พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 14 ธันวาคม 2560
ตอนที่ 230 **รู้ในความเป็นจริงของร่างกาย**
+ +
ในเช้าของวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าฟังธรรม ตัวอย่างของการเป็นผู้มีปัญญาธรรม น่ะเจ้าค่ะ
วันนี้ พระองค์จะทรงเมตตา ยกตัวอย่างของผู้มีปัญญาธรรม แสดงเรื่องไหน รูปแบบไหน ให้ลูกฟังล่ะเจ้าคะ ? ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาด้วย เจ้าค่ะ “
- - - -
พระยาธรรมเอย.. ดีแล้วละ ถ้าอย่างนั้น ก็ตั้งใจฟังให้ดี
พิจารณาตาม ให้เกิดปัญญาตาม
เมื่อรู้ เข้าใจ ตามความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้งแล้ว.. ก็ค่อยนำไปเผยแผ่ต่อ
จะได้ไม่ผิดไม่เพี้ยน ไม่หลงทางไป..
เอาละนะ นั่งให้เรียบร้อย แล้วตั้งใจฟัง
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญา เขาย่อมมีปัญญารู้แจ้ง ในเหตุที่เกิดขึ้นกับเขา
เช่น ถ้าเกิดว่า มีเหตุที่เกิดขึ้นกับกาย เช่น การเจ็บป่วย เป็นโรคนั้น โรคนี้ บาดเจ็บ.. เขาก็ย่อมรู้ดีว่า ผลกรรม หรือสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลมา ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้นๆ - เกิดจากผลกรรมอะไร
เขาอาจจะเห็น ว่าเคยไปทำร้าย ทารุณสัตว์ไว้ในกาลก่อน
ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ
บัดนี้ ผลกรรมนั้น.. เลยส่งผลให้ต้องป่วยเป็นโรคอย่างนี้
หรือถ้าเกิดว่า บาดเจ็บ.. เขาก็ย่อมเห็นกรรมแห่งตน
เห็นเหตุที่ตนก่อตนทำ และส่งผลมาให้ต้องเจ็บ ต้องปวด ต้องป่วย.. อย่างนั้น
เขาจะมีปัญญารู้เท่าทัน เช่นนี้.. ลูกเอ๋ย
และก็ยังสามารถ ขยายสิ่งที่มันเกิดขึ้น เพียงแค่เรื่องความเจ็บปวด เพียงแค่เรื่องเดียว
- ไปสู่การมีปัญญาในอีกหลายรูปแบบ เช่น..
รู้จักพิจารณาให้เห็นว่า.. ร่างกายนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเราจริงๆ
ยามที่มันเจ็บ มันปวด เราบอกให้มันหยุดเจ็บ หยุดปวด - มันก็ไม่หยุด
เราไม่อยากให้มันเจ็บ - มันก็จะเจ็บ
เราห้ามอะไรมันไม่ได้ - ควบคุมมันไม่ได้เลย ..
* ซึ่งแสดงถึง ความที่ไม่ใช่ตัว ใช่ตนของเรา*
เมื่อมีปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้.. ก็จะถอดถอนความยึดตัวยึดตน ออกไปได้
ถ้าเจ็บ ถ้าปวด ถ้าป่วย..
บุคคลผู้มีปัญญา ก็จะพิจารณาเห็นชัดเจน เห็นเรื่องทุกข์ของร่างกาย
กายนี้ พ่อแม่ให้กำเนิดมาเลี้ยงดูมา ทุกข์ยากลำบากหนักหนา
ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เลี้ยงให้เจริญเติบโต ให้ดีที่สุด.. แต่ว่า มันก็ไม่ดีเลย
มันก็แก่ ก็เจ็บ ก็ป่วย
กายนี้ พยายามดูแลรักษามันยังไง.. มันก็เสื่อมไป ตามกาลเวลา !
กายนี้ *
มันเป็นของหนัก..
มันเป็นของที่ไม่น่าครอบครอง
มันเป็นสิ่งที่เราไม่น่ายึดติด ยึดถือลุ่มหลงในมันเลย
- น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก !
มันเป็นของหนัก เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องทุกข์กับมัน / ทรมานเหน็ดเหนื่อยกับมัน
เราก็จะเห็นตามความเป็นจริง.. ในความน่าเบื่อหน่ายของร่างกาย ++
- ก็จะทำให้เรา ไม่หลงในการเกิดอีก !
บุคคลผู้มีปัญญา.. ย่อมเอาการเจ็บ การป่วย เพียงแค่นิดหน่อย หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หยิบยกขึ้นมา พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า..
นี่เรายึดตัวยึดตน หรือนี่ !
ร่างกายนี้เขาเจ็บเขาปวด.. เราก็แอบหลงนึกว่า เรานั่นแหละเจ็บ เรานั่นแหละปวด
-- เรายังยึด ยังถือ ในตัวในตนอยู่เลย.. เราจะไปนิพพานได้อย่างไรเล่า ?
เมื่อยังเป็นเช่นนี้.. ย่อมพิจารณาเห็นความยึดติดในกาย
ย่อมเห็นได้ชัดเจนดังนี้ว่า เราเคยมีร่างกาย มานับกายไม่ถ้วน
และมันก็เคยให้เราเกิด อยู่ในมัน
แต่ท้ายที่สุด.. มันก็ตายจากเราไปชาติแล้วชาติเล่า -แต่มันไม่เคยเห็นจะพาให้เราตายกับมันด้วยเลย..
ฉะนั้น แปลว่า.. กายนี้ไม่ใช่ตัวของเรา เรากำลังยึดติดหลงตามมัน เคลิบเคลิ้มไปกับมัน
ว่ามันเจ็บ - เราเจ็บ
ว่าเราปวด - มันปวด
.. อย่างนั้นต่างหากเล่า !
-- ในความเป็นจริงแล้ว.. มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย --
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้มีปัญญา.. ย่อมรู้แจ้งเข้าใจ แม้เพียงแค่เหตุเดียวที่เกิดขึ้นกับตน คือ การเจ็บป่วยทางกาย ก็สามารถที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแตกฉาน
เป็นเรื่องราวหลายอย่าง
เป็นปัญญาหลายตัว
ถอดถอนกิเลสในตัวของเรา ได้หลายรูปแบบ
และการที่เราถูกกระทบในเรื่องของจิตใจ / สิ่งที่มันเกิดขึ้น กระทบเรา ถูกใจไม่ถูกใจต่างๆทั้งหลาย...
บุคคลผู้มีปัญญา.. ย่อมรู้เท่าทันอารมณ์แห่งตน
รู้เท่าทันเหตุที่เกิด ที่มากระทบตน
เช่น ถ้าได้ยินเสียงที่ถูกใจ ก็จะมีปัญญาพิจารณาว่า..
การที่เราถูกใจในเสียงเพราะ คำชื่นชม - เป็นความหลง หลงในสิ่งที่ละเอียดประณีต
ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับกิเลสตัณหา
มัวแต่เคลิบเคลิ้มกับเสียงเพราะอยู่..
แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ - เป็นภาพมายา / เป็นภาพลวงตา
- เพราะมันเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็จะหายไป..
- เพราะเขาชมเรา เดี๋ยวก็มีคนด่าเรา..
* มันเป็นของไม่เที่ยง*
เราไม่ควรไปเพลิดเพลิน อยู่กับเสียงเพราะ / อยู่กับสิ่งที่คิดว่า..ชอบใจ ถูกใจนั้น
เมื่อมีสิ่งใดที่กระทบเข้ามา ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ..
เราก็จะมีปัญญารู้เท่าทันว่า..
สิ่งที่เราไม่พอใจ เพราะเรามีทิฐิ
มีความเห็นว่าตนถูก ผู้อื่นผิด
และลุ่มหลงไปตามสิ่งไม่ดี.. ไม่ดีเราก็วิ่งตามมันไป
น้อมเอาสิ่งไม่ดีเข้ามาใส่ตน ให้เป็นทุกข์
* คำพูดที่ไม่ดี / สิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็พียงแค่สิ่งสมมุติขึ้นมาเท่านั้น !
ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็ดี.. ควรวางเสีย
อย่าน้อมเข้ามาใส่ตัวของเราเลย..
วางใจให้เป็นกลาง
วางอารมณ์ของตน ให้อยู่ท่ามกลางระหว่าง
ดี กับ ไม่ดี
ถูกใจ กับ ไม่ถูกใจ
... เห็นเป็นธรรมดา
และถ้าถ้าหากว่ามีใคร มาทำในสิ่งที่ไม่ดี ที่เบียดเบียนเรา
ทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์
เราก็จะเห็นได้ว่า ที่เขามาทำอย่างนี้กับเรา.. เพราะเราเคยกระทำเช่นนี้กับผู้อื่นเอาไว้
สิ่งที่มันกระทบกลับมา เกิดขึ้นกับตัวของเรานั้น.. เพราะกรรมที่เราเคยได้ทำส่งผลมา
และก็จะเห็นชัดเข้าไปอีกว่า.. จงพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
เมื่อกรรมวิบากส่งผลกระทบมา.. เราก็พลิกมัน ให้เป็นโอกาสของเราเสีย *
เป็นโอกาส โดยการ..
หยิบยกเอาเรื่องนั้น มาเป็นแบบอย่างให้เรารู้ กลัวต่อการสร้างบาป
หยิบยกเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้น มาดูว่าเรานั้น.. ยึดถือในตัวในตนของตนหรือเปล่า มีอัตตา มีตัวตนหรือเปล่า ?
ดูสิ่งนี้ให้ลึก +
ถ้ายังมีอยู่.. เราจะได้ถอดได้ถอน
รวมถึงผู้ที่มีปัญญา.. ก็ยังสามารถที่จะหยิบยกเอา สิ่งต่างๆทั้งหลายที่เกิดขึ้น
ที่มันไม่ถูกใจ หรือเรื่องต่างๆที่มีใครมาทำในสิ่งที่เบียดเบียนเรา
ยังสามารถที่จะหยิบยกขึ้นมา ให้ตัวของเรานั้นได้พิจารณาตัวเองว่า..
ตัวของเรา บกพร่องอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า ?
ยังไม่ดีอยู่หรือเปล่า ?
ตัวของเรานี้ยังต้องแก้ไขอะไร ยังไงบ้าง ?
ทุกคนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง อยู่รอบตัวของเรา
- สามารถที่จะเป็นครูที่จะสอนเราให้เก่ง ให้เข้าใจ ให้ฝึกฝนไปเรื่อยๆได้ ++
หากเรารู้จักหยิบยกเอาเหตุการณ์นั้น เข้ามาตรึกตรอง -ให้เห็นทุกสิ่งที่มันติดอยู่ในตัวของเรา
.. แล้วเราจะได้ปรับปรุงแก้ไข
ถ้าเราผิด เราก็ยอมรับผิด และแก้ไข
ถ้าเราไม่ผิด เรายึดตัวถูกนั้นไหม ?
ถ้ายึดอยู่.. ก็ถือว่ายังไม่ถูก
เรายึดตัวยึดตนไหม - ถ้ายึดตัวยึดตน.. ก็ถือว่ายังไม่ถูก
อย่างนี้เป็นต้น
บุคคลผู้มีปัญญา.. ย่อมรู้เท่าทันเช่นนี้
เช่น ถ้าครูอาจารย์บอกว่า เรายังไม่ดี เรื่องนั้นเรื่องนี้
สะกิดเราสักหน่อย ให้ปรับจิตปรับใจใหม่
เราก็ไม่รู้ทัน ไม่เข้าใจ.. เลยคิดเพ่งโทษครูบาอาจารย์
อย่างนี้.. ไม่ใช่ผู้มีปัญญา !
ผู้มีปัญญา.. เมื่อถูกตักถูกเตือน หรือโดนสะกิดจากครูบาอาจารย์
เราต้องรู้ให้ทัน ว่าท่านกำลังโยนข้อสอบอะไรมาให้เรา
และต้องนำไปพิจารณา ให้เห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่
.. แล้วก็ปรับปรุงแก้ไข ทำเสียให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งๆไป…
พระยาธรรมเอย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญา เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น
จะไม่ส่งจิตออกนอกเลย
จะไม่โทษฟ้าโทษดิน ที่ทำให้เจ็บป่วย
จะไม่โทษคนนั้นคนนี้ ที่มาทำให้ตนนั้น รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ดี รู้สึกไม่พอใจ
จะไม่ลุ่มหลง เอาความสุขไปฝากไว้ภายนอก กับคำชื่นชมของผู้อื่น
แต่เขาจะดูจิตของตนอยู่เสมอ ว่าบัดนี้ ตอนนี้.. จิตแห่งตนนั้น
/ มีอะไรบ้าง ที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิต
/ กิเลสตัวใดบ้าง ที่มันทำงาน
แล้วก็น้อมเอาสภาวะต่างๆเหล่านั้นละ ที่มันเกิดขึ้น ทั้งกระทบกาย กระทบจิตใจ ความรู้สึก ผ่านหูผ่านตาต่างๆ เหล่านั้นละ เข้ามาพิจารณาว่าตน..
- กำลังสอบเรื่องอะไรอยู่
- กำลังจะต้องปรับเปลี่ยนปรับปรุงแก้ไขเรื่องอะไรอยู่ กำลังติดอยู่กับเรื่องไหนอยู่
เช่น ถ้าเกิดว่า ลูกนั้น..
เจอกับลูกศิษย์ที่ดื้อ ไม่เชื่อฟัง
เจอกับผู้ปฏิบัติที่ไม่รักษาศีล ไม่ทำตามกฎระเบียบของสำนัก
.. ลูกกำลังรู้สึกทุกข์ ทุกข์ใจเรื่องนี้
ถ้าเกิดเป็นผู้มีปัญญา.. เขาก็จะไม่โทษคนที่เขากระทำความผิด หรือไม่ถูกต้อง
หรือจะไม่นำมาให้เป็นทุกข์
แต่เขาจะพิจารณาเข้าไปให้ลึกว่า.. ตนนั้นต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ยังไง ให้ดียังไงให้ถูกต้องที่สุด
ตนนั้นกำลังทดสอบปัญญาในการแก้ไขปัญหาอยู่
ต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเจอปัญหาที่มากกว่านี้ หนักกว่านี้จะได้แก้ได้
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี - ที่เขาให้โอกาสให้เราได้ฝึกปัญญา
แล้วก็ค่อยๆปรับปรุงปรับเปลี่ยนแก้ไข โดยใช้ปัญญา
ค่อยๆทำไป..
อย่างนี้ละ พระยาธรรมเอย.. ลูกจึงจะเป็นผู้มีปัญญา และรู้เท่าทันเหตุที่มันเกิดขึ้น
ต่อไป ลูกก็จะได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
คนที่เข้ามา ไม่ว่าจะมีลักษณะของจิตเช่นไร..
- เราก็ควรมองเห็นว่า เป็นรูปแบบตัวอย่างของกิเลส รูปแบบตัวอย่างของเชื้อ ที่เราศึกษา
ทั้งเชื้อดี เป็นแบบนี้ / เชื้อไม่ดีเป็นแบบนี้
คนในรูปแบบไหนก็ตาม.. เราก็จะนำขึ้นมา เป็นแบบอย่างในการฝึกฝน
ในการแก้ไขปัญหา วางจิตวางใจ
แต่ไม่ใช่ ไปนั่งกลุ้มนั่งทุกข์อย่างนั้น
- ถือเป็นผู้ ไม่มีปัญญา !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คนที่มีปัญญาแล้ว
เขาก็จะรอบรู้ทุกสิ่งและทุกอย่าง
เขาจะไม่น้อมเอาความทุกข์ เข้าใส่ตน
เขาจะพลิกวิกฤตทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ให้เป็นโอกาส
เขาจะสร้างปัญญาแห่งตน ความรู้แจ้งแห่งตนให้ก่อเกิด จากปมปัญหา หรือสิ่งที่กระทบต่างๆทั้งหลาย..
จนเขารู้แจ้ง เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ..
เบื่อหน่าย ในตน
เบื่อหน่าย ในผู้อื่น
เบื่อหน่าย ในรูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ
เบื่อหน่าย ในโลก ในจักรวาลนี้ ..
-- แล้วก็เลยมีพลังที่จะผลักดันตน ให้อดทน ให้ไปถึงนิพพานได้ลูก --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ เจ้าค่ะ..
สาธุ