ตอนที่ ๓๑๑ สิทธิพิเศษของพระโสดาบัน
ผู้สำเร็จผลเป็นบริยบุคคล ขั้นพระโสดาบัน จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ จะไม่เกิดในอบายภูมิทั้ง ๔
ที่มี สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน จะเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
สู่พระนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด กลับมามีความทุกข์อีกต่อไป
ตอนที่ ๓๑๐ บรรลุโสดาบันแล้วไม่ถอยหลัง
บุคคลผู้ที่ได้บรรลุธรรม จนถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วนั้น จะไม่มีความลังเลสงสัย ในพระรัตนตรัย
จะเข้าใจในกฎของกรรมอย่างชัดเจน จึงไม่มีการละเมิดศีล
ดวงจิตเข้าสู่กระแสพระนิพพาน ไม่หวนกลับคืนมา เป็นปุถุชนอีกต่อไป
ตอนที่ ๓๐๙ รู้ได้อย่างไรใครเป็นพระโสดาบัน
การจะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน
ตนจะต้องเป็นพระอริยบุคคล
แล้วเท่านั้น จึงจะรู้ว่า พระโสดาบันเป็นอย่างไร แต่ถึงแม้เป็นแล้ว ก็อย่าไปตัดสินใคร มีสิ่งซับซ้อน ละเอียดอ่อนมากมาย ให้ดูแต่ตนเองก็พอ
จนละกิเลสและตัณหาให้เบาบาง
ตอนที่ ๓๐๘ การปฏิบัติให้เป็นพระโสดาบัน
พระโสดาบัน คือ ผู้ที่หลุดจากทุกข์ ในระดับที่ 1 เป็นผู้ที่มีชีวิตสงบสุข มีจุดมุ่งหมาย คือ พระนิพพาน มีที่พึ่งในการดำรงชีวิต คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ มีศีล เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้กลับไปสู่จุดที่ต่ำ
มีความรู้แจ้ง ถึงทุกสิ่งที่เกิด
ที่มีอยู่ ที่ดับไป - ตามความเป็นจริง
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 2 เมษายน 2561
ตอนที่ 307 **พระโสดาบัน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงเรื่องของพระอริยเจ้า - พระโสดาบัน น่ะเจ้าค่ะ
ว่า.. พระโสดาบันนั้นเป็นใคร มีสภาวธรรมเป็นแบบไหน จึงเรียกว่าเป็น *พระโสดาบัน* ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง พิจารณาตาม และนำไปฝึกฝน เพื่อลูกจะได้เกิดปัญญา เกิดความรู้แจ้งในการทำความดี ให้ถึงระดับที่ 1* คือ พระโสดาบัน น่ะเจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็ตั้งจิต ตั้งใจฟังให้ดี
ทำจิตใจให้สงบ น้อมพลังงานที่ดี คือ
พลังแห่งความว่างเปล่า
พลังที่เย็น สบาย
พลังที่ปราศจากตัวตน ปราศจากความยึดติด ลุ่มหลงต่างๆ
พลังงานแห่งดินแดนพระนิพพาน
พลังแห่งความสุข
- น้อมเข้ามาไว้ที่จิตของลูก ให้สว่างไสว...
คลายความยึดติด กังวล กับเรื่องต่างๆทิ้งไปเสียลูก
เพราะในความเป็นจริงแล้ว.. ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่ว่างเปล่า
ไม่มีอยู่จริง ทั้งตัวเรา
ไม่มีอยู่จริง ทั้งตัวเขา
ไม่มีอยู่จริง ในทุกๆเรื่องราว..
พระยาธรรมเอย.. เมื่อลูกทั้งหลาย ทำใจจนสงบ จิตรวมเป็นอารมณ์หนึ่งเดียว ตั้งมั่น
เมื่อลูกนั้นพร้อมแล้ว.. ก็จงพิจารณาตาม เช่นนี้เถิด
พระโสดาบันนั้น คือ ผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างแน่วแน่ตั้งใจ
* จะต้องมีตั้งแต่ศีล 5 ขึ้นไป คือ ต้องรักษาศีล 5 ให้ได้
* จะต้องมีความศรัทธาต่อ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ - ศรัทธาอย่างแท้จริง
* จะต้องรู้ถึงสิ่งทั้งหลายว่า.. มันไม่มีความเที่ยงแท้ มีเกิด แล้วก็มีดับเป็นธรรมดา
-- จึงจะสามารถ เป็นพระโสดาบันได้ ++
พระยาธรรมเอย.. พระโสดาบันนั้น มีสภาวธรรมดังที่กล่าวมาแล้วนั้น นั่นละลูก
บุคคลผู้ที่ไม่มีความศรัทธา ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่ามีความลังเลสงสัยในองค์พระพุทธเจ้า ว่า.. ดี / ว่าไม่ดี
มีความลังเลสงสัย ต่อพระธรรมคำสอนสั่ง..ว่าดี / ว่าไม่ดี
มีความลังเลสงสัย ต่อพระสงฆ์ผู้สืบทอด ดำรงพระพุทธศาสนามา..ว่าดี / ว่าไม่ดี
บุคคลที่ลังเลสงสัยเช่นนี้อยู่.. ก็ย่อมไม่สามารถที่จะรักษาศีล 5 ให้ได้
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. บุคคลที่จะรักษาศีล 5 ได้ ก็ต้องเป็นบุคคลที่ศรัทธา อย่างไม่มีความลังเลสงสัย ว่าดีว่า /ไม่ดี ว่าถูก / ว่าไม่ถูก
กับองค์พระรัตนตรัย คือ *องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์*
-- จึงสามารถที่จะรักษาศีล ตามที่ตนนั้นสมาทานเอาไว้ หรือว่า ตามศีล 5 ที่ชาวพุทธทั้งหลาย ควรจะรักษา --
เมื่อมีศีล 5 บริสุทธิ์.. จิตนั้นย่อม
ห่างไกล จากกิเลสตัณหา
ห่างไกล จากการสร้างกรรมทำเวร จิตย่อมเป็นผู้ประเสริฐ
และห่างไกล จากความทุกข์เข้ามาอีกระดับหนึ่ง
ดวงจิตผู้รักษาศีล 5 อย่างบริสุทธิ์ - ย่อมสว่างไสว
รู้แจ้งตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย
ว่า.. มีเกิด ย่อมมีดับ
ว่า.. ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ยึดติดลุ่มหลง ยึดเอาไว้เป็นของเรานั้นมิได้
- ย่อมรู้ และเข้าใจเช่นนี้…
เมื่อรู้ และเข้าใจเช่นที่กล่าวมานี้แล้ว เรียกว่า *พระโสดาบัน*
รู้ แล้วก็สามารถปฏิบัติตามได้ นะลูก
ฉะนั้น พระยาธรรมเอย.. *พระโสดาบัน* ก็คือ สามารถรักษาสภาวธรรม 3 อย่าง ที่กล่าวมานั้นได้ คือ
/ การมีศีล 5 บริสุทธ์
แล้วก็ไม่ลังเลสงสัยใน องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
/ รู้ว่า.. เกิดมาแล้ว ต้องตายแน่ในสักวัน - ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
รู้เช่นนี้ ทำเช่นนี้ รักษาสภาวธรรมเช่นนี้ได้.. เรียกว่า *พระโสดาบัน*
และผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนถึงความเป็นพระโสดาบันได้แล้วนั้น..
ย่อมแน่นอน พระยาธรรม.. ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จะเป็นผู้ที่จะกลับมาเกิดอีก -ไม่เกิน 7 ชาติ..
* เพราะถือว่า เป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน
* เพราะถือว่า เป็นผู้ที่สามารถสร้างคุณงามความดี จนยกระดับจิตของตน - จนถึงการเป็นพระอริยเจ้าในระดับที่ 1 แล้ว..
ท่านทั้งหลายเหล่านั้น..
จะไม่มีการหวนกลับคืนสู่จุดที่ต่ำ
จะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
.. เพราะว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้น..
รักษาศีล 5 บริสุทธิ์
มีองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ - เป็นที่พึ่ง
เป็นหนทางที่จะมุ่งไปสู่พระนิพพาน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. มีความรู้แจ้ง ในการเกิด- และการดับ ของทุกอย่าง..
จนท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. ไม่สามารถที่จะไปสร้างกรรมทำเวรที่หนัก / ที่เป็นเหตุส่งผลให้ตน ไปเกิดอยู่ในอบายภูมิ หรือว่าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก ++
พระอริยเจ้า ในระดับที่ 1* คือ พระโสดาบันนี้ จึง..
เป็นผู้ที่จะสามารถเข้าถึงพระนิพพาน ในอนาคตอันใกล้นี้
เป็นผู้ที่เข้าถึงพระนิพพาน แน่นอน
เป็นผู้ที่ไม่สามารถกลับไปเกิด เป็นเปรต หรือว่าจะกลับไปสู่จุดที่ต่ำได้อีก
.. เพราะว่าหนทางที่มุ่งมั่นไปสู่นิพพาน เขามีไว้อยู่ คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
.. เพราะว่าการที่เขานั้น จะทำความชั่วไม่มีอีก โดยการมีศีล 5 คุ้มกันเอาไว้
มีการรู้เหตุเกิด และเหตุดับ ถอดถอนความโลภ ความหลง ความรัก การเบียดเบียนผู้อื่น
ความโกรธ เหล่านั้นได้..
.. เพราะว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นน่ะ เป็นผู้รู้ดี รู้แจ้งในระดับที่ 1 แล้ว
เป็นผู้ห่างไกล จากกิเลสและตัณหา
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ *พระโสดาบัน*
และพระโสดาบันนั้น ก็ยังถือว่า เป็นผู้ที่ห่างไกลจากความทุกข์ - ถ้าเทียบกับดวงจิตผู้ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ++
/ เพราะพระโสดาบัน มีจิตใจที่สงบ
/ เพราะมีศีล มีธรรม มีสมาธิ มีปัญญา มีความรู้แจ้งในการดำเนินชีวิต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
... ด้วยการรักษาศีล 5
/ ห่างไกลจากกิเลสตัณหา เพราะรู้เท่าทัน ในสิ่งทั้งหลาย ที่มาหลอกมาล่อต่างๆเหล่านั้นแล้ว
+ จึงไม่ทุกข์ ไม่รุ่มร้อน
+ จึงไม่เดือดร้อนมากมาย
+ จึงเป็นผู้ที่มีชีวิตที่สงบสุข
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พระโสดาบัน คือ
ผู้ที่หลุดจากทุกข์ ในระดับที่ 1*
เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสตัณหาได้แล้ว ถึงยอดดอยที่ 1
เป็นผู้ที่มีชีวิตสงบสุข
เป็นผู้ที่มีจุดมุ่งหมาย คือ **พระนิพพาน**
มีที่พึ่งในการดำรงชีวิต คือ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
มีศีล เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้กลับไปสู่จุดที่ต่ำ
มีความรู้แจ้ง ถึงทุกสิ่งที่เกิด ที่มีอยู่ ที่ดับไป - ตามความเป็นจริง
จนกิเลสและตัณหา เบาบางลงจากตน
จึงเป็นผู้ประเสริฐในระดับหนึ่ง ซึ่งจะละต่อการเบียดเบียนผู้อื่นได้แล้ว
ได้มากแล้ว - หากเทียบกับดวงจิตทั่วไป ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า
แต่พระโสดาบันนี้ ก็ยังคง..
- มีความทุกข์อยู่บ้าง
- มีความต้องการ ปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่บ้าง
- มีความโกรธอยู่บ้าง
- มีความยึดตัวยึดตนอยู่บ้าง
คือ ยังมีกิเลสอ่อนๆอยู่ - ยังไม่สามารถดับกิเลสได้ทั้งหมด ++
เพียงแต่ว่า เบาบางลงจาก ดวงจิตทั่วไปที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า
อยู่กับใคร อยู่ที่ไหน.. ก็มักจะสร้างความสุข ความเจริญ
มักจะทำให้คนในที่นั้น มีความสุข.. เพราะไม่เกิดการเบียดเบียนที่รุนแรง
* พระโสดาบัน จึงถือเป็นผู้ประเสริฐในโลกแล้ว *
เช่นนี้ อย่างนี้หละ พระยาธรรม.. พอจะรู้จัก พอจะเข้าใจว่าพระโสดาบัน มีสภาวธรรมแบบไหน บ้างแล้วหรือยัง.. พระยาธรรม
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกก็พอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
แต่พระพุทธองค์เจ้าขา.. ตามที่ลูกเคยได้ฟังมา คือ พระโสดาบันนั้น มีถึง 3 ประเภท หรือ 3 ระดับ ในการเป็นพระโสดาบัน น่ะเจ้าค่ะ
... เป็นแบบไหน ยังไง ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วย เจ้าค่ะ
- - -
พระยาธรรมเอย.. การประพฤติ ปฏิบัติ จนเข้าถึงพระโสดาบันนั้น - ก็มีการเข้าถึง
ในขั้นตน - ขั้นกลาง - และขั้นปลาย
จึงแบ่งออกมาเป็น 3 ระดับ ด้วยเพราะว่า.. จิตทั้งหลาย มีสภาวธรรมที่แตกต่างกัน
บางคน เข้าถึงการเป็นพระโสดาบันแล้ว - แต่สติปัญญาที่จะรู้ในธรรมนั้น.. มีน้อยกว่า บางกลุ่มบางคน
- จึงยังต้องใช้การศึกษา ฝึกฝนให้มาก
- จึงต้องอาศัยเวลามากหน่อย กว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างแท้จริง..
บางคน บางดวงจิต เขานั้นก็มีการสร้างเวรสร้างกรรม ผูกกับจิตทั้งหลายเอาไว้มาก
เมื่อตนปฏิบัติจนถึงการเป็นพระโสดาบันแล้ว.. ก็ยังคงต้องใช้เวลานาน นานกว่าดวงจิตบางกลุ่ม
เพื่อที่จะชำระวิบากกรรมแห่งตนให้หมด
เพื่อที่จะปลดล็อคกับจิตทั้งหลาย ที่เกี่ยวเนื่องด้วยกันมา ในภพชาติต่างๆหมด
- จึงต้องอาศัยเวลานานหน่อย...
บางดวงจิต ก็มีปัญญามาก สร้างกรรมที่ไม่ดีเอาไว้น้อย
เมื่อเข้าถึงแล้ว.. ก็สามารถที่จะฝึกฝนตน จนเข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย และใช้เวลาน้อยกว่า ++
มันก็มีเหตุของมัน เช่นนี้ละลูก จึงมีพระโสดาบัน ผู้ที่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้เลย เพียงใช้เวลาอีกเพียงแค่ 1 ชาติ
หรือว่าใช้เวลา 2 ชาติ 3 ชาติ หรือว่าจะ 6- 7 ชาติ - ก็สุดแล้วแต่ดวงจิตแต่ละดวง ++
จึงแบ่งออกมาเป็น 3 ระดับ คือ การเป็นพระโสดาบัน แบบที่สามารถ
/ เข้าถึงพระนิพพาน ได้ไว
/ เข้าถึงพระนิพพาน ได้แบบกลางๆ
/ หรือว่าเข้าถึงพระนิพพาน ได้ช้าหน่อย
-- แต่ก็ไม่เกิน 7 ชาติ **
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. จึงเป็นเหตุแห่งการแบ่งแยกว่า.. พระโสดาบันนั้น มี 3 รูปแบบ
เพราะมีเหตุของจิตแต่ละดวง ที่แตกต่างกัน
เป็นธรรมดา อย่างนั้นละ.. พระยาธรรมเอย
+ +
พระยาธรรม :: เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า.. องค์พระโสดาบัน จุดมุ่งหมายที่ 1* แห่งนักปฏิบัติทั้งหลาย ผู้มีปัญญาธรรม ที่จะมุ่งเพื่อที่จะไปให้ถึงนั้น คือ..
* การมีศีล 5 บริสุทธิ์
* รู้ว่าเกิดมา ต้องตายแน่
* เชื่อในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ อย่างไม่มีความลังเลสงสัย
เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสตัณหา / กรรมวิบากต่างๆ ที่ไม่ดี ที่จะไปสร้างไปทำอีก
จิตจะไม่ตกไปสู่จุดที่ต่ำ
และท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. ก็จะสามารถฝึกฝนจนตนนั้นบรรลุธรรม
พบพระนิพพานได้ ในไม่เกิน 7 ชาติ
ช้านานต่างกัน ด้วยว่าแต่ละดวงจิตนั้น.. มีสภาวธรรมที่แตกต่างกันไป ++
.. ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ได้นำไปพิจารณาตาม
ลูกจะมุ่งมั่นตั้งใจ ประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่
ให้ถึงการเป็นพระอริยเจ้ากัน ทั้งผู้เผยแผ่ และผู้ฟัง.. เจ้าค่ะ
สาธุ