ธรรมนคร : นครของพระพุทธเจ้า
คำสอนหลักขององค์พระพุทธเจ้า
พุทธโอวาท
< เส้นทางสู่วิมุติญาณทัศนะ >
สานุศิษย์ได้ถามปรมาจารย์ตั๊กม้อ (พระโพธิธรรม) ว่า
"จะทำอย่างไร จึงจะเป็นคนที่มีความสุข
และสามารถนำความสุขมาสู่คนอื่นได้?"
ปรมาจารย์ตั๊กม้อยิ้มแล้วตอบว่า
"วิธีการนั้นแบ่งออกเป็นสี่ระดับ
เจ้าสามารถลองทำความเข้าใจ
ในความแยบยลที่ซ่อนอยู่ได้
ก่อนอื่น จงเห็นตนเองเป็นคนอื่น
นี่เรียกว่า "ไร้อัตตา"
จากนั้น "จงเห็นคนอื่นเป็นตัวเอง"
นี่เรียกว่า "เมตตากรุณา"
ต่อมา "จงเห็นคนอื่นเป็นคนอื่น"
นี่เรียกว่า "ปัญญา"
สุดท้าย "จงเห็นตัวเองเป็นตัวเอง"
นี่เรียกว่า "อิสระเสรี"
-------------------------------
อะไรดี ๆ ก็ทำไป...**การสร้างบารมีเต็ม 3 ขั้น**
" ช่างผู้ฉลาดได้สร้างเมืองไว้อย่างนี้ ฉันใด
พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ
ผู้ล้ำเลิศ ผู้ไม่มีใครเหมือน
ผู้ชั่งพระคุณไม่ได้ ผู้นับพระคุณไม่ได้
ผู้ประมาณพระคุณไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์ด้วยพระคุณ
ผู้มีพระปรีชา พระเดช พระกำลัง
พระวิริยะ หาที่สุดมิได้
ผู้ถึงความสำเร็จแห่งกำลังของพระพุทธเจ้า
ทรงทำลายมารพร้อมทั้งเสนา ทำลายข่ายคือทิฏฐิ
ทำลายอวิชชา ทำให้วิชชาเกิด
ทรงไว้ซึ่งพระธรรมจักร สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ
ชนะสงครามทั้งสิ้นแล้ว
ก็ได้ทรงสร้างธรรมนครไว้ฉันนั้น "
คำสอนหลักขององค์พระพุทธเจ้า
หรือ เป็นเป้าหมาย
จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุด ของพระพุทธศาสนา คือ
ให้ทุกคน ดับการเกิดของตน
โดยการรู้เหตุที่เกิดตน แล้วรู้เหตุที่ดับตน
ทำเหตุที่จะดับตนนั้นให้สำเร็จ เพื่อดับตนให้ได้
จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก
นี่หละ คือ เป้าหมายชัดเจนแล้ว
และพระพุทธองค์ก็ได้ชี้ทางเอาไว้ว่า
การที่มีเรา ก็เพราะว่า มีเชื้อกิเลสตัณหา
คือ ความรัก โลภ โกรธ หลง
ความอยาก และความไม่อยาก
เหตุที่จะทำให้เราดับเชื้อเหล่านี้ได้ ก็คือ
ศีล ธรรม สมาธิ และปัญญา
ศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา จะช่วยดับ
........
ฝึกสมาธิแล้ว เพื่อที่เอาสมาธินั้นมาฝึกปัญญา
แล้ว ปัญญา คืออะไรเล่า ?
ปัญญาธรรม ก็คือ การรู้แจ้ง เข้าใจ ในสรรพสิ่งทั้งหลาย เหตุที่เกิด และเหตุที่ดับ
การรู้เหตุที่เกิดตน แล้วรู้เหตุที่ดับตน คืออย่างไร ?
996. อานุภาพ..แห่ง.ธรรมทาน
แม้เราจะทำสังฆทาน สร้างโบสถ์ วิหาร พระประธาน เจดีย์ เป็นอามิสทานอันยิ่งใหญ่ แม้จะน้อมถวาย ให้กับผู้ปราศจากความอิจฉา ความโกรธ จะมีผลมากก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น ธรรมทานย่อมเป็นเลิศ กว่าอามิสทานฯ เพราะการให้”ธรรมทาน”
ทำให้ผู้สดับรับฟัง ได้ลิ้มรสแห่งธรรม มีความยินดีในธรรม ย่อมทำให้ผู้นั้น สิ้นตัณหา ย่อมพ้นทุกข์ทั้งปวงได้
การบูชาด้วยธรรม การสละธรรม การบริจาคธรรม การบริโภคธรรม การสมโภคธรรม การจำแนกธรรม การสงเคราะห์ด้วยธรรม การอนุเคราะห์ด้วยธรรม ความเอื้อเฟื้อด้วยธรรม การแจกจ่ายธรรม จึงย่อมเป็นเลิศ กว่า อามิสทาน
ผู้ที่พร่ำสอนธรรม ชื่อว่าให้”อมฤตธรรม ฯ” ..ทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรม ล่วงพ้นจากทุกข์ได้ จึงมีอานิสงส์มากนัก
ธรรมทาน จึงเป็นเลิศยิ่งนัก อานุภาพมากนัก..ดังนี้แล
(และการให้ธรรมทาน ทำให้การสร้างบารมีเต็มไว ).
.ฟังแล้ว .หัวใจข้าพเจ้า..อดแอบยิ้ม.ปิติดีใจ มิได้.ที่หัวใจยังไม่เบื่อหน่าย ในการลงธรรมทาน..สาธุ.
มโนธาตุ โพธิญาณ
ก่อนจะข้ามฝั่ง..
เราทุกคนล้วนมีหน้าที่ในการถอดถอนกิเลส ด้วยการทวนกระแสของตัณหา จากการรื้อค้นด้วยการพิจารณาสังเกตกายใจตนเอง เพื่อหาเหตุอันเป็นเชื้อที่จิตยังหลงยึดติดอยู่ ยังให้ค่าเป็นยินดี ยินร้ายอยู่
ทุกการเห็นทุกข์ จากจิตที่ได้รับรู้ทุกข์นั้นๆ ที่มีอยู่ ไม่ใช่เพื่อให้เราเข้าไปเป็นเจ้าของความทุกข์นั้น หรือเพื่อให้หาวิธีหนีทุกข์ เพียงแต่ให้เรา 'รู้' ว่ามันมีอยู่เพราะมีเหตุปัจจัย และย่อมดับไปเมื่อเหตุนั้นดับลง
วิมุตติธรรม
ในร่างกายและจิตใจ มีสิ่งที่อาจเรียกว่า 'พระไตรปิฏก' ที่แท้จริงให้ศึกษา ชนิดที่ไม่อาจเติมเข้า หรือ ชักออก แม้แต่อักขระเดียว
ขอให้พยายามอ่านพระไตรปิฏกเรื่องทุกข์
เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์
และทางให้ถึงความดับทุกข์
จากพระไตรปิฏก เล่มนี้ กันทุกคนเถิด.
มรดกท่านพุทธทาส..
< โอฆะ 4 >
กาโมฆะ โอฆะคือ กาม
ภโวฆะ โอฆะคือ ภพ
ทิฏโฐฆะ โอฆะคือ ทิฏฐิ
อวิชโชฆะ โอฆะคือ อวิชชา
โอฆะ หมายถึง กระแสน้ำกิเลสที่ท่วมทับใจสัตว์โลกให้จมอยู่ในความต่ำทราม มี 4 ประเภท คือ
1) กาโมฆะ กระแสน้ำแห่งกามคุณเป็นเหตุให้อยากได้ใคร่มีครอบครองต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่ต้องการมาตอบสนองความอยากของตน
2) ภโวฆะ กระแสน้ำแห่งความยินดีในอัตภาพของตน เป็นเหตุให้อยากเป็นอยู่ อยากเกิดในภพที่ตนปรารถนาอย่างไม่สิ้นสุด
3)ทิฏโฐฆะ กระแสน้ำแห่งความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เป็นผู้มีความเห็นมิจฉาทิฏฐิ 10 อย่าง
4) อวิชโชฆะ กระแสน้ำแห่งความโง่เขลาเป็นเหตุให้ไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริง
>>> พยายามข้ามกระแสน้ำทั้ง 4 ให้ได้... สู่ โลกุตตรภูมิ ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งปวง
San Nirvana
พระธรรมคำสอน "สมเด็จองค์ปฐม"
สภาพเวทนาใดๆ เกิดขึ้นกับขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้
จงยอมรับว่าเป็นธรรมดา
อย่าเอาจิตไปสงสัยว่าเป็นความผิดปกติ
จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
เกิดขึ้นเป็นปกติมาแล้วกับเราทุกชาติที่ร่างกายปรากฏ
จิตของเรามักจักดิ้นรน ไม่ยอมรับความจริงอันเป็นปกตินี้
มาแล้วทุกชาติ ฝืนธรรมอยู่เป็นนิจ
ยังอารมณ์ให้ตกอยู่ในกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ไม่ยอมรับกฎธรรมดาของขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้
จิตจึงมีความกำหนัด อยากมีขันธ์ ๕ ที่ฝืนธรรมอยู่เนือง ๆ
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
อย่างไร คือ รู้, ตื่น, เบิกบาน ?
...........
เห็นความจริงทุกด้านของชีวิต ทั้งด้านในและด้านนอก รู้อันใดดีอันใดชั่ว.. เรียกว่า "รู้"
ครั้นรู้แล้ว เอาความชั่วทิ้งไป เอาความดีมาปฏิบัติ ลงมือทำบำเพ็ญเพียรไปสู่ความถูกต้องดีงาม ความบริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่มัวเมาหลับไหลไร้สติ ไม่ประมาท.. เรียกว่า "ตื่น"
ครั้นอยู่ในระหว่างลงมือทำ หรือลงมือทำไปแล้ว มีอารมณ์จิตผ่องใสอยู่ทุกขณะ ยิ่งเมื่อปฏิบัติสำเร็จกิจแล้ว ก็ยิ่งผาสุกผ่องใสไม่ย้อนกลับมาขุ่นมัวเศร้าหมองอีกเลย.. เรียกว่า "เบิกบาน"
"รู้, ตื่น, เบิกบาน" 3 ประการนี้ ต้องผนวกรวมเข้าหากันอย่าง สมบูรณ์ บริบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องประการใดประการหนึ่งเลย จึงจะสมด้วยความหมายของคำว่า "พุทธะ"....นะลูกหลานเอ๊ย
หลวงปู่เทพโลกอุดร
ปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาสูงสุด
“ พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
เราจักเป็น ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ดังนี้ "
"การที่หนังสือบางเล่มว่า "นิพพานอยู่เหนือรูปเหนือนาม"
อันนั้นก็เป็นการถูกเพราะรูปนามไม่ใช่นิพพาน
ถึงแม้จิตจะไม่ใช่พระนิพพาน
ด้วย เหตุนั้นท่านจึงบัญญัติว่ารูป จิต เจตสิก นิพพาน ดังนี้
นิพพานจึงไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่นิพพาน
แต่อาศัยจิตเป็นทางเดินถึงพระนิพพาน
เพราะสามารถรวมไตรสิกขาในจิตนั้นได้"
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
บทสรุปคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ธรรมเรียนรู้ได้ที่จิต
ให้บริกรรมเพื่อรวมอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้ บริกรรม "พุทโธ"
ทำความเข้าใจในอารมณ์ความคิดนึก สังเกตกิเลสที่กำลัง ปรากฏให้ออก
อย่าส่งจิตออกนอก อย่าให้จิตคิดส่งไปภายนอก (เผลอ) ให้สังเกตความหวั่นไหวหรือปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์ที่รับ เข้ามาทางอายตนะทั้ง ๖
จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป คือรู้ทันพฤติของจิต
รู้ เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดถึงจะรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด คืออย่าไปห้ามความคิด
แยกรูปถอด (ความปรุงแต่ง) ก็ถึงความว่าง แยกความว่าง ถึงมหาสุญตา
สรุปอริยสัจแห่งจิต
จิตส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
1. อะไร คมที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า มีดที่ลับหินดีแล้ว คมที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. วาจาที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำร้ายหัวใจผู้อื่น คมที่สุด
2. อะไร ไกลที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า ดวงอาทิตย์ สุดขอบจักรวาล ไกลที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. อดีตที่ผ่านมาตั้งหลายกัปหลายกัลป์ ยาวที่สุด
3 อะไร ใหญ่ที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. ภูเขา โลก มหาสมุทร ใหญ่ที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. ตัณหาความทยานอยาก ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ก่อภพก่อชาติ ใหญ่ที่สุด
4 อะไร หนักที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. หิน เหล็ก แร่ ดิน น้ำ หนักที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. คำสัญญาใดๆ ที่พูดง่ายแต่ทำยาก คำสัญญานั้นแล เป็นสิ่งที่หนักสุด
5. อะไร เบาที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. นุ่น สำลี ลม ใบไม้แห้ง
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. การปล่อยวาง การรู้เท่าทันว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้แล เบาที่สุด
6. อะไร ใกล้เราที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. พ่อแม่ ญาติ ใกล้เราที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. ความตายที่วิ่งตามเหมือนเงาตามตัวต่างหาก ที่ใกล้ตัวเราที่สุด
7. อะไร ง่ายที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า กิน นอน พูด หายใจ ง่ายที่สุด
#พระพุทธเจ้า ตอบว่า. การพูดธรรมะ แบ่งปันให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ง่ายที่สุด เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย
พราหมณ์ได้ฟังคำตอบจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไตร่ตรองพิจารณา โดยเหตุผลแล้ว จึงยอมมอบกายถวายตัวยอมสมาทานศีล เป็นพุทธมามะกะ และได้ดวงตาเห็นธรรมโดยทั่วกัน. พร้อมกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า สัถถาเทวะมนุสสานัง พระองค์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยแท้จริง
พระพุทธองค์ตรัสว่า.. "บุคคลแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ก็สามารถให้ทานกับผู้อื่นได้ด้วยสิ่งของ 5 ประการ"
1. ใบหน้าเป็นทาน : สามารถให้รอยยิ้มความสดใส
2. วาจาเป็นทาน : พูดให้กำลังใจ ชื่นชมและปลอบประโลมผู้อื่นให้มาก
3. จิตใจเป็นทาน : สามารถเปิดอกเปิดใจกับผู้อื่น ด้วยความนอบน้อมและจริงใจ
4. ดวงตาเป็นทาน : ใช้แววตาแห่งความหวังดีความโอบอ้อมอารีย์ให้กับผู้อื่น
5. กายเป็นทาน : สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
พุทธโอวาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...พุทธโอวาทวันมาฆบูชา ๒๕๖๑
ตอนที่ ๑ กฎแห่งกรรม และ กฎของความไม่เที่ยงแท้
ยุคสมัยแปรผัน กาลเวลาแปรเปลี่ยน เป็นไปตามกฎของความไม่เที่ยง กิเลส ตัณหาพัฒนาไป ตามยุคสมัย พระธรรมคำสอน ให้ปรับประยุกต์ใช้ ตามกาล ไม่ควรยึดถือ ยึดติด สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในอดีตจนเกินไป ละเลยสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงจะสามารถตามทันกิเลส และดับตัณหาได้อย่างแท้จริง
ตอนที่ ๒ พระภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว 1,250 รูป
มาเฝ้าองค์พระพุทธเจ้า โดยที่มิได้นัดหมาย
กรรมดีที่สร้างในกาลก่อน จึงย้อนส่งผล ให้ได้มาพบพระพุทธศาสนา จึงควรเร่งรีบ ขวนขวาย สร้างความดี ต่อยอดความดี ให้เข้าถึงความดีที่สูงสุด คือ หลุดจากวัฎสงสาร เข้าถึงพระนิพพาน
ตอนที่ ๓ เหตุที่มีองค์เทพ เทวดา พญานาค ในวัด
พระพุทธเจ้าเป็นครูของเทวดา ชาวบาดาล และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าใครจะเวียนเกิดไปอยู่ภูมิใด ล้วนต้องการสร้างความดี
สร้างบุญบารมี ต้องการฟังธรรมทั้งนั้น การมีรูปปั้นองค์เทพเทวดา พญานาค ภูมิเจ้าที่ จึงไม่แปลกอันใด
แต่ขอบูชาให้ถูกต้อง แค่นั้นเป็นพอ
ศีล อันเป็นกุศล มี ความไม่ร้อนใจ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความไม่ร้อนใจ มี ปราโมทย์ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความปราโมทย์ มี ปีติ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ปีติ มี ความสงบรำงับ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความสงบรำงับ มี ความสุข เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความสุข มี สมาธิ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
สมาธิ มี การรู้เห็นตามที่เป็นจริง เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
การรู้เห็นตามที่เป็นจริง มี ความหน่าย เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความหน่าย มี ความคลายกำหนัด เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
ความคลายกำหนัด มี วิมุติญาณทัศนะ เป็นอานิสงส์ที่มุ่งหมาย
(พระสัมมาสัมพุทธะ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็บุคคล ผู้เขลา หลง งมงาย อย่างไร
...บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมไม่รู้ กุศลธรรมและอกุศลธรรม
ย่อมไม่รู้ ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ
ย่อมไม่รู้ ธรรมที่เลวและประณีต
ย่อมไม่รู้ ธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลเป็นผู้เขลาหลงงมงายอย่างนี้แล
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
ในการพิจารณาธรรม จนเกิดวิมุตติ หรือบรรลุธรรมนั้น
จะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือมีการพิจารณาใคร่ครวญ ให้เห็นถึงต้นเหตุ คือต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบครอบทุกแง่มุม และสืบไปให้ถึงต้นเหตุจริงๆ จนจิตบังเกิดความหลุดพ้น ( วิมุตติ ) ซึ่งเรียกว่าเป็น การเห็นสัจธรรม ซึ่งในขณะที่มีการเห็นสัจธรรม หรือเห็นความจริงแท้ของธรรมชาตินั้นจะมีลำดับขั้นในการเห็นโดยละเอียด อยู่ถึง ๙ ขั้น อันได้แก่
๑. อนิจจตา เห็นความไม่เที่ยง
๒. ทุกขตา เห็นความต้องทน
๓. อนัตตา เห็นความไม่ใช่ตัวตน
๔. ธัมมัฏฐิตตา เห็นความที่มันตั้งอยู่ โดยความเป็นอย่างนั้น
๕. ธัมมนิยามตา เห็นความที่มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างนั้น
๖. อิทัปปัจจยตา เห็นความที่มันเป็นไปตามปัจจัย
๗. สุญญตา เห็นความว่างจากตัวตน
๘. ตถตา เห็นความที่มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
๙. อตัมมยตา เห็นสภาวะจิตที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้
เมื่อเรายกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ( เช่น รูปขันธ์ ) ขึ้นมาเพ่งพิจารณา
ให้เห็นความไม่เที่ยง ( หรือการเกิด - ดับ ) อย่างแรงกล้า ( ด้วยสมาธิิ ) ก็จะมองเห็นความทุกข์ และถ้าเพ่งมองทุกข์ต่อไปอย่างแรงกล้า ก็จะมองเห็นความไม่ใช่ตัวตน และถ้าเพ่งมองไปไม่หยุด ก็จะบังเกิดการเห็นต่อไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายจิตก็จะเกิดความเห็นแจ้ง ในความเป็นเช่นนั้นเอง แล้วจิตก็จะหลุดพ้น และมองเห็นสภาวะจิตที่หลุดพ้น ที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป
ซึ่งการเห็นทั้งหมดนี้ จะเกิดต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว แต่เราสามารถแยกแยะ ออกมาให้ศึกษาได้ถึง ๙ ขั้น โดยในแต่ละขั้นนั้นจะเรียกว่าเป็น ญาณ ที่หมายถึง ความรู้ที่เกิดมาจากการปฏิบัติ แต่ญาณทั้ง ๙ ขั้นนี้ เมื่อสรุปแล้วจะเหลือเพียง ๒ ญาณ อันได้แก่
๑. ธัมมฐิติญาณ ญาณที่เห็นความตั้งอยู่ของธรรมชาติ
๒. นิพพานญาณ ญาณที่เป็นส่วนของการดับทุกข์
ญาณทั้งหลายถ้ายังไม่ถึงกับดับทุกข์ได้ จะสรุปลงในธัมมฐิติญาณ คือยังเป็นเพียงการเห็นความตั้งอยู่ ของธรรมชาติเท่านั้น
แต่ถ้านิพพานปรากฏแล้ว ก็จะเกิดนิพพานญาณคือ จะเกิดความรู้ว่านิพพานปรากฏแล้ว ถูกต้องแล้ว ไม่มีอะไรที่จะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ....
รู้แล้ว.....แต่ไม่แล้ว
" การเข้าใจธรรม ไม่ใช่บรรลุธรรม
การบรรลุธรรม ต้องเป็นการปฏิบัติจนบรรลุ
โดยการดับกิเลสได้อย่างแท้จริง "
การเป็นผู้รู้จากปริยัติ ไม่ว่ารู้จดจำจากตำรา หรือรู้จากการศึกษาปฏิบัติ จนถึงความเข้าใจในหนทาง
เมื่อถึงเวลา จะต้องนำมาสอบในชีวิตจริง ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ไม่มีอยู่จริง จิตปล่อยทุกอย่าง
จนไม่มีความทุกข์ จรเข้ามาที่จิตได้
จึงจะเป็นผู้สำเร็จธรรม เป็นผู้รู้อย่างแท้จริง