ความเห็นที่ว่าเราดีกว่าเขา เห็นว่าเราเสมอเขา เห็นว่าเราโง่กว่าเขา นี่เป็นความเห็นผิดทั้งนั้น
แต่ท่านก็เห็น เห็นแล้ว ท่านก็รู้ด้วยปัญญา เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ดับของมันไป
เห็นว่า ตัวเราดีกว่าเขา อันนี้ก็ไม่ใช่ , เห็นว่า ตัวเราเสมอเขา อันนี้ก็ไม่ใช่ , เห็นว่า ตัวมันโง่กว่าเขา ก็ไม่ใช่
#ความเห็นซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐินี่มันตัดต้นตัดปลายไปหมดหล่ะ
.
เห็นว่าเราดีกว่าเพื่อน เราก็ทะนงตัว มันก็มีอยู่ในนี้หล่ะ แต่มันไม่รู้จัก
เห็นว่าเราดีเสมอเพื่อน มันก็ตีเสมอกันเท่านั้น
เห็นว่าเราเลวกว่าเขานั่น เราก็ตกใจ คิดอาภัพ อับจน
#มันก็เป็นอุปาทานขันธ์ห้า มันเป็นภพชาติทั้งนั้นแหละ นี่เป็นเครื่องตัดสิน
..
หลวงปู่ชา สุภัทโท
สะเป่ะสะปะ
ดื้อรั้น
ไม่เชื่อง
คือจิตคน
@~~~~~min
ท่านพ่อลี สอนว่า ....
"การตัดสัญญาต่างๆ ไม่ได้หมายความว่า ให้เราตัดความคิด เราไม่ได้ตัดความคิดนึกให้หายไป เป็นแต่ย้อนความนึกคิดมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ เช่นมาคิดนึกตรวจตรองในข้อกรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ถ้าเราให้จิตของเราทำงานอย่างนี้ เราก็จะไม่มีทุกข์และไม่เกิดโทษขึ้นแก่จิตใจของตัวเราเอง
ปกติ จิตของเราก็ทำงานอยู่เสมอ แต่งานนั้นมันไม่เป็นเรื่องเป็นราว เป็นเรื่องวุ่นวาย ยุ่งๆ เหลวไหล ไม่มีสาระประโยชน์เราจึงต้องหางานที่มีสาระประโยชน์มาให้จิตทำ คือหาเรื่องที่ดีๆ ไม่มีโทษ
เรื่องที่เราทำนี้คือ อานาปานสติ ได้แก่การตั้งใจกำหนดจิตของเราเอง หรือกำหนดลมหายใจของเราเอง เราจะงดเว้นงานอื่นทั้งหมด ตั้งหน้าทำงานนี้อย่างเดียว นี่เป็นจุดมุ่งหมายของการทำสมาธิ"
< ปัญญาและความเพียร >
พระพุทธองค์ ทรงสอนทางที่จะออกจากกองทุกข์คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อลง ๓ คือปัญญา ศีล สมาธิ
พระองค์ทรงเอาปัญญาเป็นตัวเริ่มเดิน
#สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบที่จะ
๑.รู้ในทุกข์คือ "ทุกข์"
๒.ละเหตุของทุกข์ ละตัณหาคือ "สมุทัย"
๓.ทำให้แจ้งซึ่งการดับทุกข์คือ "นิโรธ"
๔.เจริญในทางที่จะดับทุกข์คือ "มรรค"
๑.ดำริออกจากกาม
๒.ดำริไม่พยาบาท
๓.ดำริไม่เบียดเบียน
สัมมาสังกัปโป ปัญญานี้จะเป็นตัวเคลื่อนให้เกิดมรรคญาณขจัดความเห็นผิดที่ว่าเห็นขันธ์ ๕ นี้เป็นอัตตา เมื่อตัวกูของกูถูกกำจัดด้วยอนัตตา(ความเห็นว่าขันธ์๕นี้ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ไม่สามารถบังคับได้ ) จิตก็จะกลับเป็นปกติไม่ถูกปรุงแต่งจากอารมณ์ จิตจะสงบและเจริญไปสู่การปล่อยวางในขันธ์๕ในที่สุด
ธรรมที่จะเจริญสู่นิพพานคือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการชึ่งประกอบด้วยหมวดธรรม ๗ หมวด ๆ มีองค์ธรรมวิริยะ ประกอบอยู่เกือบทุกหมวด
ดังนั้นผู้ใฝ่ในธรรมที่จะเดินให้ถึงฝั่งนิพพานจะต้องมีความเพียรเป็นที่ตั้ง หากขาดธรรมข้อนี้ก็ไม่อาจเข้าถึงกระแสธรรมขององค์พุทธะได้ ( อริยบุคคล )
" การบำเพ็ญสมาธิจิต
เพื่อ...ให้เกิดสมาธิ
สติ ปัญญา มีหลักที่ควรยึดถือว่า...
ทำจิต ให้มีอารมณ์สิ่งรู้
สติ...ให้มีสิ่งระลึก
จิต นึกรู้สิ่งใด ให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
เป็นอารมณ์จิต
ฝึกสติ...
ให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครจะทำอะไร
มีสติ ตัวเดียว
เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิด อย่างใด
ปล่อย...ให้มันคิดไป
แต่...ให้มีสติตามรู้ไป จนกว่าจะนอนหลับ
อันนี้ เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
ถ้ามีใครมาถามว่า...
ทำสมาธินี่ คือ...ทำอย่างไร คำตอบมันก็ง่าย
นิดเดียว
การทำสมาธิ คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้
ทำสติ ให้มีสิ่งระลึก
หมายความว่า...
เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใด ให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น
เรื่องอะไรก็ได้ ถ้าเอากันเสียอย่างนี้
เราจะรู้สึกว่า...
เราได้ทำสมาธิอยู่...ตลอดเวลา."
____________________________________________
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน)
" อาการบังคับ
ตัวเอง ให้กำหนดลมหายใจ
ข้อนี้ เป็นศีล
การกำหนดลมหายใจได้
และติดต่อกันไป จนจิตสงบ
ข้อนี้เรียกว่า สมาธิ
การพิจารณา
กำหนด รู้ลมหายใจว่า...
ไม่เที่ยง ทนได้ยาก ไม่ใช่ ตัวตน
แล้วรู้...การปล่อยวาง
ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา
การทำอานาปานสติภาวนา
จึงกล่าวได้ว่า...
เป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกันและเมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบ
ก็ชื่อว่า...
ได้เดินทางตามมรรคมีองค์แปด ที่พระองค์
ตรัสว่า...
เป็นทางสายเอก ประเสริฐกว่าทางทั้งหมด
เพราะจะเป็นการ...
เดินเข้าถึงพระนิพพาน เมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้
ชื่อว่า...
เป็นการเข้าถึงพุทธธรรม อย่าง...ถูกต้องที่สุด."
____________________________________________
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
#ความรู้สึกจะมารวมอยู่ตรงนี้
อารมณ์เราเป็นอย่างนี้
เราจึงจะรู้จักที่รวมแห่งสมาธิ
ปล่อยลม-ได้สมาธิ-ปัญญา
เรากำหนดลมหายใจเข้าออก
อย่างเดียว
เราปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติ
อย่าไปบังคับลมให้มันยาว
อย่าไปบังคับลมให้มันสั้น
ปล่อยสภาพลมให้พอดี
แล้วดูลมหายใจเข้าออก
เมื่อปล่อยอารมณ์ได้
เสียงอะไรก็ไม่ได้ยิน
ถ้าจิตเราวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ
ไม่ยอมรวมเข้ามา
ก็ต้องสูดลมเข้าไปให้มากที่สุด
จนกว่าจะไม่มีที่เก็บ
แล้วก็ปล่อย ลมออกให้มากที่สุด
จนกว่าลมจะหมดในท้องสัก 3 ครั้ง
ถ้าเรามีสติอย่างนี้
อย่างวันนี้ เข้าสมาธิสัก 30 นาที
หรือ 1 ชั่วโมง จิตใจของเรา
จะมีความเยือกเย็น ไปตั้งหลายวัน
แล้วจิตจะสะอาด
เห็นอะไรจะรับพิจารณาทั้งนั้น
นี้เรียกว่าผลเกิดจากสมาธิ
สมาธิมีหน้าที่ทำให้สงบ
เมื่อจิตเราสงบแล้ว
จะมีการสังวร สำรวมด้วยปัญญา
เมื่อสำรวมเข้า ละเอียดเข้า
มันจะเป็นกำลังช่วยศีลให้บริสุทธิ์ขึ้นมาก
แล้วสมาธิก็จะเกิดขึ้นมาก
เมื่อสมาธิเต็มที่ก็จะเกิดปัญญา...
#หลวงพ่อชา สุภัทโท
ศีลเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง..
ให้หมั่นสมาทานรักษาศีลให้ได้ แม้จะเป็นโลกียศีล รักษาได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็ให้เพียงระวัง รักษาไป
สำคัญที่เจตนาที่จะรักษาศีลไว้ และปัญญาที่คอยตรวจตราแก้ไขตน
"เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ" ท่านว่าเจตนาเป็นตัวศีล
"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" เจตนาเป็นตัวบุญ
จึงขอให้พยายามสั่งสมบุญนี้ไว้ โดยอบรมศีลให้เกิดขึ้นที่จิตเรียกว่า เรารักษาศีล..
ส่วนจิตที่อบรมศีลดีแล้ว จนเป็นโลกุตรศีล เป็นศีลที่ก่อให้เกิดปัญญาในอริยมรรค
อริยผลนี้จะคอยรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติมิให้เสื่อมเสียหรือตกต่ำ ไปในทางที่ไม่ดีไม่งามนี้แลเรียกว่า ศีลรักษาเรา..
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
โดยธรรมชาติ ศีล สมาธิ ปัญญา
ไม่อาจแยกกัน ต้องมีพอดีกัน
.
…. “ ฉะนั้น จึงขอร้องให้สนใจ ทําจิตให้เป็นสมาธิ นี่เป็นตัวแกนกลาง แกนกลางยืนโรงอยู่. ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ศีลมันจะมาตลอดเวลาที่เราตั้งจิตทําสมาธิถึงที่สุด, จะไปทุศีลขาดศีลกันไม่ได้ดอก เมื่อตั้งใจจะทําสมาธิอยู่
แต่ถ้ามันขาดศีลอยู่ก่อนโน้น ก็ตามเรื่อง นั้นก็ไปทํา ไปชะล้างกันเสียก่อน : ไปปลงอาบัติกันเสียก่อน ไปทําอะไรกันเสียก่อน แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาทําสมาธิ แล้วศีลก็จะมีมาเองอย่างเพียงพอ แล้วปัญญาก็จะค่อยๆ ออกมาอย่างเพียงพอ แล้วมันก็เกิดความเพียงพอทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา นี้เรียกว่า จิตตภาวนา การเจริญจิต หรือ การอบรมจิต.
…. ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่อาจแยกกันได้ เรียกว่าโดยธรรมชาติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา สามอย่างนี้ไม่อาจจะแยกกัน ; ถ้าจะให้ทําการงานอะไรสักอย่างแล้วไม่อาจจะแยกกัน : ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธรรมะ, เรื่องธรรมดาสามัญในบ้านในเมือง เราจะทําอะไรอย่างนี้ มันต้องมีการควบคุมมือ, หรือควบคุมสิ่งที่จะทํา, แล้วก็ควบคุมจิต แล้วก็มีปัญญาที่จะทํา
…. อย่างเราจะผ่าฟืน, เลวอย่างต่ำที่สุด เราจะผ่าฟืน เราต้องควบคุมมือ นี้มันเป็นศีล ; เราต้องควบคุมจิต นี้มันเป็นสมาธิ, แล้วต้องมีความรู้พอที่จะผ่าอย่างไรสําหรับไม้ชิ้นนี้ มันก็เป็นปัญญา,
…. ฉะนั้น ในการกระทําของมนุษย์ที่จะสําเร็จประโยชน์แล้ว จะต้องมีพร้อม ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ขาด ; ถ้าขาดแล้วทําไม่ได้. ตัวอย่างผ่าฟืนนั่น ลองขาดการควบคุมมือ เดี๋ยวมันก็ตัดเอาตีนแหละ แทนที่จะไปตัดไม้ฟืน, มันก็ทําไม่ได้ดอก, ไม่ว่าจะทําอะไร คุณจะทําเลข คุณจะเรียนหนังสือ คุณจะทําอะไร มันจะต้องมีลักษณะแห่งศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันอยู่ที่นั่น แล้วกลมกลืนกันเป็นอันเดียวกัน ไม่แยกกันเป็น ๓ อย่างดอก
…. นี้เป็นหลักสําคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ว่าจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ตามสัดส่วน แล้วกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน : เขาเรียกว่า “ธัมมสมังคี” ความสมังคีแห่งธรรมะ. สมังคี แปลว่า มีส่วนประกอบเสมอพอดี, พอดีกัน คือ เหมาะส่วน. ถ้าแจกเป็นแปด เป็น “อริยมรรคมีองค์แปด” แล้วก็เรียกว่า “มัคคสมังคี”, มรรคทั้งแปดองค์ต้องมาพร้อมกันหมดเลย ทั้ง ๘ องค์มาเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วก็ทําหน้าที่ตัดกิเลส. มรรคมีองค์แปด ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพียงแต่ว่ากระจายออกเป็น ๘ ส่วน ไม่ว่าอะไรๆละ มันจะรวมอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา จะลดให้น้อยลงก็ได้ จะให้พูดให้มากออกไปก็ได้ แต่แล้วต้องมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้น เรารู้เรื่อง ธรรมชาติว่าศีล สมาธิ ปัญญา มันไม่เคยแยกกัน ถ้ามันจะต้องทํางานหรือทําหน้าที่”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา ชุดธรรมะเล่มน้อย หัวข้อเรื่อง “จิตตภาวนา คือชีวิตพัฒนา” บรรยายเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะเล่มน้อย” หน้า ๕๘-๕๙