พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 27 มกราคม 2561
ตอนที่ 259 **เข้าใจในเหตุที่ค้นหาตัวตน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้มีโอกาสกราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อ องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้.. จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกปรารถนาที่จะเฝ้าทูลถามพระองค์ ถึง”การค้นหาตัวตน” น่ะเจ้าค่ะ
การค้นหาตัวตนนั้น ลูกเข้าใจว่า เราค้นหาเพื่อเจอเหตุที่เกิดของเรา
เพื่อที่เรารู้เหตุเกิดแล้ว - เราจะได้ดับตรงเหตุ เพื่อจะได้ดับการเกิดของเราได้
แต่ก็คิดว่า บางคนเขาอาจจะไปหลงในการค้นหาตัวตนของเขานั้น.. เมื่อเจอก็อาจจะไปหลง ไปยึดติดอยู่ในการค้นหาตัวตน..
บางคนก็คิดว่า ถ้าค้นหาแล้ว.. มันจะหลงในตัวในตนอีก - ก็เลยบอกให้ว่างไปก่อน ไม่ต้องค้นหาตัวตน ให้ว่างอย่างเดียว ซึ่งลูกคิดว่า.. พระพุทธองค์สอนให้รู้เหตุที่เกิดเราก่อน - แล้วเราจึงจะรู้ว่า เราจะดับเหตุที่ตรงไหน ?
ลูกจึงจะขอความเมตตาจากพระพุทธองค์ ช่วยชี้ทางให้ลูกทั้งหลายเดินด้วยเจ้าค่ะ ว่าการค้นหาตัวตน ที่แท้จริง ที่ผู้มีปัญญาเขาใช้ในการค้นหา เพื่อที่จะดับการเกิดนั้น.. เขามีปัญญารู้แจ้ง ในการค้นหาตัวตนนั้นอย่างไร เขาจึงไม่หลงทาง และไปถึงพระนิพพานได้ล่ะเจ้าคะ ?
เพราะว่าลูกคิดว่า บุคคลผู้ที่ไม่รู้เหตุ - จะบอกให้ว่างเลย ก็คงว่างไม่ได้.. เพราะไม่รู้ว่าเหตุมันเกิดมาจากไหน ทำไมต้องว่าง และมันเป็นการดับเชื้อ ที่ไม่ใช่การดับเชื้ออย่างแท้จริง
- เป็นแค่การกดข่ม น่ะเจ้าค่ะ
ถ้าเกิดค้นหาไป แล้วยืนหลักในความถูกต้อง ในหนทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริงไม่ได้ - ก็อาจจะหลงทางในสิ่งที่ไปเจอ เป็นตัวเป็นตน หรือว่าสิ่งที่ก่อเกิดมาเป็นตนนั้นอีก
ไปหลงภพ หลงชาติ หลงในตัวในตน หลงในสิ่งที่ตนเป็นนั่นอีก…
ทางที่ถูกต้องแท้จริง ทางที่บุคคลผู้มีปัญญาธรรมเขาทำกันนั้น.. เขาทำแบบไหน - เขาจึงไปถึงพระนิพพานได้ เจ้าค่ะ ? “
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมนั้น.. เขาก็ต้องมีปัญญารู้แจ้ง เช่นนี้ว่า..
การค้นหาตัวตน เพราะว่า.. ค้นหาเหตุที่เกิดตน เพื่อจะได้รู้ว่า
เหตุที่เกิดตน มาจากไหน.. คืออะไรบ้าง ?
เมื่อเขารู้เหตุแล้ว จุดมุ่งหมายของเขาก็คือ การดับเหตุ
เมื่อเขารู้.. มีจุดมุ่งหมายเช่นนี้
-- เขาก็จะไม่ปิดกั้นตัวเอง โดยการไม่ยอมค้นหาเหตุที่เกิดตน และกดข่มว่า ไม่มีๆ
เขาย่อมรู้ว่า เขาจะต้องหาคำตอบที่แท้จริงให้กับเขาให้ได้ คือ เราเป็นใคร เกิดมาจากไหน
เกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไร..
ทำไมต้องเกิด เกิดแล้วมันเป็นทุกข์
ทำไมต้องทุกข์
เวียนว่ายตายเกิดไปแล้วมันได้อะไร..
หาคำตอบในเหตุเหล่านี้ให้เจอ
เมื่อเขารู้แล้วเจอ เขาก็จะได้เข้าใจความเป็นจริง ของคำว่า “เรา”
เมื่อเขาเข้าใจแล้ว.. เขาย่อมมีความเข้าใจนั้น ถอดถอนตัวที่เป็น “เรา” ได้อย่างแท้จริง ++
เช่นนี้นะ.. พระยาธรรม
ถ้าคนๆหนึ่ง เขาเกิดมาแล้ว.. เขาไม่รู้ว่าเขาเกิดมาจากไหน
เขาย่อมไม่รู้ว่า.. ต้องดับไปทางไหน
ถึงแม้จะบอกให้ดับ เขาก็ยังงงในการดับนั้นอยู่ดี.. ก็มันมีมายังไง -ก็ไม่รู้
แล้วจะดับไปอย่างไรเล่า !
แต่ถ้าเกิดว่า บุคคลผู้นั้น เขาค้นหาตัวตนของเขา จนเขาเจอแล้วว่า..
แท้ที่จริงแล้ว.. ตัวของเขานั้น เกิดมาจากกรรม
กรรมทำให้เขาเกิดมา - เป็นเช่นนั้น เช่นนี้
และเขาก็ยังคง ต้องเป็นไปตามกรรมของตน…
เมื่อเขารู้เช่นนี้.. เขาก็จะต้องแสวงหาไปอีกว่า
แล้วใคร คือ ผู้สร้างกรรม
เขาย่อมไปเจอกับ เหตุของการสร้างกรรม.. เช่น
ถ้าเรามีความหลง - ความหลง..ก็สั่งให้เราสร้างกรรม
ถ้าเรามีความรัก เชื้อราคะ - ความรักนั้น..ก็จะสั่งให้เราสร้างกรรม
ถ้าเรามีความโลภ - ความโลภ..สั่งให้สร้างกรรม
มีความโกรธ - ความโกรธ..ก็สั่งให้สร้างกรรม
มีความอยาก และความไม่อยาก คือเชื้อแห่งตัณหานั้น.. ก็สั่งให้เราสร้างกรรม
เขาย่อมรู้ และเจอตัวการที่สั่งให้เกิดกรรม
กรรมเกิดเป็นธรรม
เมื่อเขาเจอเช่นนี้แล้ว.. เขาย่อมรู้ดีว่า
เขาจะต้องดับหัวหน้า ที่มันสั่งให้สร้างกรรมนั้นให้ได้
-- เพราะหัวหน้าเชื้อร้ายเหล่านี้ เป็นเหตุให้เขา.. ต้องเกิด- ต้องมี- ต้องทุกข์..
ทีนี้ เขาย่อมรู้แล้ว เขาต้องทำความดี..
เพื่อที่จะเอาชนะความชั่ว ความหลง ความรัก ความโลภ ความโกรธ
สิ่งเหล่านี้ คือ ความชั่ว -- เขาต้องดับสิ่งเหล่านี้ให้ได้
เขาก็จะลดความหลง ลดเชื้อแห่งความรัก เชื้อแห่งความโลภ และความโกรธ
/ กรรมวิบากที่เขาจะก่อ จะทำต่อไปอีก
ในทิศทางที่ไม่ดี ที่มันปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหานั้น..
-- เขาย่อมละเสีย --
บุคคล เมื่อหยุดสร้างกรรม ในแบบของความลุ่มหลง.. เขาก็ย่อม ++
- เอาชนะความลุ่มหลง
- เอาชนะความรัก ความโลภ และความโกรธ / ความอยาก และความไม่อยาก..ได้
- เขาจะลุกขึ้นมาดับเชื้อเหล่านี้
- เขาจะรู้ว่า เขาคือ ดวงจิตอันบริสุทธิ์ - ที่ถูกเชื้อเหล่านี้ หลอกให้ตกเป็นทาส
ใช้ เพื่อที่จะสร้างกรรม แบบต่างๆ
กรรมดี - ก็ลุ่มหลงไปในทางที่ดี
กรรมชั่ว - ก็ลุ่มหลงไปในทางที่ชั่ว
ดีบ้าง ชั่วบ้าง.. อยู่ในโลกแห่งความลุ่มหลงนั้น
แต่วันนี้เขารู้ความจริงแล้วว่า.. กรรม เกิดเป็นเขา
กิเลส ตัณหา.. สั่งให้มีกรรม
ให้ทำกรรม กรรมดี-กรรมชั่ว.. แบบที่ลุ่มหลง
เขารู้ตื่นแล้ว.. เขาจึงทำทุกอย่างโดยปราศจากเชื้อแห่งความหลง ++
เมื่อปราศจาก “เชื้อแห่งความหลง”
-- ความรัก ความโลภ และความโกรธ
/ ความอยาก และความไม่อยาก ก็ดับลงในตัวของเขา --
เขาจะรู้เหตุที่เกิดเขาเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
และเขาก็จะดับเหตุที่เกิด - เกิดเป็นเขา เช่นนี้ด้วยละ.. พระยาธรรม
รวมถึงเมื่อเขาค้นหาตัวตนของเขาเจอ.. เขารู้ว่าตัวของเขา - เกิดตามกรรม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาทุกอย่าง มันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้น เป็นไปตามกรรมที่เขาได้ก่อ ได้ทำเอาไว้
- เขาย่อมยอมรับ
- ยอมชดใช้ทุกสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับเขา
- และเขาย่อมที่จะเข้าใจว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขา คือใคร
-- เขาย่อมสามารถนำพาดวงจิตของเขา ออกจากกองทุกข์ได้++
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
บุคคลผู้มีปัญญาธรรม เขาก็จะเข้าใจการค้นหาตัวตนเช่นนี้...
เมื่อเขาค้นเจอเช่นนี้ รู้เหตุที่เกิด- ดับ / เขาจะรู้ดับที่เหตุนั้น ++
-- เขาจึงสามารถ “ดับการเกิด” ได้ ลูก --
ฉะนั้น.. การค้นหาตัวตน มันจึงเป็นประโยชน์ยิ่งนัก และตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
**ให้เรารู้เหตุที่เกิด - แล้วก็รู้เหตุที่ดับ **
เหตุเกิดทุกข์ - เหตุดับทุกข์
เราก็แค่หาเหตุมันให้เจอ ว่าอะไรที่ทำให้เราทุกข์
... แล้วเราก็ดับเหตุนั้นเสีย...
เท่านี้ละ พระยาธรรม.. ก็สามารถเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน และอยู่บนการค้นหาตัวตน
อย่างไม่ลุ่มหลงในตน และเป็นการถอดถอนเชื้อแห่งกิเลส อย่างถอนรากถอนโคนอย่างแท้จริง
... มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นมาอีก ในตัวของเรา
แต่ถ้าเกิดว่าเรา คิดว่า จะกดข่มอย่างเดียว / ปล่อยให้ว่างอย่างเดียว
จะคิดเช่นนี้.. โดยไม่มีปัญญาถอดถอน
-- มันเป็นหนทางที่องค์พระพุทธเจ้า ไม่ได้เลือกเช่นนั้น ไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ลูก --
พระพุทธเจ้าออกบวช ก็เพื่อค้นหาความเป็นจริงในตัวของตน
เมื่อเจอความจริงแล้ว.. จึงดับสิ่งที่มันเกิดเป็นตนนั้นได้
ฉะนั้น.. หนทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง จึงเป็นการค้นหาเหตุที่เกิดเรา
และดับเหตุนั้นเสีย นั่นละ
-- จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ++
-- จะเป็นการดับการเกิดได้อย่างแท้จริง ++
เช่น สมมุติอย่างบางคน เขาก็ไม่ยอมใช้ปัญญาถอดถอน
แล้วก็เรียนรู้กับเชื้อแห่งการเกิด “เรา” อย่างแท้จริง
แล้วก็ดับมันอย่างแท้จริง..
เมื่อเจอปัญหา - ก็เข้าฌานซะ ว่างซะ.. หนีเข้าไปอยู่ในที่ที่สงบซะ
... แล้วไม่ยอมถอดถอนตามความเป็นจริง
ก็เลยเป็นผู้เข้าฌานไป หนีปัญหาไป หนีความวุ่นวายไป
กดข่มเอาไว้..
ไม่กล้าเผชิญหน้า กับปัญหาที่แท้จริง
ไม่ยอมเอาปัญญาตรึกตรอง ถอดถอนเชื้อเหล่านั้นที่มันมี อย่างแท้จริง
... ก็เลยหนีไปติดในฌาน.. ว่างอยู่สิลูก
.. แต่ว่างอยู่ในฌาน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับกิเลสตัณหา !
เมื่อไร ที่หมดกำลังของฌาน - ก็จะต้องกลับมาเผชิญกับปัญหา
เมื่อเจอปัญหา.. ก็หนีเข้าฌานอีก
ซึ่งไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง ลูก !
เป็นแค่ *นิพพานพรหม* / เป็นแค่ที่ที่ไปทรงอารมณ์อยู่
แต่ไม่ใช่นิพพานที่พระพุทธเจ้าสอน
ไม่ใช่นิพพานที่บอกให้ประพฤติ ปฏิบัติ - เพื่อดับการเกิด
เพราะที่ที่นั่น.. ไม่ใช่ที่ที่ดับการเกิด.. ลูกเอ๋ย
การที่อยู่ๆ จะบอกให้จิตว่างเลย.. ทำได้มั้ย ?
ทำได้.. แต่จะหลงเข้าไปในความว่างนั้น..
หลงเข้าไปในฌานว่างนั้น..
-- โดยไม่มีปัญญาถอดถอนกิเลส อย่างแท้จริง ++
เจออะไรก็ว่าง.. ว่าง ไปเลย.. ก็เลยไม่มีปัญญาที่จะดับกิเลสในตน
เลยหนีปัญหา หลบปัญหา - เข้าสู่ความว่างที่เป็น *นิพพานพรหม*
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่
- ไม่ยอมค้นหาตัวตน
- ไม่ยอมหาเหตุที่เกิดตน และดับให้ตรงเหตุ
-- ที่เขานั้นจะเลือกลงไปอยู่ในความว่าง โดยไม่ยอมรับรู้อะไร.. ก็เป็นเช่นนี้ละ พระยาธรรม
แล้วเขาก็มีโอกาสที่จะหลงด้วย.. หลงว่าตนถึงนิพพานแล้ว !
...โดยที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง
จำไว้เช่นนี้นะ.. พระยาธรรม
บุคคลที่จะถึงนิพพานอย่างแท้จริง -- ต้องเป็นบุคคลผู้ที่มีปัญญาถอดถอนเชื้อกิเลสตัณหา ออกจากตนจนหมด…
และบุคคลผู้ไม่รู้กิเลส ไม่รู้ตัณหา ไม่เห็น ไม่เข้าใจมัน
- กดข่มมันไว้เฉยๆ
-- จะไม่มีทางชนะมันได้เลย.. ลูก !
ฉะนั้น.. จงเดินตามรอยพระพุทธเจ้าเถิด
ค้นหาเหตุที่เกิดเรา - แล้วก็ดับเหตุที่เกิดเรานั้นเสีย
-- นั่นแหละจึงจะเจอ **พระนิพพาน** อย่างแท้จริง ล่ะลูก ++
บุคคลที่ รู้ตัวตน ก็ไปพบกับอดีตชาติที่ผ่านมา.. แล้วก็ไปลุ่มหลงยึดติด
นั่นก็ถือว่า.. ตนไม่มีปัญญารู้ตามเหตุแห่งทุกข์
เห็นทุกข์แล้ว ก็ยังหลงในทุกข์
เห็นสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว.. ก็ยังยึดติด
ถือว่า.. เป็นบุคคลผู้หลงอยู่
ฉะนั้น.. เขาก็ยังคงต้องประพฤติ ปฏิบัติ ต่อไปเรื่อยๆ
...ยังเป็นบัวใต้น้ำอยู่
-- เขาก็คงต้องฝึกต่อไปก่อน..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. หนทางทั้ง 3 เส้น - มันเป็นเช่นนี้เอง
บุคคลผู้ไม่ยอมค้นหาตัวตน และกดข่ม -- ย่อมไม่รู้เหตุแห่งการเกิดตน
ไม่ถอดถอนกิเลส อย่างแท้จริง
-- หลงเข้าไปอยู่ในความว่าง หลงเข้าไปอยู่ในนิพพานพรหม ++
ส่วนบุคคลที่ค้นหาตัวตนแล้ว - เจอในเหตุที่เกิดทุกข์แห่งตน
.. ก็ยังไปหลงอยู่ในภพในชาติของตน
แปลว่า ตนยังค้นหาไม่ทะลุ ไม่แจ่มแจ้ง
--ก็เลยไปติดอยู่แค่ตรงนั้น --
.. เป็นบัวใต้น้ำ ยังคงต้องพยายามต่อไปให้พ้นน้ำ .. และเบ่งบานให้ได้ในที่สุด ++
ยังคงลุ่มหลง และมีสิ่งที่ต้องค้นหาต่อไป
อาจมีโอกาสเวียนตายเวียนเกิดอยู่
-- จะไม่พ้นทุกข์ --
ส่วนบุคคลผู้ที่ค้นหาตัวตนจนเจอ รู้ว่าตน คือ กรรม
กรรม มาจาก กิเลสตัณหา สร้างให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
ตนคือ ดวงจิตที่บริสุทธิ์ โดนกิเลสตัณหา หลอกให้ตกเป็นทาสของเขา
ให้หลงในความดี - ความไม่ดี.. ในโลกสมมุตินี้
เขาย่อมแสวงหาทางเจอว่า.. เขาจะดับสิ่งเหล่านั้นได้ยังไง
เพราะทางของเขา ก็คือ ทำทุกสิ่ง - โดยปราศจากความหลง
-- เขาย่อมสามารถถอดถอนเหตุ - เมล็ดพันธุ์ที่ทำให้เขาเกิดได้.. อย่างแท้จริง !
เขาย่อมชนะกิเลส และตัณหา
ดับกรรมทั้งปวงของเขา ทั้งกรรมดี - กรรมชั่ว.. ด้วยการถอดถอนความลุ่มหลง
ทำความดี โดยปราศจากความลุ่มหลง
เขาย่อมเข้าสู่ **นิพพาน** ที่แท้จริง..
* นิพพานที่ไม่ผุดไม่เกิดอีก
* นิพพานขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชี้ทาง บอกทาง
* ย่อมพบกับองค์พระพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า
.. ในดินแดนนิพพาน ที่สุขอย่างแท้จริง ++
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรมแล้ว
เขาย่อมตรึกตรองได้เช่นนี้
เขาย่อมหาเหตุของทุกข์.. แบบไม่ลุ่มหลง
เขาย่อมไม่เบรกตัวเอง.. ไม่ให้หาเหตุของทุกข์
และเขาย่อมเข้าถึงนิพพานได้..ในที่สุด
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยเจ้าค่ะ
เพราะว่า มี 3 แบบ ในความรู้สึก ที่กล่าวมานั้นละเจ้าค่ะ
ก็เลยทำให้ลูกคิดว่า.. แล้วการค้นหาตัวตนที่ถูกต้อง ที่แท้จริงเลย คือ อะไร ?
เพราะลูกก็รู้สึกนิดหนึ่งว่า ถ้าจะว่างเลย ก็คงผิดทาง ผิดทางแน่นอนเลย
แต่ถ้าเกิดว่า ค้นไปแล้วลุ่มหลง - ก็คงผิดทางอีก !
แล้วทางที่ถูก คืออะไร..
ตอนนี้ ลูกสว่างแจ่มแจ้งเลย เจ้าค่ะ
ลูกจะเผยแผ่ธรรมนี้ต่อไป ให้ทุกคนเข้าใจกับคำว่า “ค้นหาตัวตน” เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาลูก
ลูกกราบขอลา ไปทำหน้าที่ก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคิดว่า คงจะสว่างแจ้งในธรรม หลายอย่าง เลยเจ้าค่ะ
รู้สึกเป็นสุข ปิติยินดียิ่งนัก.. เจ้าค่ะ
สาธุ