขเวทนาอันเดียวนี้เท่านั้น ก็รู้อยู่แก่ใจกันดีทุกคน ถ้าไม่เพราะอำนาจของสุขเวทนานี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็คงจะไมลงทุนเรียน ลงทุนทำการงาน ลงเรี่ยวลงแรงหาเงิน ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเรื่องสุขเวทนานี้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว ถ้ามี ความรู้ความเข้าใจ ก็จะสามารถควบคุมมันได้ จนทำให้เรามีจิตใจสูงอยู่เหนือความรู้สึกชนิดนั้น จะทำให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าที่เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมดา. แม้ความยุ่งยากต่าง ๆ ในสังคม ก็มีมูลมาจากสุขเวทนานี้เหมือนกันการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศ.หรือระหว่างครึ่งโลกกับครึ่งโลกที่จะต้องรบกัน เมื่อไล่เบี้ยไปถึงที่สุด แล้วจะไปพบความจริงที่ว่า ทุกฝ่ายตกเป็นทาสของสุขเวทนาดังที่กล่าวมาแล้ว การทำสงครามกันนั้น ไม่ใช่เพราะมีมูลมาจากความยึดถือเกี่ยวกับลัทธิ หรือเกี่ยวกับอุดมคติอะไรก็หามิได้ ที่ แท้แล้วมันก็เนื่องมาจากประโยชน์สุข ต่างฝ่ายจะมุ่งแต่ให้ได้ประโยชน์มาก จะกอบโกยเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ลัทธินั้นเป็นเครื่องบังหน้าหรือเหตุประกอบรอง ๆ ลงไปเท่านั้นเอง ส่วนลึกที่สุดอยู่ที่การตกเป็นทาสของสุขเวทนา ฉะนั้น การรู้จักเวทนาก็หมายถึงการรู้จักมูลเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้เราตกเป็นทาสของกิเลสหรือความชั่วจนได้รับความทุกข์ในทุกระดับ.
เมื่อมนุษย์เป็นอย่างไร เทวดาก็เป็นอย่างนั้น คือตกอยู่ภายใต้อำนาจสุขเวทนาอย่างเดียวกับมนุษย์และยิ่งกว่ามนุษย์เพียงแต่เขาสมมุติให้เป็นเรื่องที่ดีกว่าประณีตกว่าได้อย่างอกอย่างใจกว่าเท่านั้น แต่ก็ยังไม่พ้นไปจากเรื่องตัณหาอุปาทานหลงติดอยู่ในรสอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นั้นเอง
ถ้าสูงขึ้นไปถึงขั้นพรหม ก็ต้องยกความอร่อยในทางกามารมณ์ออกเสียแต่ไม่พ้นจากความอร่อยทางจิตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าฌานหรืออยู่ในสมาธิ เกิดความสุขใจเป็นรสอร่อยขึ้นมา ก็ตกใจในรสอร่อยนั้นเหมือนกัน. แม้ไม่เกี่ยวกับกามารมณก็เป็นสุขเวทนานั่นเอง.
ยิ่งสัตว์ที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ด้วยแล้ว มันย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจของสุขเวทนาอย่างไม่เป็นระเบียบ ยิ่งกว่ามนษย์เรามากมายนัก ฉะนั้น การรู้เรื่องของเวทนาว่าเป็นอย่างไร โดย-เฉพาะรู้เรื่องเวทนาว่า ไม่สู้เป็นตัวเราของเราเลย ไม่ควรจะยึดถือ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของคนเราจริง ๆ.
ถัดไปก็คือเรื่อง สัญญา หรือที่เรียกว่า สมปฤดี นั่นเองนี้มีทางที่จะยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนของเราได้ง่ายเหมือนกันอย่างที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปมักชอบพูดกันว่า ถ้านอนหลับจะมีอะไรบางอย่างออกไปจากตัวเราที่เรียกว่า เจตภูต หรือจะเรียกว่าอะไรสุดแท้ ในขณะนั้นเราก็เหมือนท่อนไม้ ไม่มีความรู้สึกทางตาหูจมูกลิ้น และกายเพื่อสิ่งนั้นกลับสู่ร่างกายอีก จึงจะรู้สึกสมปฤดีตามเดิม มีสติสตังขึ้นมาตามเดิม คนเขาหลงเชื่อกันอย่างนั้นมาก เลยยิ่งมีทางที่จะยึดเอาสัญญาหรือสมปฤดีนี้ว่าเป็นตัวตนมากขึ้น.
แต่ถ้าว่ากันตามทางพุทธศาสนาแล้ว สัญญาไม่ใช่เป็นตัวตน สัญญาเป็นเพียงความรู้สึกจำได้หมายรู้ที่ยังคงดีอยู่. พอเกิดการไม่เป็นระเบียบในการปรุงแต่งเท่านั้น สิ่งที่เราเรียกว่า สัญญาหรือ สมปฤดี ก็จะกลับเป็นใช้ไม่ได้ไปทันที. พุทธศาสนาไม่ยอมรับว่าสัญญาเป็นตัวตนก็เพราะเหตุนี้ ; แต่คนทั่วไปก็ชอบเดา หรือสันนิษฐานไปในทางที่จะยึดถือว่าเป็นตัวตนการศึกษาพุทธศาสนากลับได้ความรู้ที่ตรงกันข้าม ว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของใคร. นั่นเป็นเพียงผลของการปรุงแต่งตามธรรมชาติในคน ๆ หนึ่ง เท่านั้นเอง
ขันธ์ถัดไปคือ สังขาร ได้แก่ความ นึกคิด ความรู้สึกจะทำนั่นทำนี่ จะได้นั่นได้นี่ เป็นความคิดดีก็ตาม ชั่วก็ตาม แสดงความเป็นตัวเป็นตนหนักขึ้นไปอีก ใคร ๆ ก็จะรูสึกว่า ถ้าจะเป็นตัวตนกันบ้างละก็ ตัวผู้นึกคิดนี่ แหละ น่าจะเป็นตัวตนมากกว่าอย่างอื่น. อย่างนักปรัชญาคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน เขามีปรัชญาของเขาง่าย ๆ ว่า “ข้าพเจ้าคิดได้ ข้าพ-เจ้าจึงมีอยู่”
แม้นักปรัชญาในสมัยวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ก็ยังยืดถือตัวตนอย่างเดียวกับ ในสมัยเมื่อสองสามพันปีมาแล้ว โดยถือเอาตัวความคิดนั้นว่าเป็นตัวตน.
พุทธศาสนาได้ปฏิเสธเวทนา และสัญญา ว่าไม่ใช่ตัวตนมาแล้ว ยังปฏิเสธความคิด หรือตัวจิตที่คิด ว่าไม่ใช่ตัวตนเหมือนกัน. เพราะอาการที่คิดขึ้นมาได้นั้น มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นผลของการปรุงของสิ่งหลาย ๆ สิ่งสาเร็จรูปเป็นความคิดขึ้นมาได้ อยู่ในกลุ่มของส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นคน โดยไม่ต้องมีตัว “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวตนอย่างว่าสังขารหรือความคิดนี้ จึงถูกยืนยันว่าเป็นอนัตตา กล่าวคือไม่มีต้นไม้มีตนอย่างเดียวกันกับขันธ์อื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว.
คำในพระพุทธศาสนาก็ระบุชัดอยู่แล้วว่า “สังขาร” ซึ่งแปลว่าของปรุงแต่ง คือของหลาย ๆ อย่างมาปรุงกันเข้าจึงยิ่งไม่ใช่ตัวตน. ความลำบากเข้าใจยากอยู่ตรงที่ว่า พวกเราไมมีความเข้าใจในเรื่องของนามธรรม หรือจิตใจอย่างเพียงพอ เรารู้จักกันแต่เรื่องรูปธาตุที่เป็นวัตถุแต่ธาตุอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุเราแทบจะไม่เข้าใจกันเสียเลย เราจึงเข้าใจยากในเรื่องของการปรุงทางนามธาตุ.
ในที่นี้บอกได้แต่เพียงตามหลักพุทธศาสนาว่า เป็นการปรุงของธาตุหลาย ๆ ธาตุ รวมทั้งวัตถุธาตุ และนามธาตุ สิ่งทีเรียกว่าความคิด หรือ “ สังขาร” จึงเกิดขึ้นโนใจของตัวเราเองและทำให้เข้าใจไปว่า มีผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้คิดเพื่อไปในทำนองว่าเป็นเจตภูต เป็นวิญญาณ เป็นตัวเจ้าของร่างหรืออะไรทำนองนี้พุทธศาสนาปฏิเสธสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเมื่อได้แยกออกเป็นส่วน ๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็พิสูจน์แต่ละส่วน ๆ ว่าไม่มีส่วนไหนเป็นตัวเป็นตน ตลอดถึงส่วนที่เป็นความคิด ก็ไม่ใช่ตัวตนอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันเลย.
ถัดไปเป็นส่วนสุดท้ายเรียกว่า “วิญญาณ” ทำหน้าที่รู้แจ้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน เพราะเหตุว่าอวัยวะนั้น ๆ ล้วนมีความสามารถรับรู้รูป เสียง กลิ่น รู้สึกสัมผัส อยู่ตลอดเวลา. เมื่อตากับรูปถึงกันเข้า วิญญาณก็เกิดขึ้น เป็น ๓ ฝ่ายด้วยกัน. เช่นตาก็มีความรู้แจ้งเกิดขึ้นว่ารูปนั้นมีสัณฐานอย่างไร เป็นรูปคนหรือสัตว์ สั้นหรือยาว ขาวหรือดำ อย่างนี้เป็นต้น.
ความรู้แจ้งที่เกิดขึ้นทำนองนี้เหมือนกับกลไกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นไปเองตามธรรมชาติ อย่างอัตโนมัติแต่มีคนบางพวกถือกันว่านั่นแหละเป็นเจตภูต หรือเป็นตัววิญญาณที่ แล่นเข้าแล่นออกจากใจมารับความสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย อย่างนี้ก็มี แล้วยึดถือเอาเป็นตัวตน. ตามหลักพุทธศาสนาถือว่า มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ถ้ารูปและตาพร้อมทั้งประสาทตา ได้มีการกระทบกันก็จะมีการเห็นเกิดขึ้นสำเร็จเป็นการรู้แจ้งทางตาเรียก จักษุวิญญาณ ตามชื่อของประสาทอันเป็นที่ตั้งแห่งการสัมผัส โดยไม่ต้องมีตัวตนอะไรที่ไหนอีกวิญญาณในศาสนาพุทธจึงไม่เหมือนวิญญาณในศาสนาอื่น ๆ.
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เห็นมีส่วนไหนที่เป็นตัวตนของตนดังนี้แล้ว ก็จะถอนความเข้าใจผิดเรื่องตัวตนเสียได้ ว่าไม่ใช่เป็นตัวตนของใครเลย. ถ้าไม่เกิดความอยาก ก็ไม่เกิดความรักหรือเกลียดในสิ่งทั้งหลาย จึงจะเรียกว่าเห็นแจ้งในสิ่งทั้งปวงว่าไม่ใช่ตัวตน. การนึกคิดตามเหตุผลก็พอจะทำให้เชื่อว่าไม่ใช่ตัวตนได้ สัตว์มันก็เป็นเพียงความเชื่อ ไม่เป็นการรู้แจ้งชนิดที่จะตัดความยึดถือว่า เป็นตัวเป็นตนได้อย่างเด็ดขาด. เหตุนี้เองจึงต้องศึกษาพิจารณากันตามหลักแห่งสิกขา ๓ ประการ จึงจะถึงขนาดที่ถอนความยึดถือเรืองนี้ได้.
หน้าที่อันจะพึงปฏิบัติในเรื่องเบญจขันธ์ นี้คือต้องทำให้ความรู้แจ้งเกิดขึ้น เพื่อขจัดความโง่เสีย และก็จะเห็นเองว่า ไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวเป็นตนอันน่ายึดถือ เมื่อนั้นการยึดถือก็แตกสลายลง. แม้ยึดมาแต่กำเนิดก็ตาม มันต้องหมดไปด้วย ; ฉะนั้นเราจำเป็นต้อง?ศึกษาเรื่องเบญจขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความหลงว่าเป็นตัวตนนี้ให้ละเอียด. พระพุทธจ้าทรงสอนเรึ่องนี้มากกว่าเรืองทั้งหลายมีใจความสรุปสั้น ๆ ว่า “เบญจขันธ์เป็นอนัตตา” และถือว่าเป็นคำสอนที่เป็นตัวพระพุทธศาสนาแท้ เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมองกันในแง่ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หรือในฐานะเป็นศาสนาก็ตาม. ถ้าเรารู้ตามที่เป็นจริง ความยึดถือด้วยการเข้าใจผิดก็หายไป ความอยากทุกชนิดจะไมมีทางเกิดและความทุกข์ก็จะไม่มี.
ทำไม คนเราตามปกติจึงมองส่วน ๕ ส่วนนี้ไม่ออกตามที่เป็นจริง? เมื่อเราเกิดมาจากท้องมารดา เราไมปัญญาของเราเอง : เราได้รับความูร้มาตามที่เขาสอนให้ เขาสอนเราโปในทางที่เข้าใจว่า ทุดสิ่งเป็นตัวตนไปทั้งนั้น. อำนาจสัญชาตญาณดั้งเดิม เกี่ยวกับการยึดถือว่าเป็นตัวตน (อัตตวาทุปาทาน) ซึ่งมีติดมาตั้งแต่เราเกิด ก็พอกพูนหนาแนั่นยิ่งขึ้นทุกวัน ในการพูดจากใช้คำว่า ฉัน ท่าน ผู้นั้น ผู้นี้ ซึ่งล้วนแต่ย้ำการมีตัวตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น. คนนั้นชื่อนั้น คนนี้ชื่อนี้ เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ เป็นสามีคนนั้น เป็นภรรยาคนนี้ ล้วนแต่ระบุไปในทางเป็นตัวตนทั้งนั้น เราจึงพากันไม่รู้สึกตัว ในการที่ไปยึดถือความเป็นตัวเป็นตนเพิ่มขึ้นทุกวัน.
เมื่อยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ประออบการงานไปตามความเห็นแก่ตัวหรือพวกของตัวจนได้ประโยชน์มาบำรุงความใคร่ของตัวและพวกของตัว. แต่ถ้าหากว่าเราเกิคความฉลาดจนมองเห็นว่านี้เป็นของหลอก ๆ เราก็จะหมดความยึดถือว่านั่นเป็นนาย ก. นาย ข. เป็นขุน หลวงพระ พระยา เป็นสัตว์ หรือมนุษย์ โดยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องที่คนเขาสมมุติขึ้นพูดกันในทางสังคมเท่านั้นเอง. ถ้าเขาเข้าใจได้อย่างนี้แล้ว ก็นับว่าเป็นการเพิกถอนสิ่งที่หลอกลวงของสังคมได้ชั้นหนึ่ง.
เมื่อพิจารณาดูร่างกายทั้งหมดของนาย ก. ก็จะพบว่า นาย ก. นั้น เท่ากับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัมพันธ์กัน. การเห็นอย่างนี้ก็ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย เรียกได้ว่าไม่หลงติดในการสมมติทางโลก
จะแยกให้ละเอียดออกไปอีก ก็มีทางทำได้ เช่นรูป ร่างกายนี้ แยกเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรือไม่แยกอย่างทางวัด ๆ เขาแยกกัน จะแยกอย่างวิทยาศาสตร์ เป็นคาร์บอน อ๊อกซิเจน ไฮโดรเจนฯลฯ ได้เหมือนกัน. อย่างนี้เรียกว่า เห็นลึกเข้าไปอีก คือมันหลอกลวงเราได้น้อยเข้าไปอีกชั้นหนึ่งกลายเป็นเห็นว่าคนไม่มี มีอยู่แต่ธาตุต่าง ๆ. ร่างกายเป็นรูปธาตุ ; จิตเป็นนามธาตุ แยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่นรู้สึกนึกคิด และรู้ทางประสาททั้งหลาย เมื่อเป็นดังนี้ ความรู้สึกกว่านาย ก. นาย ข. ขุน หลวงพระ พระยา ก็หายไป ความรู้สึกว่าลูกของเรา ผัวของเรา เมียของเรานี้ก็พลอยหายไป.
แต่เมื่อ ดูกันในแง่ปรมัตถ์ จะปรากฏว่า แม้ธาตุดิน น้ำ ลมไฟ ธาตุอ๊อกซิเจน ไฮโดรเจน หรืออะไรก็ตาม จะเป็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณก็ตาม ดูให้ลึกซึ่งแล้ว ก็จะพบลักษณะอันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกันหมดคือ “ความว่าง” จากสิ่งที่เรียกว่าตัวตนของมันเอง. ดิน น้ำ ลม ไฟ ดูตรงไหน ๆ มันก็ไม่มีตัวตน ซึ่งภาษาพุทธศาสนาเรียกว่า “สุญญตา”.
ท่านผู้ใดเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของว่างได้ดังนี้แล้ว ความยึดถือหรืออุปาทาน ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดได้ ที่เกิดแล้ว ไม่มีทางทีจะเหลืออยู่ได้. มันจะสูญหายละลายไปหมด จนปราศจากความยึดติดโดยสิ้นเชิง มันจึงไม่มีสัตว์ไม่มีคน ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ ไม่มีอะไรทั้งหมด ; เป็น “ความว่าง” จากการมีตัวมีตนของมันเองเมื่อไม่ยึดติด ความทุกข์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น. ใครจะเรียกเขาว่าคนดีคนชั่ว คนสุข คนทุกข์ หรืออะไรก็ตาม ไม่เป็นของแปลกสาหรับเขา. ทั้งหมดนี้เป็นผลเกิดมาจากการมีความรู้ความเข้าใจ และมีความเห็นแจ้งในความจริงของเรื่องเบญจขันธ์ จนถอนความยึดติดที่ผิด ๆ ทั้ง ๔ ประการนั้นเสียได้.
สรุปความว่า สิ่งทั้งปวงในโลกนี้รวมอยู่ในคำว่า “เบญจขันธ์คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละส่วนเป็นมายาไร้ตัวตน แต่ก็มีอำนาจของเวทนาล่อให้เกิดการยึดถือ จนคนทั่วไปอยากมี อยากเป็น อยากไม่ให้เป็นซึ่งล้วน แต่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่อย่างเปิดเผยก็อย่างเร้นลับ. ทุกคนจะต้องอาศัยข้อปฏิบัติที่เรียกว่าไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ถอนความหลงติดในเบญจขันธ์เสียให้สิ้นเชิง จึงจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของขันธ์ทั้งห้าและก็จะไม่มีความทุกข์. โลกจะอยู่ในลักษณะที่อำนวยความผาสุขใจให้แก่ผู้นั้นไม่ต้องร้อนใจเพราะสิ่งใด ๆ เป็นผู้มีจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงตลอดชีวิต นี้เป็นผลของการรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องเบญจขันธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า.
“แนวการทำให้รู้แจ้งตามวิธีธรรมชาติ”
(แผนภูมิประกอบคำบรรยายครั้งที่ ๗)
ปีติและปราโมทย์ : (ความอิ่มใจในธรรม)
ปัสสัทธิ : (ความรำงับ)
สมาธิ : (จิตสงบ)
ยถาภูตญาณทัสสนะ : (รู้ความเป็นจริงต่อโลก)
นิพพิทา : (ความเบื่อหน่าย)
วิราคะ : (ความคลายออก) วิมุตติ : (ความหลุดออก)<
วิสุทธิ : (ความบริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง)
สันติ : (ความสงบเย็น)
นิพพาน : (ภาวะที่ปราศจากความทุกข์