ทุกคนมีจิต ทุกคนมีกาย ทุกคนมีใจ หากว่าเราไม่แยกว่า อะไรคือกาย อะไรคือใจ แล้วอะไรคือจิต เราก็จะ #ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
เพราะเรากำลังมา #หลงสิ่งที่เรามาอาศัย...
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามาอาศัยมีอะไรบ้าง ก็คือ กาย - ใจ แล้วใครมาอาศัย กาย ใครมาอาศัย ใจ ก็คือ "จิต" ...
เพราะฉะนั้นเราคือใครเราคือ "จิต" ถูกแล้ว เวลาที่เราตาย เวลาที่เราเกิด จิตดวงนี้ไม่เคยเกิดไม่เคยตายแต่เพียงแค่ย้ายบ้านกายนี้ไปอาศัยบ้านหลังอื่นคือกายอื่นแต่จิตเดิม...
เพราะฉะนั้นทุกคนจะเชื่อว่า นรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี การเวียนว่ายตายเกิด และสังสารวัฏมี แล้วใครเล่าไปตกนรก ใครเล่าไปขึ้นสวรรค์ ใครเล่าเป็นมนุษย์ ใครเล่าไปนิพพาน ก็ไม่ใช่ #จิตหรอกหรือ...
"พระอาจารย์ชานนท์ ชยนนฺโท"
ท่านที่เจริญสติ อยู่กับรู้สึกตัว
แม้ไม่หลงไปในความคิดแล้ว
*แต่ก็ไม่เจอจิต*
เพราะรู้สึก นั้น..
วิญญาณยังเกิดดับรับรู้อยู่ที่ทวารทั้งห้า..
ยังยึดวิญญาณ..จึงยังไม่เด็ดขาด..
..ต่อเมื่อ "รู้" มาอยู่ที่ "จิต.."
..สังขารดับ..วิญญาณดับ
สัญญาดับ..เวทนาดับ..พร้อมกัน
"..รู้" กับ "จิต" เป็นหนึ่งเดียวกัน..
*นั่นหล่ะเจอ"จิต"*
..เจอเหมือนไม่เจอ....มีเหมือนไม่มี..
พระอรหันต์ เป็นผู้มี "สติ" ทุกเมื่อ ทุกกรณี ทุกสถานที่
"พระอรหันต์" จะเห็นรูป จะฟังเสียง จะดมกลิ่น จะลิ้มรส จะสัมผัส อะไรก็ตาม เหมือนที่คนธรรมดาเขาสัมผัสนั่นแหละ! แต่ไม่มีผลเหมือนกัน คือไม่ได้ยึดถือ มันกระเด็นกลับออกไปเพียงแค่ผัสสะ มันไม่ปรุงเป็นเวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ มันจึงต่างกับเราที่เป็น"ปุถุชน" อะไรเข้ามามันก็รับเอาเข้ามา มันไม่กระเด็นกลับออกไป เพราะฉะนั้น มันจึงไม่เป็นเพียงผัสสะ มันจึงเป็นเวทนาขึ้นมา เป็นตัณหาขึ้นมาทเป็นอุปาทานขึ้นมา เป็นชาติ ภพ ขึ้นมา และเป็นทุกข์ นี่คือวุ่นและเป็นทุกข์
เท่าที่กล่าวมาแล้วนี้ ถ้าฟังถูก เข้าใจ ก็จะพบเห็นได้ด้วยตนเองว่า สิ่งที่จะช่วยให้เรา"ว่าง"อยู่เสมอได้ ก็คือสตินั่นเอง
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต"
คำว่า สโต แปลว่า ผู้มีสติ
สทา แปลว่า ทุกเมื่อ
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ แปลว่า เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างทุกเมื่อเถิด โมฆราช "(คนที่ถามชื่อโมฆราช)
คำว่า "สติ" คำเดียวนี้ อย่าไปดูถูก มีพระพุทธภาษิตว่า "สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา " แปลว่าสติเป็นสิ่งจําปรารถนาทุกกรณี
สติ แปลว่า สติ, ปตฺถิยา แปลว่า อันบุคคลพึงปรารถนา, สพฺพตฺถ แปลว่า ในทุกกรณี ในทุกเวลา ในทุกสถานที่, สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา จำไว้ให้แม่นๆ สตินี้เป็นสิ่งจําประสงค์ทุกเมื่อ ทุกกรณี ทุกสถานที่
ถ้าสติที่ถูกต้องสมบูรณ์เพียงพอมีอยู่แล้ว มันก็ไม่ให้สิ่งที่มากระทบนั้นปรุงเเต่งจิตใจได้มาทางตาก็กระเด็นออกไป มาทางหูก็กระเด็นออกไป มาทางจมูกก็กระเด็นออกไป ฯลฯ หมายความว่า พอตาเรามองเห็นสิ่งใดที่เคยทำให้เรารัก สติก็มาทันท่วงที ทำให้เราเฉยอยู่ได้ ไม่หลงรัก สิ่งที่เคยมาทำให้เราเกลียด โกรธ ร้อน ฯลฯ เราก็ไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่ร้อน ฯลฯ แม้ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ก็เหมือนกัน แม้ที่สุดแต่โดยทางที่ใจมันจะคิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมี ตา หู ฯ ทำงาน บางเวลาใจเราคิดนึกไปเอง คิดนึกไปทางไหนทำให้ใจเกิดความรักขึ้นมา คิดนึกไปทางไหนทำให้ใจเกิดความเกลียดขึ้นมา ต่อแต่นี้ คือเมื่อมีสติแล้ว มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : หนังสือ "โอวาทท่านพุทธทาส"
สู่เส้นทางอริยมรรค
ถึงท่านที่รักทั้งหลาย...
ท่านลงมาจุติบนโลกกายภาพนี้มานานแสนนานแล้ว
ได้พบประสบการณ์ที่หลายหลาก
เคยเป็นทั้งคนดีและคนเลว
ท่านพบเจอบททดสอบมากมาย สอบตกบ้าง สอบผ่านบ้าง จนถึงปัจจุบันนี้ท่านได้ฝ่าฟันบททดสอบมาจนถึงครานี้
เรากับท่านมิแตกต่างกันเลย เราก็เป็นเพียงรูปธรรมหนึ่งที่ลงมาอาศัยกายสังขาร เรียนรู้ความเป็นสองขั้วเพื่อเข้าใจความสมดุลของพลังงาน
ในช่วงเวลานี้ของเราและท่าน มันคือการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเดินทางที่จริงแท้มากขึ้น เมื่อเราต่างแยกจิตออกจากกายหยาบนี้เป็นแล้ว ดั่งที่เราเคยบอกท่านเสมอว่า โลกนี้คือภาพฉายเสมือนจริง
กล่าวคือระบบแมททริกซ์ได้ถูกเปิดเผย
ฉากทุกฉากล้วนเป็นบทละคร เพียงแค่เปลี่ยนบทเปลี่ยนตัวละคร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นแบบฟอร์มเดิมนั่นคือ การกระทบผัสสะ จนเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆ
เราเพียงถอยจิตเดิมแท้ออกมามองดูอารมณ์เหล่านั้นเฉยๆก็พอ แลไม่ตัดสินสิ่งใดว่ามันถูกหรือผิด
กรรมเกิดขึ้นด้วยเจตนา ท่านเพียงทำตามสภาวะจิตของร่างกาย ก็อย่าเอาจิตถลำลงไปเล่นละครเรื่องนั้นเลย
มันก็มีแค่นี้แหละพวกท่านเอ๋ย...
ชีวิตมนุษย์ที่แสนสั้น แต่ถึงแม้มันจะสั้น
เราก็พบว่ามีบางอย่างที่คอยปลุกให้เราตื่นขึ้นภายในเพื่อมองทะลุเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริง วันนี้เราและท่านมิอาจโกหกมดเท็จต่อเสียงภายในได้อีก
เมื่อยังมีจิตใจที่สงสัยลำเอียงมันจะสำแดงออกมาให้เห็นทันท่วงทีเพื่อออกจากจิตจอมปลอมนั่น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา
ไอ้ความขี้ขลาดตาขาว ความลังเลสงสัย ความไม่มั่นใจ ไปจนถึงข้ออ้างต่างๆนาๆเพื่อปฏิเสธต่อตัวตนที่แท้จริง ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่สามารถซ่อนความเขลาเหล่านั้นได้อีกต่อไป
จงเปิดเผยมันออกมาเถิด หากท่านจะเป็นในสิ่งที่ท่านเป็น ก็จงป่าวประกาศออกมาต่อตนเองดังๆเถิด รูปธรรมอื่นๆจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของท่านที่แท้นี้ และต่างร่วมอวยพรให้ท่านบรรลุเป้าหมายทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ
+เราคือเครสเชนด้า+
นักรบไร้สำนัก นักรักแห่งจักรวาล
ตัววิญญาณนี้ตัวเดียว เกิดขึ้นที่ไหนก็เรียกว่าผู้รู้ทั้งนั้น ไปรู้ ทางตา ก็เรียกไปอย่างหนึ่ง ไปรู้ทางหู จมูก ก็เรียกไปอย่างหนึ่ง รู้ที่ตา รู้ที่หู รู้ที่จมูก รู้ที่ลิ้น รู้ที่กาย รู้ที่จิต
มันก็ตัวผู้รู้อันเดียวนี้แหละ ผู้รู้อันเดียวนี้ไม่ใช่ผู้อื่น ตัวผู้รู้อันเดียวนี้เรียกว่าวิญญาณ ก็วิญญาณหกอย่างนี้แหละ ชื่อมันว่าหกเฉยๆ คือมันไปรู้อยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง รู้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต อย่างนี้แหละ ไปรู้ที่ตาบ้าง รู้ที่หูบ้าง รู้ที่จมูกบ้าง ที่ลิ้นบ้าง ที่กายบ้าง ที่จิตบ้าง
เขาจึงเรียกว่าหก ความจริงมันไม่มีหกหรอก มันไปรู้ในช่องทั้งหกเท่านั้นแหละ เพราะช่องทั้งหกมันเป็นประตูผ่านเข้ามาสู่ผู้รู้อันเดียว
ผู้รู้เดียวสามารถจะรู้ทั่วถึงในทวารทั้งหกอย่างนี้ เราจึงเรียกว่าวิญญาณหก วิญญาณหกนี่แยกออกโดยปริยัติ
ความเป็นจริงมีผู้รู้ผู้เดียวเท่านั้น
รู้ทางตาก็ว่าอย่างหนึ่ง รู้ทางหูก็ว่าอย่างหนึ่ง รู้ทางจมูก ทาง ลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ว่าอย่างหนึ่ง ความเป็นจริงก็คือคนเดียวนี้เองแหละ
วิญญาณคือผู้รู้ผู้เดียว คือดวงจิตของเรา ผู้รู้นี้แหละจะเป็นเหตุ ให้มีอำนาจสามารถรู้สภาวะหรือธรรมชาติตามเป็นจริง
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ขอโอกาสถ่ายทอดธรรมแด่กัลยาณมิตรทุกท่าน
เมื่อธรรมทั้งหลายเริ่มเดินทางสู่จิตใจของข้าพเจ้า
จากน้อยไปหามากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากผลของการปฏิบัติ
วันนี้ข้าพเจ้า(คือธาตุธรรมชาติ)ได้บอกแก่จิตที่เคยหลงว่า
ข้าพเจ้าจะกินแต่อาหารที่กิเลสล่อไวั. แล้วจากไป
จะไม่ยอมติดบ่วงนายพรานแห่งความรัก
นายพรานแห่งความโลภ
นายพรานแห่งความโกรธ
และนายพรานแห่งความหลงทั้งหลาย
ด้วยสมาธิที่มีสติปัญญา แนบติดกันไปตลอด
(อย่าได้เผลอสติ)
จะจับจิตจับใจเพียรละ
เพียรถอนออกไปจนที่สุดแห่งทางเดินนี้
สำรวจใจตัวเอง แล้วถอนใจวางสิ่งใดๆที่ติดใจอยู่
ด้วยจิตอุเบกขาและเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น
สำรวจตัวราคะจริต เหลือมากน้อยเพียงไร
มีรักดี รักชั่วในตัวตน นินทา สรรเสริญ
ที่บุคคลหยิบยื่นให้
การแสดงออกของจิตเป็นตัวชี้วัด
การปฏิบัติบอกได้ด้วยตัวจิตของตน
เมื่อโทสะจริตเข้าครอบงำจิต
อาการของจิตที่แสดงออกจะทำให้รู้ว่า
เราติดบ่วงแห่งนายพรานมั้ย
นายพรานคืออาการของกิเลสที่มากระทบจิต
โมหะจริต หลงสวย งาม ดูดี เท่ห์
ใส่ชุดนี้สวย เครื่องแบบนี้สุดแล้ว
แต่เปล่าเลยแค่หงายฝ่ามือเท่านั้นแหละ
ที่สวยนั้นไม่ใช่เรา
ที่เราหยิบจับมาใส่นั้นแหละที่สวย
เหมือนคำกล่าวที่บุคคลใช้พูดกัน
ว่ามันอยู่กับไม้แขวน
ไม้แขวนก็เสื่อม ชุดสวยงามทั้งหลายก็เสื่อม
คืนสู่ธาตุธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น
ดังคำสอนขององค์พระศาสดา
โลภะจริต เมื่อสละและละออกได้แม้จะไม่มาก
นำมาซึ่งความสุขใจ เบาใจ โลภะจริตตัวนี้
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มมอบตัวเป็นศิษย์องค์หลวงปู่แสง จันดะโชโต
ได้ประมาณ 1-2ปี (ประมาณปี2546)
ข้าพเจ้าได้เถียงกะองค์ท่าน
องค์ท่านเทศน์ มีสมบัติหลายกะยากนำสมบัติเนาะ
ย่า (ชื่อเรียกของข้าพเจ้า)
ข้าพเจ้า เถียงในใจ มันคือสิแม่น บ้อหลวงปู่
ข้าพเจ้าคิด (มีหลายกะต้องสุขหลายซั่นตั่ว)
องค์หลวงปู่ตอบ (ที่ข้าพเจ้าคิดในใจ)
ลองเบิ่งเด้อ ย่า อย่าฟ้าวเถียงแหม๋
เฮ็ดให้มันเห็น มันจั่งสิรู้ เด้
โลภะจริตได้ประจักษ์แก่ใจข้าพเจ้าแล้วว่า
มีสิ่งใดก็จะทุกข์กะสิ่งนั้นจริงๆ
ทำใจไม่ให้ไปเกาะเกี่ยว
ยึดติดกับสิ่งสมมุติในโลกนี้
ไม่ให้อะไรเกาะติดที่ใจ ได้
เมื่อใจยึดติดกับอะไรแล้ว
มันเปรียบเสมือนบ่วงที่ล็อกด้วยกุญแจ
นับวันยิ่งรัดแน่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าไม่ใช้ความเพียร
ในการละการถอนกิเลสสิ่งยึดเหนี่ยวนี้
เมื่อกิเลสตัวยึดนี้มันเบาบางลง
ย่อมนำมาซึ่งความสุขใจที่เบาใจอย่างมากมาย
แล้วข้าพเจ้าก็ได้สารภาพกะองค์หลวงปู่
ว่าเวลาที่เจอกะทุกข์กับสิ่งที่มีด้วยวาจและได้กล่าว
ขอขมาและขออโหสิกรรมจากองค์หลวงปู่ แสง จันดะโชโต
องค์หลวงปู่กล่าว บ่เอาโทษเอาคุณนำไผดอก
หลวงปู่อโหสิกรรมให้เบิดทุกคน
ทั้งคนที่ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
และบ่รู้จักหยัง
อีกหนึ่งที่จะต้องเตือนตนคือ ศรัทธาจริต
อย่าไปมีศรัทธาในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
อย่าศรัทธาในสิ่งที่ผิด
จากศีลที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
ใช้ศีล 5 ศีลพื้นฐาน เป็นตัวชี้วัด
ว่าเราควรจะศรัทธาในสิ่งนั้นหรือไม่
อย่าใช้จำนวนบุคคลที่ศรัทธา ตัดสินใจให้ตน
ใช่ว่าสิ่งที่คนหมู่มากเห็นชอบนั้น
จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
ดังคำสอนขององค์พระศาสดา
ได้สอนว่าให้พิจารณาและปฏิบัติตาม
คืออย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่เห็น
ได้ยิน ได้ฟัง ในทันที
ถ้าสิ่งนั้นถูกต้องแล้ว
ในการพิจารณาและทบทวนให้ถี่ถ้วน
ด้วยการมองทั้งสองด้านของเหรียญแล้ว
จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
ทำให้เป็นผู้เดินทางโดยไม่ประมาท
ศีลที่องค์พระศาสดาตรัสไว้ ดีแล้ว
จะนำพาทุกท่านที่เชื่อมั่นในศีล
สู่เส้นทางอริยะมรรคที่แท้จริง
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี
คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยะสงฆ์
เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะของข้าพเจ้า