เวลาทําสมาธิให้ผ่อนคลายครับ ให้ยิ้มมีปิตินิดๆ
ไม่เพ่งไม่เกร็ง ทําด้วยใจที่เบาสบาย จะทําให้สมาธิก้าวหน้าเร็วครับ
ลองดูนะครับ ลองปรับใหม่ ลองแบบนี้ดูครับ
"ทําด้วยใจที่ปิติเบาสบาย เล่นๆ อย่าไปจริงจังมาก"
ตึงไปก็ไม่สําเร็จ หย่อนไปก็ไม่ได้อะไร ทํากลางๆสบายๆ มีความสุข สมาธิสติจึงเกิด ไม่เครียดครับ
ผ่อนคลายแล้วเล่นกับใจ ตะล่อมใจให้เป็นสมาธิด้วยความสบายใจ สมาธิจะเกิดง่ายๆครับ อย่าไปพยายามเพ่งแบบกดดันบังคับจิตให้นิ่ง จิตไม่ใช่อะไรที่จะไปบังคับมันแล้วชนะ แต่ให้ตะล่อมๆทําด้วยใจที่เบาสบาย สมาธิจะเกิดแม้กระทั้งลืมตาไม่ได้นั่งสมาธิ แค่ใจเราสงบนิ่งตั้งมั่น นั้นหล่ะเป็นสมาธิแล้ว
Trader Hunter พบธรรม
สัมมาสมาธิที่ถูกต้อง..ถึงแม้จะมีความสงบ
ไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้อยู่ตลอดกาลตลอด
เวลา.มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์รู้ตลอด
กาล..นี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ.
เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไปในทางอื่นได้.นี้ก็ให้
นักปฏิบัติเข้าใจให้ดี..จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้
จะต้องรู้แต่ต้นจนปลายทีเดียว จึงจะเป็นสมาธิ
ที่ถูกต้อง..ขอให้สังเกตให้มาก สมาธิชนิดนี้ไม่
เป็นอันตราย.
เมื่อเราเจริญสมาธิถูกต้องแล้ว อาจจะสงสัยว่า
มันจะได้ผลที่ตรงไหน มันจะเกิดปัญญาที่ตรง
ไหน.
เพราะท่านตรัสว่า..สมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญา
วิปัสสนา..สมาธิที่ถูกต้องเมื่อเจริญแล้ว มันจะมี
กำลังให้เกิดปัญญาทุกขณะ.
ในเมื่อตาเห็นรูปก็ดี.หูฟังเสียงก็ดี.จมูกดมกลิ่น
ก็ดี.ลิ้นลิ้มรสก็ดี.กายถูกต้องโผฏฐัพพะก็ดี
ธรรมารมณ์เกิดกับจิตก็ดี..อิริยาบถยืนก็ดี.นั่งก็
ดี.นอนก็ดี..จิตจะไม่เป็นไปตามอารมณ์..แต่จะ
เป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นจริงของธรรมะ.
ฉะนั้น.การปฏิบัตินี้เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว
ก็ไม่เลือกสถานที่..จะยืน.จะเดิน.จะนั่ง.จะนอน
ก็ตาม.
จิตมันเกิดปัญญาแล้ว เมื่อมีสุขเกิดขึ้นมาก็รู้เท่า
เมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้เท่า..สุขก็สักว่าสุข.ทุกข์
ก็สักว่าทุกข์เท่านั้น..แล้วก็ปล่อยทิ้ง สุขและ
ทุกข์ไม่ยึดมั่นถือมั่น.
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญา
อย่างนี้เรียกว่า.วิปัสสนา.มันก็เกิดความรู้เห็น
ตามเป็นจริง นี้เรียกว่า.สัมมาปฏิบัติ.เป็นการ
ปฏิบัติที่ถูกต้อง..มีอิริยาบถสม่ำเสมอกัน.
คำว่า. "อิริยาบถสม่ำเสมอกัน" นี้ ท่านไม่
หมายเอาอิริยาบถภายนอก ที่ว่ายืน.เดิน.
นั่ง.นอน..แต่ท่านหมายเอาทางจิตที่มีสติ
สัมปชัญญะอยู่นั่นเอง..แล้วก็รู้เห็นตามเป็น
จริงทุกขณะ.คือมันไม่หลง.
ความสงบนี้มีอยู่สองประการ.คือ.ความสงบ
อย่างหยาบ และความสงบอย่างละเอียดอีก
อย่างหนึ่ง.
อย่างหยาบนั้นคือเกิดจากสมาธิที่เมื่อสงบ
แล้วก็มีความสุข แล้วถือเอาความสุขเป็น
ความสงบ.
อีกอย่างหนึ่งคือ ความสงบที่เกิดจากปัญญา
นี้ไม่ถือเอาความสุขเป็นความสงบ..แต่ถือเอา
จิตที่รู้จักพิจารณาสุขทุกข์เป็นความสงบ.
เพราะว่าความสุขทุกข์นี้เป็นภพเป็นชาติเป็น
อุปาทาน จะไม้พ้นจากวัฏฏสงสารเพราะติด
สุขติดทุกข์..ความสุขจึงไม่ใช่ความสงบ
ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข.
ฉะนั้น.ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้นจึงไม่ใช่
ความสุข..แต่เป็นความรู้เห็นตามเป็นจริงของ
ความสุขความทุกข์..แล้วไม่มีอุปาทานมั่น
หมายในสุขในทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา.
ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น..ท่านจึงเรียก
ว่าเป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
" สัมมาสมาธิ ในอริยมรรค เป็นสมาธิที่มีผลใหญ่
มีอานิสงค์ใหญ่ เป็นสมาธิที่ตั้งใจไว้ชอบ
ใจ ที่ตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธินี้
จะไม่มีความหวั่นไหว คลอนแคลนสมาธิประเภทนี้ ย่อม ขับไล่กิเลสมารทั้ง ๕ คือ นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ ให้หมดสิ้นไป
จากจิตได้ นั่นเอง
นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ ได้แก่
กามฉันทะ ขับไล่ความพอใจในกามารมณ์ได้
ละพยาบาท คือ ความอิจฉาพยาบาท ที่มีอยู่ภายในใจได้
ถีนมิทธะกำจัดความง่วงเหงาหาวนอนได้ หรือความขาดสติปัญญา ของจิตได้
อุทธัจจะกุกกุจจะ ขับไล่ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญของจิตได้
วิจิกิจฉา ไม่มี ความเคลือบแคลงสงสัยเลย
ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และข้อปฏิบัติ ของตน
ในสติ สมาธิ ปัญญา ในมรรค ในผล ในวิมุติ
ไม่มี ความสงสัยเลย ไม่ลูบ ๆ คลำ ๆ
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า...
สมาธิประเภทนี้ ไม่เสื่อม ไม่ถอยหลัง
เป็นสมาธิอยู่...ตลอดกาลเวลา
ไม่มี การเข้า-การออกเป็นอกาลิโก
จะเดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ครุ่นคิด
แม้จะทำกิจการงานอะไร ก็เป็นสมาธิ
มีความตั้งมั่นไว้ชอบอยู่...เสมอ
เพราะ...ได้ละสังโยชน์ตามขั้น ตามภูมิ
ของปัญญาไม่เหมือนสมาธิประเภทอื่น
สมาธิประเภทอื่นนั้น
กาลนั้น จึงเข้าสมาธิ
กาลนั้น จึงจะออกจากสมาธิ
เมื่อยังมีการเข้า - การออกอยู่อย่างนั้น
สมาธิประเภทนี้ การละสังโยชน์เครื่องร้อยรัด
ยังคลุมเคลืออยู่
สัมมาสมาธิ เป็นรัตนะ อันประณีตในธรรม
จะสว่างหาสมาธิ อันศักดิ์สิทธิ์ อันประณีต
ในธรรม เช่นนี้ ย่อม...ไม่มี."
_______________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
การเจริญสติปัฏฐาน4
คือการพัฒนาสติ ปลุกสภาวะรู้ขึ้นมา
ซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะพาพวกเราทุกคน
ก้าวพ้นจากฝั่งวัฏสงสาร ฝั่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง
.
เข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน
ฝั่งที่พ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง
พบความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า...
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ความระงับแห่งสังขารทั้งปวงเป็นสุข
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
เริ่มจากจิตของผู้ที่ยังไม่รับการฝึกสติ
ก็จะไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
เกิดความชอบ ความชัง ความทุกข์
ความกังวลความเร่าร้อน ทุกข์กาย ทุกข์ใจต่างๆ
เกิดตัวตน เกิดภพ เกิดชาติ ในทุกๆขณะจิต
แต่เมื่อมารู้จักการเจริญสติ รู้สึกกาย รู้สึกใจ
ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อสภาวะรู้ เริ่มตื่นขึ้น
ในขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น
กระแสของจิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกตัดลงไป ถูกละลงไป
อุปาทาน ความยึดมั่น
ตัณหา ความยึดติด
ก็จะถูกละออกไป ณ ขณะนั้นๆ ที่สภาวะรู้ ตื่นขึ้นมา
.
ใหม่ๆ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา เดี๋ยวจิตมันก็ไหล
ไปกับอารมณ์ต่างๆ
นึกคิดปรุงแต่ง เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ต่างๆ
เมื่อผู้ปฏิบัติหมั่นเจริญสติระลึกรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น ตื่นได้บ่อยขึ้น
ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ
.
ณ ขณะที่สภาวะรู้ตื่นขึ้น จิตที่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป ธรรมชาติของจิตในชั้นของ
กามาวาจร ก็จะเกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดทางตา เกิดการเห็น
เกิดทางหู เกิดการได้ยิน
เกิดทางจมูก เกิดการได้กลิ่น
เกิดทั้งลิ้น เกิดการลิ้มรส
เกิดทางกาย เกิดสัมผัสทางกายขึ้นมา
เกิดผัสสะ เกิดเวทนา
เกิดความชอบ ความชัง ความติดใจ ความไม่พอใจ
.
ในขณะที่มีสติ สภาวะรู้ตื่นขึ้นมา
กระแสของจิตเมื่อเกิดตามอายตนะต่างๆ
ก็จะถูกละลงไป
ไม่เกิดความชอบ ไม่เกิดความชัง
เหลือแค่รู้ แค่รู้สึก ณ ขณะนั้นๆขึ้นมา
เมื่อผู้ปฏิบัติเพียรเจริญสติ ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ
สภาวะรู้ก็จะเริ่มตื่นขึ้น มีกำลังขึ้น
เมื่อสภาวะรู้มีความตั้งมั่น
มีกำลังพอ จิตก็จะถูกละออกไป ไม่ส่งออกไปในอารมณ์ต่างๆ
เกิดที่อายตนะใจอย่างเดียว
ก็จะเข้าสู่สภาวะของชั้นสมาธิรูปาวาจร
สติมั่นคง จิตตั้งมั่น
.
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกละลงไป
เหลือแค่เกิดตามอายตนะต่างๆ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
ก็จะเกิดสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
เกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมา
กระแสของปฏิจจสมุปบาทก็จะถูกทวนกระแส
ออกมาเรื่อยๆ
จากปกติที่จิตไหลไปกับอารมณ์
เกิดตัณหาอุปาทาน ตัณหาอุปาทานก็ถูกละออกไป
จากจิตที่เกิดตามอายตนะ
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
อายตนะทั้ง 5 ก็ถูกละลงไป เกิดที่ใจอย่างเดียว
ในสภาวะของสัมมาสมาธิ ชั้นรูปาวจร
เมื่อผู้ปฏิบัติพัฒนากำลังสติไปเรื่อยๆ
สภาวะรู้มีกำลังทรงตัวพอ
จิตซึ่งเกิดจากอวิชชา ซึ่งบดบังสภาวะรู้อยู่
ก็จะเริ่มเกิดการหลุดออก แยกออกจากกัน
.
เมื่อสภาวะรู้มีกำลังพอ เมื่อจิตกับสภาวะรู้
ถูกแยกออกจากกัน
สิ่งที่บดบังสภาวะรู้อยู่ถูกละออกไป
ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏตามความเป็นจริง
เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
รูปนามขันธ์ 5 ก็จะเกิดการแตกดับตามความเป็นจริง
เห็นจิตเกิดดับตามความเป็นจริง
เข้าสู่วิปัสสนาญาณเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริงอยู่เนืองเนือง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
ย่อมเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
ก็จะคืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ
เมื่อสภาวะรู้มีความละเอียดถึงขีดสุด
ย่อมเห็นปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นอนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่างแห่งสภาวะรู้
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
เมื่อสภาวะรู้มีความละเอียดถึงขีดสุด
ย่อมเห็นปฐมเหตุ
ที่ทำให้อวิชชาเกิดขึ้น เป็นอนุภาคอิสระเคลื่อนที่
ท่ามกลางความว่างแห่งสภาวะรู้
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดคืนจากทุกสิ่ง
คืนสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์
ที่พ้นจากการปรุงแต่งทั้งปวง
เมื่ออยู่กับสภาวะรู้ ก็สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ
ภายนอกจะวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม
ภายใน นิ่ง ว่าง สงบอยู่ ไร้อัตตาตัวตน
การภาวนาจึงเห็นแล้วว่าต้องพยายามทำใจของเราให้เป็นกลางแล้วมีสติไม่หวั่นไหวทั้งที่ดีและไม่ดี ถ้ามีความยินดีก็ยังหวั่นไหว เพราะฉะนั้นในโพชฌงคสูตร (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้) ที่ท่านได้กล่าวไว้
๑.สติสัมโพชฌงค์ คือมีสติรู้กาย เวทนา จิต ธรรม
๒.ธัมมวิจยะสัมโภชฌงค์ คือความสอดส่องธรรม ความเลือกเฟ้นธรรม มีปัญญากลั่นกรองธรรมะทั้งหลายนั้นให้เหลือแต่ธรรมที่ดีเป็นกลาง ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ทั้งปวง
๓.วิริยสัมโภชฌงค์ คือความพากเพียร
๔.ปิติสัมโภชฌงค์ คือความอิ่มใจที่ได้เดินมาถูกต้อง ความอิ่มใจที่ได้เกิดการปฏิบัติธรรม ปิตินั้นเป็นตัวให้กำลังและเป็นตัวขจัดถีนมิทธะคือความท้อถอยเบื่อหน่าย
๕.ปัสสัทธิสัมโภชฌงค์ คือการสงบกายสงบใจเพื่อข่มปิติให้หยุดตัว ถ้าปิติไม่หยุดตัวไม่ถึงสมาธิ อาการใดๆที่มีความโลดโผนทางกายพึงระงับพึงข่มในสิ่งเหล่านั้นไว้ไม่ให้มากเกินไป
๖.สมาธิสัมโภชฌงค์ คือ(ความมีใจตั้งมั่น จิตแน่วในอารมณ์) สมาธิเมื่อเกิด อยู่กับจิตย่อมทำลายนิวรณ์ต่างๆหรือวิตก กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกเหล่านี้ให้เบาบางและหมดไป
๗.อุเบกขาสัมโภชฌงค์ คือ(ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามเป็นจริง)รู้จักตามความจริงของธรรมชาติแล้วก็จะเกิดปัญญา
เพราะฉะนั้นสมาธิจึงเป็นฐานที่เกิดของปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างสุขอยู่ในจิต ทุกข์อยู่ในจิตของเราเองทั้งสิ้น
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
" .. อันหนึ่งสมถะ อันหนึ่งวิปัสสนา มันถูกกับจริตอันใด การภาวนามันสบาย ก็ให้เอาอันนั้น "ถ้ามันถูกกับจริต จิตก็สงบสบาย" ไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น "จิตรวมอยู่ นั่นแหละมันถูกนิสัย"
ครั้นมันไม่ถูกนิสัยแล้ว "นึกพุทโธหรืออันใดมันก็ฟุ้งซ่าน หายใจยาก หายใจฝืดเคือง" หมายความว่ามันไม่ถูกจริตของตน "อันใดมันถูกจริต มันก็สบายใจ ใจสว่าง จิตไม่ฟุ้งซ่าน" เบื้องต้นใครเอาอันใด ก็ต้องเอาอันนั้นเสียก่อน
พิจารณาอาการสามสิบสอง "นี่เรียกว่าวิปัสสนา" เรียกว่าค้นคว้า เมื่อเราบริกรรมพุทโธหรืออะไรก็ตาม บริกรรมแล้วมันไม่สงบ เราก็ต้องค้นคว้าหาอุบาย มันเป็นการอบรมกัน มันเป็นเรื่องปัญญา "จิตไม่สงบเราก็ต้องพิจารณา ให้มันสงบ"
มันไม่สงบแล้วมันก็ไปที่อื่น ไปสู่อารมณ์ภายนอกที่อื่น "เราก็ต้องเอามันมา ปลอบโยนมัน" ค้นคว้าให้มัน"พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปสุดตลอด ให้มันครบถึงอาการ ๓๒" ใช้สัญญาค้นไป ค้นไป ไม่ให้มันไปที่อื่น ค้นไป "บางทีมันลงความเห็นเรื่องปัญญา" เราค้นไป ว่าไป "มันมีความเห็นตามแล้วมันก็สังเวช สลดใจ จิตมันจึงจะสงบลง"
ต้องเอาอย่างนั้นเสียก่อน แล้วจึงพัก เอาอย่างนี้ "ต่างฝ่ายต่างอบรมกัน สมาธิอบรมปัญญาให้เกิด ปัญญาอบรมสมาธิให้เกิด" ปัญญาล้อมรอบมัน แล้วมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้มันก็ลง "เรียกว่า ปัญญาอบรมมัน" .. "
เมื่อจิตรวมแล้ว มันจะรู้ตามความเป็นจริง มันจะว่าง มันจะวาง ว่างนั่นแหละ พอจิตรวมแล้วมันก็วาง ค้นหาตัวไม่มี พอมันสงบแล้วปัญญามันเกิดขึ้นของมันเอง ครั้นมันสงบลงถึงฐานถึงที่ มันเป็นอัปปนาแล้ว มันเกิดขึ้นเองนะ พอนึกเท่านั้น มันปรุงฟุ้งขึ้น มันปรุงแล้ว มันไม่ได้ยึดแสงสว่าง สว่างหมดทั้งโลกก็ตาม มันไม่ไปยึด มันสาวเข้าหาคน คนอยู่ที่ไหนมันอวดว่าตนว่าตัว ไล่เข้าไป ถ้ามันรวมลงอย่างนั้น มันอาศัยสติควบคุมให้มันอยู่ อย่าให้มันไป จิตรวมลงอย่างนี้แจ่มใสทีเดียว ไม่ใช่มันง่วงนอน มันไม่ใช่วิสัยของสมาธิ อันนี้มันแจ่มใสอย่างนั้น เรียกว่าสัมมาสมาธิ มันเป็นสมาธิอันถูกต้อง แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ (หลวงพ่อ : แม่นภาษาอีสานนะ) แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ แม่นจิตนั่นแหละ เป็นตัวศีลล่ะ จิตนั่นแหละเป็นตัวสมาธิ จิตนั่นแหละเป็นตัวปัญญา อันเดียวนั่นแหละ มันจะถึงอธิจิต อธิศีล อธิปัญญาได้ ก็อาศัยสติควบคุม
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบังลำภู
สมาธิภาวนา กับ นิมิต
หลวงพ่อเพิ่ม ได้เล่าถึงประสบการณ์ในการปฏิบัติกัมมัฏฐาน สมัยเริ่มต้น เมื่อครั้งยังเป็นสามเณรว่า ตอนที่ฝึกกัมมัฏฐานใหม่ๆ นั้น ท่านยังไม่ประสีประสาอะไรเลย หลวงปู่ดูลย์ได้แนะนำถึงวิธีการทำสมาธิว่า ควรนั่งอย่างไร ยืน เดิน นอน ควรทำอย่างไร
ในชั้นต้น หลวงปู่ให้เริ่มที่การนั่ง เมื่อนั่งเข้าที่เข้าทางแล้วก็ให้หลับตาภาวนา “พุทโธ” ไว้ อย่าส่งใจไปคิดถึงสิ่งอื่น ให้นึกถึงแต่ พุทโธ พุทโธเพียงอย่างเดียว ก็จดจำนำไปปฏิบัติตามที่หลวงปู่สอน
ปกติของใจเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มักจะคิดฟุ้งซ่านไปโน่นไปนี่เสมอ ในระยะเริ่มต้นคนที่ไม่เคยฝึกมาก่อน อยู่ๆ จะมาบังคับให้มันหยุดนิ่ง คิดอยู่แต่พุทโธประการเดียว เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
สามเณรเพิ่มก็เช่นเดียวกัน เมื่อภาวนาไปตามที่หลวงปู่สอนได้ระยะหนึ่งก็เกิดความสงสัยขึ้น จึงถามหลวงปู่ว่า “เมื่อหลับตาภาวนาแต่พุทโธแล้ว จะเห็นอะไรครับหลวงปู่”
หลวงปู่บอก “อย่าได้สงสัย อย่าได้ถามเลย ให้เร่งรีบภาวนาไปเถิด ให้ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆ แล้วมันจะรู้เองเห็นเองแหละ”
มีอยู่คราวหนึ่ง ขณะที่สามเณรเพิ่มภาวนาไปได้ระยะหนึ่ง
จิตเริ่มสงบ ก็ปรากฏร่างพญางูยักษ์ดำมะเมื่อม ขึ้นมาอยู่ตรงหน้า มันจ้องมองท่านด้วย ความประสงค์ร้าย แผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟ่อ-ฟ่อ อยู่ไปมา
สามเณรเพิ่มซึ่งเพิ่งฝึกหัดภาวนาใหม่ๆ เกิดความหวาดกลัว ผวาลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นพญางูยักษ์ จึงรู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่ท่านเห็นนั้นเป็นการเห็นด้วย
สมาธิจิตที่เรียกว่า นิมิต นั่นเอง จึงได้หลับตาลงภาวนาต่อ พอหลับตาลงเท่านั้นก็พลันเห็นงูยักษ์แผ่แม่เบี้ย
ส่งเสียงขู่ทำท่าจะฉกอีก แม้จะหวาดกลัวน้อยลงกว่าครั้งแรก แต่ก็กลัวมากพอที่จะต้องลืมตาขึ้นอีก
เมื่อนำเรื่องนี้ไปถามหลวงปู่ ได้รับคำอธิบายว่า
“อย่าส่งใจไปดูไปรู้ในสิ่งอื่น การภาวนาท่านให้ดูใจของตนเองหรอก ท่านไม่ให้ดูสิ่งอื่น”
“การบำเพ็ญกัมมัฏฐานนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้น ไปรู้ไปเห็นอะไรเราอย่าไปดู ให้ดูแต่ใจ ให้ใจอยู่ที่พุทโธ เมื่อกำลังภาวนาอยู่ หากมีความกลัวเกิดขึ้น ก็อย่าไปคิดในสิ่งที่น่ากลัวนั้น อย่าไปดูมัน ดูแต่ใจของเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วความกลัวมันจะหายไปเอง”
หลวงปู่ได้ชี้แจงต่อไปว่า สิ่งที่เราไปรู้ไปเห็นนั้น บางทีก็จริง บางทีก็ไม่จริง เหมือนกับว่า คนที่ภาวนาแล้วไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ เข้า การที่เขาเห็นนั้นเขาเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่จริง เหมือนอย่างที่เราดูหนัง เห็นภาพในจอหนัง ก็เห็นภาพในจอจริงๆ แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริงเพราะความจริงนั้นภาพมันไป จากฟิล์มต่างหาก
ฉะนั้น ผู้ภาวนาต้องดูที่ใจอย่างเดียว สิ่งอื่นนอกจากนั้นจะหายไปเองให้ใจมันอยู่ที่ใจนั้นแหละ อย่าไปส่งออกนอก
ใจนี้มันไม่ได้อยู่จำเพาะที่ว่า จะต้องอยู่ตรงนั้นตรงนี้ คำว่า “ใจอยู่กับใจ” นี้คือ คิดตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น
แหละ ความคิดนึกก็คือตัวจิตตัวใจ
หากจะเปรียบไปก็เหมือนเช่นรูปกับฟิล์ม จะว่ารูปเป็นฟิล์มก็ได้ จะว่าฟิล์มเป็นรูปก็ได้ ใจอยู่กับใจ จึงเปรียบเหมือนรูปกับฟิล์มนั่นแหละ
แต่โดยหลักปฏิบัติแล้ว ใจก็เป็นอย่างหนึ่ง สติก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นสิ่ง เดียวกัน เหมือนหนึ่งว่าไฟกับกระแสไฟ ความสว่างกับไฟก็อันหนึ่งอันเดียวกันนั่นแหละ แต่เรามาพูดให้เป็นคนละอย่าง
ใจอยู่กับใจ จึงหมายถึง ให้มีสติอยู่กำกับมันเอง ให้อยู่กับสติ
แต่สติสำหรับปุถุชน หรือสติสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ เป็นสติที่ยังไม่มั่นคงมันจึงมีลักษณะขาดช่วง เป็นตอนๆ ถ้าเราปฏิบัติจนสติมันต่อกันได้เร็ว จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้เป็นแสงสว่างอย่างเดียวกัน
อย่างเช่น สัญญาณออด ซึ่งที่จริงมันไม่ได้มี เสียงยาวติดต่อกันเลยแต่เสียงออด-ออด-ออด ถี่มาก จนความถี่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเราจึงได้ ยินเสียงออดนั้นยาว
ในการปฏิบัติที่ว่า ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้ก็คือให้มีสติกำกับใจ ให้เป็นสติถาวร ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง แต่ให้มันสว่างต่อกันไปตลอดเวลา
เมื่อ"สติ"มันติดต่อกันไปอย่างนี้แล้ว ใจมันก็มีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา”
ตัวรู้ก็คือ สติ นั่นเอง
หรือจะเรียกว่า “พุทโธ” ก็ได้ พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือ"ตัวสติ"นั่นแหละ
เมื่อมีสติ ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ มันก็จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติของมันเอง เวลาดีใจก็จะไม่ดีใจจนเกินไป สามารถพิจารณารู้ได้โดยทันทีว่า สิ่งนี้คืออะไรเกิดขึ้น และเวลาเสียใจมันก็ไม่เสียใจจนเกินไป เพราะว่าสติมันรู้อยู่แล้ว
คำชมก็เป็นคำชนิดหนึ่ง คำติก็เป็นคำชนิดหนึ่ง เมื่อจับสิ่งเหล่านี้มาถ่วงกันแล้วจะเห็นว่า"มันไม่แตกต่างกัน"จนเกินไป มันเป็นเพียงภาษาคำพูด เท่านั้นเอง ใจมันก็ไม่รับ
เมื่อใจมันไม่รับ ก็รู้ว่าใจมันไม่มีความกังวล ความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ ก็ไม่มี ความกระเพื่อมของจิตก็ไม่มี ก็เหลือแต่ความรู้อยู่ในใจ
สามเณรเพิ่มจดจำคำแนะนำสั่งสอนจากหลวงปู่ ไปปฏิบัติต่อ ปรากฏว่าสิ่งที่น่าสะพึงกลัวไม่ทำให้ ท่านหวาดหวั่นใจอีกเลย ทำให้ท่านสามารถโน้มน้าวใจสู่ความสงบ ค้นพบปัญญาที่จะนำสู่ความสุขสงบในสมาธิธรรม ตั้งแต่บัดนั้นมา
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
#ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
ธรรมคำสอนที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอนเอาไว้มีมาก ล้วนแล้วแต่มีสาระมีประโยชน์ อย่างในพระธรรมเทศนาขององค์หลวงปู่เทสก์ วัดหินหมากเป้ง ที่ท่านฝากเอาไว้นี้ ไม่น้อยเลย มีคุณค่ามหาศาล ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพวกเราที่ฝากไว้กับลูกกับหลาน หลวงพ่อยังจำไม่ลืม เมื่อท่านไปอยู่ที่วัดถ้ำขาม ท่านอยู่ที่หินหมากเป้ง ท่านไม่มีเสียง หมดเสียง ในช่วงนั้นนะ แต่นี้พอท่านไปจำพรรษาที่ถ้ำขามพวกเราก็ไปกราบคารวะท่าน หลายคนหลายวัดว่างั้นเถอะ พอไปถึงท่าน โอ้ ! ดีแล้ว พระลูกพระหลานมา ญาติโยมมา เรามีเสียงขึ้นมาบ้าง หลวงปู่มีเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว เดี๋ยวหลวงปู่จะพูดอะไรให้ฟัง เทศน์อะไรให้ฟังอีก เพราะต่อไปมันคงไม่มีเสียงอีกกระมัง ท่านว่าอย่างนั้น ถ้าไม่มีเสียงมา ตั้งใจฟังนะ แต่ท่านพูดในวันนั้นนะ พูดด้วยความตั้งใจ อยากจะสอนพวกพระลูกพระหลานว่างั้นเถอะ
ท่านก็เน้นหนักเรื่องสมาธิ
ท่านบอกว่า ถ้าหากว่ายังทำจิตให้เป็นหนึ่งยังไม่ได้ อันนั้นแปลว่ายังไม่รู้รสของพระธรรม ยังไม่ซึ้งในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับพระพุทธศาสนาเหมือนกับต้นมะม่วง ถ้าหากว่าเราเพียงแต่มารักษาศีล มาปฏิบัติ เหมือนกับเราเข้าไปอยู่ที่โคนต้นมะม่วง เพียงแต่ว่าได้บังแดด บังฝนร่มเย็นเป็นสุขในระดับหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าพวกเราได้ลิ้มรสของมะม่วง มะม่วงสุก เราจะได้ทั้งรสด้วย ได้ทั้งความร่มเย็นด้วยจากต้นมะม่วงนั้น
อันนี้ก็เหมือนกันพระพุทธศาสนาคือเหมือนกับต้นมะม่วงต้นหนึ่ง เราเข้ามาพึ่งพาอาศัยด้วยการรักษาศีลด้วยภาวนา จิตใจของเราก็ได้รับความสงบร่มเย็นในระดับหนึ่ง เพราะตัดความวุ่นวายออกจากโลกภายนอก แต่ว่าถ้าหากว่าเรายังทำจิตให้สงบเป็นหนึ่งยังไม่ได้ อันนั้นแปลว่า ยังไม่รู้ของพระธรรม รสของพระธรรมที่แท้จริง
ขอให้ตั้งใจภาวนานะ ถ้าภาวนาแล้วจิตใจสงบเป็นหนึ่ง เป็นอัปปนาสมาธิ จิตใจเป็นอันใด สติเป็นอันนั้น จิตเป็นอันใด สติเป็นอันนั้น เมื่อนั้นแหละ กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน นั้นแหละได้ลิ้มรสของพระธรรมอย่างแท้จริง
หลวงพ่อยังไม่ลืมที่หลวงปู่เทสก์เคยให้โอวาท มาพิจารณาดูแล้วจริงอย่างที่หลวงปู่พูดทุกประการ ถ้าหากว่าพวกเราทำจิตให้สงบ ยังไม่ได้อยู่ตราบใดนะ พวกเรายังไม่รู้พระธรรม คล้ายๆว่าเหมือนกับถ้าเป็นจอกแหนก็คล้ายว่ามันลอยอยู่ในน้ำ มันหยั่งรากยังไม่ลึกว่างั้นเถอะ แต่ถ้าหากว่าเราได้ปฏิบัติได้ภาวนาจิตเข้าสู่ความสงบเป็นหนึ่งแล้วแปลว่ามันถอนยาก เชื่อในพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เชื่อแบบตำรับตำรา ไม่ใช่เชื่อคิดเดาเอาเฉยๆ เชื่อในตัวเองว่า เออ ! พระพุทธเจ้าสอนเรื่องสมาธินี้ เออ ! มีความสุขจริงๆ นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จริง จริงๆอันนี้ยอมรับด้วยตัวเอง ยอมรับด้วยใจว่างั้นเถอะ เรื่องสมาธินี่
อันนี้ที่หลวงปู่พูดเทศน์ที่ถ้ำขามนะ หลวงปู่เทสก์ของเรานี้ พูดที่ถ้ำขามวันนั้นนะ เป็นเวลา หลายปีแล้ว หลวงพ่อยังจำไม่ลืมว่างั้นเถอะ เออ ! เอามาคิดเวลาไหนก็จริงเวลานั้น
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
สมถะและวิปัสสนา ล้วนมีส่วนเสริมกัน
ระหว่างเจริญวิปัสสนา กับสมถะ เจริญวิปัสสนาไปเยอะๆนั้นดีแน่เพราะได้ปัญญา การเจริญสมถะไปมากๆก็ดีทําให้มีสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่กับตัวเรา แต่ถ้าเราเดินอย่างหนึ่งอย่างใดไปมากๆ โดยไม่มีอีกอันเสริมเลยจะหลุดในช่วงปลายๆ ที่ได้ฌานหรือได้ญาณกันแล้ว เป็นผู้รู้แล้วแต่ยังไม่พ้นตน เรียกว่ารู้ระดับได้สภาวะหมดแล้วด้วย คนที่เจริญปัญญาทําวิปัสสนาไปมากๆจะหลุดเรื่องอารมณ์ ปัญญาญาณหยั่งรู้แม้จะลอกอวิชชาไปเยอะแล้ว แต่อวิชชาตัวที่เหลือติดอยู่กลับมีแรงดึงให้เราหลุดเพิ่มขึ้นมากมายหลายเท่ากว่าเดิมมากนัก เช่น กาม ตัญหา แม้เราจะรู้หมดด้วยญาณแต่กามที่แทบจะร้อนเป็นไฟเผาร่าง ยิ่งถ้าไปเจออดีตคู่กรรมที่เคยร่วมกรรมกันมาผูกพันกันมากๆมา(แล้วโดนพบเจอแน่ๆ เพราะเป็นชาติท้ายๆของคุณแล้ว ยิ่งดึงให้มารีบเจอกันอีกก่อนอดเจอ เลยเจอบททดสอบว่าผ่านไม่ผ่านไปในตัวอีกด้วย) ทําให้หลุดไปเริ่มใหม่กันไปก็เยอะ เพราะเราเชื่อมั่นในปัญญามากเกินไป โดยไม่เอาสมถะมาช่วยกํากับทําให้จิตตั้งมั่น "ไม่วอกแวกได้" สุดท้ายก็หลุดกันครับ ไปหัดเดินซํ้าวนกลับมาใหม่ซะ ส่วนในรายที่เน้นแต่สมถะเป็นหลักโดยไม่เอาวิปัสสนาไม่เอาปัญญาเลย จะเห็นได้เลยครับกลุ่มนี้ในช่วงปลายๆจะไม่ค่อยหลุดเรื่อง กาม ตัญหา เพราะกําลังของสมาธิที่มีมากๆแม้จะเป็นของชั่วคราว แต่กลุ่มนี้เจริญไปถึงจุดหนึ่งจะตันไปต่อไม่ได้อยู่กับสภาวะนิพพานเทียมว่างเทียม ว่างที่ไม่มีสติปัญญากํากับ ว่างแบบโล่งๆไม่มีอะไร เป็นว่างที่เกิดจากกําลังของสมถะซึ่งเสื่อมได้ หลงติดในสุขแห่งสมาธินั้น แต่จะไม่ได้มรรคผล และอวิชชาก็ไม่ได้หลุดออกไปจากจิตเลย ปัญญาญาณไม่สามารถทําหน้าที่ได้เพราะคลุมไปด้วยอวิชชา ยังหลงทางอยู่ ถ้าเอาวิปัสสนามาเสริมกลุ่มนี้ได้ จะเดินหน้าได้เร็วมากครับ