♥ความเป็นจริงของชีวิตมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา
เป็นเพียงสภาพของรูปของนาม
ของธาตุ ของสภาวะ ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา
เจริญสติอยู่ก็ไม่ใช่เราเป็นผู้เจริญสติ
เห็นอยู่ก็ไม่ใช่เป็นเราเห็น ได้ยินก็ไม่ใช่เป็นเราได้ยิน
รู้กลิ่นรู้รสก็สักแต่ว่าเป็นสภาพธรรม
รู้เย็น รู้ร้อน อ่อน แข็งก็สักแต่ว่าเป็นสภาพธรรม
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
คิดนึก รับรู้ รู้สึก ชอบใจ ไม่ชอบใจทั้งหลาย
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เป็นสักแต่ว่าธาตุหรือธรรมชาติ
ที่เปลี่ยนแปลง ที่แตกดับ ที่บังคับไม่ได้ ที่ไม่ใช่ตัวตน
.
สมถกรรมฐานปฏิบัติผลเป็นอย่างไร สมถะ?
เพื่อผลเป็นอย่างไร? วิปัสสนามีผลเป็นอย่างไร?
สมถะนี้เพื่ออะไร? เจริญสมถะแล้วให้ได้อะไร?
สมาธิ เจริญวิปัสสนาเพื่อให้ได้ปัญญา
สมาธิกับปัญญาต่างกันอย่างไร?
♥สมาธิ คือจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว
จิตอยู่ในอารมณ์เดียวตลอดต่อเนื่อง
ถึงขั้นแนบแน่นก็จะถึงขั้นอัปปนาสมาธิ
สมาธิเล็กน้อยเรียกว่า “ขณิกสมาธิ”
สมาธิปานกลาง เฉียด ๆ ฌาน
เรียกว่า “อุปจารสมาธิ”
ถ้าสมาธิมากถึงขั้นแนบแน่น
คือไม่มีการไหวไปอารมณ์อื่นเลย
ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
ก็จะเป็น “อัปปนาสมาธิ” ที่เป็นเข้าฌานสมาบัติ
เข้าไปอยู่ในสภาพในอารมณ์เดียวแนบแน่น
ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น
♥ส่วนปัญญาเป็นอย่างไร? ปัญญาเป็นความรู้
ความรู้ที่เป็นวิปัสสนาเป็นความรู้อย่างไร?
รู้แจ้งเห็นจริง รู้อย่างไรที่ว่ารู้แจ้งเห็นจริง?
ความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร?
ความจริงของชีวิตเป็นรูปเป็นนาม เป็นสภาวะ
มีสภาพเปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เรียกว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ตั้งอยู่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เป็นอนัตตา
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
♥การเข้าไปรู้เห็นอย่างนี้เรียกว่าเป็นวิปัสสนา
“เห็น” กับ “คิด” คิดเอากับรู้เห็นจริง ๆ มันต่างกัน
คิด คิดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คิดได้ไหม?
ก็คิดได้ นึกถึงสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์
ไม่จีรังยั่งยืน ก็นึกเอาได้
อันนั้นมันเป็นวิปัสสนึกเอาอย่างนั้น ไม่ใช่วิปัสสนา
วิปัสสนาต้องเห็นจริง ๆ ไม่ใช่คิดเอา
เห็นในที่นี้หมายถึง ตาใจเห็น มีตาปัญญารู้เห็น
♥ฉะนั้นการที่จะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง
จำเป็นไหมที่ว่าสติจะต้องระลึกรู้ให้ตรงต่อสภาพที่เป็นจริง?
ระลึกของปลอม ของบัญญัติ สมมติแล้ว
มันจะรู้แจ้งตามความเป็นจริงจะได้ไหม? มันไม่ได้
มันต้องระลึกให้ตรงต่อสภาพที่เป็นจริง
ถึงจะเห็นตามความเป็นจริง
เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ระลึกให้ตรงสภาพที่เป็นจริง
สภาพที่เป็นจริงเขาเรียกว่าอะไร?
มีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง? เรียกว่าปรมัตถ์
เรียกว่าอะไรได้อีก? ขันธ์ ๕ เรียกอะไรได้อีก?
รูปธรรม นามธรรม หรือรูปนาม เรียกอะไรได้อีก?
♥สิ่งที่เป็นจริงนี้เรียกอะไรได้อีกที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ?
สภาวะ เคยได้ยินไหม สภาวะ กำหนดให้จรดสภาวะ
เรียกว่า “สภาวะ” “ปรมัตถธรรม”
หรือ “รูปนาม” หรือ “ธาตุ” เรียกว่า “ธาตุ”
เรียกว่า “ขันธ์ ๕ “ เรียกว่า “อายตนะ”
เรียกว่า “อินทรีย์” เรียกว่า “ทุกขสัจ”
เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ก็แล้วแต่จะเรียกตามแง่มุมนั้น ๆ
สิ่งเดียวกันบางทีก็เรียกไปได้หลายอย่าง
♥ฉะนั้น การเจริญวิปัสสนา
สติจะต้องระลึกให้ตรง ให้จรดสภาวะ
ต้องอยู่ในสภาวะเดียวหรือสภาวะต่าง ๆ?
เจริญวิปัสสนาระลึกรู้สภาวะต่าง ๆ หรือสภาวะเดียว? ต่างๆ
ไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่เดียว เหมือนกัน
เมื่อมีการรู้สภาวะต่าง ๆ แล้ว
จิตไม่นิ่ง จิตยังวิ่ง จิตยังไหว
จิตยังไปหลายอารมณ์ เจริญสติได้ไหม?
จิตที่ไม่นิ่งเจริญสติได้ไหม? หรือต้องคอยนิ่งเสียก่อน?
เจริญได้ จิตไม่นิ่งเจริญสติได้ จิตนิ่งก็ต้องเจริญสติ
จะนิ่งหรือจะวิ่งก็ต้องระลึกรู้หมด
♥จิตไม่นิ่งต้องควบคุมบังคับให้นิ่งหรือไม่?
หรือปล่อยเขาตามสภาพ เพียงแต่รู้
รู้ความไม่นิ่งของจิต รู้ความคิดที่กำลังนึกปรุงแต่ง?
จิตไม่สงบระลึกรู้ได้ไหม? จิตฟุ้งซ่าน ระลึกได้ไหม? ได้
ขณะที่ยังปวดอยู่ กายก็ปวด
ใจก็คิด ใจก็ฟุ้ง เจริญสติได้ไหม? ได้ เจริญได้
ไม่ใช่คอยว่าต้องนิ่งก่อน
♥เวลาที่มีกิเลสเกิดขึ้น มีนิวรณ์เกิดขึ้น
เจริญสติได้ไหม?
เวลาฟุ้ง เวลาโกรธ เวลามีราคะ เวลาฟุ้ง เวลาสงสัย
เวลาหดหู่ท้อถอย เจริญสติได้ กำหนดดูอะไร?
ก็ดูนิวรณ์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องรอว่าจะต้องนิ่ง
การระลึกรู้กิเลสต่าง ๆ จิตต่าง ๆ รูปต่าง ๆ
สภาพธรรมต่าง ๆ ระลึกอย่างไรจึงจะถูกต้อง?
เอาแค่ระลึกให้ตรงต่อสภาวะพอหรือยัง?
ให้มันตรงต่อสภาวะ สภาวะใดเกิดขึ้นก็ระลึกให้ตรง
มันเกิดขึ้นก็รู้ มันเกิดขึ้นก็รู้นี่พอหรือยัง?
หรือต้องทำอะไรอีก?
ต้องมีอะไรประกอบไหมที่จะเป็นการระลึกให้ถูกต้อง?
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
...แต่ถ้ามันไม่ปวด มันเบา มันสบาย
มันสงบ จะฝึกอย่างไร?
เข้าไปเพลิน เสวยความสุขสงบ
เพลิดเพลิน ดีไหม สุขดีจัง เพลิน สบาย?
มันก็ไม่ไปอย่างไร ก็จะติดอยู่แค่นั้น
เจอศาลาพักร้อน เย็นสบาย
ฉันก็นั่งแล้วฉันก็ไม่ออกจากที่แล้ว
มันก็ถึงจุดหมายปลายทางไม่ได้
การที่มีความสุขขึ้นมา สงบขึ้นมา
สิ่งที่จะเป็นปัญหาคืออะไร? ความเพลินติด
ความเข้าไปเพลินติดเป็นกิเลสไหม?
เป็นกิเลส เป็นตัณหา ละยากไหม?
ละยาก รู้ยากไหม? รู้ก็รู้ยาก
เพราะฉะนั้น จะละยิ่งยากใหญ่ แล้วอยากรู้ไหม?
ไม่ค่อยอยากรู้ด้วย พอสุขแล้วฉันก็ติดสุข เพลิน
กลายเป็นพ้นทุกข์ยากอีก
ปวดยังพอจะเห็นความยินร้าย
รักษาใจไม่ยินร้ายต่ออารมณ์
ถ้าเวลามันทุกข์ มันปวด เราก็จะฝึกจิตไม่ให้ไปยินร้าย
ถ้ามันมีความสุข เราก็จะต้องฝึกไม่ให้เข้าไปยินดี
บางทียินดีมันก็ละยาก ยินร้ายนี่บางทีมันมองออก มองง่าย
สรุปแล้วมันก็ต้องละทั้งคู่
ฉะนั้น มาปฏิบัติ มาเพื่อฝึก
ฝึกกายให้หายทุกข์หรือฝึกใจให้ละวาง?
ฝึกกายให้หายปวด จิตให้ปล่อยวาง
ฝึกกายให้หายปวดหรือฝึกจิตให้วางเฉย?
ฝึกจิตให้วางเฉย
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องมีคำถามมาถามว่า
ทำอย่างไรจะหายปวด
คำถามเรื่องว่าทำอย่างไรหายปวดไม่ต้องถาม
เพราะอะไรไม่ต้องถาม?
เพราะไม่ได้มาฝึก เป้าหมายไม่ได้ฝึกให้หายปวดขา
แม้ปวดอยู่ก็ฝึกได้
ฝึกจิตได้ในรูปแบบนั้น เป็นโอกาสได้ฝึก
อุปมาเหมือนกับการขับรถ
ถนนยิ่งออกต่างจังหวัด เขาลาดยางให้ตลอดไหม?
เรียบตลอด? ไม่ได้ตลอด เดี๋ยวก็เจอลูกรัง
บางทีถึงจะลาดยางบางทีก็เจอเป็นหลุมเป็นบ่อ
เมื่อเราเจอทางไม่เรียบอย่างนั้น
เราไม่ยอมไป ถูกต้องไหม?
ฉันจะต้องไปถนนเรียบ ๆ เท่านั้น
ฉันขับได้แต่ถนนเรียบ ๆ เจอถนนขรุขระฉันขับไม่ได้
จะถึงจุดหมายปลายทางไหม? ไม่ถึง
ฉะนั้น จะต้องฝึกหัดขับรถแม้ในถนนที่ไม่เรียบด้วย
ถนนที่ขรุขระก็ต้องฝึกให้ได้
เหมือนกับภาวะในกายใจเรามันไม่เรียบร้อย
มันไม่เรียบ มันไม่สงบ จิตมันไม่นิ่ง
กายมันก็ปวด ใจก็ยังไม่นิ่ง ใจก็ยังวอกแวก
จะต้องหัดเจริญสติอยู่ในภาวะแบบนี้ให้เป็น
มันเหมือนถนนขรุขระที่เราจะต้องฝึกไป
ถ้าเราฝึกหัดขับรถในถนนที่ขรุขระได้
เจอถนนขรุขระบ่อย ๆ ได้ฝึก เราจะเก่งไหม?
จะเก่ง เจอจิตที่ไม่นิ่ง เจอจิตที่ยังวอกแวก
เจอกายก็ปวด เจอทุกข์ ฝึกไป เราจะเก่งไหม?
เราก็จะเก่ง ได้ทุกรูปแบบ
เวลาที่จิตไม่สงบ ฉันก็ฝึกได้
ฉันก็ดูได้ ฉันก็วางใจเฉยๆ ครั้นจิตสงบก็ปฏิบัติ
\ไม่เข้าไปติด ไม่เข้าไปหลง ก็ยังปฏิบัติต่อไปอีก
สรุปแล้ว ณ ขณะนี้ เวลานี้ วันนี้ซึ่งยังไม่สงบใช่ไหม
ยังมีนิวรณ์ใช่ไหม เจริญสติได้ไหมกำลังถนนไม่เรียบนี่? ได้
เพียงแต่ว่าเราจะประคับประคองรถอย่างไรไม่ให้ตกถนน
จริงอยู่มันขับยากกว่าถนนที่เรียบเวลาที่มีนิวรณ์นี่
อย่างเช่นเวลาที่เราสงบ ๆ ใจเราไม่มีนิวรณ์
เราอาจจะทำจิตให้นิ่งดิ่งลงไปก็ไม่เป็นไร ไม่หลับ
เพราะมันไม่มีนิวรณ์ กำหนดภาวนาลงไป ๆ
ลึกลงไป มันก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าเรามีนิวรณ์ ง่วงอยู่
ถ้าเราทำจิตให้ดิ่งลงไป ดิ่งลงไป
มันก็ตกถนน เสร็จนิวรณ์ หลับ ใช่ไหม
มันทำอย่างนี้ไม่ได้ เราก็จะต้องปรับตัวขึ้นมา
รู้สึกตัวขึ้นมามากกว่าเดิม
เรารู้ว่าทำจิตให้ดิ่งลงไปนี่หลับ เราก็ไม่ดิ่งลงไป
เราพยายามพยุงขึ้นมา
ให้พยายามพยุงจิตขึ้นมารู้เนื้อรู้ตัวนี่มันสงบไหม?
เอาจิตขึ้นมารู้ตัวนี่มันนิ่งไหม? สงบไหม?
มันไม่สงบหรอก แต่เพราะมันมีนิวรณ์
เราไปทำให้มันสงบ เราทำไม่ได้
พอมันสงบแล้วมันหลับ
เราต้องยอมที่จะทำจิตให้มันรับอารมณ์ต่าง ๆ
ไม่ต้องมานิ่ง เพราะไม่นิ่งเราก็เจริญวิปัสสนาได้
ดูสภาวะต่างๆ พยุงใจขึ้นมารู้เนื้อรู้ตัว
ก็สามารถจะอยู่กับนิวรณ์ไม่ให้มันหลับ
จนกว่ามันจะหมดไป ความง่วงหายไปเกลี้ยงเกลา
ทีนี้เราก็จะปล่อยจิตให้ลงลึกไปอย่างไรก็ได้
แต่ตอนนี้มันไม่ได้ มันหลับหมด
ต้องพยุงใจขึ้นมา รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา
รู้สึกตัว คำว่า “รู้สึกตัว” หมายถึงอย่างไร?
รู้ที่ไหน? คำว่ารู้สึกตัว “ตัว” คืออะไร?
“ตัว” คือกาย จิตได้ด้วยไหม “ตัว” นี่? รวมทั้งจิตด้วย
ถ้ารู้ตัวเพียงแค่กายก็อาจจะแพ้นิวรณ์ มันไม่พอ
อย่างเช่น จิตจะคิดไป จะหลงไป
ก็กลับมาดูลมหายใจ กลับไปก็กลับมา
ดูกายที่นั่ง ดูกายหนักเข้า ดิ่งลงไปก็หลับอีก
รู้ตัวต้องให้ได้สองอย่าง
นอกจากตัวกายแล้วยังตัวอะไรอีก? ตัวใจด้วย
รู้สึกตัวนี่ให้รู้สึกใจ โดยเฉพาะใจ รู้สึกใจได้ไหม?
มีการระลึกรู้สึกที่ใจ ใจมันเป็นอย่างไร
สภาพของจิตใจ สภาพของใจเป็นอย่างไร
เวลาเอาใจมาปฏิบัติ ใจต้องประกอบด้วยอะไร? สติ
เวลาเอาจิตมาปฏิบัติ จะต้องมีสติ
รวมความว่าจิตที่มีสตินั้นทำหน้าที่
ไปรู้กายบ้าง ไปรู้ลมหายใจบ้าง
จิตที่มีสตินั้นจะต้องถูกรู้ขึ้นมา
จิตที่มีสติถูกรู้ขึ้นเรียกว่ารู้สึกตัวของจิต
คือถ้าจิตมันถูกรู้ก็แสดงว่ามีจิตที่มีสติไปรู้จิตที่มีสติ
จิตมีสติก็รู้ว่าจิตมีสติ นี่อันนี้จะสู้กับความง่วง
จะเป็นไปได้ไหม จะรู้ได้ไหม จิตมีสติก็รู้ว่าจิตมีสติ?
จิตมีสติแล้วไม่รู้ว่าจิตมีสติเป็นไปได้ไหม?
เป็นไปไม่ได้หรือ เป็นอยู่บ่อยตลอดเวลา
เป็นไม่ได้อย่างไร ตัวเป็นเชียวล่ะ
จิตมีสติแต่ไม่รู้ว่าจิตมีสติ เป็นไปอยู่นี่
ตอนนี้จะฝึกให้จิตมีสติอยู่ก็ให้รู้ว่าจิตมีสติอยู่
อันนี้ที่มันเป็นไปไม่ค่อยจะได้
มันเป็นไปไม่ค่อยจะได้ที่จะมาฝึกให้มันเป็นไปได้
ที่มันเป็นไปได้คือมีสติแล้วไม่รู้ว่ามีสติ ใช่ไหม
เวลาที่นั่งอยู่ก็มีสติไปรู้ว่านั่งอยู่
หายใจอยู่ก็รู้ว่าหายใจอยู่นี่ มีสติไหม? มี
แต่ไม่รู้ว่ามีสติ ดีไหม?
นั่งอยู่ก็รู้ตัวว่านั่งอยู่ หายใจเข้าออกอยู่ก็รู้อยู่
มีสติไหม? ไม่รู้ว่ามีสติ ดีหรือไม่ดี?
หายใจเข้ารู้ออกรู้ นั่งอยู่ก็รู้ แต่ไม่รู้ว่ามีสติ ดีไหม?
ไม่ดีอย่างไรมีสติ? หายใจเข้าออกรู้ ดีไหมมีสติ?
นั่งอยู่ รู้อยู่นี่ดีไหม? ดี มีสติ
เพียงแต่มันดีหนึ่งเดียว ได้แค่ดี ๑
แต่ถ้ามีสติแล้วรู้สึกตัวได้ว่ามีสติ
มันได้ดี ๒ มาด้วย มันได้ ๒ ดี
ที่เราจะฝึกนี้มันได้ ๒ ดี ไม่ใช่ว่ามีแค่ดี ๑ แล้วไม่ดี ไม่ใช่
ดีมาตั้งเยอะแล้ว หายใจเข้าก็รู้ นั่งก็รู้ เดินอยู่ก็รู้
คู้ เหยียด เคลื่อนไหวก็รู้นี่ดีมาตั้งเยอะแล้ว
แต่มันยังเป็นดี ๑ อยู่
ทีนี้ว่ามีจิตรู้ มีจิต มีสติ แล้วรู้ว่าจิตมีสติ
มันก็จะได้ ๒ ดี บางครั้งมันก็แค่ได้ดี ๑
มันไม่สามารถได้ ๒ ดีอยู่ตลอดเวลาหรอก
บางครั้งก็ได้แค่ดี ๑ บางครั้งก็ไม่ได้สักดีหนึ่ง ไม่รู้เลย
เผลอหลุดตลอดอย่างนี้ ดี ๑ ก็ไม่ได้ ไม่ได้สักดีหนึ่ง
แต่ถ้านั่งอยู่ก็ยังรู้ เดินอยู่ก็รู้ หายใจอยู่ก็รู้
คิดอยู่ก็รู้ ก็ยังได้มา ๑ ดี
แต่เราก็ต้องพยายามฝึกให้ได้ ๒ ดี
คือรู้สึกตัวที่ใจด้วย ใจมีสติอยู่ก็รู้สึกว่าใจมีสติ
ใจเผลอ ขาดสติใช่ไหมเผลอไป ดีไหม?
เวลาเผลอแล้วรู้ว่าเผลอ
ดีไหมเวลาเผลอแล้วรู้ว่าเผลอ กู้ขึ้นมาได้อีก? เผลออย่างเดียวคือเป็นโมหะ
พอรู้ว่าเผลอ ได้สติสัมปชัญญะขึ้นมา
ไม่เผลอก็รู้ด้วยถึงความไม่เผลอ
ไม่เผลอแล้วไม่รู้มันก็เท่านั้น ก็ได้แค่ ๑ ดี
ฉะนั้น ถ้าถามว่าจิตไม่นิ่ง ยังวอกแวก ยังไหว ยังซัดส่าย ยังฟุ้ง แต่รู้อยู่ ไม่นิ่งก็รู้ คิดก็รู้ ฟุ้งซ่านอยู่ก็รู้
กับจิตที่นิ่งแต่ไม่รู้ มันนิ่งแต่ไม่รู้ อันไหนดีกว่ากัน?
อันแรก ไม่นิ่งแต่รู้
ฉะนั้น ก็อย่าไปอยากให้มันนิ่ง
มันไม่นิ่งก็รู้ ก็มีสติ ก็ยังดี
นิ่งแล้วไม่รู้สู้ไม่นิ่งแล้วรู้ ดีกว่า
แต่ถ้านิ่งด้วยรู้ด้วยก็ยิ่งดี สบาย นิ่งแล้วรู้ในความนิ่ง
ไม่นิ่งก็รู้ในความไม่นิ่ง ทำให้มันได้ทุกสถานภาพ
จะเก่ง เจอถนนเรียบก็ไปได้ เจอถนนขรุขระก็ไปได้
ฉะนั้น ก็จะให้ฝึกให้รู้สึกตัวขึ้นมา..."
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
• ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๑
• ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๒
♥ถ้าถามว่าจิตไม่นิ่ง ยังวอกแวก ยังไหว
ยังซัดส่าย ยังฟุ้ง แต่รู้อยู่ ไม่นิ่งก็รู้
คิดก็รู้ ฟุ้งซ่านอยู่ก็รู้
กับจิตที่นิ่งแต่ไม่รู้ มันนิ่งแต่ไม่รู้ อันไหนดีกว่ากัน?
อันแรก ไม่นิ่งแต่รู้
ฉะนั้น ก็อย่าไปอยากให้มันนิ่ง
มันไม่นิ่งก็รู้ ก็มีสติ ก็ยังดี
นิ่งแล้วไม่รู้ สู้ไม่นิ่งแล้วรู้ ดีกว่า
แต่ถ้านิ่งด้วยรู้ด้วยก็ยิ่งดี สบาย นิ่งแล้วรู้ในความนิ่ง
ไม่นิ่งก็รู้ในความไม่นิ่ง
ทำให้มันได้ทุกสถานภาพ จะเก่ง
เจอถนนเรียบก็ไปได้ เจอถนนขรุขระก็ไปได้
ฉะนั้น ก็จะให้ฝึกให้รู้สึกตัวขึ้นมา
.
♥ลืมตาอยู่สามารถรู้สึกตัวได้ไหม
หรือต้องหลับตาเท่านั้น? ลืมตานี่ระลึกรู้สึกตัวได้ไหม?
ได้ ลืมตาแล้วลืมตัวได้ไหม? ได้ อันไหนเกิดบ่อยกว่ากัน?
ลืมตาแล้วลืมตัวนี่เกิดบ่อย ต้องฝึก
เวลาลืมตาต้องรู้สึกตัว หลับตาแล้วไม่หลับใจ
ถ้าหลับตาแล้วหลับใจเป็นอย่างไร?
ถ้าใจหลับ กายก็สัปหงก
ลืมตาแล้วรู้สึกตัว กับหลับตาแล้วหลับใจ
อันไหนจะดีกว่ากัน? ลืมตาแล้วรู้สึกตัวยังดีกว่า
ฉะนั้น ถ้าหลับแล้วมันไปไม่ได้
ก็ลืมตาให้มันรู้สึกตัวยังดีกว่า
.
<เดินจงกรม เคลื่อนไหว ใจไม่นิ่ง ใจยังวิ่ง
กายยังไหว ระลึกรู้ได้ไหม?
รู้กายที่เคลื่อนไหว มีสติระลึกรู้ได้
ฉะนั้น การเจริญสติจึงไม่ใช่ต้องอยู่นิ่ง ๆ
กำลังเคลื่อนไหวก็ยังเจริญสติได้
เคลื่อนไว้อยู่เจริญสติได้
ฉะนั้น ถ้านั่งไป ปวดมาก ทนไม่ไหว ทำอย่างไร?
เปลี่ยนอย่างไรถึงจะถูกต้อง?
นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลยหรือ?
มันก็จะไปด้วยตัณหา
เปลี่ยนอย่างรู้เนื้อรู้ตัว เคลื่อนไหวอย่างรู้ตัว
แล้วจะรู้ไหมเวลาเคลื่อนตัว
บทจะเปลี่ยนก็ผลุบไปเลย
.
♥ทำอย่างไรถึงจะรู้ตัวได้เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถ?
ให้มีสาตถกสัมปชัญญะ รู้จุดมุ่งหมายของการจะเปลี่ยน
ของการจะกระทำอะไร รู้ก่อนว่าทำไมจะเปลี่ยน
เปลี่ยนไปทำไม เพราะอะไรต้องเปลี่ยน
รู้เหตุรู้ผล นั่งไปทำไมต้องเปลี่ยน
ทำไมต้องขยับตัว เพราะอะไร
มันมีอะไรกดดันอยู่ มันมีอะไรเป็นปัจจัย มันปวด
ดูซิ ระหว่างปวดกับใจ มันกดดันจิตใจอย่างไร
ก็จะดูไป มันปวด ใจก็อยากจะเปลี่ยน
จนรู้ว่ามันทุกข์ มันจำเป็นต้องแก้ทุกข์
ยอมรับก็เปลี่ยน ก็จะเปลี่ยนอย่างรู้ตัว
เพราะเรามีความรู้ไว้ก่อนแล้ว
.
♥ฉะนั้น ขยับตัวอย่างมีสติ ยังมีสติอยู่ได้ไหม?
เสียสมาธิไหม? สมาธิต้องอยู่ในอารมณ์เดียว
พอเคลื่อนย้ายอารมณ์ เสียไหมสมาธิ? เสียไหม?
สมาธิอาจจะเสีย แต่มาได้คะแนนเรื่องรู้เนื้อรู้ตัวแทน
มาได้สติสัมปชัญญะแทน
อาจจะไม่ได้นิ่ง อาจจะไม่ได้เป็นสมาธิ
แต่ได้ความรู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกตัว เจริญสติแทน ดีไหม?
ก็ยังดี แต่บางคนก็สามารถสมาธิยังหล่อเลี้ยง
แม้จะเปลี่ยนอิริยาบถ สมาธิก็ยังตามมาได้อยู่ ก็ยังมีได้
.
♥การที่จะฝึกจิต ถ้าร่างกายมันทุกข์มาก
มันก็ทำยากขึ้นใช่ไหม เกินกำลัง วางใจไม่ไหว
จะทำอย่างไรให้ร่างกายไม่ทุกข์มาก?
นั่งอย่างไรร่างกายไม่ทุกข์ ไม่ปวดเจ็บมากหรือไว?
จะทำร่างกายอย่างไร? ต้องฉลาดไหม?
ต้องใช้ความเข้าใจด้วยไหม?
ฉลาดในตัวเองว่าเราจะนั่งอย่างไร
ที่ร่างกายจะไม่ปวดเมื่อยง่าย
ถ้าเราไปนั่งเกร็งก็ปวดเมื่อยง่าย
ไปนั่งเอียงเดี๋ยวก็ปวดเมื่อย เหน็บชา
หงายหลังอะไรอย่างนี้
ต้องรู้ตัวว่าเราจะปรับท่านั่งอย่างไร
ที่มันสัปปายะ ที่มันเหมาะ
แล้วมันก็เป็นสัปปายสัมปชัญญะ
ความฉลาด ความมีปัญญา
ความเข้าใจในการวางท่าทีของกายให้เหมาะสม
.
♥ความเข้าใจว่าสติจะต้องไประลึกรู้ที่ไหนบ้าง
จะเอาสติระลึกรู้ที่ไหนบ้าง ถ้าไม่รู้
ก็ไม่รู้จะเอาสติไประลึก ไปโคจรที่ไหน
ที่ใดบ้างที่สติจะต้องไประลึก?
ที่ตั้งของสติมีอะไรบ้างใหญ่ๆ? กาย เวทนา จิต ธรรม
ต้องรู้ว่ากายมีอะไร? กายมีลมหายใจ
กายคืออิริยาบถใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน
กายคือคู้เหยียด เคลื่อนไหว อิริยาบถย่อย
กายคืออาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
เป็นของปฏิกูล กายคือธาตุ ๔
ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น เข้าใจตรงนี้
สติจะได้โคจรไปได้ถูก ระลึกไปได้ถูก
.
♥เวทนา ฐานที่สอง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง
ขณะเสวยอารมณ์สุขบ้างทุกข์บ้าง
นี่ก็เป็นที่โคจร เป็นที่ตั้งของสติ
แล้วก็จิต จิตมีราคะ ปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ ปราศจากโทสะ
จิตมีโมหะ จิตปราศจากโมหะ
ไม่ใช่กำหนดแต่จิตที่มันไม่ดีเท่านั้น
จิตมันดีมีอยู่ก็ระลึกรู้ จิตมันปราศจากโทสะก็รู้
จิตมันปราศจากโมหะ มันมีสติสัมปชัญญะก็รู้
จิตหดหู่หรือจิตฟุ้งซ่าน
จิตมีสมาธิไหมหรือจิตไม่มีสมาธิ
ระลึก ต้องรู้ว่าที่ตั้งของสติคืออย่างไร
ตลอดทั้งธรรมต่าง ๆ รูป นาม ขันธ์ ๕
สภาวะทั้งหมด สติจะได้โคจรไปได้ถูก
.
♥ความเข้าใจอย่างนี้จะเป็นโคจรสัมปชัญญะ
มีความเข้าใจ มีความฉลาดในที่ตั้งของสติ
สติก็จะระลึกไปได้ถูก
แล้วก็เข้าใจในอารมณ์ อารมณ์อย่างไรที่ให้จิตตั้งมั่น
อารมณ์อย่างไรที่ให้จิตมีปัญญารู้แจ้ง
ถ้ามันหลงไปอยู่ในอารมณ์สมมติ
ที่มันว่างเปล่าไปหมด มันมีแต่ภาพนิมิต
สี แสง ดวงไฟ ก็กลับมาถูก มาดูที่ไหน?
มาดูจิตดูใจ รู้เข้ามาสู่เส้นทางที่ปรากฏ
ไม่หลงอารมณ์ อารมณ์นิมิตที่มันหลอก
ให้เห็นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ก็รู้สึกตัวกลับคืนเข้ามาให้ถูก
.
♥หรือว่ามันไปสมมติ
มันไปแต่ความเป็นรูปร่าง ความหมายตลอด
ก็กลับมาสู่สภาวะได้ถูก กลับมารู้ที่กายที่ใจ
มันก็เป็นการไม่หลงอารมณ์
มันจะเป็นอสัมโมหสัมปชัญญะ ไม่หลงอารมณ์
ฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้ รู้เรื่อง รู้ เข้าใจอย่างนี้
ปฏิบัติได้หรือยัง ปฏิบัติได้ดีหรือยัง ปฏิบัติได้ไหม
สติสัมปชัญญะ ตามดูตามรู้เท่าทันมั่นคงได้หรือยัง
ฟังเข้าใจแล้วนี่ ได้เลยนะ ได้เลย
ก็ไม่ต้องทำความเพียรอะไรแล้ว
อันนี้มันมาเรื่องความสามารถทางจิตใจ
มันก็ต้องมาฝึกจิตใจกันมาก
.
♥ถ้าเราเป็นผู้ฝึกช้า ฝึกธรรมไปช้า
แต่ว่าเพียรอยู่เรื่อย ๆ ความสำเร็จจะเกิดได้ไหม?
สมมติว่าเราเดินช้า คนอื่นเขาเดินกันไว
ถ้าเดินไปเชียงใหม่ เราเดินช้า เขาเดินกันไว
ถึงเดินช้าแต่เดินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด
จะมีโอกาสถึงไหม? เพราะอะไร?
ไม่ตาย ถึงได้ไหม? ได้
จะให้ไปเชียงใหม่ ดันลงใต้เสียนี่ ถึงไหม?
มันไปคนละทางก็ไม่ถึงอยู่ดี
.
♥เจริญสติที่ไม่ถูกต้อง เพียรเท่าไรก็ไม่ได้
มันต้องถูกต้องด้วย ความเพียรต้องถูกต้อง
เดินทางที่ถูกต้องแล้วก็เพียรไป เดินไป
จับเส้นทางถูก ทางที่จะไปเชียงใหม่
จับเส้นทางถูก เดินไปเรื่อยๆ ต้องถึงแน่นอน
เหมือนเชียงใหม่ถ้าเปรียบเทียบเหมือนนิพพาน
ถึงมันจะยาวไกล แต่เดินไปเรื่อย
เดินอย่างถูกต้อง เรารู้ว่าทางถูกต้องเดินอย่างนี้
ระลึกรู้อย่างใจเป็นกลาง มันถึงทันทีไหม?
เดินไปนี่ถึงเชียงใหม่ทันทีไหม? ไม่ถึง
ต้องเดินกันเยอะ
.
♥ระลึกรู้สภาวะอย่างถูกต้องนี่ถึงนิพพานทันทีไหม?
ก็ไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงนิพพานแล้วทำอย่างไร?
ก็ต้องใจเย็นๆ ไปเรื่อยๆ อย่าไปอยาก
ทำไมไม่ถึงเสียที เดินไปหน่อย
ทำไมไม่ถึงเชียงใหม่สักที เลิกเดินอีก
อย่างนี้มันก็หมดกัน
ต้นไม้ที่ปลูกมา ปลูกมะม่วง
ปลูกมากี่วันที่จะออกผล ออกช่อออกผล กี่ปี
ไม่ใช่ปลูกไปได้สักสองสามวันทำไมไม่ออกช่อ
มันต้องเป็นปีใช่ไหม เจริญกรรมฐานได้กี่ปี
ไม่ทันไรจะทำไมไม่ได้ ปฏิบัติได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง
.
♥ฉะนั้น เวลาที่มาปฏิบัติมันเป็นเวลาที่น้อย
จึงต้องให้รู้ว่ามันจะได้เพียงแค่กรุยทาง
แค่ขึ้นมาบนทางให้ถูก
แค่เดินบนถนนสายนิพพานให้ได้ พอใจหรือยัง?
พอใจไหม? ถ้าไม่พอใจ
จะเอานิพพานเลยก็หนักเข้าก็ไม่ไป
ไปคนละทางอีก ทางนี้ไม่ถึงเสียที
ไปทางนั้นดีกว่า ก็เลยไม่ถึงใหญ่
.
♥ฉะนั้น เวลาที่น้อยนี้ มันจะได้เพียงแค่กรุยทางเท่านั้น
จับเส้นทาง พอรู้จักทางเดิน รู้จักเจริญสติ
หรือรู้จักรูปนาม แยกสภาวะเป็น
หรือสูงไปก็เห็นความเกิดดับ
เห็นรูปนามเกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พอใจไหมได้ถึงขนาดนี้?
กว่าที่จะเห็นรูปนามเกิดดับนี่มันเห็นได้เลยไหม?
เห็นรูปนามเกิดดับอย่างมากมาย
มันต้องผ่านอะไรมาก่อน? ต้องเห็นรูปต่างๆ นามต่างๆ
แยกรูปแยกนาม สภาวะได้ต่าง ๆ
แล้วตรงนี้ยังไม่ได้เลย จะมาเอาเห็นเกิดดับแล้ว
.
♥บางท่านทำไมฉันไม่เห็นเกิดดับล่ะ
รูปนามยังแยกไม่ออกเลย ยังจับสภาวะแยกสภาวะไม่ได้
มันก็ไม่ได้สิ ทำไมมะม่วงไม่ออกช่อ ต้นยังไม่โตเลย
กระบวนการมันต้องรอไปก่อน
ทำเบื้องต้นให้ได้ก่อน ระลึกรู้สภาวะให้ได้ก่อน
ดูรูปต่างๆ นามต่างๆ ให้จรดสภาวะ
ให้มันได้ตรงนี้ก่อน ถ้าตรงนี้มันได้ มันก็ไปเอง
ต้นมะม่วงปลูกไป พอมันได้อายุ มันโตใหญ่
เราต้องไปจุดธูปอ้อนวอนไหมให้ออกช่อออกผล?
ต้องไปอยากให้มันออกช่อออกผลไหมมันถึงจะออก?
ไม่ต้องไปอยาก ไม่ต้องไปอ้อนวอน มันจะออกไหม?
มันก็ต้องออก ถึงเวลา มันต้องออกช่อออกผลของมันเอง
.
♥อันนี้เหมือนกัน ถ้าเจริญสติไปถึงระดับ
มันก็ต้องเห็นเอง มันได้ระดับของมัน
ได้ความพอเพียง มันก็เห็นของมันเอง
แต่ถ้ายังไม่ถึงระดับ เราจะไปเบ่งอย่างไรได้
ต้นไม้ยังไม่โต เราเบ่งให้มันออกช่อออกผลได้ไหม
ฉะนั้น เป็ดไก่ยังไม่ถึงเวลาที่มันจะออกไข่
เราจะไปทำให้มันออกได้อย่างไร
ยังไม่ได้ครบกำหนดก็สามารถจะให้มันคลอดได้อย่างไร
เบ่งอย่างไรถึงจะออกได้
ไม่ต้องกลัว ถึงเวลาครบกำหนด
เดี๋ยวก็ปวดท้องออกคลอดเอง
ยังไม่ถึงเวลา จะให้มันออก ใจร้อนไปได้
ฉะนั้น ต้องเดินไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ
🌹ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๑
🍁ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๒
🍂ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๓
♥จนวันที่จะตรัสรู้ ในคืนนั้นพระองค์ฝัน
สุบินนิมิต ฝันว่า
พระองค์นอนศีรษะหนุนภูเขาเป็นหมอน
พระบาททั้งสองข้างก็จุ่มลงในมหาสมุทรทางด้านทิศใต้
พระหัตถ์ซ้ายก็จุ่มลงมหาสมุทรทางทิศตะวันออก
พระหัตถ์ขวาก็จุ่มทางทิศตะวันตก
พระองค์ก็ทำนายพระองค์ได้ว่า
จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแน่
แล้วก็มีหญ้าคางอกจากท้องขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า
พระองค์ก็ทำนายไว้ว่าเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว
ก็จะได้สอนไม่ใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น
ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดา
♥มีหมู่หนอนตัวสีขาวศีรษะดำจำนวนมาก
ไต่จากพระบาทขึ้นมาถึงชานุ ถึงเข่า
พระองค์ก็รู้ว่าในกาลข้างหน้าเมื่อพระองค์ตรัสรู้
พวกคฤหัสถ์ทั้งหลายเป็นชายเป็นหญิงจะเกิดศรัทธา
เกิดถือพระองค์เป็นสรณะตลอดชีวิตจำนวนมาก
อย่างพวกโยมนี่หนอนตัวสีขาวศีรษะดำ
แต่งชุดขาวทั้งนั้นแต่ผมยังดำอยู่
ยังไม่โกนหัว มีศรัทธาเลื่อมใสต่อพระองค์
ปฏิญาณตนเองถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิตจำนวนมาก
มีนกหลากสี ๔ เหล่าบินมาจาก ๔ ทิศ
แล้วก็มาตกลงที่พระบาท ร่างเป็นสีขาวหมดทุกตัว
พระองค์ก็รู้ว่าวรรณะทั้ง ๔
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร
♥เมื่อเข้ามาสู่พระธรรมวินัยนี้แล้วก็เหมือนกันหมด
สามารถบรรลุธรรม เข้าถึงธรรมได้เหมือนกัน
ในฝันว่าพระองค์เสด็จดำเนิน
อยู่บนภูเขาเต็มไปด้วยคูถ อุจจาระ
แต่ก็ไม่แปดเปื้อนพระองค์
พระองค์ก็รู้ว่าลาภสักการะ ปัจจัย ๔
จะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนานี้อย่างมาก
แต่พระองค์ก็ไม่ติดในเรื่องสิ่งเหล่านี้
ไม่ติดในปัจจัยทั้งหลาย
♥ในเช้าวันนั้นเป็นวันที่พระองค์จะตรัสรู้
ได้รับถวายข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา
นางสุชาดานั้นเขาบนไว้ว่าถ้าเราไปสู่ตระกูลที่มีเสมอกัน
คือตัวเองก็เป็นลูกเศรษฐี ได้สามีเป็นเศรษฐีด้วย
แล้วก็ได้ลูกชายคนโต
ก็จะมาทำข้าวมธุปายาสพลีกรรมเทวดาที่ต้นไทร
อชปาลนิโครธ ต้นไทรที่มีแพะชอบไปพักอยู่
แล้วนางก็ได้สมความปรารถนา
แต่ไม่รู้ผ่านมากี่ปีก็ตาม นางก็มาทำแก้บน
ข้าวมธุปายาสไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็จะทำได้เลย
น้ำนมนี่ก็ต้องคัดสรรมาอย่างดี
ใช้โคเท่านั้น ๆ เลี้ยง เอาโคจำนวนนั้นเลี้ยง
คัดออกมาจนเหลือน้ำนมอย่างดี
โคจำนวนมากนำมาเลี้ยง
โคจำนวนหนึ่งจากจำนวนนั้นก็ให้ลดลงมา
น้ำนมที่ดี เลี้ยงโคเรื่อยๆ มากวน
♥พระองค์ก็ได้รับ
นางสุชาดาใส่ถาดทองคำราคาเป็นแสน
พร้อมด้วยคนโททองคำใส่น้ำไป ดีใจ
นึกว่าเทวดาลงมารอรับ
เพราะวันที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้จะมีรัศมีเปล่งปลั่ง
แล้วพระองค์รับแล้วก็มาที่ริมแม่น้ำเนรัญชรา
สรงน้ำเสร็จแล้วก็ปั้นข้าวมธุปายาสเป็น ๔๙ ปั้น
เท่ากับจาวตาล แล้วก็เสวยหมดเลย
♥คือข้าวมธุปายาสนี้
จะหล่อเลี้ยงชีวิตพระองค์ไป ๔๙ วัน
โดยที่พระองค์ไม่ต้องฉันอะไร
เพราะว่าเป็นอาหารที่เทวดาเอาโอชะมาใส่ไว้
ฉะนั้น เวลาที่พระองค์ตรัสรู้นี้ไม่ได้ฉันเลย
เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๔๙ วัน
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็ลอยถาด
ถ้าใครไปอินเดียก็จะมีสถานที่ที่ลอยถาด
อธิษฐานถ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ
ถาดก็ลอยตัดกระแสน้ำไปกลางแม่น้ำเนรัญชราไป
ลอยทวนกระแสน้ำไป ๘๐ ศอกก็จมลง
ทำให้พระองค์แน่พระทัยว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้แน่
♥รอจนบ่าย เย็น พระองค์ก็เสด็จ
เพราะว่าที่ตรัสรู้ ต้นศรีมหาโพธิ์
จะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านนางสุชาดา
แสดงว่าพระองค์ต้องข้ามฟากไปอีกฝั่งหนึ่ง
เจอโสตถิยะพราหมณ์ถวายหญ้าคามาให้ ๘ กำ
พระองค์พอไปถึงต้นอัสสัตถะ
เขาเรียกกันต้นอัสสัตถะ
พระองค์ก็ทำประทักษิณ ๓ รอบ
แล้วก็ปูหญ้าคาตรงด้านทิศตะวันออก
ก็เกิดเป็นบัลลังก์ขึ้นมาใหญ่ขนาด ๑๔ ศอก
♥พระองค์ก็ประทับนั่ง อธิษฐานจิตว่า
การนั่งครั้งนี้ถ้าไม่ได้บรรลุ
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็จะไม่ลุกจากที่นี้เป็นเด็ดขาด
แม้นเลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป
เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที
ถ้าไม่ได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็จะไม่ลุก ยอมตาย
ถ้าเรานึกถึงตรงนี้ เรานั่งกรรมฐาน
แล้วมีทุกข์มีอะไรบ้าง ปวดบ้าง
แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า จะได้ทนบ้าง
เราเจอปวดหน่อย ลุกแล้ว ไม่ไหว
เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์ยอมตาย
♥แล้วปรากฏว่ามารมา มาร
พญามารเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นที่ ๖
ปรินิมมิตวสวัตตี
นำเสนามารจำนวนมากมารายล้อม
ไล่พระองค์ให้ลุกจากบัลลังก์ มีอาวุธกันมา
มารก็เนรมิตแขนเป็นพันถืออาวุธมา
มีจักร อาวุธด้วย
แต่ว่าทำอันตรายพระองค์ไม่ได้ด้วยบารมี
เขาบันดาลลม แต่ก็ทำอันตรายพระองค์ไม่ได้
ทั้งไฟ ทั้งลม ทั้งน้ำ ฝนตก ทั้งศาสตราอาวุธ
ทั้งถ่านเพลิง ทั้งหินที่ลุกเป็นไฟ
ทั้งเถ้ารึงเป็นเม็ดทรายละเอียดร้อน
เป็นโคลนตมลงมาแล้วก็มืด
ต้นไม้ล้มระเนระนาด เสียงครืนครันปั่นป่วน
♥พระองค์มองดูโดยรอบ
มารเนืองแน่นไปหมด
เทวดาที่นั่นยังอยู่ไม่ได้สักองค์เดียว
ตอนแรกเทวดามารอบูชาพระพุทธเจ้าอยู่
ท้าวสักกเทวราชเอาสังข์วิชยุตตระมาเป่า
ท้าวมหาพรหมก็กั้นเศวตฉัตรอยู่
เทวดาทั้งหลาย นาคราชมา
พอมารมานี่แตกกระเจิงเลย เทวดายังอยู่ไม่ได้เลย
ท้าวมหาพรหมก็รีบเก็บเศวตฉัตรกลับสู่พรหมโลก
ท้าวสักกเทวราชก็ลากสังข์วิชยุตตระไปอยู่ขอบจักรวาล นาคราชก็ดำลงมุดดิน ไม่มีใครอยู่
เทวดาอยู่ไม่ได้เลย
ฉะนั้น ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้สร้างบารมีมาอย่างยวดยิ่ง
ไปไม่รอดเลยนะโยม มารไล่พระองค์
ขว้างจักร แต่ก็ไปเป็นดอกไม้
เป็นจุนจันทร์บูชาแทบพระบาทพระองค์
เป็นเพดานดอกไม้
♥พญามารก็โกรธมาก ไล่พระพุทธองค์
บอกบัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ของเรา
เห็นไหมนี่ พญามารพอประกาศอย่างนั้น
พวกเสนามารก็ไชโยโห่ร้องเป็นพยานกันเนืองแน่น
ถามว่า สิทธัตถะ ใครเป็นพยานให้ท่านบัลลังก์นี้
พระองค์ก็บอกว่าเราอยู่ที่นี้เพียงลำพัง
ไม่มีใครที่จะมีชีวิตเป็นพยานได้
แต่ว่าบารมีที่เราสั่งสมมานั้นจริง ๆ มากมาย
บารมีอื่นๆ ยกไว้ ไม่ต้องมาอ้างถึง
แต่ว่าเอาแค่ทานบารมี
♥เฉพาะเอาชาติที่เป็นพระเวสสันดร
เราได้สละทรัพย์ สละอย่างละร้อย ๗ อย่าง
เรียกว่า สัตตสดกมหาทาน
เคยบำเพ็ญสิ่งของต่าง ๆ อย่างละร้อย
ธรณีนี้จะเป็นพยานได้หรือไม่
ปรากฏว่าพอพระองค์ประกาศขึ้นมาอย่างนี้
อ้างบารมีที่สั่งสมมา
ช้างคีรีเมขล์ที่พญามารขี่นั้นทรุดตัวลง
พญามารก็ตกลงจากคอช้าง
อสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมา
แผ่นดินทั้งหลายเป็นพยานให้พระองค์
จึงกล่าวเป็นแม่ธรณีออกมาบิดน้ำมวยผมว่า
บารมีที่พระองค์สั่งสม ที่หลั่งน้ำสิโนทกมากมาย
ก็คือบารมีที่พระองค์ออกมานี้ชนะมาร
มารทั้งหลายก็กระเจิงหมด นี่กว่าจะผ่านมาได้ โยม
♥พลบค่ำพอดีที่พ้นมาร
เทวดาทั้งหลายก็กลับคืนเข้ามา ดีอกดีใจ
พระพุทธเจ้าสิทธัตถะแม้เป็นมนุษย์
ก็ยังเอาชนะมารซึ่งเป็นเทวดาได้
ก็พากันกราบบูชา ดอกไม้บานสะพรั่ง
ในหมื่นจักรวาลนี้บูชาหมด
เต็มไปด้วยดอกไม้ ของหอม
เพราะรู้ว่านี่เป็นวันที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้
เป็นที่พึ่งของมนุษย์ เทวดาทั้งหลาย
ฉะนั้น พระองค์ก็เจริญภาวนาตั้งแต่ปฐมญาณ
บรรลุปุพเพนิวาสนุสสติญาณ ระลึกชาติได้
พอมัชฌิมยามก็บรรลุจุตูปปาตญาณ
รู้เห็นการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลาย
แล้วในปัจฉิมยาม
พระองค์ก็บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
♥ในรุ่งอรุณของวันใหม่พอดี
พระองค์จึงได้เปล่งอุทานออกมาว่า
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
คะหะการัง คะเวสันโต ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง
คะหะการะกะ ทิฎโฐสิ ปุนะเคหัง นะกะกาหะสิ
สัพพา เต ผาสุกา ภัคคา คะหะกูฏัง วิสะขะตัง
วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคาติ
♥แปลว่า เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือน
เมื่อไม่พบ ต้องท่องเที่ยวในสังสารวัฏ
เวียนว่ายตายเกิด การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป
นี่แน่ะ นายช่างผู้สร้างเรือน เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว
เจ้าจะสร้างเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
โครงเรือนของเจ้าเราก็หักเสียแล้ว
ยอดเรือนของเจ้าเราก็กำจัดเสียแล้ว
จิตของเราได้ถึงวิสังขารที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
เราได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
♥นี่เป็นอุทานครั้งแรกของ
พระพุทธเจ้าหลังจากได้ตรัสรู้
ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะอุทานแบบนี้หมดว่า
แสวงหาอยู่ว่าจะทำอย่างไร
อะไรเป็นตัวสร้างภพชาติกันอยู่ เรือนชีวิตนี้
อะไรเป็นนายช่างผู้สร้างเรือนชีวิตนี้
พระองค์ก็รู้ อ๋อ ตัณหานี่เอง
ตัณหานี่เองเป็นนายช่างผู้สร้างเรือน
ก็ด้วยอวิชชา ความไม่รู้
เมื่อพระองค์ได้ค้นพบกองทุกข์เป็นอย่างนี้
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ทุกข์จะต้องกำหนดรู้
ตัณหาจะต้องละ เมื่อละตัณหาได้
ก็จะเป็นความดับทุกข์ ความดับทุกข์คือนิพพาน
จะต้องทำให้แจ้งก็ด้วยการกำหนดรู้ทุกข์
ด้วยการละตัณหา ด้วยการเจริญอริยมรรค
มรรคเป็นสิ่งที่จะต้องภาวนาให้เกิดขึ้น
จะต้องเจริญอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น
♥ในอริยมรรครวมความว่าก็คือเข้าไปรู้ทุกข์
เข้าไปพิจารณาทุกข์ เข้าไปรู้ทุกข์
ทุกข์นั้นเป็นอย่างไร
พระองค์ก็มีสัจจญาณรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้
ว่าโดยย่อก็คืออุปาทานขันธ์
อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นก้อนทุกข์
กิจที่จะต้องทำต่อทุกข์คือการกำหนดรู้ ไม่ใช่ประหาร
เวลากำหนดรู้ทุกข์นี้ กำหนดรู้กายรู้ใจ
รูปนามต่าง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น
อวัยวะนี้มันเป็นก้อนทุกข์
พระองค์รู้ว่าให้เพียงกำหนดรู้ อย่าไปทำลาย
อย่าไปอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
♥ส่วนตัณหานั้นจะต้องละ ไม่ใช่ไปเจริญ
ที่เรามักจะเจริญตัณหา
ปฏิบัติไป อยากเอาอย่างนั้น ไม่เอาอย่างนี้
จะเอานิ่ง จะเอาสงบ ไม่เอาฟุ้ง
เมื่อไรจะหายปวด เราทำกิจผิด มันจึงไม่ได้ผล
พอไม่ได้อย่างใจมันก็ยิ่งวุ่นวาย
แต่ถ้าเรากำหนดรู้ทุกข์เพียงสักแต่ว่ารู้
ตัณหามันจะถูกชำระ ตัณหามันจะไม่เกิด
มันก็จะเบาใจ ใจมันเบาลง ผ่องใส
นี่เป็นแนวของการที่จะดับทุกข์
♥ฉะนั้น กิจต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องทำให้ถูก
คือกำหนดรู้ทุกข์ ไม่ใช่ทำลายทุกข์
ดูรูปดูนาม ดูขันธ์ ๕ อย่างสักแต่ว่า
อย่างวางเฉย ละตัณหา กามตัณหา
ความทะยานอยากในกาม ภวตัณหา
อยากมีอยากเป็น ต้องละเวลาปฏิบัติ
รวมทั้งวิภวตัณหา – อยากไม่มีไม่เป็น
อันนี้จะไม่เอา อันนี้ก็ไม่เอา
อันนี้จะไม่เอาอย่างนั้นไม่เอา ต้องละ
รู้ทุกข์อย่างวางเฉยจะเป็นการละตัณหาไปในตัว
เมื่อดับตัณหาได้สนิทก็จะเป็นนิโรธ เ
ป็นความดับทุกข์
♥พระองค์ได้รู้ ได้ตรัสรู้เรื่องนี้มา
ก็เป็นคุณ เป็นพระคุณ
หรือว่าคุณของพระพุทธเจ้านี้เป็นที่พึ่งให้กับเรา
ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ
เราก็จะได้หูตาสว่าง เราก็จะได้ปฏิบัติถูก
แล้วเราก็จะได้พ้นจากทุกข์บ้าง
กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑
คลิก https://is.gd/nDixQq
กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒
คลิก https://is.gd/Hl8Dp8
กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓
คลิก https://is.gd/t5STJO —
♥วิปัสสนาญาณที่ ๒
ญาณที่เห็นรูป-นาม
เป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน
♥เมื่อมีสติกำหนดระลึก
พิจารณาอยู่เสมอ ๆ
ก็จะเห็นว่ารูป-นามเหล่านี้
เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน
สิ่งนี้เป็นปัจจัยต่อสิ่งนี้
สิ่งนี้ดับ...สิ่งนี้ก็ดับ
สิ่งนี้เกิด...สิ่งนี้ก็เกิด
มีความเป็นปัจจัยเกี่ยวข้อง
เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กัน
♥มีเสียงมากระทบ...ได้ยินก็เกิดขึ้น
เสียงเป็นรูป ได้ยินเป็นนาม
รูปเป็นปัจจัยให้เกิดนาม
เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึง
มากระทบกาย
ก็เกิดการรับรู้ เกิดความรู้สึกขึ้น
เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึง
เป็นรูปต่าง ๆ
มาเป็นปัจจัยให้เกิดนาม
♥คือการรับรู้เกิดความรู้สึกขึ้น
ถ้าไม่มีเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึง
มากระทบกาย ก็ไม่เกิดความรู้สึก
การที่มีจิตใจรับรู้เวทนา
รู้สึกเข้าไปเสวยอารมณ์
ก็เพราะมันมีสิ่งมาสัมผัส
คือมีเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง หย่อน-ตึง
มากระทบกาย ผู้ปฏิบัติเห็น
♥“เห็น” ในที่นี้คือการู้เห็น
เข้าไปสัมผัสด้วยใจ
ว่ามันเป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน
จิตคิดจะยืน...กายก็ยืนขึ้น
ลมที่เกิดจากจิตไปผลักดันกายก็ยืน
จิตปรารถนาจะเดิน...กายก็เคลื่อนไป
จิตคิดจะนั่ง...กายก็ทำการคู้ลงนั่ง
และจิตที่เกิดขึ้น ดีบ้างไม่ดีบ้าง
ก็มีผลต่อรูปที่กาย
♥เราจะพบว่า ถ้าจิตมีความฟุ้งซ่าน
หรือมีความโกรธ
กายก็เคร่งเครียดเคร่งตึงไปด้วย
ถ้าจิตมีความสงบ มีความผ่องใส
กายก็คลี่คลาย เบาสบายไปด้วย
มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันต่างๆ
ปัญญาที่เห็นเหตุปัจจัยอย่างนี้
คือญาณที่ ๒ เรียกว่า ปัจจัยปริคคหญาณ
ญาณที่เห็นรูป-นาม
เป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๓)
................................
♥วิปัสสนาญาณที่ ๓
ญาณที่เห็นไตรลักษณ์-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
♥เมื่อได้กำหนด พิจารณา
เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกต
ก็จะเห็นไตรลักษณ์
ลักษณะ ๓ ประการ
คือ อนิจจลักษณะ หรือ อนิจจัง
ลักษณะที่ไม่เที่ยง
คือ มันเปลี่ยนแปลง
♥รูป-นามอันใดเกิดขึ้น
ก็เปลี่ยนแปลงทั้งหมด
เห็นทุกขลักษณะหรือ ทุกขัง
ลักษณะที่เป็นทุกข์
คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป
เห็น อนัตตลักษณะ หรือ อนัตตา
บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่ใช่เป็นตัวตน
ไม่ใช่เป็นเราเป็นของเรา
♥เมื่อสติระลึกรู้
อยู่กับรูปกับนามเสมอ เป็นปัจจุบันๆ
ก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพราะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็คือลวดลายของรูป-นาม
หรือเครื่องหมายของรูป-นาม
คือลักษณะของรูป-นาม
♥ถ้าสติระลึกสัมผัส
อยู่กับรูป-นามเป็นปัจจุบันอยู่เสมอๆ
ก็ค่อยพิจารณา
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาขึ้น
เป็นญาณที่ ๓ เรียกว่า สัมมสนญาณ
ญาณที่เห็นไตรลักษณ์-อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๔)
................................
♥วิปัสสนาญาณที่ ๔
เห็นความเกิดดับของรูปของนาม
♥เมื่อพิจารณาดูรูปดูนาม
ตรงต่อสภาวะของรูปของนามแต่ละอย่างๆ
ที่กำลังปรากฏ ด้วยความปล่อยวาง
และความเป็นปรกติ
ก็จะเห็นรูป-นามเกิดดับ
เห็นรูป-นามมีเกิดมีดับ
♥ได้ยินเสียงเกิดขึ้น พอได้ยินก็ดับ
กลิ่นกระทบจมูก
รู้กลิ่นเกิดขึ้นก็ดับไป
เย็นมากระทบเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แข็งมากระทบ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ตึงกระทบ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เคลื่อนไหวแต่ละอันมีความเกิดดับ
คิดเกิดขึ้นแล้วก็ดับ คิดแล้วก็ดับ
ความปรุงแต่ง ความตรึก ความนึก
ความชอบ-ไม่ชอบมีเกิดมีดับอยู่
♥เราจะเห็นแต่ความเกิดขึ้น ความหมดไป
ความเกิดขึ้น ความดับไป
อันนี้ขึ้นสู่ ญาณที่ ๔
ซึ่งเรียกว่า อุทยัพพยญาณ
เป็นวิปัสสนาญาณแท้ๆ
♥ญาณก่อนหน้านั้น
ที่จริงยังไม่เป็นวิปัสสนาที่แท้จริง
เพราะว่ายังมีสมมติเข้ามาด้วย
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่เป็นลักษณะที่มีสมมติเข้ามา
เห็นเหตุปัจจัย
แต่ก็มีความตรึกนึกอยู่ด้วย
ยังมีสมมติเข้ามา
♥แต่เมื่อเห็นความเกิดดับ
เรียกว่าสติสัมปชัญญะ
รู้ได้ตรงปรมัตถ์มากขึ้น
ทันต่อรูป-นาม
ทันต่อปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏ
และเปลี่ยนแปลง เป็นปัจจุบันอยู่
ได้ดีขึ้น ได้มากขึ้น
ได้ตรงสภาวะขึ้น
ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปของนาม
ญาณที่ ๔ นี้มี ๒ ระยะ
♥ระยะต้นเป็นญาณที่ ๔ อย่างอ่อนๆ
เรียกว่า ตรุณอุทยัพพยญาณ
ในญาณที่ ๔ อ่อนๆ นี้
ท่านแสดงไว้ว่า ย่อมจะเกิด
“วิปัสสนูปกิเลส” ได้
คือ กิเลสที่มาเป็นเครื่องเศร้าหมอง
ของวิปัสสนา
ถ้าเกิดขึ้นแล้ว
ก็ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง
วิปัสสนาไม่สามารถ
จะเจริญต่อไปได้ ติดค้างอยู่
♥วิปัสสนูปกิเลส มี ๑๐ ประการด้วยกัน
อาทิเช่น มีโอภาส-เกิดแสงสว่างขึ้น
มีปิติ-ความอิ่มเอิบใจอย่างแรงกล้า
มีสุข-ความสุขใจอย่างมาก
มีปัสสัทธิ-ความสงบอย่างมาก
มีความเพียรอย่างแรงกล้า
มีญาณะ มีปัญญารู้
คือเมื่อดูอะไรก็รู้สึก
มีความรู้ความเข้าใจไปหมด
มีสติคล่องแคล่วว่องไวมาก
มีการน้อมใจเชื่ออย่างมาก
เหล่านี้เป็นต้นที่กล่าวมาน
♥ท่านทั้งหลาย
อาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีทั้งหมด
ญาณปัญญาก็น่าจะดี สติก็ดี
ความเพียรก็ดี
ปิติเกิดขึ้นมาก็ให้เข้าอิ่มเอิบใจ
ความสุขใจก็เป็นสิ่งที่ดี
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีก็ถูกแล้ว
แต่มันเสียตรงที่มี “นิกันติ”
♥นิกันติ คือ การเข้าไปยินดีพอใจ
เข้าไปติดใจ เข้าไปหลงใหล
กับสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
อันนี้แหละที่ทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง
วิปัสสนาเจริญต่อไปไม่ได้
คือมันไม่เห็นความเกิดดับ
♥ถ้าเรามีความสงบ
แล้วเราพอใจติดใจอยู่กับความสงบ
มีปิติแล้วยินดีติดใจอยู่กับปิติ
มีสุขแล้วก็ยินดีติดใจ
อยู่กับความสุข
มีปัญญาก็ติดใจพอใจอยู่กับปัญญา
พอได้รู้ ได้เห็น
รู้สึกวิจัยวิจารณ์อะไรมันแตกฉานไปหมด
อยากจะไปเทศน์
อยากจะไปสอนคนนั้น
บางทีก็อยากจะไปชวนคนนั้น
มาปฏิบัติบ้าง
ตัวเองเลยไม่ได้ทำอะไร
มัวไปคิดถึงคนอื่น
อยากจะให้คนอื่นได้รู้ได้เห็น
วิปัสสนาก็เจริญไปไม่ได้
♥แม้แต่สติ...สติที่เกิดขึ้นมา
คล่องแคล่วว่องไว รับรู้เท่าทัน
เกิดความยินดีพอใจว่า
เรามีสติดีมั่นคง
ก็เป็นความเศร้าหมองของวิปัสสนาได้
♥ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ละความยินดีติดใจ
เกิดปิติก็เข้าไปรู้แล้วก็ดูจิต
มีความพอใจติดใจไหม
ถ้ามีความพอใจติดใจ
ก็รู้เท่าทันเพื่อคลี่คลายให้จิตปรกติ
♥เกิดความสุขก็เหมือนกัน
มันจะเข้าไปยินดีติดใจ
เกิดสมาธิก็เข้าไปยินดีติดใจ
เกิดญาณะเกิดปัญญา
เกิดสติ เกิดแสงสว่าง
เกิดความน้อมใจเชื่อ
เกิดความเพียร
ก็ให้ตามรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยความวางเฉย
♥แต่ปรกติของจิตใจปุถุชนนั้น
เมื่อเกิดสภาวะอะไรดีๆ ขึ้นมา
มักจะพอใจติดใจ มักจะเข้าไปยินดี
เกิดความตื่นเต้น ดีอกดีใจ
ชอบอกชอบใจ หรือเพลิดเพลิน
พอใจติดใจอยู่กับความสงบ
เพลิดเพลินอยู่กับความสุข
เพลิดเพลินอยู่กับปิติ
ก็ทำให้ไม่เห็นสภาวะ
ไม่เห็นรูปเห็นนามต่อไป
ไม่เห็นความเกิดดับต่อไป
♥เพราะไปอยู่กับความสงบ
อยู่กับปิติ ก็มีความสุขดี
แต่ว่ามันไม่ก้าวขึ้นไป
ได้รับความสุขแล้วก็พอใจอยู่อย่างนั้น
เหมือนคนเดินทาง
พอไปเจอร่มเงาเย็นสบาย
เจอน้ำใสเย็น
ลงไปพักแล้วเลยอยู่อย่างนั้น
ติดอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเดินต่อไป
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๕)
♥วิปัสสนาญาณที่ ๕
ญาณที่เห็นรูป-นาม
มีแต่หมดไป หมดไป หมดไป
♥เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติ
จะต้องรุ้เท่าทัน
ละตัณหาความพอใจติดใจ
นิกันติ ก็คือตัวโลภะนั่นเอง
โลภะก็คือตัณหา
เกิดธรรมตัณหา ความพอใจติดใจในธรรม
พอใจติดใจในความสงบ
พอใจติดใจในปิติ พอใจติดใจในสติ
ในปัญญา เป็นต้น
♥กลับเป็นกิเลสขึ้นมา
กิเลสแบบนี้ผู้ปฏิบัติ
มักจะไม่ค่อยรู้ตัว
เพราะกำลังเสวยความสุขอยู่
มันติดใจพอใจอยู่กับความสุข
เมื่อไม่ค่อยรู้ตัว ไม่เห็นโทษของมัน
ไม่เห็นโทษของตัณหา
ของความพอใจ
เรียกว่า เป็นศัตรูที่มาในคราบ
ของความเป็นมิตร
♥เราก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นศัตรู
ไม่เห็นว่าความพอใจติดใจ
จะเป็นพิษเป็นภัย
เมื่อไม่เห็นเป็นพิษเป็นภัย
ก็เลยเลี้ยงมันไว้ อยู่กับมันไป
มันก็พาให้เราไม่ก้าวหน้า
ติดขัดอยู่อย่างนั้น
♥ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้อง
วินิจฉัยสังเกตจิตใจตัวเองให้รู้ทัน
อ้อ...ในขณะนี้มันพอใจติดใจ
มันมีโลภะ มีตัณหาเกิดขึ้น
ถ้าเข้าไปรู้หน้าตาอาการของกิเลส
ของตัณหา ของความพอใจติดใจ
มันก็จะหลบหน้าไป
จิตใจก็จะกลับวางเฉย
จิตใจจะออกมาจากความพอใจติดใจ
ทำให้วิปัสสนาญาณเจริญได้ต่อไป
เข้าสู่อุทยัพพยญาณอย่างแก่ขึ้นมา
เรียกว่า พลวอุทยัพพยญาณ
เห็นความเกิดดับต่อไป
♥เมื่อทำความเพียรมากขึ้น
สติสัมปชัญญะรู้เท่าทันปัจจุบัน
ก็จะเห็นแต่ฝ่ายดับ
เนื่องจากสภาวะรูป-นาม
เกิดดับรวดเร็วมาก
เมื่อสติคมกล้ามาก
ไปจับความเร็วของรูปนาม
ก็เลยเห็นแต่ฝ่ายดับๆๆดับไป
♥เหมือนกับบุคคล
ที่ยืนอยู่ในตรอกในซอย
มองออกไปที่ปากซอย ปากตรอก
มองเห็นรถวิ่งผ่านแวบๆๆ ไปเท่านั้น
พอเห็นก็ลับตาเสียแล้ว
พอเห็นก็หมดไป
ญาณที่เห็นรูป-นาม
มีแต่หมดไป หมดไป หมดไปนี้
ท่านเรียกว่า ภังคญาณ เป็นญาณที่ ๕
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๖)
................................
♥วิปัสสนาญาณที่ ๑
ญาณที่แยกรูป แยกนาม
♥ถ้าหากว่ามีความเข้าใจ
รู้จักบัญญัติ รู้จักปรมัตถ์
ด้วยการปฏิบัติ
เข้าไปรู้ด้วยจิตใจ รู้ด้วยปัญญา
ก็ถือว่า จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้การปฏิบัติดำเนินไปอย่างถูกทาง
♥ทางเดินของวิปัสสนา
คือการกำหนดไปกับรูปกับนาม
เมื่อเข้าใจเรื่องรูป-นาม หรือปรมัตถ์
เข้าใจเรื่องบัญญัติ
ก็จะสามารถคัดบัญญัติออกไป
เดินให้ตรงอยู่กับปรมัตถธรรม
♥เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ
เรื่องปรมัตถ์ – เรื่องบัญญัติ
ถือว่าเป็นประโยชน์มาก
นอกจากนี้ เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติ
สติมีความมั่นคงขึ้น
ได้สัมผัสสภาวธรรมมากขึ้น
ทำให้จิตใจสงบ
ผ่องใส เบิกบานใจมากขึ้น
ได้เห็นปรมัตถธรรม
เห็นรูป เห็นนาม แยกรูปแยกนามได้
♥ธรรมชาติเหล่านี้
ส่วนหนึ่งปรากฏมาให้รับรู้
แล้วก็เสื่อมสลายไป เรียกว่า “รูปธรรม”
ส่วน”นามธรรม”
เป็นธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ได้
ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
♥รูปกับนามมันต่างกัน
รูปเป็นธรรมชาติที่มาให้รู้
สลายตัว เปลี่ยนแปลง เกิดดับไป
ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ได้
เรียกว่า รูปธรรม
♥ส่วนนามธรรมเป็นธาตุรู้
เป็นธรรมชาติที่น้อมไปรับรู้อารมณ์ได้
แต่ในการปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติได้เข้าไปเห็นรูปเห็นนาม
อาจจะเรียกไม่ถูกก็ได้
เพราะไม่มีความเข้าใจ
เรื่องปริยัติ เรื่องสมมติ
ตามบัญญัติที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงบัญญัติไว้
อย่างนี้ๆ เรียกว่ารูปธรรม
อย่างนี้ๆ เรียกว่านามธรรม
♥ถ้าเราไม่เข้าใจศัพท์บัญญัต
ก็อาจเรียกไม่ถูก
แต่ถ้าปฏิบัติแล้วเห็นธรรมชาติอยู่
เห็นธรรมชาติปรากฏ หมดไป
เปลี่ยนแปลงไป
อย่างนั้นก็ถือว่าได้เห็นรูปเห็นนาม
คือเห็นสิ่งที่ปรากฏ เสื่อมสลาย
รับรู้อารมณ์ไม่ได้
กับสิ่งที่เป็นสภาพรู้อารมณ
ปรากฏหมดไปสิ้นไปเหมือนกัน
อย่างนี้เรียกว่าเห็นรูปเห็นนาม
เห็นความต่างกัน
ระหว่างรูปก็อันหนึ่ง
นามก็อันหนึ่งไม่เหมือนกัน
♥อย่างความเคลื่อนไหว
ความตึง ความไหวในกาย
กับสภาพรู้...มันคนละอย่างกัน
ความไหวที่กายเป็นรูป
จิตใจที่เข้าไปรับรู้เป็นนาม
ในปัญญาของผู้ปฏิบัติ
ก็จะเห็นธรรมชาติ ๒ สิ่ง ๒ อย่าง
อย่างหนึ่งปรากฏมาให้รู้
อย่างหนึ่งเป็นผู้เข้าไปรู้ ต่างกัน
♥สิ่งที่ประกอบอยู่ที่กายเป็นกายส่วนหนึ่ง
สิ่งที่เป็นธาตุรู้ สภาพรู้ ก็อีกส่วนหนึ่ง
แล้วเห็นความตึง ความหย่อน ความไหว
กับสภาพรู้ ว่ามันคนละอย่างกัน
เสียงที่มากระทบหู กับจิตที่เข้าไปรับรู้
มันคนละอย่างกัน
สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นในปัญญาของผู้ปฏิบัติ
♥ให้มีสติคอยเฝ้าดูเฝ้ารู้อย
เห็นความต่างกันระหว่างรูปกับนาม
รูปก็อันหนึ่ง นามก็อันหนึ่ง
แล้วรูป-นามเหล่านี้
ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
ไม่ใช่ตัวตนเราเขา
สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็
เสื่อมสลายไปเท่านั้น
ปัญญาอย่างนี้เรียกว่า
นามรูปปริจเฉทญาณ
เป็นวิปัสสนาญาณที่ ๑
ญาณที่แยกรูป แยกนาม
เห็นความต่างกัน
ระหว่างรูปกับนาม
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
...วิปัสสนาญาณที่ ๒)
ทำอย่างไรถึงจะรู้เห็นสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริงดังที่กล่าว
ก็ต้องระลึกศึกษา ภาวนาอยู่เนือง ๆ
ให้ตรงต่อสภาพธรรมเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ตลอด
มีเห็น มีได้ยิน มีรู้กลิ่นอยู่เรื่อย ๆ
เดี๋ยวก็รู้รส เดี๋ยวก็รู้เย็น ร้อน ตึง หย่อน ไหว
เดี๋ยวก็คิดนึก มีสภาวะเหล่านี้อยู่ตลอด
.
♥ฉะนั้น ร่างกายเปรียบเหมือนเรือนหลังหนึ่ง
มีประตูอยู่ ๖ ประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
จิตนั้นก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้าน
เวลามีแขกมา คืออารมณ์มา
จิตก็จะไปเกิดในประตูนั้นในการรับแขก
ในการรับอารมณ์
.
สีมาปรากฏทางตา จิตก็จะไปเกิดที่ประสาทตา ทำหน้าที่เห็น แล้วก็ดับลง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เห็นนี้เห็นแค่สีต่าง ๆ ยังบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นคน
เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย
แต่ว่าจิตขณะต่อมามันก็จะเกิดทางใจ
รับเอาสีมาวิจัย มีวิจารณ์ มีตีความหมาย
ซึ่งก็จะมีจิตทางใจเกิดขึ้นจำนวนมาก
จึงได้ตัดสินได้ว่ามันคืออะไรเป็นอะไร
แล้วก็เข้าไปเสพที่เป็นชวนะจิต
เสพในรูปที่ปรากฏต่าง ๆ
ด้วยความรู้สึกชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง
เสพด้วยโลภะ เสพด้วยโทสะ
แล้วแต่ว่าสิ่งที่เห็น จิตตัดสินอย่างไร
.
♥ถ้าตัดสินว่ารูปนี้น่าใคร่น่าปรารถนา
ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
ชวนะจิตก็จะเสพอารมณ์นั้นด้วยความใคร่
ด้วยตัณหา ด้วยโลภะ
เป็นชวนะอยู่อย่างนั้นวนเวียนจำนวนมาก
สลับกับการเห็น กับการเสพอารมณ์
.
ฉะนั้น ถ้าหากว่าเจริญสติระลึกรู้ได้เท่าทันตั้งแต่เริ่มการเห็น ระลึกรู้สภาพเห็น สักแต่ว่าเห็น
ไม่เลยไปว่าสิ่งที่เห็นเป็นคน
เป็นสัตว์ เป็นหญิง เป็นชาย มันก็แค่นั้น
ไม่เกิดความรักความชังอะไร เห็นสักแต่ว่าเห็น
.
♥ฉะนั้น ในทางการปฏิบัติ ท่านจึงให้สักแต่ว่า
เห็นสักแต่ว่าเห็น คือไม่ต้องไปตีค่าตีความหมาย
ระลึกแค่นั้น ระลึกรู้สภาพเห็น สักแต่ว่าเห็น
ไม่ต้องตีความหมายออกไป
จะรู้แจ้งรู้ความจริงก็รู้เพียงแค่สิ่งที่เห็น
หรือสภาพเห็นเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วก็หมดไปดับไป
รู้แค่นั้นก็เป็นปัญญาแล้ว รู้เห็นว่ามันเกิด
มันหมดไป ไม่ใช่สัตว์ บุคคล
.
เมื่อสติระลึกรู้ไม่ทันในขณะเห็นส่งลงมาสู่จิตทางมโนทวาร ปรุงแต่ง นึกคิด ตีความหมาย
จำได้หมายรู้ว่าคืออะไรเป็นอะไร
อ๋อ นี่คนนี้ไม่ถูกกัน ชวนะจิตก็จะเสพด้วยความโกรธ
ความไม่ชอบ เกลียดชัง ลงมาสู่เป็นมโนกรรมทางใจ
.
♥ในทางการปฏิบัติ เมื่อขณะเห็นระลึกไม่ทัน
มันลงมาสู่ทางใจแล้ว ไม่พอใจแล้ว โกรธแล้ว
ก็จะระลึกรู้มาที่ทางใจซึ่งเป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่
ได้สังเกตไหมว่าจิตขณะนี้กำลังไม่พอใจ
จิตขณะนี้กำลังโกรธ ความโกรธไม่ใช่ตัวเรา
ความไม่พอใจไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
ระลึกศึกษาพิจารณาเห็นว่า
โกรธก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดที่หมดไป
แล้วเมื่อสติรู้เท่าทันต่อจิตใจที่โกรธอย่างวางเฉย
รู้อย่างวางเฉย ความโกรธก็หายไป หายไปเอง
.
มีปัญญาเห็นว่าโกรธไม่ใช่เรา โกรธไม่ใช่ของเรา โกรธไม่ใช่ตัวตนของเรา
นี่คือการเจริญวิปัสสนา เจริญวิปัสสนานำหน้า
คือไม่ได้ทำสมาธิก่อน ระลึกไปเลย
ดูสภาวะ ปรมัตถธรรม รูปนาม
ถ้าเราถนัดอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้ได้
ถ้าไม่ได้ ไม่ถนัด ก็ต้องทำสมาธิก่อน ตั้งหลักให้มันได้
.
♥ครั้นเมื่อมีเสียงมากระทบทางหู
เหมือนแขกมาเคาะประตู ประตูหู เสียงดัง ๆ มากระทบ
จิตก็จะมาเกิดที่ประตูหู เกิดที่ประสาทหู
ทำหน้าที่ได้ยินเสียง สภาพได้ยินนั้น
ก็เพียงได้ยินแค่เสียงเท่านั้น
ยังไม่บอกว่าคืออะไร ยังไม่รู้เรื่อง
ได้ยินนี้มันได้ยินแค่เสียง ดับลง
แต่มันเกิดวนเวียนจำนวนมากหลายรอบลงมาสู่ทางใจ
ถ้าสติระลึกได้ในขณะได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน ได้ยิน
ก็เห็นว่ามันเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ได้ยินแล้วดับไป
ได้ยินก็แค่นั้น ได้ยิน ดับไป ได้ยินก็หมดไป
.
แต่เมื่อได้ยินเสียง สติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ มันก็ต่อลงมาสู่ทางใจ
จิตทางมโนทวารก็จะตีความหมายออกมา
เสียงนี้มันเสียงอะไร ทำไมทำเสียงดังหนวกหู
กำลังจะสงบ ๆ เสียงดัง ทำไมคุยกัน มาคุยทำไม
โกรธ ขัดเคืองใจ ใจก็เป็นทุกข์ วุ่นวายใจเอง
อย่างนี้เรียกว่าเป็นเจ้าของบ้านออกไปรับแขก
แล้วก็ไปทะเลาะกับแขก
ใครเป็นทุกข์? เจ้าของบ้านเป็นทุกข์เอง
ขัดเคืองใจ โกรธ แล้วก็ไม่สบายใจ
.
♥ถ้ามีสติระลึกรู้ไม่ทันในขณะได้ยิน
เลยมาสู่ทางใจแล้ว ปรุงแต่งอยู่แล้ว
ก็โกรธว่านี่มันทำเสียงดัง หนวกหู
มีสติรู้ที่จิตทางมโนทวารว่าขณะนี้โกรธ
พิจารณาเห็นความโกรธเป็นธรรมชาติ
ที่มีอาการแห่งความเร่าร้อนใจ
บีบคั้น ประทุษร้ายอารมณ์ เป็นทุกข์
.
การมีสติระลึกรู้จิตที่มีความโกรธอย่างวางเฉย รู้อย่างไม่ว่าอะไร รู้อย่างวางเฉย
ก็ได้เห็นความโกรธนั้นมีความคลี่คลาย มีความดับไป
ฉะนั้น โกรธก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา
ที่โกรธนั้นไม่ใช่ตัวเรา เป็นนามธรรม
เป็นจิตที่เกิดแล้วก็ดับ แต่มันอาจจะเกิดต่ออีก เกิดต่ออีก
มันก็เลยดูว่าโกรธยาวอย่างนั้น
แต่จริง ๆ ความโกรธไม่ใช่เกิดตลอดเวลา
.
♥ขณะที่โกรธมีการคิดนึกบ้างไหม?
ถ้ามีการคิดนึก จิตก็ต้องขาดจากความโกรธ
ไปรับรู้อารมณ์อื่น
ขณะโกรธได้ยินเสียงไหม?
ขณะไปได้ยินเสียงก็มีจิตไปเกิดที่หูได้ยินเสียง
จิตทางใจที่โกรธก็ขาดตอน
แต่มันกลับมารู้สึกโกรธใหม่ มันก็เลยเหมือนโกรธตลอด
แต่จริง ๆ มีการขาดช่วง ถ้าไม่ขาดช่วง
มันจะไปมีการรับรู้อย่างอื่นไม่ได้เลย
.
ถ้ามันมีแต่โกรธ มันจะมีอย่างอื่นไม่ได้ ถ้ามีการรับรู้อย่างอื่น ความรู้สึกโกรธก็ต้องขาดตอน
ฉะนั้น พิจารณาดูความโกรธอย่างวางเฉย
เมื่อมีสติระลึกรู้อย่างวางเฉย
ความโกรธก็ค่อยซาไปหรือดับไปเอง
นี่คือความเป็นจริงของชีวิต มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่่งนี้)
♥เวลาที่มีกลิ่นมาปรากฏทางจมูก
เจ้าของบ้านคือจิตก็ไปเกิดที่จมูก
มันไม่ได้เกิดตลอดเวลา
เกิดขึ้นมาทำหน้าที่รู้กลิ่น ไม่ได้เกิดตลอดเวลา
ถ้าไม่มีกลิ่นมา ไม่มีความสนใจ มันก็ไม่เกิด
แต่เมื่อมีกลิ่นมา มีการรับรู้ มีการใส่ใจ มันก็เกิด
จิตก็เกิดตรงที่จมูก รับรู้กลิ่น
รู้กลิ่นแล้วก็ดับไป มันก็ไม่ได้ตั้งอยู่
ถ้าเจริญสติระลึกรู้ตรงที่รู้กลิ่น
ก็จะเห็นว่ามันมีการเกิด หมดไป รู้กลิ่นก็หมดไป
มันก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่ง เป็นธรรมชาติ
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
.
.
♥แต่ถ้าไม่ได้ระลึกรู้ พอได้กลิ่นปุ๊บ
มันก็ต่อลงมาสู่ทางใจ ใจคิดนึกปรุงแต่งว่า
นี่มันเหม็น นี่มันหอม เดี๋ยวก็เกิดความไม่ชอบ
เกิดความชิงชัง หรือเกิดความชอบ
เกิดความพอใจติดใจ มันก็เป็นกิเลสขึ้นมาอีก
แต่ถ้ามันลงมาสู่ทางใจ ตอนได้กลิ่น
ไม่ได้ระลึกรู้ มันสู่มาทางใจ ชอบ ไม่ชอบ
ก็ระลึกรู้มาที่ใจว่าขณะนี้มันชอบ
ขณะนี้มันไม่ชอบ ระลึกรู้ก็รู้เฉย ๆ อีกเหมือนกัน
สักแต่ว่า โดยเฉพาะว่าใครเป็นผู้ไปรู้
ใครเป็นผู้ไปรู้ความรู้กลิ่น สภาพที่รู้กลิ่น
.
.
♥สภาพรู้กลิ่นรู้ตัวเองได้ไหม? มันรู้ตัวเองไม่ได้
สิ่งที่ไปรู้สภาพรู้กลิ่นคืออะไร? จิต จิตทางไหน?
จิตทางใจ จิตทางมโนทวาร
รู้กลิ่นเป็นจิตเหมือนกัน เรียกว่าฆานวิญญาณ
เกิดที่ไหน? เกิดที่ประสาทจมูก
การที่มีสติเข้าไประลึกรู้สภาพรู้กลิ่นเกิดที่ไหน?
เกิดทางใจ เรียกว่าเป็นมโนวิญญาณ
จิตที่มีสตินั้นเป็นมโนวิญญาณ
วิญญาณที่เกิดทางใจ มันประกอบด้วยสติ
ฉะนั้น มันคนละจิตกัน จิตรู้กลิ่นเกิดที่จมูก
จิตที่มีสติเกิดทางใจ
.
.
♥ถ้ามีการระลึกรู้จิตทางใจด้วย เอาใครไปรู้ได้?
เอาใครไปรู้จิตที่เกิดขึ้นทางใจ?
มันก็ต้องจิตทางใจนั่นแหละ
มโนวิญญาณเหมือนกัน คือจิตที่มีสตินั่นแหละ
เกิดการระลึกรู้จิตที่มีสติ มันอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
ที่เราเรียกจิตผู้รู้ดูจิตผู้รู้
มันอยู่ในตำแหน่งเดียวกันทางมโนทวาร
จะไปหาที่ไหน ถ้าไปหา มันก็เลย เลยตำแหน่ง
ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เห็น รู้สึกอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
รู้สึกขึ้นมา รู้อยู่นะ ระลึกรู้อยู่นะ
.
.
♥รู้สึกว่ามีการระลึกรู้อยู่นี่เขาเรียกว่าจิตรู้จิต
มีสติเข้าไปรู้จิตที่มีสติ บ่อยๆ เนืองๆ เข้า
ก็เห็นว่ารู้กลิ่นก็อย่างหนึ่งเกิดที่จมูก
มีสติก็เป็นจิตอีกอย่างหนึ่งที่เกิดทางใจ
มันเป็นปัญญาแยกสภาพธรรม
ระหว่างจิตทางจมูกกับจิตทางใจมันคนละจิต
ยิ่งไปกว่านั้น ระลึกบ่อย ๆ เข้าหนักเข้า
ก็มีปัญญาเกิดรู้พร้อมว่า
การรู้กลิ่นก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดแล้วก็ดับ
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
จิตที่มีสติไปรู้ก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
ถอนความยึดถือเป็นตัวตน เห็นอนัตตา
.
.
♥ความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น
คำสอนของพระพุทธเจ้าตรัสถึงความเป็นอนัตตา
กลิ่นก็เป็นอนัตตา รู้กลิ่นก็เป็นอนัตตา
จิตที่ไปรู้ก็เป็นอนัตตา สติก็เป็นอนัตตา
คือไม่ใช่ตัวตนทั้งหมด ไม่ใช่ตัวเราของเราทั้งหมด
ฉะนั้น การปฏิบัตินี้หัดรู้ตัวทั่วถึงทางจิตทางใจด้วย
ไม่อย่างนั้นก็ยึดเป็นตัวตนไปหมด
กลายเป็นเรากำลังรู้ เรากำลังมีสติ
เราโกรธ เราไม่สบายใจ เราชอบใจ เราปวด
มันเป็นตัวเราไปหมด
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนทั้งหมด
.
.
♥ถ้าเราเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า
เราก็ต้องพิสูจน์ พิสูจน์ลงไป ระลึกรู้บ่อย ๆ
ความจริงก็ย่อมเป็นความจริง จะหนีไปไหน
ระลึกรู้ไปบ่อย ๆ มันก็เห็นความจริงเอง
เรียกว่าแจ่มแจ้งในความเป็นจริง ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
ถามว่าเป็นเช่นนั้นเป็นไฉน?
เป็นเช่นนั้นเอง ถามว่าเป็นไฉน บอกว่าเป็นเช่นนั้นเอง?
เป็นไฉนก็คือเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา
เมื่อเหตุปัจจัยเกิด ผลก็ต้องเกิด
เมื่อเหตุปัจจัยหมดไป
ธรรมที่เป็นผลก็ต้องหมดไป เป็นเช่นนั้นเอง
.
.
♥คือมันเป็นไปตามเหตุ มันเป็นเหตุผล
เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยประกอบขึ้นมา
ธรรมที่เป็นผลก็ต้องเกิดขึ้นมา
เมื่อเหตุปัจจัยมันเสื่อมไปหมดไป
ธรรมที่เป็นผลจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องดับไปเหมือนกัน
อย่างนี้เรียกว่าธรรมดา
ฉะนั้น คำว่า “ธรรมดา” คืออะไร?
คือมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันธรรมดา
เหตุเกิด ผลก็เกิด เหตุดับ ผลก็ดับ
คือมันต้องเป็นของมันอย่างนั้น
มันไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้
.
.
♥การระลึกรู้กิเลสต่าง ๆ จิตต่าง ๆ รูปต่าง ๆ
สภาพธรรมต่าง ๆ ระลึกอย่างไรจึงจะถูกต้อง?
เอาแค่ระลึกให้ตรงต่อสภาวะพอหรือยัง?
ให้มันตรงต่อสภาวะ สภาวะใดเกิดขึ้นก็ระลึกให้ตรง
มันเกิดขึ้นก็รู้ มันเกิดขึ้นก็รู้นี่พอหรือยัง?
หรือต้องทำอะไรอีก?
ต้องมีอะไรประกอบไหมที่จะเป็นการระลึกให้ถูกต้อง?
ระลึกด้วยใจเป็นกลาง
มันต้องมีการวางใจที่ถูกต้องด้วย ต้องวางใจที่ถูกต้อง
.
♥เอาแค่ระลึกแล้วก็กลายเป็นเพ่ง อย่างนี้มันไม่เป็นกลาง
เอาแค่ระลึกอย่างเดียวแล้วก็ไปอยาก
อยากจะเอาให้ได้ อยากจะเอาให้นิ่ง มันก็ไม่ถูกต้องอีก
ระลึกแล้วก็อยากให้มันหายไป อันนี้ไม่ดี
ให้มันหายไป ปวดไม่เอา ฟุ้งไม่เอา
ระลึกด้วยความไม่ชอบใจ มันก็ไม่ถูกต้องอีก
มันไม่ใช่ว่าเอาแต่ระลึกแล้วจะถูก
มันต้องดูที่ว่าวางใจถูกไหม
วางใจที่ถูกก็คือต้องอย่างไร? เป็นกลาง
คำว่าเป็นกลางหมายถึงอย่างไร?
ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สักแต่ว่า
.
♥อุเบกขานี่มันอุเบกขาอะไร?
อุเบกขาแบบจิตเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ใช่ไหม?
อุเบกขาแบบนั้นหรือเปล่า?
การปฏิบัติ จิตมีความสุขได้ไหม? ได้
แล้วจะให้ไปเฉย ไม่สุขเลยได้อย่างไร?
ถ้าอุเบกขาต้องเป็นอุเบกขาในแง่ของการไม่ยินดียินร้าย
อาจจะมีความปลื้มใจ สุขใจ
ไม่ใช่เป็นอุเบกขาเวทนา มันชื่อเดียวกัน
อุเบกขาเวทนา มันคือใจต้องเฉยแบบไม่สุขไม่ทุกข์
.
♥แต่อุเบกขาที่จะเป็นวิปัสสนา
อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ มันจะมีความสุขก็ได้
อาจจะปิติ อาจจะผ่องใส อาจจะอิ่มเอิบ
แต่เขาไม่ยินดียินร้าย เขาวางใจเป็นกลาง
คำว่า วางเฉย ในที่นี้หมายถึงไม่เข้าไปยินดียินร้าย
ไม่อยาก ไม่ยึด ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
หรืออยาก ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้
คือละความอยากได้ด้วย
เพราะฉะนั้น จะเรียกว่า วางเฉย ไม่ยินดียินร้าย
หรือปล่อยวาง ระลึกรู้อย่างปล่อยวาง
.
♥ปล่อยวางเป็นอย่างไร?
หมายถึงไม่สนใจใช่ไหม ปล่อยวาง? รู้ ต้องรู้
แล้วก็ปล่อยวางไป รู้แล้วก็ปล่อยทิ้งอย่างนี้ไปใช่ไหม?
แล้วก็ไม่รู้อีกหรือเปล่า? คำว่า ปล่อยวาง นี้
มันไม่ใช่ว่าทิ้งเหมือนวางอะไรแล้ว
ฉันก็ไม่สนใจ ไปที่อื่น มันไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะว่านี่เป็นการเรียนรู้
การเจริญวิปัสสนาเป็นการที่จะศึกษาเรียนรู้
จะไปวางทิ้งไม่สนใจไม่ได้
ยังต้องรู้ต้องดูอยู่เรื่อย ๆ วางแต่ดูอยู่เรื่อยๆ
.
♥เพราะฉะนั้น คำว่า วาง ในที่นี้หมายถึงอะไร?
ปล่อยวางในที่นี้ที่ยังดูอยู่นี้มันวางแบบไหนกันที่ยังดูอยู่?
คือ วางก็คือเป็นการที่ไม่ให้มันมีตัณหา
ไม่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งตัณหา
วางจากตัณหา วางจากอภิชฌาและโทมนัส
ไม่ใช่วางแบบไม่สนใจ หน้าที่คือระลึกรู้อยู่แล้ว รู้อยู่
แต่ว่ารู้ด้วยใจเป็นกลาง รู้ด้วยอย่างใจที่ปล่อยวาง
หรือว่ารู้ด้วยความที่ไม่มีตัณหาเข้าไปบงการ
ละวางจากตัณหาแต่ยังรู้อยู่ นี่ก็คือการต้องวางใจให้ถูก
.
♥ฉะนั้น เมื่อจิตใจยังไม่สงบ ใจยังคิด ใจยังฟุ้ง
ก็เป็นเวลาที่เจริญสติได้อยู่ ทำอย่างไรเวลาจิตมันฟุ้ง?
ก็รู้ฟุ้งอย่างวางเฉย อย่างสักแต่ว่า ไม่ว่าอะไร
เวลามันคิด ทำอย่างไร?
เวลาคิดเกิดขึ้น ก็ระลึกรู้ความคิดอย่างไม่ว่าอะไร
ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปยินดียินร้าย
จะคิดก็ไม่ว่าอะไร แต่ก็รู้อยู่ นั่นคือการวางใจให้ถูก
.
♥เวลาที่ร่างกายมันปวด เจริญสติได้ไหม?
ต้องคอยให้หายปวดถึงจะเจริญได้ หรือปวดก็เจริญได้?
ปวดก็เจริญได้ เจริญสติอย่างไรเวลาปวด?
ระลึกรู้ความปวดอย่างไรที่ถูกต้อง? วางเฉย
ต้องอยากให้มันหายปวดไหม? ไม่ต้องไปอยาก
ระลึกแบบไม่ชอบปวดได้ไหม?
ก็เป็นโทสะ ไม่เป็นกลางอีก
เกลียดความปวด ไม่ชอบความปวด มันเป็นโทสะอีก
อยากหายปวดเป็นอะไร? วิภวตัณหาอีก
.
♥พระพุทธเจ้าให้เจริญตัณหาหรือให้ละตัณหา?
ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
พระองค์ให้เจริญหรือให้ละ? ให้ละ
แล้วละหรือเปล่าเวลาปฏิบัติ? ละหรือเจริญ?
ที่ถูกนี่ต้องละหรือเจริญ? ละ
เราก็ตอบมาเก่ง ตอบมาถูกต้อง
ขอให้ไปทำตามที่ตอบนั่นแหละข้อสำคัญ
.
♥เมื่อมีความปวดก็ไม่ต้องไปอยาก
ให้มันหายปวดหรือให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ก็เจริญสติที่จะรู้อย่างวางเฉย
อะไรเป็นตัววางเฉย? กายหรือใจ? ใจเป็นตัววางเฉย
เราจะฝึกอย่างไรให้ใจวางเฉยต่อความปวด?
ฝึกอย่างไรให้ใจวางเฉย?
ทำใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย แล้วต้องทำอย่างไร?
สักแต่ว่าปวด นั่นก็ใช่ แต่ทำอย่างไรล่ะ? จิตดูจิต
.
♥สรุปแล้วว่าต้องดูจิตด้วยใช่ไหม?
ต้องดูจิต ต้องระลึกรู้ที่จิต เพราะว่าจะฝึกอะไร?
ฝึกจิต ดูจิตถึงจะฝึกจิต
เราจะฝึกช้าง จะต้องรู้จักช้าง ไปที่ช้างไหม?
หรือไม่ต้องไป ฝึกช้าง?
ต้องไป ต้องไปฝึกม้าไปที่ไหน?
ก็ต้องไปที่ม้า ฝึกลิงไปที่ไหน?
ก็ต้องไปที่ลิง ต้องรู้จัก ฝึกจิตไปที่ไหน?
ก็ต้องไปที่จิต ต้องรู้จักจิต
.
♥ความปวดกับจิต ความปวดอยู่ที่ไหน?
ที่กาย รู้ปวดอยู่ที่ไหน? อยู่ที่จิตใจ อันเดียวกันไหม?
คนละอย่างกัน
ถ้าหากมีการระลึกรู้จิตด้วย ปวดก็รู้อยู่
มันก็จะทำให้เห็นเป็นคนละอย่างกัน
ปวดอย่างหนึ่ง จิตใจอย่างหนึ่ง
เมื่อรู้จักจิตแล้ว เฉยได้หรือยัง? เฉยได้เลยหรือ?
ก็ต้องไม่ลืมคำสอน ไม่ลืมหลักการ
.
♥วิธีการปฏิบัติ แนวทางของการฝึกจิต
จะต้องฝึกจิตไปในแง่ไหน? วางเฉย
เราต้องไม่ลืมเรื่องการปล่อยวาง
การวางเฉย การสักแต่ว่า
เมื่อมีสติไปรู้จิตแล้วไม่ลืมคำสอน
มันจะมีการฝึกหัดแล้ว มันจะมีการฝึกหัดจิต
ถ้าลืมแล้วทำอย่างไร?
กำหนดไป ลืมวางเฉย ลืมปล่อยวาง
ทำอย่างไรถึงจะไม่ลืม?
ก็ต้องจำคำเหล่านี้ไปสอนใจตัวเอง
คำบริกรรม มีการบริกรรมไว้บ้าง
.
♥คำที่จะบริกรรมเตือนใจตัวเองไว้
เช่น คำว่า ปล่อยวาง ไม่เอาอะไร
วางเฉย สักแต่ว่า ไม่ว่าอะไร
คำไหนที่ตัวเองรู้สึกมันถนัด มันกินใจ ก็เอาคำนั้น
เช่น เราถนัดปล่อยวาง ก็ ปล่อยวางนะ
ปล่อยวาง หรือไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไร วางเฉย
ในฐานะที่ยังไม่เก่ง
ยังเป็นอนุบาลอยู่ก็ต้องมีคำสอนเตือน
จิตมันเหมือนเด็ก ต้องคอยกำกับเตือน ๆ ไว้เรื่อย ๆ
แต่ถ้าเราโตขึ้น มันก็ไม่ต้อง เก่งขึ้น
มันก็ระลึกได้ วางไปเอง ระลึก วางไปเอง ระลึก ปล่อย
ถ้ายังไม่เก่งก็ต้องมีคอยเตือนไว้
ปล่อยวางนะ ปล่อยวาง ไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไร
ปล่อยวาง มันก็จะปฏิบัติไปได้
.
♥เราจะเก่งเรื่องการเจริญสติกับความปวด
จะเก่งได้อย่างไร?
ถ้าไม่มีความปวดมาให้ฝึก จะเป็น จะเก่งไหม?
ไม่เก่ง ไม่มีข้าศึกมาให้ออกไปรบ จะเก่งไหม?
มันไม่เก่ง มันต้องได้มีโอกาสออกไป
ถ้าไม่มีความปวดมาให้ฝึก เก่งไม่ได้
เพราะฉะนั้น ความปวดดีไหม? ดีหรือไม่ดี?
ถ้าดีก็อย่ามาบ่นก็แล้วกัน
คือความปวดมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี
แต่ถ้ามันมีมาแล้วก็ทำอย่างไรได้
เอามาเป็นประโยชน์เสีย ดีกว่าให้มันปวดไปเฉย ๆ
ปวดไปฟรี ๆ ทุกข์ทรมาน
เอามาฝึก เอามาเป็นโอกาสฝึก
.
♥พอมีเวทนา ขาดสติปัญญา
มันก็จะต่อไปสู่ตัณหา ความทะยานอยาก
อยากในกาม อยากมีอยากเป็น อยากไม่มีไม่เป็น
พอมีตัณหามากขึ้นแรงขึ้น
มันก็เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น
พอมีอุปาทานมันก็ทำกรรมลงไปอีก
เรียกว่า กรรมภพ อุปัตติภพ
พอมีกรรมก็ทำให้เกิด มีการเกิดขึ้นมาอีก
ถ้าเป็นมนุษย์ก็อย่างที่เล่า เริ่มเกิดมาใหม่
♥พอมีการเกิดแล้วก็มีอะไรต่อมา?
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ความเศร้าโศกพิไรรำพัน
ทุกข์กายทุกข์ใจ คับแค้นใจ
ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัด
เดี๋ยวภัยน้ำท่วม เดี๋ยวไฟไหม้ เดี๋ยวดินถล่มภูเขา
ภัยจากโจร ภัยจากอะไรสารพัด
บางทีก็ต้องพลัดพราก
ไม่ใช่บางที ต้องเจอแน่พลัดพราก
มีสิ่งใดก็ต้องพลัดพรากสิ่งนั้น
♥มีบุคคลใดที่เราไปเกี่ยวข้อง
ก็ต้องพลัดพรากบุคคลนั้น จริงไหมโยม
อดีตพลัดพรากมาบ้างแล้ว อนาคตจะมีอีกไหม
เขาไม่พรากจากเรา เราก็พรากจากเขา
ไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย
เขาไม่จากเรา เราก็ต้องจากเขา
มันก็เกิดความทุกข์ ความเศร้าโศกพิไรรำพัน
ทุกข์อกทุกข์ใจ คับแค้นใจ
กองทุกข์ทั้งหลายมันก็มีมาอย่างนี้
♥แล้วพอมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีทุกข์อย่างนี้
มีปัญญารู้แจ้งแล้วหรือยัง
ถ้ามีมันก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
ถ้าไม่มีมันก็จะวนต่อ ถ้ามีอวิชชา ยังหลงอยู่
เดี๋ยวก็มีสังขาร มีวิญญาณต่อไปอีก
วน ๆ กันอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เราทำอย่างไรถึงจะมีปัญญารู้แจ้ง
เห็นจริงทำลายอวิชชา?
ก็ต้องฟังธรรม ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
ศึกษาแล้วก็นำมาปฏิบัติให้มันเกิดปัญญารู้แจ้ง
ชำระอาสวกิเลสในใจของเรา ดีไหม
♥แต่ทีนี้ถ้าชีวิตเกิดมาไม่รู้จักกรรม
ผลของกรรม ไม่มีปัญญา ก็ไม่เชื่อ
เดี๋ยวก็ทำบาปเรื่อย ๆ ไป
เสียโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ ขาดทุน ตายไปตกต่ำ
กว่าจะได้มาเป็นมนุษย์อีกก็ยาก
อย่างโยมนี้สั่งสมมาเยอะ ตายไปจะไปดีหรือไม่ดี
อุ่นใจหรือยังว่าตายเมื่อไรเราก็ไม่กลัว พร้อม
เรามีบุญมีกุศลมีความดีอยู่พร้อม มันก็จะเบาใจ
แต่ถ้ายังวิเวกวังเวง
ก็ต้องพยายามเติมบุญเติมกุศลให้ดีให้บริสุทธิ์
♥วัน ๆ หนึ่งเราต้องมีศีล ๕ ไหม?
การสมาทานศีลกับการไม่สมาทานอันไหนดีกว่ากัน?
คือสมาทานศีลแล้วศีลไปขาด
กับไม่สมาทานศีลจะได้ไม่มีศีลขาด จะเอาอันไหน?
อันไหนดีกว่ากัน?
ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ก็อุปมาให้ฟัง
ศีลเปรียบเหมือนอาภรณ์
เหมือนเครื่องประดับ เหมือนเสื้อผ้า
คนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าแล้วก็ผ้าขาด ใส่แล้วก็ขาด
อีกคนหนึ่งกลัวเสื้อผ้าจะขาดเลยไม่ใส่เสื้อผ้าดีกว่า
จะได้ไม่ขาด โยมจะเอาอันไหน?
ใส่เสื้อผ้าขาดก็ยังดีใช่ไหม ขาดก็ปะเอาใหม่ได้
♥เหมือนสมาทานศีล ศีลขาดก็ทำอย่างไร?
ต่อศีลใหม่ ถ้าเกิดวันนี้ไม่แน่ใจศีลขาดแล้วก็สมาทาน
สมาทานเอาเองได้ไหมอยู่ที่บ้าน? สมาทานได้
เพราะว่าบางทีเรานอนไปหลับไม่ตื่น
ศีลจะได้คุ้มครอง
คนที่มีศีลพระพุทธเจ้าตรัสว่า
สีเลนะ สุคะติง ยันติ
ศีลจะทำให้เข้าถึงสุคติ ไปดี ศีลจะห่อหุ้มไปสุคติ
ถ้าเกิดวันนั้นไม่มีศีล ศีลขาดบกพร่องก็ไม่ต่อศีล
ไม่ชำระศีล เกิดจะตายมันก็จะเศร้าหมอง
ต่อก็ไม่ทัน เลยไปอบายเลย
♥เหมือนพระภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติปาจิตตีย์
แค่ไปเด็ดใบไม้ใบสาหร่าย
ไปทางเรือนึกสนุกหยิบเด็ดติดมือขาด
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าโดยไม่ตั้งใจก็ไปอย่าง
เดินเหยียบมันขาด แต่นี่ตั้งใจ
รู้ตัวว่าเป็นอาบัติปาจิตตีย์
เป็นภิกษุในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
บวชมาเป็นหมื่นๆ ปี อายุสมัยโน้นเป็นหมื่นปี
ก็ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะไปหาพระปลงอาบัติ
พระสมัยนั้นก็หายาก อยู่กันไกล ๆ
พอดีท่านมรณภาพเลยไม่ได้ปลงอาบัติ
ถอดจากเทปธรรมบรรยาย ผลบุญ ผลบาป
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
ผลบุญ ผลบาป ตอนที่ ๑ คลิก
ผลบุญ ผลบาป ตอนที่ ๒ คลิก
ขอเชิญท่านที่สนใจ เข้าร่วมปฏิบัติธรรม ในคอร์สวิปัสสนากรรมฐาน
21-28 ธันวาคม2561 โดย
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี พระวิปัสสนาจารย์
☀☀ณ สำนักกรรมฐาน ภูธารธรรม อ.เทพสถิตย์ จ.ชัยภูมิ
🍀🍀อ่านรายละเอียดได้ที่
http://www.paknamdhamma.com/phutthantham17/
🌿🌿สมัครได้ที่
https://goo.gl/forms/wnqKGbys8i7KIypE3
🌻🌻สอบถามรายละเอียดได้ที่
เหมือนไฟฟ้าที่สว่าง หลอดไฟที่สว่าง มันสว่างขึ้นมาได้เองไหม?
อยู่ดี ๆ สว่างขึ้นมาได้ไหม? ไม่ได้
มันต้องมีเหตุปัจจัยของมัน มีหลอดไฟที่ยังไม่ขาด
มีหลอดไฟแล้วก็สว่างได้ไหม? มันก็ไม่ได้
มันต้องมีกระแสไฟฟ้ามา
กระแสไฟฟ้ามาเองได้ไหมถ้าไม่มีสายไฟ?
มันก็ต้องมีสายไฟมา แล้วไฟฟ้ามาจากไหน?
มันก็ต้องมีแหล่งผลิต
เหตุปัจจัยมันหลายอย่างเยอะแยะ
เหตุปัจจัยเมื่อสมบูรณ์ขึ้นมา
ถ้าไม่สับสวิตช์ไฟก็ไม่ติดอีก ต้องสับสวิตช์ไฟ
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไฟก็สว่างขึ้น
จะให้มันไม่สว่างก็ไม่ได้ มันก็ต้องสว่าง
และเมื่อเหตุปัจจัยหมดไป
เกิดสายขาด เกิดสวิตช์ไฟดับลง
ขาดไปปัจจัยสักอย่างหนึ่ง ไฟจะดับไหม?
เมื่อเหตุมันหมดไป ไฟก็ดับ มันธรรมดาไหม?
คือมันต้องเป็นของมันอย่างนั้น แล้วจะยอมรับไหม?
.
.
♥ถ้าเห็นความจริงว่า
ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน
สิ่งใดไม่เที่ยงก็ต้องไม่เที่ยง
สิ่งใดเป็นทุกข์ก็ต้องเป็นทุกข์
ใจที่รู้แจ้งเห็นจริงก็เห็นว่ามันเป็นอย่างอื่นไม่ได้
มันไม่มีทางไปอย่างอื่น มันก็ต้องยอม
ถ้าไม่ยอมก็ยุ่ง ไม่ยอมก็ยุ่งยาก ลำบาก เป็นทุกข์
ที่มันไม่ยอมก็เพราะยังไม่รู้แจ้งแทงตลอด
ยังคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นได้
น่าจะเป็นอย่างนี้ จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้
ความไม่ยอมก็คือมีตัณหา ความทะยานอยาก
ถ้ารู้แจ้งเห็นจริง ที่สุดก็ต้องยอม
ยอมเป็นจึงเย็นได้ ยอมลงจึงปลงได้
ยอมสนิทจึงพิชิตชัยชนะ จิตเข้าถึงความอิสระหลุดพ้น
.
.
♥สรุปแล้วที่ปฏิบัติธรรมนี้ก็เพื่อจะยอมให้เป็น
เพื่อจะยอม มันยอมยากไหม
จิตนี่มันดื้อ ไม่เคยยอมใคร
ฉะนั้น ก็เห็นความจริง ทุกสิ่งต้องเป็นไปอย่างนั้น
ที่สุดก็ต้องยอม โยมยอมย่อมเย็น ยอมเป็นเย็นได้
ยอมไม่ลงปลงไม่ได้ ก็วุ่นวายอยู่อย่างนั้น
ไม่ยอมนั่นก็คืออยากนั่นเอง
ยังอยากจะให้มันอย่างนั้น
อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ ยิ่งอยากก็ยิ่งยาก
ปฏิบัติด้วยความอยาก จิตไม่ลงตัว
อยากจะให้ได้อย่างนั้น อยากจะเอาอย่างนี้
อยากไม่เอาอย่างนั้นไม่เอาอย่างนี้ มันก็เลยยาก
ยุ่งยากเพราะความอยาก อยากมากก็ยึดมั่น
ต้องกระสันกระเสือกกระสน
ถ้าปล่อยวางว่างวางตัวตน จึงหลุดจึงพ้นจึงถึงนิพพาน
.
.
♥ความอยากทำให้ยาก ทำให้ยุ่ง
หยุดใจไร้อยาก ไม่ยุ่งยากในอารมณ์
ยอม หมดอยาก ความยุ่งยากก็หมดไป
เมื่อยอมเป็นก็เย็นได้
เพราะฉะนั้น จิตมันจะยอม ยอมรับ ยอมลง
ก็คือมันต้องเห็นความจริงอย่างถ่องแท้
เจอทุกข์ก็ดีแล้ว จะได้เห็นแจ้งเห็นชัดว่าสังขารเป็นทุกข์
จะได้เบื่อหน่าย จะได้คลายกำหนัด
จะได้หลุดพ้น ทุกอย่างก็จะสอน
.
.
♥ฉะนั้น เมื่อมีแขกมาปรากฏทางลิ้น คือรสารมณ์
รสต่าง ๆ เวลารับประทานอาหาร
อาศัยอาโป ธาตุน้ำ เป็นตัวเชื่อม
มากระทบกับประสาทลิ้นซึ่งเป็นประตูอันหนึ่ง
เป็นรูปธรรมเหมือนกัน ก็ทำให้เกิดชิวหาวิญญาณ
เจ้าของบ้านก็ไปเกิดตรงนั้น ที่ประสาทลิ้น ทำหน้าที่รู้รส
.
.
♥ในทางการปฏิบัติก็ต้องระลึกตรงนั้น
สติไประลึกรู้ตรงที่รู้รส รสชาติ รู้ก็แค่นั้น
สักแต่ว่ารส ไม่ต้องตีความหมาย
ไม่ต้องขยายไปว่านี่มันรสแกงอะไรอย่างไร
พอรู้ว่าเป็นรสแกงอะไรอย่างไร
มันก็เป็นสมมติแล้ว มันลงไปสู่ทางใจแล้ว
ใจมันนึกคิดปรุงแต่งแล้ว
เดี๋ยวมันก็ชอบ ดีนะ อร่อยดี ชอบใจ ติดใจ
ถ้ามันไม่ชอบใจ ขัดเคืองใจ
มันก็เป็นความทุกข์ของเจ้าของบ้านเอง
.
.
♥ฉะนั้น ในทางการปฏิบัติ
จิตจะมีการไปรับอารมณ์อยู่ตลอด
แล้วก็ไปยินดีบ้างไปยินร้ายบ้าง
เขาเรียกว่าไปรับแขกบ้าง ไปทะเลาะกับแขกบ้าง
ไปหลงแขกบ้าง ตามแขกไปบ้าง
คิดเพลินเรื่อยไปตามเรื่องตามราว
ทิ้งบ้านตัวเอง ลืมตัวไปหมด
ทำอย่างไรถึงจะกลับเข้าบ้านได้? รู้สึกตัวขึ้นมา
รู้สึกตัวก็คือใจรู้สึกใจขึ้นมา
พอใจรู้สึกใจปุ๊บ มันก็กลับมาแล้ว กลับเข้าบ้าน
หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้นี่ยังเรียกว่าอยู่ในบ้าน
ความไหว ความกระเพื่อม สะเทือนในกายก็รู้อยู่
แต่เผลอปุ๊บไปแล้ว ออกไปคิดถึงที่ทำงาน
คิดไปถึงบ้านใครจะดูแลอะไรต่าง ๆ
ทิ้งบ้านแล้ว ออกไปไหน ๆ รู้สึกตัวกลับมา ระลึกรู้สึกตัว
.
.
♥เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีการระลึกรู้สึกตัวไว้เรื่อย ๆ
มันก็จะไม่เผลอไปยาว เผลอก็รู้ว่าเผลอขึ้นมา
มีสติก็คอยรู้คอยดูแลจิตอยู่
เหมือนกับว่าคอยสังเกตเจ้าบ้านไว้
สังเกตไว้เวลาที่ออกไปรับแขก
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
คอยสังเกตเจ้าของบ้านไว้
เดี๋ยวทะเลาะกับแขก เดี๋ยวรักแขก
เดี๋ยวจะตามแขก รู้ทันมันก็ไม่ไป
ที่มันไปคือไม่รู้ตัว ไม่มีสติ ไม่รู้เท่าทัน
ความจริงของชีวิต ตอนที่ ๑
.............................
🌹ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.............................
♥วิปัสสนาญาณที่ ๖
เห็นรูป-นาม เป็นภัย
♥ถ้าหากทำความเพียร
ประพฤติปฏิบัติเรื่อยไป
วางสติสัมปชัญญะเหมาะสม
เป็นกลาง ถูกต้อง พอดี
ก็จะเห็นรูปเห็นนามอันนี้เรื่อยไป
ความหมดไปดับไป
♥ตอนนี้บางทีเราไม่สามารถ
จะประคองตัวได้ ความชำนาญไม่มี
เห็นแป๊ปเดียว แล้วก็เผลอไปเสียอีก
เห็นได้หน่อยหนึ่งก็ไปอีกแล้ว
เพลินไปสู่ความหลงความเผลอ
ไปสู่อดีต อนาคต
หรือบางทีก็นิ่งไป นิ่งไปเฉยๆ ไม่เห็นสภาวะ
♥บางทีพยายาม จะดูก็เกินไปอีก
ถ้าอยู่ในจุดที่พอเหมาะพอดี
รู้...ละ....สละ...วาง อยู่พอดีๆ
ก็จะเริ่มเห็นความเกิดดับ เห็นความดับไป
แต่จะต้องประคับประคอง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่คงที่
ความพอดีที่ประคองอยู่นั้น
มันก็ไม่ตั้งอยู่ได้ตลอด
มันคอยเปลี่ยนอยู่ตลอด
สติก็เกิดดับ สัมปชัญญะก็เกิดดับ
เมื่อมีความสม่ำเสมอพอดี
เรียกว่า มีอินทรีย์ สม่ำเสมอกัน
♥เหมือนนักกายกรรม
เขาเอาไม้ยาวๆ ด้านโคนมาตั้งไว้
ที่ปากหรือฟัน
แล้วข้างบนที่ปลายไม้
เขาก็ยังตั้งอะไรต่ออะไรอีก
มีแก้ว มีขวด มีอะไรก็ตาม
เขาก็ไม่ได้ใช้มือจับ เขาก็ประคองไว้
ที่มันตั้งอยู่ได้ ก็เพราะมันตั้งอยู่ในศูนย์กลาง
ตั้งฉาก ถ้ามันตั้งฉากพอดี มันก็อยู่ได้
♥แต่การตั้งฉากพอดีนี่ไม่ใช่ตรึงตายตัว
มันอยู่ได้นิดเดียว
เดี๋ยวมันก็ไปทางซ้าย ทางขวา
ทางหน้า ทางหลัง
เขาก็จะต้องประคองปรับอยู่อย่างนั้น
ตลอดเวลาทุกระยะ
เขาจะต้องมีความเข้าใจ มีความฉลาด
มีความชำนาญ รู้จังหวะจะโคน
ว่าจะประคองอย่างไร ทำอย่างไร
ให้อยู่ในจุดศูนย์กลางนั้น
แล้วเวลามันอยู่ในจุดศูนย์กลางมันก็เบา
ไม้ยาวๆ ถ้าหากมันคอนตัวอยู่ มันจะหนัก
แต่พอมันอยู่ในจุดตั้งฉาก มันจะเบา
เขาก็ไม่ได้ทำแรง แต่ก็ต้องมีกำลังอยู่ด้วย
มีกำลังแต่ก็ไม่ใช่ฮวบฮาบ
♥ผู้ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน
ต้องประคอง มีสมาธิอยู่
แต่ก็ไม่ไปกด ไปข่ม ไปเคี่ยวเข็ญอะไร
ประคับประคองอยู่พอดีๆ
แล้วก็ต้องปรับอยู่ตลอดเวลา
เพราะมันไม่คงที่ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้คงที่
♥คนที่ขับรถก็เหมือนกัน
คนที่ขับรถเขาก็ประคองพวงมาลัยนิดๆ หน่อยๆ
ให้รถวิ่งอยู่บนถนนได้ตรงทาง แล้วก็รู้จังหวะ
ไม่ต้องบิดหรือหักพวงมาลัยมากมาย รู้จังหวะ
♥ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อรู้จังหวะ
ของการมีสติสัมปชัญญะ
ก็มีหน้าที่ประคับประคองให้ถูกต้อง
สติสัมปชัญญะเข้าไประลึกรู้
ก็รู้อย่างพอดีๆ เพ่งเกินไปก็เกินเลย
ปล่อยเกินไปก็หย่อนไป
อันนี้จะต้องมีความเข้าใจ
ความเหมาะสมของตัวเอง
ประสบการณ์การปฏิบัติ
จะทำให้ฉลาดในวิธีการ
เพียงแต่เรารู้หลักการ แล้วเราก็สังเกตดู
ท่านกล่าวว่า เมื่อญาณเจริญขึ้น
ขึ้นสู่ญาณที่ ๖ ภยญาณ
ก็จะเห็นรูป-นาม เป็นภัย
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๗)
♥วิปัสสนาญาณที่ ๗,๘,๙,๑๐
♥เมื่อขึ้นสู่ญาณที่ ๗ อาทีนวญาณ
จะเห็นรูป-นาม เป็นโทษ
เข้าสู่ญาณที่ ๘ นิพพิทาญาณ
จะเกิดความเบื่อหน่ายในรูปในนาม
ที่เคยหลงใหลรูป-นาม
เคยพอใจ เคยติดใจ ในสังขารร่างกาย
รูป-นาม ที่มาประกอบเป็นร่างกายชีวิตนี้
เคยชอบ เคยหลงใหล
เคยพอใจติดใจในความสวยงาม
หลงว่ามันเที่ยง มันสวย มันดี
♥แต่เมื่อดูลึกซึ้งเข้าไป
มีแต่สิ่งเกิดดับย่อยยับอยู่อย่างนี้
ไม่รู้จะหลบเลี่ยงไปไหนได้
เพราะมันอยู่กับตัว
แล้วรู้สึกว่ามันเป็นภัยเป็นโทษ
ถ้ายังมีรูป-นามอยู่อย่างนี้เรื่อยไป
ก็มีแต่ทุกข์ มีแต่โทษ
มันมีความแตกดับย่อยยับ
การที่มันมีการแตกดับย่อยยับ
มันบีบคั้น มันเป็นทุกข์
ก็เกิดเบื่อหน่าย
♥คนเราถ้าไม่มีความเบื่อหน่ายในรูปในนาม
ก็ไม่คิดหาทางออก มันต้องเบื่อหน่าย
การเบื่อหน่ายก็ต้องเห็นทุกข์
เห็นโทษของมัน
เห็นสังขารไม่เที่ยงจริงๆ เป็นทุกข์จริงๆ
บังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ
เคยคิดว่ามันเป็นสุข
มาดูแล้วมันก็มีแต่ทุกข์
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นดับไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์หมด
♥เห็นก็เป็นทุกข์ ได้ยินก็เป็นทุกข์
รู้กลิ่นก็เป็นทุกข์ คิดนึกก็เป็นทุกข์
สรีระร่างกายทุกส่วนที่ประกอบขึ้นมา
คือธาตุ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟต่างๆ
มันเป็นทุกข์ไปหมด
คือมันเปลี่ยนแปลงแตกดับ บังคับไม่ได้
จึงเกิดความน่าเบื่อหน่าย
♥แต่เบื่อหน่ายต้องเบื่อแบบไม่หนี
เบื่อแล้วก็ต้อง ต้องรู้
เพราะมันไม่มีทางอื่น
ไม่ใช่เบื่อแบบชาวโลกที่เขาเบื่อโลก
คนในโลกเขาก็เบื่อเหมือนกัน
เบื่อชีวิต เบื่อสังคม เบื่ออะไรต่างๆ
แต่อันนั้นมันเบื่อแบบโทสะ
เบื่อแบบกลุ้มใจ เบื่อแบบหงุดหงิด รำคาญ
เบื่อแล้วเดี๋ยวก็เอาอีก
ไม่ได้เบื่อหาทางหลุดพ้นอะไร
♥แต่สำหรับผู้ปฏิบัติเห็นธรรมะ
เห็นสภาวธรรม
มีความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์
เป็นภัย เป็นโทษ น่าเบื่อหน่าย
แต่ก็ยังต้องดูต้องรู้ ไม่มีทางเลี่ยง
♥เหมือนกับคนที่เรือล่ม
ต้องลอยคออยู่ในมหาสมุทร
ว่ายน้ำจะจมอยู่
เมื่อเห็นศพลอยมา แม้จะกลัว
แม้จะเบื่อ แม้จะรังเกียจสะอิดสะเอียน
แต่คราวจะจมน้ำก็ต้องคว้าไว้ก่อน
ต้องอาศัยศพนั้นไป
ดูตัวเองไปจนกว่าจะถึงฝั่ง
แต่เมื่อถึงฝั่งเมื่อไรก็ไม่เอาด้วยแล้ว
สังขาร...ชีวิต..รูป-นาม นี้ก็เหมือนกัน
มันเป็นทุกข์ เป็นโทษ
เป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย
♥แต่ผู้มีปัญญาก็ต้องอาศัยมันอยู่
อาศัยรูป-นามนี้ไปสู่ความพ้นทุกข์
จะไปทำลายมันก็ไม่ได้
จะจมน้ำตายก็ต้องเกาะอาศัยไป
คือ ต้องเรียนรู้ดูรูปดูนามนี้ไป
ถึงจะเบื่อแต่ก็ดู
ต้องอาศัยไปสู่ความหลุดพ้น
ในที่สุดจึงมีความปรารถนาหาทางหลุดพ้น
เป็นญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ
ญาณที่ปรารถนาพ้นไปจากรูป-นาม
จากนั้น ขึ้นสู่ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขารญาณ
ญาณที่หาทางหลุดพ้น
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๑๑)
♥วิปัสสนาญาณที่ ๑๑,๑๒,๑๓
♥แล้วขึ้นสู่ญาณที่ ๑๑
สังขารุเปกขาญาณ
ญาณที่วางเฉยต่อรูป-นาม
วางเฉยแม้จะทุกข์บีบคั้นสักปานใด
ก่อนหน้าอาจมีการกระสับกระส่ายบ้าง
อาจรู้สึกว่าจิตอยากหลุดพ้น
ดิ้นรนเพราะมันทุกข์ มันทุกข์มาก]
♥แต่ในที่สุดก็ต้องวางเฉย
ดิ้นไปไหนก็ไม่พ้น
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
บุคคลที่มีทุกข์แล้วจะวางเฉยนี่ทำได้ยาก
อดที่จะดิ้นรนไม่ได้
ในกระแสจิตมีทุกข์ก็ดิ้นรน
จิตใจไม่ว่าง ไม่ปล่อย ไม่วางเฉย
♥ฉะนั้น จิตที่จะวางเฉยได้
ต้องมีความสามารถ
ต้องซ้อมมามาก จนจิตยอมรับ
ยอมโดยดุษณีภาพ
ถ้าเห็นสภาวะ เห็นรูป เห็นนาม
เป็นทุกข์บีบคั้นแล้ว
จิตยอมได้สนิท จิตวางเฉยได้สนิท
เรียกว่าเข้าสู่ สังขารุเปกขาญาณ
ญาณที่วางเฉยต่อรูป-นาม เป็นญาณที่ ๑๑
♥ญาณที่ ๑๒ เรียกว่า อนุโลมญาณ
เป็นการพิจารณาทบทวน
ให้สอดคล้องไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจะ
♥เข้าถึงญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ
อันนี้เป็นเรื่องของวิถีจิต
ที่ขึ้นสู่วิถีมรรคญาณ
วิถีที่จะทำลายกิเลส
พอขึ้นอนุโลมญาณแล้ว
ก็ไปรวด จะไม่ติดค้าง
แต่ส่วนมากขึ้นไปไม่ได้
ในโคตรภูญาณนี้
จิตปล่อยจากรูป-นามแล้ว
จิตน้อมไปรับเอานิพพานมาเป็นอารมณ์
♥ท่านเรียกจิตดวงนี้ว่า โคตรภูญาณ
คือ โอนชาติจากปุถุชนไปสู่
ความเป็นอริยบุคคล
ทิ้งอารมณ์ที่เป็น รูป-นาม
น้อมไปสู่นิพพาน
สภาพของความดับ แล้วจึงขึ้นมรรคญาณ
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป...วิปัสสนาญาณที่ ๑๔)
♥วิปัสสนาญาณที่ ๑๔,๑๕,๑๖ โสดาบัน เป็นอริยบุคคลชั้นที่ ๑
♥ญาณที่ ๑๔ คือมรรคญาณ
มรรคญาณครั้งแรกที่เกิดขึ้น
เรียกว่า โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นมาชั่วขณะเดียวเท่านั้น
ทำหน้าที่เข้าไปรู้ทุกข์
ละเหตุแห่งทุกข์ แจ้งนิพพาน
♥องค์มรรคทั้ง ๘ ที่ได้สะสมเจริญอยู่
จะประชุมพร้อมกันในขณะนั้น
คือสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ)
สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
สัมมาวาจา(พูดชอบ)
สัมมากัมมันตะ(ทำชอบ)
สัมมาอาชีวะ(อาชีพชอบ)
สัมมาวายามะ(เพียรชอบ)
สัมมาสติ(ระลึกชอบ)
และสัมมาสมาธิ(ตั้งมั่นชอบ)
องค์ธรรมคือ เจตสิกธรรม ๘ ชนิดนี้
จะประชุมพร้อมกันใน
โสดาปัตติมรรคจิตนั้น
♥ก่อนหน้าในช่วงที่กำลังเจริญสติ
กำหนดดูรูปดูนามนั้น
องค์มรรคทั้ง ๘ ยังเกิดไม่พร้อมกัน
แต่เมื่อองค์มรรคทั้ง ๘ ประชุมพร้อมกัน
จะมีกำลังในการทำลายกิเลส
ประหารอนุสัยกิเลส
กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน
ถูกประหารอย่างเด็ดขาด
เหมือนกับกองทัพที่ประชุมพร้อมเพรียงกัน
เผด็จศึก มรรคจิตดวงนี้
ท่านเรียกว่า มรรคญาณ
ถ้าเป็นบุคคลเรียกว่า
โสดาปัตติมรรคบุคคล
♥จากนั้นก็เกิด ผลจิต หรือ ผลญาณ
อันเป็นญาณที่ ๑๕
ผลญาณไม่ได้ทำหน้าที่อะไร
เป็นเพียงเสวยผล
เป็นจิตที่เป็นผลของมรรค
เกิดขึ้นมาเสวยนิพพาน
เป็นอารมณ์ ๒ ขณะหรือ ๓ ขณะแล้วก็ดับลง
ตรงนี้ท่านเรียกว่า อกาลิโก
ที่เราสวดว่า “อกาลิโก พระธรรมปฏิบัติได้
และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล”
คือ เมื่อมรรคเกิดขึ้น ผลเกิดต่อทันที
มรรคนี้เป็นกุศล ผลเป็นวิบาก
เรียกว่ารับผลทันที ผลเกิดต่อทันที
เป็น “อกาลิโก”
♥แล้วจึงญาณที่ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ
เป็นญาณที่ทบทวนประสบการณ์ของจิต
ที่ผ่านมาหยกๆ นั้น
พิจารณาถึงมรรค ถึงผล
ถึงนิพพานที่ประสบตรงนั้น
ถ้ามีความรู้ด้านปริยัติด้วย
ก็จะพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว
และยังละไม่ได้
กิเลสตัวใดตัดขาดไปแล้ว
กิเลสตัวใดยังเหลืออยู่
แต่ถ้าไม่มีด้านปริยัติ
ก็จะพิจารณาเพียง ๓ อย่าง
ขาดไม่ได้ คือ มรรค ผล และนิพพาน
♥บุคคลที่ผ่านญาณทั้ง ๑๖ รอบที่ ๑
ท่านเรียก โสดาบัน เป็นอริยบุคคลชั้นที่ ๑
ผลจิตที่เกิดขึ้นมาขณะนั้น
ท่านเรียกว่า โสดาปัตติผลบุคคล
ที่เราสวด “บุคคล ๔ นับเรียงตัวบุคคลได้ ๘”
นั่นคือ โสดาบัน...
เมื่อมาแยกจิตดูแล้วก็เป็น ๒ บุคคล
คือ โสดาปัตติมรรคบุคคล
โสดาปัตติผลบุคคล
♥แต่จริงๆ สภาพธรรม
ไม่ได้ติดค้างอยู่อย่างนั้นหรอก
พอมรรคเกิด ผลก็เกิดทันที
นี่เรียกว่า เป็นอริยบุคคล
เป็นบุคคลที่ได้เข้าไปรู้จักนิพพาน
เข้าไปสัมผัสเข้าไปรู้แจ้งในนิพพาน
รอบที่ ๑ เรียกว่าเป็นโสดาบันบุคคล
เป็นบุคคลที่ไม่ตกต่ำแล้ว ไม่ตกอบาย
ชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
ไม่เกิดในอบายภูมิ อันมีนรก
เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
เป็นอันว่าปิดประตูนรก
แม้จะเคยทำบาปกรรมอะไรมามากมาย
ก็ไม่ไปตกนรกแล้ว
เพราะว่ามรรคญาณเป็นกุศล
อุปฆาตกรรม เป็นกุศลที่ตัดอกุศลกรรม
ที่จะนำไปเกิดในอบายภูมิขาด
♥ฉะนั้นการตัดกรรม
จึงไม่ใช่ตัดด้วยพิธีกรรมอื่นๆ
แต่ต้องปฏิบัติวิปัสสนา
จนกระทั่งบรรลุมรรคญาณ
อันเป็นกุศลขั้นโลกุตตระ
โสดาปัตติมรรคตัดกรรมกิเลสได้ขาดบางส่วน
ยังไม่หมดกิเลส
ยังมีอกุศลกรรมหรือกิเลสอื่นๆ อยู่ ยังไม่หมด
♥แต่ว่าตัวไหนที่ตัดขาดได้แล้ว
ตัวนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นมาในใจอีกต่อไปเลย
มี ๒ ตัว ได้แก่
๑ความหลงที่ประกอบด้วยความสงสัย
โสดาบันจะไม่มีความสงสัยในข้อปฏิบัติ
ไม่สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
และ ๒ โลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิด
♥ฉะนั้น พระโสดาบันจึงมีศีล ๕ บริสุทธิ์
ส่วนกิเลสที่ยังเหลืออยู่ก็ยังมีอยู่
เช่นโลภะก็ยังมี เป็นโลภะที่ประกอบด้วยมานะ
โทสะก็ยังมี ความหลงก็ยังมี
แต่ว่าอกุศลนั้นจะไม่หยาบคายมาก
ยังมีความโกรธอยู่ก็จริง
แต่จะไม่มีความพยาบาทอาฆาต
และจะไม่มีอกุศลชนิดเป็นอกุศลกรรมบถ
คือนำไปสู่สบาย ตัดขาดแล้ว
โสดาบันเวียนว่ายตายเกิดอีกอย่างมาก
เพียง ๗ ชาติ ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
................................
รู้สึกได้รับพร
♥ช่วงแรกก็ต้องมีสตินำไปก่อน
พยายามระลึก มันเผลอไปก็เพียรใหม่ตั้งสติใหม่
พิจารณา กาย เวทนา จิตในจิต
ธรรมในธรรมบ่อยๆเนือง ๆ
ความเพียร เพียรตั้งสติ
ความเพียรจึงเป็นองค์มรรคองค์หนึ่ง
วายามะ ความเพียรชอบ สัมมาวายามะ ความเพียร
ขณะที่เพียรระลึกเพียรรู้สึกตัวนี้
มันเป็นความเพียรชอบ
.
.
♥เพราะว่าสติสัมปชัญญะเป็นธรรมฝ่ายกุศล
เป็นองค์มรรค
สติก็เป็นองค์มรรคด้วย เป็นกุศลธรรมด้วย
ขณะที่มีกุศลธรรมเกิดขึ้น
เท่ากับละอกุศลธรรมไปในตัว
การเพียรเป็นผู้มีสติอยู่นี้เท่ากับเพียรละบาปไปในตัว
เพราะว่ามันเกิดพร้อมกันไม่ได้
ระหว่างอกุศลธรรมกับกุศลธรรม
.
.
♥สติสัมปชัญญะเป็นฝ่ายกุศลธรรม
โมหะ ความหลง ราคะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ
เป็นฝ่ายอกุศลธรรม
มันเกิดร่วมกันไม่ได้ เกิดพร้อมกันไม่ได้
เวลาใดที่สติเกิดโมหะก็ตกไป
เวลาใดสติไม่เกิดโมหะก็เกิด
ฉะนั้น เพียรมีสติอยู่เสมอ
ก็เท่ากับเพียรละบาปไปในตัว
เพียรละโมหะ เพียรละอกุศลธรรมไปในตัว
เมื่อเพียรให้สติมันเกิดได้ต่อเนื่องได้มากขึ้น
ก็เท่ากับเพียรให้กุศลธรรมได้เจริญขึ้น
.
.
เมื่อเวลาเราสติเกิดขึ้นมามันก็มีกุศลจิตเกิดขึ้น กุศลธรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น จิตใจสะอาด
จิตใจผ่องใส สงบร่มเย็นจิตใจมากขึ้น
หรือขณะที่มีสติก็ละอกุศลธรรมไปในตัว
เช่น เวลาที่กำลังมีความโลภ
ความโกรธ ความหลง
พอมีสติระลึกรู้เท่าทันมัน
ก็ชำระอกุศลธรรมเหล่านี้กิเลสเหล่านี้ให้ตกไป
.
.
♥แต่ผู้ปฏิบัติใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่า
ระลึกแล้วไม่เห็นมันหมดไป ฟุ้งก็ฟุ้งอยู่อย่างนี้
ระลึกรู้ความฟุ้งก็ยังฟุ้งอยู่
ดูรู้ความโกรธก็ยังโกรธอยู่
จริง ๆ มันไม่ได้เกิดอยู่ มันต้องมีการดับไป
ถ้ามันไม่ดับสติก็เกิดไม่ได้
มันไม่ใช่เกิดมาประจันหน้ากันได้
มันเกิดทีละขณะ จิตมันเกิดได้ทีละอย่าง
จิตฟุ้งกับจิตที่มีสติเกิดพร้อมกันไม่ได้
เป็นธรรมคนละอย่าง ธรรมคนละประเภท
ธรรมฝ่ายดำฝ่ายขาวเกิดรวมกันไม่ได้
.
.
♥แต่เนื่องจากว่ามันดับแล้วมันเกิดใหม่
ดับไปแล้วมันเกิดใหม่ ดับไปแล้วมันเกิดใหม่
มีความถี่มาก เวลาที่สติเข้าไปแทรก
แทรกได้ขณะหนึ่งสองขณะ สติก็ดับไป
มันก็ฟุ้งต่อ ฟุ้งต่อ ฟุ้งต่อ
สติเกิดขึ้นมาก็แทรกสลับเข้าไปอีก
สติดับไปมันก็ฟุ้งใหม่
ยิ่งมันมีกำลังของความคิด คิดใหม่
ปรุงแต่งใหม่ ก็ไปเติมฟุ้งใหม่เพิ่ม
สติก็ต้องเพียรมีสติไปเรื่อย ๆ
ดูความฟุ้ง อย่าไปเติมเชื้อของความฟุ้ง
ความอยากสงบเป็นเชื้อของความฟุ้ง
ความไม่พอใจในความฟุ้งก็เป็นเชื้อของมันอีก
.
.
♥แต่ถ้าระลึกรู้อย่างเป็นกลาง
วางเป็นปกติได้ต่อเนื่อง ๆ
ความฟุ้งไม่ได้มีเชื้อเข้าไปเติม
มันก็ค่อย ๆ หมดเหตุหมดปัจจัยแล้วก็มอดไปในที่สุด เหมือนไฟที่ลุกอยู่ถ้าไม่เติมเชื้อ
เดี๋ยวมันก็มอดไป
บางทีสติสัมปชัญญะที่มีกำลังดีระลึก
ก็จะเห็นความดับไปทันที เห็นฟุ้งดับไปทันที
เห็นความโกรธพอรู้ทันก็ดับไปทันทีได้
เหมือนกับมีเครื่องน้ำยาเคมีไปดับเพลิง
ฉีดไปก็ดับทันที
แต่ถ้าสติสัมปชัญญะที่ยังไม่มีกำลัง
วางไม่เป็นกลาง ก็ต้องระลึกไปต่อเนื่องเรื่อย ๆ
ก็จะพบความจางคลายของกิเลสเหล่านี้
นั่นก็หมายถึงมันมีสติสัมปชัญญะไปแทรก
.
.
♥ฉะนั้น ขณะที่มีสติสัมปชัญญะอยู่
เท่ากับละอกุศลธรรมไปในตัว
อกุศลธรรมอันใดที่เกิดอยู่ก็จะถูกละไป
หรือขณะที่มีสติสัมปชัญญะได้ต่อเนื่องดี
จิตใจปลอดโปร่งโล่งใจ
ก็เท่ากับรักษาจิตไม่ให้อกุศลธรรมเกิด
อกุศลธรรมใหม่ก็เกิดไม่ได้
เพราะมีสติสัมปชัญญะดูแลรักษาจิตไปเรื่อย ๆ
กุศลจิตเกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่
.
.
♥ฉะนั้น เวลากำหนดรู้กิเลส
อกุศลธรรมที่มันเกิดขึ้นในจิตใจนี้ไม่ต้องไปกดดัน
ไม่ต้องไปคิดว่าจะต้องทำลายมัน
ให้รู้เฉย ๆ รู้ปล่อย รู้วาง รู้สักแต่ว่ารู้
มันจะคลี่คลายกันเอง มันชำระกันเอง
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.............................
ฝึกจิตให้รู้อย่างวางเฉย ดูซิว่าปวดอย่างหนึ่ง ใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง
จนเห็นใจมันวางเฉยได้
ก็ต้องขอบคุณความปวดต่อไป
ถ้าไม่ปวด เราก็ไม่ได้ฝึกให้เป็นไปคอยมันปวดจริง
ปวดภาคบังคับคือป่วย
แล้วเราจะทำตอนนั้น เราก็ไม่ได้แล้ว
ตอนนี้มันยังมีโอกาสพัก พักยกได้ใช่ไหม
เรานั่งนาน ปวดขา เกินกำลัง
เราก็ยังเหยียดขาได้ เดี๋ยวเอาใหม่
แต่ถ้ามันปวดจากป่วยเจ็บ โรคภัยบางอย่างมันปวดเยอะ
โยมจะทำอย่างไรตอนนั้นถ้าไม่ฝึกไว้ให้เป็น
เพราะฉะนั้น ต้องขอบคุณความปวด
ขอบคุณความทุกข์ที่ช่วยให้เห็นธรรมใช่ไหม
ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ได้เห็นธรรม
(โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้)
🌹ซักซ้อมความเข้าใจการปฏิบัติ ตอนที่ ๑