เผยแพร่เมื่อ 7 ธ.ค. 2015
ธรรมะจากพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๑๒๐ นั่งภาวนาดูลมหายใจไปนิพพานได้ไหม
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘
ขอกราบนอบน้อมต่อองค์พระบิดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกๆ รูป รวมถึงเจริญธรรมญาติบุญทั้งหลาย ผู้ที่มีความตั้งใจดีจะฟังธรรมทุก ๆ ท่าน
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อ องค์พระพุทธบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วท่าน ข้าพระพุทธเจ้าดัทูลถามพระองค์ท่านไป ดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระบิดา พระส้มมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา “ ถ้าแค่ฝึกดูลมหายใจเข้าออก จะสามารถทำให้เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ได้หรือเปล่า ? เจ้าค่ะ
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้ทูลถามไปแล้ว พระองค์ได้ทรงเมตตาแสดงธรรมตอบกลับมา ดังนี้ว่า…
พระยาธรรมเอย.. การที่เรานั้น ฝึกดูลมหายใจเข้าออก หากว่าเราฝึกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนทำให้เรานั้น มีสมาธิที่หนักแน่น
สมาธิที่หนักแน่นที่มีอยู่ในเรานั้น.. ก็จะนำพาให้เราเกิดสติ และปัญญา รู้สรรพสิ่ง รู้ทันทุกอย่าง
..ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น.. สิ่งนี้เป็นอย่างนี้
ทุกสิ่งทุกอย่าง จะพัฒนา ค่อยๆเป็นไปตามเหตุของมันที่จะเป็น
ถ้าลูกนั้น ปลูกต้นฟักทองไว้สักต้นหนึ่ง เมื่อต้นของมันออกแล้ว เติบโตแล้ว.. มันก็จะแตกเป็นใบ มันก็จะเป็นรากของต้น
มันก็จะเป็นต้นของฟักทอง ที่จะเลื้อยไป แตกกิ่งออกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
หากว่าพื้นดินตรงนั้นสมบูรณ์ดี มันก็จะงอกงาม และสวยงาม.. จนเป็นต้นฟักทองอย่างสมบูรณ์ และมันก็จะออกดอกออกผล อยู่ตามรอบ ตามกาลเวลาของมัน
ถึงแม้ว่า วันนี้เราแค่ฝึกดูลมหายใจเข้า หายใจออกอย่างเดียวก็ตาม
หากว่าเราฝึกอย่างจริงจัง ฝึกอย่างแท้จริงแล้ว
ทำความดีอย่างสม่ำเสมอ
ไม่สร้างกรรมชั่ว
ไม่เพ่งโทษผู้อื่น
ไม่มองออกไปข้างนอก
ดูลมหายใจเข้า-ออก แห่งตนอย่างเดียว
จิตที่บริสุทธิ์ ไม่เพ่งไปสู่จุดอื่นนั้น ก็จะสามารถนำพาเราให้เกิดปัญญา เข้าใจในสิ่งต่างๆทั้งหลายได้เอง
ถึงแม้ว่าเรา จะดูลมหายใจในวันนี้ แต่การดูลมหายใจนั้น ก็จะต่อยอดให้เรามีสติ มีปัญญา รู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ
มองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง ถอดถอนความลุ่มหลง และยึดติด ที่มีอยู่เหล่านั้นออกไปได้
เราก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้.. ลูกเอ๋ย
แต่ไม่ว่าเรา จะฝึกแบบไหน ฝึกอะไรก็ตาม หากว่าเรานั้น ฝึกไปแล้ว และจิตเพ่งโทษไปสู่จุดอื่น เพ่งเล็งไปหาบุคคลผู้อื่น
จิตใจของการปฏิบัตินั้นไม่บริสุทธิ์ จิตใจวอกแวก เลี้ยวไปทางนั้นบ้าง ทางนี้บ้าง ไม่มีความตั้งใจอย่างแท้จริง
ย่อมไม่เกิดมรรค เกิดผล ย่อมไม่เกิดความสำเร็จ.. ลูกเอ๋ย
ในความเป็นจริงแล้ว ทางที่จะเดินสู่พระนิพพานนั้น ไม่ใช่แค่ทางหนึ่งทางใด
สามารถไปได้ด้วย ** ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา **
และการทำสมาธินั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรา จะเลือกกรรมฐานกองไหน-- ที่จะปฏิบัติ ประพฤติ กระทำตาม
แต่ถ้าหากว่าอยู่ในกรรมฐาน 40 กองแล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกกองใดกองหนึ่ง
หากเราทำอย่างแท้จริง และเกิดสมาธิอย่างแท้จริง เรานั้น ก็ย่อมไปถึงยังจุดหมายปลายทาง เป็นแน่แท้.. ลูกเอ๋ย
ไม่ว่าเราจะฝึกสายไหน ฝึกกรรมฐานรูปแบบใด กองใดก็ตาม
หากว่าเราฝึกแล้ว ลุ่มหลงในการฝึก ได้แล้ว ลุ่มหลงในสิ่งที่ได้.. คือ โอ้อวด อวดเก่ง ว่าเรารู้ได้ เห็นได้ ก็ทำให้หลงทางได้ทั้งนั้น
หากว่าเราฝึกดูลมหายใจ จนเข้าฌานได้แล้ว แล้วไปลุ่มหลง อยู่กับการเข้าฌานนั้น...ก็หลงทางได้ทั้งนั้น !
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ไม่ว่าเรานี้จะฝึกอะไร ฝึกแบบไหน ฝึกกรรมฐานกองใดก็ตาม.. ลูกเอ๋ย
ก็ล้วนแล้วแต่ซ่อนเร้นด้วยความยึดดี ถือดี ซ่อนไว้ด้วย ความลุ่มหลง และยึดติด.. ทั้งนั้นเลย
แต่เราจงทำจิตของตน ให้ระลึกรู้ว่า "การที่เรานั่งสมาธินี้.. ก็เพื่อให้เราได้พบกับความพ้นทุกข์" แต่…
ไม่ได้เพื่อให้เข้าฌานได้.. แล้วเก่งอยู่ในฌาน
ไม่ได้ให้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้.. แล้วเก่งอยู่ในสิ่งที่เห็นเหล่านั้น
ไม่ใช่ว่ามีฤทธิ์ มีเดชแล้ว.. เก่งอยู่ในฤทธิ์ในเดชเหล่านั้น
เรานั่งกรรมฐานนี้.. ก็เพียงเพื่อให้จิตใจของเรานี้ * สงบ *
เมื่อจิตใจของเราสงบแล้ว เราจึงจะมีพลังมากพอ ที่จะทวน ที่จะมองเห็นสิ่งที่มาหลอกเรา
คือ ความไม่จริงทั้งหลาย
คือ ความไม่เที่ยงแท้ทั้งหลาย ที่มันมีอยู่นี้…
ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ หรือว่าจะเป็นความสุข
ไม่ว่าจะเป็น บุคคล หรือข้าวของ
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เราก็จะได้รู้ทัน มันเท่านั้น เราไม่ได้ฝึก เพื่อให้ติดอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จุดหมายปลายทางของเรา คือ ** ทางพ้นทุกข์ ** เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้
ให้ทำจิตของตน ให้เข้าใจการนั่งสมาธิเช่นนี้ แล้วจะได้ไม่นำพาให้เรา ไปลุ่มหลง ติดอยู่ในฌานใดสักฌานหนึ่ง ติดอยู่ในกองกรรมฐาน กองใดสักกองหนึ่ง
ทำให้เรานั้น ลุ่มหลง ยึดดี ถือดีว่า "ของฉันถูกต้องดีกว่า ของเธอถูกต้องดีกว่า"
มัวแต่ลุ่มหลง " ของฉัน " และ " ของเธอ " จนหมดเวลา.. ลูกเอ๋ย
ในความเป็นจริงแล้ว กรรมฐานทั้ง 40 กอง ไม่ว่าจะเป็นกองไหนก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่ไปถึงนิพพานทั้งนั้น
หากว่าเราทำไปด้วยความตั้งใจ ทำไปด้วยจิตใจที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์
ไม่ใช่จะมีจุดมุ่งหมายอื่น มาเป็นที่ตั้ง ลูกนั้น ก็จะพ้นทุกข์ได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานกองใด.. ก็สามารถที่จะหลอกลูกหลงทางได้ทั้งนั้น !
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. เหตุฉะนี้แหละลูก การที่เราจะเดินสู่พระนิพพานนั้น เราจึงควรที่จะมีทั้ง..
** ศีล ธรรม มีทั้งสมาธิ และปัญญา ** เราจึงจะไม่ลุ่มหลงทางใดทางหนึ่ง
การมีศีลนั้น ก็คือการตีกรอบไม่ให้เราไปสร้างกรรมชั่วเพิ่มขึ้นอีก
เราจะได้ไม่ต้องติดหนี้อีก
ไม่ต้องกลับไป เพื่อชดใช้มันอีก
ไม่ทำให้เป็นตัวถ่วง ดึงขาดึงแขนเราไว้ ให้เรานั้นเสียเวลา ต้องชดใช้อยู่กับมัน
* ศีล * จึงเป็นกรอบข้อที่ 1 ที่ตีกรอบเราเอาไว้ ไม่ให้เรานั้นล่วงละเมิดต่อศีล
*ธรรม* นั้นเป็นธรรมคำสั่งสอน เป็นป้ายบอกทาง-- ที่จะแนะนำและสั่งสอนให้รู้ว่า จงเดินมาทางนี้เถิด…
บุคคลผู้ที่ฟังธรรม ฟังจนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งนั้น.. เขาย่อมเดินทางไม่ผิด.. ลูกเอ๋ย
แต่บุคคลผู้ที่ไม่มีธรรมะ ไม่เข้าใจในธรรมะ ย่อมเดินทางหลงทาง เป็นแน่แท้
* ธรรม * นั้น คือ ป้ายบอกทาง..ไปสู่พระนิพพาน
เมื่อเรามีธรรมแล้ว ก็จงมีสมาธิ
*สมาธิ* คือสิ่งที่จะทำให้จิตใจเรานิ่ง
เมื่อจิตของเรานิ่งแล้ว-- เราก็จะเกิดพลังที่ส่งให้เรา "เกิดปัญญา" รู้ทันทุกอย่าง
นั่นคือ "จุดมุ่งหมายของเรา"
เหตุฉะนั้น การทำสมาธิ ไม่ว่าเราจะทำสมาธิแบบไหนก็ตาม เราก็สามารถทำให้เกิดปัญญาได้ทั้งนั้น
... หากว่าเราด้วยการมุ่งมั่น หาทางหลุดพ้น อย่างแท้จริง
พระยาธรรมเอ๋ย.. การทำสมาธินี้ …
ทำแล้ว ให้เกิดปัญญา
ทำแล้ว นำมาพิจารณาตรึกตรอง
ทำแล้ว อย่าจมอยู่กับมัน
ทำแล้ว อย่าติดอยู่กับมัน
การที่เรานั้นฝึกกรรมฐาน ในกองไหนๆก็ดีทั้งนั้น.. ลูกเอ๋ย
ทางใดๆใน 40 กองนี้-- ก็ไปถึงพระนิพพานทั้งนั้น.. ลูกเอ๋ย
แต่คนที่จะไปไม่ถึงนั้นก็คือ คนที่ไปอย่างไม่จริง ก็คือ ทีทำ ทีเล่น เดี๋ยวก็เล่น ไม่ตั้งใจในการประพฤติ ปฏิบัติ
ก็เลยกลับกลายเป็นเด็กที่เล่นๆไป.. วิ่งไป-วิ่งกลับ อยู่อย่างนั้น เดี๋ยวก็ทำ เดี๋ยวก็ไม่ทำอยู่อย่างนั้น เท่านั้น ลูกเอ๋ย.. จึงจะไปไม่ถึง
และบุคคลที่มัวแต่แวะไปดูทางคนอื่น แวะไปทางดูทางโน้น ทางนี้ ไปเพ่งเล็ง เพ่งโทษ หนทางของบุคคลผู้อื่น..
คนเหล่านี้แหละลูก ที่จะหลงทาง และไปไม่ถึง..
เพราะตนมัวแต่เอาเวลาที่ตนมีอยู่นั้น ไปวุ่นวายอยู่กับผู้อื่น.. จนทำให้ตนหมดเวลา และติดหนี้กรรมอีกด้วย
คือ กรรมด้วยคำพูด / ด้วยการกระทำ / จิตใจที่ไม่บริสุทธิ์ นั้น ดึงตนเอาไว้ ให้ไปไม่ถึง
ทางใดก็ตามใน 40 ทางนี้ ไปได้ทั้งนั้น ลูกเอ๋ย.. แต่ต้อง
มีปัญญาประกอบด้วย
มีปัญญาเป็นสิ่งนำพา ให้กระจ่างแจ้ง
** ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญานั้น คือ สิ่งที่เกื้อหนุน เกื้อกูลกันให้ไปถึงฝั่ง **
หากขาดตัวใดไปตัวหนึ่ง ก็จะไปไม่ถึง
เหตุฉะนั้น.. การดูลมหายใจเข้า-หายใจออก ก็จะสามารถเป็นเมล็ดพืชที่จะปลูกหว่าน ทำให้ออกดอกออกผลเจริญงอกงามได้.. ลูกเอ๋ย
เพียงแต่เราปลูกไปแล้ว เราก็ต้องดูแล ปลูกไปแล้วก็ต้องหมั่นใส่ปุ๋ย ใส่สิ่งที่ทำให้ก่อให้เกิดประโยชน์กับมัน
ทำให้มันเจริญเติบโตอย่างแท้จริง
มีเมล็ดพืชแล้ว.. ก็ต้องมีดิน
มีดินแล้ว.. ก็ต้องมีน้ำ
มีน้ำแล้ว.. ก็ยังต้องมีธาตุอากาศต่างๆ เพื่อให้ก่อเกิดความอุดมสมบูรณ์กับมัน
ฉะนั้น.. เมื่อมีสมาธิแล้ว ก็ให้จงมีปัญญา
มีปัญญา มีศีล มีธรรม-- จึงจะสามารถเข้านิพพานได้
แม้ดูลมหายใจอย่างเดียว จะไปไม่ถึง
แต่ลมหายใจ การดูลมหายใจ.. ก็จะเป็นเหตุที่ทำให้เราไต่เต้าขึ้นสู่จุดต่อไปได้
สาธุ